Crazy Love Song เพลงรักลวงใจ
เธอ ฝันอยากจะเป็นนักร้อง เลือกเดินหนีจากทุกสิ่งเพื่อไขว่คว้าหาอิสระ
เขา นักดนตรีผู้ไร้ความฝัน เลือกเดินหนีจากทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าหาที่พักของหัวใจ
พวกเขาจะพากันหนีไปจนสุดขอบฟ้า... หรือว่าจะดิ่งลงเหวไปด้วยกัน
เขา นักดนตรีผู้ไร้ความฝัน เลือกเดินหนีจากทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าหาที่พักของหัวใจ
พวกเขาจะพากันหนีไปจนสุดขอบฟ้า... หรือว่าจะดิ่งลงเหวไปด้วยกัน
Tags: วัยรุ่น,ดราม่า,ดนตรี,วง,รัก,ดาร์ก
ตอน: บทเพลงที่ 6
บทเพลงที่ 6
Hear my voice
เสียงปรบมือค่อยๆ เงียบลง พร้อมกับที่บอยเดินมาลากตัวไนท์ออกไปข้างนอก ทำให้คนอื่นๆ พากันร้องบ่นว่าเสียดาย น่าจะให้เขาเล่นเกมบ้าระห่ำนี่ต่อ ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะเฮฮากันออกมาอีกรอบ
หลังจากที่ไนท์ออกไปแล้ว ฉันก็นั่งคุยกับโจ้ต่อ ส่วนบอยและโน้ตนั้นคงจะออกไปข้างนอกพร้อมกับไนท์ เพราะว่าฉันไม่เห็นพวกเขาเลย แต่อีกหลายสิบนาทีต่อมาโจ้ก็เป็นฝ่ายขอแยกตัวไปบ้าง ฉันจึงหันไปคุยกับหนุ่มหน้าตี๋คนหนึ่งแทน ซึ่งเคยแนะนำตัวเองว่าชื่อภูหรืออะไรสักอย่างที่ฉันจำไม่ได้ และเป็นคนที่พูดเก่งมากพอๆ กับโจ้เลยทีเดียว จึงทำให้ฉันชักจะเริ่มสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วว่า คุณสมบัติในการเป็นนักร้องนำนั้นจะต้องมีเรื่องพูดเก่งรวมอยู่ด้วยหรือเปล่า
เมื่อนั่งคุยกันไปได้สักพักหนึ่ง พิมก็เดินเข้ามาทักพวกเรา พร้อมกับนั่งลงข้างๆ ฉันด้วยอีกคน ถึงแม้ว่าพิมจะไม่ใช่คนพูดเก่ง แต่พวกเราสองคนก็เข้ากันได้ดี ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องน่าแปลกสำหรับฉันที่ฉันรู้สึกเป็นกันเองกับทุกคนในห้องนี้ เหมือนกับว่าเหล่าคนที่รักเสียงเพลงทั้งหลายนั้นเป็นเพื่อนของฉันทุกคนเลย
“...แล้วพอฉันเปิดประตูออกไปนะ ไอ้โน้ตมันก็มายืนดักรอ โคตรตกใจเลยตอนนั้น” หนุ่มหน้าตี๋ หรือภูนามสมมติ พูดพลางเคี้ยวขนมขาไก่ไปด้วย
“อ่อ ฉันจำได้ ผมยาวๆ ของมันน่ะน่ากลัวสุดๆ แล้วตอนนั้นดันปิดไฟมืดอีกต่างหาก” พิมเสริมต่อพร้อมกับแกล้งทำหน้าตกใจกลัวอะไรบางอย่างในอากาศ ซึ่งทำให้ฉันและภูต้องหลุดขำพรืดออกมาพร้อมกัน
ทันใดนั้นเอง เพื่อนๆ กลุ่มเดียวกันกับพิมก็เดินมาเรียกพิมให้ลงไปข้างล่างด้วยกันกับพวกเขา มือกีตาร์สาวจึงหันมาขอแยกตัวจากพวกเราก่อนจะลุกไปรวมกลุ่มกับเพื่อนอีกสี่คนตรงประตู
“เดี๋ยวฉันไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะ” ภูลุกไปที่ประตูด้วยอีกคน แล้วหันมายิ้มให้กับฉันทีหนึ่ง ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไปพร้อมๆ กับกลุ่มเพื่อนของพิม
เมื่อพวกเขาออกไปจากห้องกันแล้วฉันก็ต้องนั่งอยู่ที่เดิมคนเดียว หันไปมองรอบๆ ห้องพลางคิดถึงพลอยขึ้นมาอย่างฉับพลัน โดยที่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะไปคิดถึงคนแบบนั้นอีกทำไม แต่ยิ่งห้ามไม่ให้คิด ฉันก็ยิ่งคิดจนรู้สึกหดหู่ แล้วก็พาลคิดไปถึงคำพูดเรื่องการเป็นนักร้องของพี่แดน ซึ่งมันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกท้อแท้เข้าไปใหญ่
ฉันนั่งคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยๆ อยู่สักพักจนกระทั่งรู้สึกว่ามีใครมานั่งข้างๆ ถึงได้หันไปมอง แล้วก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ อย่างแปลกใจ พร้อมกับที่ความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายในหัวได้หายวับไปและรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทันควัน
“ถูกปล่อยตัวออกมาแล้วเหรอ” ฉันเอ่ยถามไนท์ด้วยเสียงขำขันเบาๆ
“อือ ใช่แล้วล่ะ ฉันจับคนหนึ่งขังไว้ในห้องน้ำ เอาเก้าอี้ขัดกับประตูไว้เพื่อไม่ให้ออกมาได้” ไนท์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสดใสอย่างขี้เล่น พลางอมยิ้มน้อยๆ เช่นเคย ซึ่งทำให้เขาดูน่ารักมากๆ “แล้วก็สร้างเรื่องทะเลาะวิวาทให้อีกสองคนไปจัดการแทนอยู่ข้างนอก”
ฉันหัวเราะออกมาให้กับเรื่องล้อเล่นของเขา แล้วลองจินตนาการถึงสีหน้าบึ้งตึงของพวกโจ้ดูเล่นๆ ถ้าหากว่าโดนไนท์ทำแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ เขาคงจะโกรธกันน่าดูเลย
ไนท์ล้วงเอาซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง หยิบบุหรี่ออกมาสองมวน แล้วหันมายื่นให้กับฉันมวนหนึ่ง
“เอาด้วยมั้ย”
ฉันยิ้มร่าออกมาด้วยความยินดี พร้อมกับยื่นมือไปรับบุหรี่มาจากมือของเขาอย่างไม่กลัวว่ามันจะมีอันตรายถ้าสูบในที่แออัดแบบนี้ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ค่อยชอบบุหรี่สักเท่าไหร่ แต่บางทีมันอาจจะต้องลองสูบหลายๆ ทีถึงจะรู้สึกติดใจในรสชาติของมันก็ได้
ไนท์ยื่นไฟแช็กมาจุดบุหรี่ให้กับฉัน แล้วค่อยหันไปจุดให้ตัวเองต่อ หลังจากนั้นเขาหันมาทางฉันเหมือนเดิม พลางอมยิ้มน้อยๆ อย่างพึงพอใจขณะมองฉันสูบบุหรี่
“เมื่อปีที่แล้ว...” ชายหนุ่มพูดเกริ่น พร้อมกับเอาบุหรี่ใส่ปาก ละสายตาจากฉันไปมองที่พื้น แล้วค่อยๆ พ่นควันออกมาเบาๆ “...บอยมันเคยปวดท้องตอนขึ้นไปแสดงบนเวที แต่ก็ยังฝืน ไม่ยอมฟังคนอื่นว่าให้นอนพัก จนในที่สุดก็ต้องหยุดเล่นกลางคันเพราะว่าทนไม่ไหว แล้วมันก็วิ่งไปเข้าห้องน้ำ ท้องเสียหนักสุดๆ แต่จะว่าไปแล้วมันก็เป็นเรื่องน่าอายของพวกเราทั้งวงนั่นแหละ”
ทันทีที่ไนท์เล่าจบ พวกเราก็หันไปสบสายตากันแวบหนึ่ง ก่อนที่จะพากันหลุดขำพรืดออกมาพร้อมๆ กัน และเมื่อฉันได้ลองคิดไปถึงสีหน้าเคร่งขรึมของบอยขึ้นมาแล้ว ฉันก็ยิ่งกลั้นขำเอาไว้ไม่ไหว ต้องหัวเราะออกมาหนักกว่าเก่า ชอบฝืนตัวเองแบบนั้นฟังดูเป็น ‘บอย’ จริงๆ นั่นแหละ สมกับที่เป็นคนจริงจังเอามากๆ
ไนท์อมยิ้มน้อยๆ ขณะมองฉันขำไม่หยุด จนเมื่อฉันหยุดขำและรู้สึกดีขึ้นแล้ว เขาก็ล้วงหยิบบุหรี่มวนใหม่ออกมาอีก จากนั้นไนท์ก็พเยิดหน้ามาที่บุหรี่มวนเก่าในมือของฉัน แล้วหงายมือกระดิกนิ้วเหมือนจะต้องการให้ฉันส่งบุหรี่ในมือคืนไปให้เขา
พอฉันทำตามนั้น เขาก็ยื่นบุหรี่มวนใหม่มาให้แทน
“ให้ลองของดี”
“ของดี?” ฉันถามกลับไปอย่างงุนงง ขณะที่ไนท์ยื่นไฟแช็กมาจุดบุหรี่ให้ฉันเป็นครั้งที่สอง นี่มันบุหรี่ไม่ใช่เหรอ แล้วมันต่างจากบุหรี่อันเดิมยังไง แต่จะว่าไป พอดูใกล้ๆ แล้ว ฉันก็คิดว่ามันดูต่างจากบุหรี่ทั่วไปอยู่เหมือนกัน แต่บอกไม่ถูกว่าต่างกันยังไง
กลิ่น... ใช่แล้ว กลิ่นยังไงล่ะ คล้ายกลิ่นบุหรี่ก็จริง แต่มันมีกลิ่นใบไม้เขียวปนมาด้วย กลิ่นอะไรบางอย่างกำลังถูกเผาไหม้ อย่างกลิ่นตอนเผาหญ้าหรืออาจจะเป็นกลิ่นเนื้อย่างกันนะ
ฉันเอาบุหรี่ใส่ปาก สูดกลิ่นหอมหวานของหญ้าแล้วก็ชักจะรู้สึกเคลิ้ม สบายใจขึ้นมา
“หลายคนที่นี่ชอบมากเลยล่ะ สารแห่งความสุข” เสียงของไนท์ดังก้องอยู่ข้างหู สารแห่งความสุขงั้นเหรอ...
ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อคาดเดาคำตอบเอาเองในหัว
ไนท์มองฉันด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ เหมือนกับว่าเขาพอใจที่เห็นฉันดูอึ้งๆ ไป แล้วเขาก็ยื่นมือมาหยิบบุหรี่ยัดไส้ไปจากมือของฉัน จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน ทำท่าว่าจะเดินจากไป
แต่อยู่ๆ อาการตกใจของฉันหายวับไปอย่างฉับพลัน โดยกลายเป็นว่าฉันเริ่มรู้สึกคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องพยายามกลั้นขำเอาไว้อย่างสุดความสามารถแทน แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องหลุดขำพรืดออกมาเพราะว่าทนไม่ไหว หัวใจเต้นรัวเร็วด้วยความตื่นเต้นที่ได้ลอง ‘ของดี’ ถ้าพ่อรู้เข้า คงจะต้องด่าฉันเละแน่ แต่แทนที่จะกลัว ฉันกลับรู้สึกสะใจมากกว่า เพราะสีหน้าของพ่อตอนนั้นคงจะตลกไม่เบาเลย
ตอนนี้ฉันกำลังล่องลอยเป็นอิสระ หัวสมองปลอดโปร่ง ให้ความรู้สึกแสนสบายดีเหลือเกิน ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ฉันจะกลุ้มเรื่องถูกพ่อดุไปทำไม เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะมีอะไรยากเลย ในเมื่อพ่อไม่ฟังฉัน ฉันก็จะไม่ฟังพ่อเหมือนกัน
ฉันหันไปมองคนข้างกายซึ่งกำลังมองมาที่ฉันเช่นกัน แล้วก็ต้องหัวเราะคิกคักออกมาโดยที่ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองขำอะไร มันเหมือนกับว่าหน้าของไนท์ดูตลกมากเลย จากนั้นพอหันไปมองรอบๆ ห้อง ฉันก็ต้องหลุดขำออกมาอีกอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ เพราะว่าไม่ใช่แค่ไนท์เท่านั้นที่ดูตลก แต่เป็นทุกคนเลยต่างหาก
“แฮ่ ขออีก” ฉันยิ้มร่า แบมือขอบุหรี่วิเศษของเขามาลองสูบอีกครั้ง พลางคิดอย่างมั่นใจว่าไนท์จะต้องหัวเราะที่ฉันทำท่าแบมือขอขนมเหมือนเด็กๆ แบบนี้แน่ๆ
แต่ไนท์กลับจ้องมาที่ฉันเขม็ง ราวกับไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง ทำให้ฉันต้องหุบยิ้มลงทันควันและมองเขาอย่างงงๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ เขาถึงเปลี่ยนท่าทีไปอย่างฉับพลันราวกับว่าเป็นคนละคน อีกทั้งยังดูเหมือนว่าเขากำลังโกรธ และรำคาญอะไรบางอย่างอยู่ด้วยอีกต่างหาก
“เข้าใจแล้ว” สีหน้าโกรธขึงของไนท์เริ่มอ่อนลงจนกลายเป็นสีหน้านิ่งๆ เขาเดินกลับมานั่งข้างๆ ฉันอีกครั้งหนึ่ง แล้วหันมาพูดกระซิบเสียงเบาที่ฟังดูเย็นชาจนน่าขนลุก “...ฉันต้องการเซ็กส์งั้นสิ”
ฉันนั่งตัวแข็งชาทันที มองสบสายตากับเขาอย่างอึ้งๆ ด้วยความรู้สึกมึนงง มือเริ่มสั่นและคอแห้งผากอย่างฉับพลัน คิดอย่างสับสนคิดว่าตัวเองหูฝาดไปหรือเปล่า ซึ่งระหว่างนั้นไนท์ก็ค่อยๆ โน้มตัวเข้ามาใกล้ ในขณะที่ฉันได้แต่นั่งนิ่งเป็นรูปปั้น หัวใจเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง ตั้งสติไม่ทัน
ใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ จนฉันสัมผัสได้ถึงลมหายใจอ่อนๆ ของเขา และริมฝีปากของพวกเรากำลังจวนเจียนจะสัมผัสกันและกันในอีกเสี้ยววินาทีข้างหน้านี้
“ไนท์!” เสียงเรียกขัดจังหวะทำให้เขาหยุดชะงักไปทันควัน แล้วเอียงคอหันไปมองเจ้าของเสียงเรียกอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะค่อยๆ ผละตัวออกจากฉันไป
บอยและโน้ตกำลังทำหน้าตาน่ากลัวเสียจนฉันต้องรีบดึงสติของตัวเองให้กลับมาโดยเร็วที่สุด พวกเขาทั้งสองคนต่างก็ถลึงตามาทางไนท์เหมือนกำลังโกรธจัด
“จู่ๆ มึงเข้าไปพังมือถือของเขาทำไมวะ!” โน้ตตะคอกเสียงลั่น เรียกให้คนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องเริ่มหันมามองพวกเรากันเป็นสายตาเดียว
แต่คนถูกถามกลับยังคงนั่งเงียบ ไม่ยอมเอ่ยตอบอะไรทั้งสิ้น
ฉันพยายามลืมเหตุการณ์ระหว่างฉันกับเขาเมื่อครู่นี้ไปก่อน แล้วมองไนท์สลับกับพวกโน้ตอย่างงุนงงว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“ไอ้ไนท์มันเดินผ่านโต๊ะวัยรุ่นสองคน แล้วก็คว้าหยิบมือถือของสองคนนั้นที่วางอยู่บนโต๊ะมาเขวี้ยงลงพื้น” บอยคงจะเห็นว่าฉันกำลังสับสนอยู่ จึงช่วยอธิบายเหตุการณ์เพื่อขยายความเข้าใจให้ “จากนั้นมันก็เหยียบซ้ำๆ จนพัง ก็เลยมีเรื่องกัน แต่พอพวกเราไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็แอบหนีไป พวกเราจึงต้องกลายเป็นแพะรับบาปแทน”
ทันใดนั้นเองประตูห้องก็ถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง พร้อมกับที่โจ้พุ่งตัวเข้ามาข้างใน โดยมีภูเดินตามเข้ามาด้วยอีกคน ฉันหันขวับไปที่เขาจึงเห็นว่าโจ้เองก็กำลังอยู่ในอารมณ์เดือดด้วยเช่นกัน
“แกขังฉันไว้ในห้องน้ำทำไมวะฮะ! คนจะใช้ห้องน้ำก็เปิดประตูเข้าไปไม่ได้ คนถูกขังข้างในก็ออกมาไม่ได้ เสียเวลาไปเป็นชาติกว่าจะงัดเอาเก้าอี้ออกมา!” โจ้ตะคอกเสียงกร้าวพร้อมกับถลึงตามองมาที่ไนท์อย่างเอาเรื่อง
ฉันหันกลับไปมองไนท์อย่างไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะสร้างเรื่องทะเลาะวิวาท และขังโจ้เอาไว้ในห้องน้ำอย่างที่บอกจริงๆ ฉันนึกว่าเขาพูดเล่นเสียอีก
ไนท์มองไปที่พวกโจ้ด้วยสายตาเย็นชา ขณะนั่งกอดอกโดยเอาหลังพิงพนักโซฟา โดยที่ไม่ยอมพูดอะไรอยู่พักใหญ่ จนโน้ตทำท่าจะโวยวายออกมาอีกรอบหนึ่ง
แต่จู่ๆ ชายหนุ่มก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง
“เก้าอี้แค่ตัวเดียว ไม่มีปัญญาเอาออกกันเองนี่” เสียงเย็นกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มเยาะตรงมุมปากข้างหนึ่งอย่างกวนประสาท “แล้วจะว่าไปฉันก็ไม่ได้ขอให้พวกนายต้องไปเป็นแพะแทนซะหน่อย”
“มึง!” ทั้งโจ้และโน้ตต่างก็กัดฟันกรอด พร้อมกับทำท่าว่าจะพุ่งตัวเข้ามาปล่อยหมัดใส่ไนท์ แต่ทั้งคู่กลับถูกบอยคว้าแขนเอาไว้
“ใจเย็นก่อนพวกมึง”
“กูเย็นไม่ลงแล้วว่ะ! อยากจะซัดปากมันสักรอบสองรอบ!” โน้ตหันไปตะคอกใส่บอย พร้อมกับพยายามสะบัดมือของเขาออก
“มันเมาเละเทะแบบนั้น มันไม่รู้เรื่องอะไรหรอกว่ะ”
โจ้กับโน้ตกัดฟันกรอดเหมือนกำลังพยายามข่มอารมณ์เดือดของตัวเองเอาไว้ ทั้งสองคนมีท่าทีลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่โน้ตจะสบถออกมา แล้วหมุนตัวเดินหนีออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว โดยที่มีโจ้เดินตามออกไปด้วยอีกคน
ไนท์หัวเราะออกมาเบาๆ ยิ้มเยาะอย่างสมเพชพวกเขาทั้งสองคนไม่น้อย ส่วนคนอื่นๆ ก็เริ่มหันไปพูดคุยกระซิบกระซาบอะไรกันบางอย่าง ซึ่งฉันได้ยินไม่ชัด
“เธอกลับไปก่อนเถอะ” บอยหันมาทางฉันพร้อมกับถอนหายใจยาวออกมาอีกครั้ง “คืนนี้คงไม่สนุกแล้วล่ะ”
ฉันอ้าปากจะแย้งเพราะยังงงอยู่เลยว่าไนท์เป็นอะไรไป แต่แล้วเขาก็สวนกลับมาอีก
“กลับไปก่อนเถอะเดย์” น้ำเสียงและสีหน้าเคร่งเครียดของบอยทำให้ฉันไม่กล้าที่จะขัดเขา ในเมื่อบอยยืนยันหนักแน่นขนาดนี้ ฉันก็ไม่อยากจะดึงดันที่จะอยู่ต่อ มีแต่จะต้องยอมกลับออกมาข้างนอกเท่านั้น
ฉันออกมาจากเดอะมิราเคิลด้วยความรู้สึกที่แตกต่างจากตอนที่เข้าไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อนโดยสิ้นเชิง ตอนนั้นฉันยังยิ้มแย้มอย่างคาดหวังว่าจะมาปลดปล่อยอารมณ์ไปกับปาร์ตี้สุดเหวี่ยงเช่นเคย แต่นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมความสนุกสนานถึงได้กลายเป็นความสับสนไปได้
ฉันยืนงงอยู่ตรงหน้าทางเข้า พลางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ทั้งหลายในคืนนี้ ซึ่งมันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันจนทำให้รู้สึกสับสนไปหมด ฉันยังคงช็อกเรื่องที่ไนท์พูดไม่หาย เรื่องเซ็กส์ แล้วยังพฤติกรรมแย่ๆ ของเขาที่ไปทำลายมือถือของคนอื่น รวมทั้งยังขังเพื่อนไว้ในห้องน้ำ แต่แทนที่จะกล่าวขอโทษ เขากลับหัวเราะเยาะออกมาเสียอย่างนั้น
นั่นไม่ใช่ไนท์
ฉันร้องปฏิเสธในใจอย่างเชื่อมั่น เนื่องจากเขาต่างจากไนท์ที่ฉันรู้จักราวกับว่าเป็นคนละคน
จะต้องเป็นเพราะว่าเขากำลังเมาเละอยู่แน่ๆ ไนท์ผู้แสนเพอร์เฟ็กต์ของฉันไม่มีวันทำอะไรแบบนั้นแน่นอน
##########
เวลาในแต่ละวันช่างเดินเชื่องช้าจนน่าเบื่อหน่ายเหลือเกิน แต่ก็ยังดีหน่อยที่ผู้คุมของฉันติดภารกิจเล่าเรียนจึงต้องลาออกไปแล้ว ไม่อย่างนั้นความน่าเบื่อคงมีความน่ารำคาญเพิ่มเข้ามาด้วยแน่ๆ
ส่วนพ่อกับแม่ของฉันก็ยังคงหมกมุ่นอยู่กับการโทรศัพท์ เพื่อหาทางยัดฉันเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังให้ได้ ฉันรู้สึกเสียววาบไม่น้อยในตอนที่ลอบได้ยินมาว่า พ่อติดต่อยัดฉันเข้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งได้แล้ว แต่ด้วยความที่พ่อเป็นผู้ยึดมั่นในความสมบูรณ์แบบ จึงทำให้พ่อสนใจแต่ภูมิฤดีเท่านั้น ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกถูกชะตากับนิสัยนิยมสิ่งสมบูรณ์แบบของพ่อ เพราะว่ามันทำให้ช่วยยืดเวลาอิสระเสรีของฉันออกไปได้
เมื่อไม่มีพี่มานั่งเฝ้าอีกต่อไป ฉันก็ไม่อารมณ์เสีย และไม่โวยวาย แค่นั่งเงียบเป็นตุ๊กตาประดับฉาก ซึ่งคงจะทำให้พ่อพอใจมากเลยทีเดียว เพราะว่าพ่อไม่พูดบ่นอะไรอีก
ไม่สิ พ่อไม่พูดกับฉันเลยต่างหาก ทั้งพ่อและแม่ต่างก็ปล่อยให้ฉันขลุกตัวอยู่แต่ในบ้านได้ตามใจชอบ จะออกไปเดินห้างนอกบ้านก็ได้โดยที่ไม่พูดบ่นอะไรอีก
หึ จะว่าไปแล้ว นี่มันก็เหมือนย้อนเวลากลับไปยังตอนก่อนที่ฉันจะบอกเรื่องแอดมิชชั่นไม่มีผิด พ่อกับแม่ไม่เคยสนใจฉันอยู่แล้วนี่ สนใจแต่ลูกชายแสนรัก ฉันไม่เคยอยู่ในสายตาซะหน่อย แต่กลับมาเห็นหัวตอนที่จะเลือกเข้ามหาวิทยาลัย แล้วก็จะมาบงการชีวิตของฉันเนี่ยนะ ช่างน่าขำสิ้นดี
ในที่สุดวันจันทร์ถึงศุกร์อันแสนน่าเบื่อก็ได้ผ่านพ้นไป และวันเสาร์อาทิตย์ซึ่งเป็นวันที่ฉันต้องออกมาทำงานก็มาถึง ฉันไปถึงที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ประจำของตัวเองก่อนเวลาเริ่มงานเล็กน้อย แล้วก็เห็นว่าสาวผมหยิกที่เป็นเพื่อนร่วมงานของฉัน ซึ่งประจำอยู่ตรงแคชเชียร์ข้างๆ นั้นกำลังยืนจับกลุ่มคุยกับพนักงานหญิงของแผนกอื่นอีกสี่คน
“...มาแล้วนั่นไง”
“มันแต่งตาซะเข้มจนดูทุเรศอีกแล้วแหละแก”
พวกเขาคงจะคิดว่า การพูดเสียดสีนินทาแบบนี้คงจะทำให้ฉันรู้สึกอัดอัด แล้วแสดงท่าทีอ่อนแอออกมาให้เห็น หรือไม่ก็ทนไม่ไหวจนต้องยอมก้มหัวให้ หรืออาจจะลาออกไปเลยสินะ
แต่เสียใจด้วยนะ เพราะว่าฉันไม่สนใจคำซุบซิบนินทา คำด่าว่าหรือข่าวลืองี่เง่าอะไรทั้งหลาย ฉันเจอพวกชอบนินทาตอนอยู่ที่โรงเรียนมานักต่อนักแล้ว แล้วเรื่องคำด่าก็คงไม่มีใครสู้พ่อฉันได้แน่ ส่วนข่าวลือ...ใครมันซื่อบื้อจนถึงกับหลงเชื่อเรื่องงี่เง่าก็ปล่อยให้มันเชื่อกันไปเถอะ
เมื่อเวลาดำเนินไปเรื่อยๆ จนมาถึงช่วงพัก ฉันก็ออกมากินข้าวคนเดียวอีกเหมือนเคย แม้ว่าจะมีพวกผู้ชายจากแผนกบรรจุสินค้ามาชวนไปกินข้าวด้วย แต่ฉันก็ปฏิเสธไปเนื่องจากอยากนั่งกินคนเดียวมากกว่า
“ชอบมากินข้าวคนเดียวเหมือนกันเลย” เสียงห้าวถูกดัดให้แหลมดังมาจากจากโต๊ะข้างๆ เรียกให้ฉันหันไปมอง เขาเป็นผู้ชายร่างผอมบางดูตุ้งติ้ง ซึ่งมองแวบเดียวก็รู้ได้ทันทีเลยว่าไม่ใช่ผู้ชายแท้แน่นอน
ฉันยักไหล่ให้ทีหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันกลับมายังจานข้าวตรงหน้าต่อ
“ไม่ต้องไปสนใจพวกยัยเจนมันหรอก มันก็แค่กลุ่มแรดปากหมาเท่านั้นนั่นแหละ” เขาถือวิสาสะยกจานข้าวของตัวเองเดินมานั่งลงตรงหน้าฉัน แล้วส่งรอยยิ้มกว้างมาให้ “ฉันชื่อมินนี่ จริงๆ แล้วคือมิน แต่พอเติมนี่เข้าไปแล้วมันทำให้ฟังดูน่ารักเลยใช่มั้ยล่ะ”
“ก็คงงั้น” เสียงเนือยตอบกลับไปอย่างไม่นึกว่ามันจะน่ารักตรงไหน
มินหรือมินนี่พูดพล่ามเรื่องกลุ่มของคนที่ชื่อเจน ซึ่งฉันคิดว่าคงเป็นชื่อของสาวผมหยิกต่อจนเกือบหมดเวลาพัก โดยที่ฉันไม่ได้สนใจฟัง และไม่ได้พูดอะไรออกไปเลยแม้แต่คำเดียว หลังจากนั้นพวกเราก็แยกกัน เพื่อไปประจำหน้าที่ของตนเอง
ช่วงบ่ายมีลูกค้างี่เง่ามาหาเรื่องฉันอยู่สองราย โวยวายว่าไม่ได้สินค้าแถมตามที่ป้ายตรงชั้นวางเขียนบอกเอาไว้ ฉันพยายามอธิบายว่า ถ้ามันซื้อหนึ่งแถมหนึ่งจริง เครื่องก็จะตัดรายการที่เป็นของแถมออกไปให้เอง แต่ในเมื่อเครื่องคิดราคารวมสินค้าชิ้นนั้นไปด้วยก็แสดงว่ามันไม่ใช่รายการแถม แต่ไม่ว่าจะพูดอธิบายไปสักเท่าไหร่ ลูกค้างี่เง่าทั้งสองรายก็ไม่ยอม เอาแต่โวยวายว่าจะเอาเรื่องให้ได้ สุดท้ายแล้วพวกเราจึงต้องเดินไปดูที่ป้ายตรงชั้นวางสินค้าด้วยกัน จึงทำให้ได้รู้ว่า สินค้าที่ซื้อไปนั้นเป็นคนละประเภทกันจึงทำให้ไม่มีของแถม
หลังจากรบกับลูกค้างี่เง่าทั้งสองรายจบ ฉันก็อารมณ์เสียมาก จนคิดอยากจะเผ่นหนีออกไปจากที่นี่เสียเดี๋ยวนี้ แต่ก็ทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น เพราะว่าฉันยังคงต้องทำงานต่อจนถึงเย็น และอาจจะต้องคอยรับมือลูกค้างี่เง่ารายที่สามอีกด้วย
ฉันทำหน้าบึ้งตลอดการทำงานในอีกหลายชั่วโมงถัดมา ฉันคิดถึงพวกไนท์ โดยเฉพาะ ‘ของดี’ ที่เขาเคยให้ฉันลอง แม้ว่าฉันจะลองไปแค่หนเดียว แต่ฉันก็จำความรู้สึกชื่นใจในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี อีกทั้งมันยังทำให้สบายใจมากๆ ราวกับว่าปัญหาทุกอย่างได้กลายเป็นเรื่องสนุกไปเสียหมดเลย จนทำให้ฉันรู้สึกอยากจะลองอีกทีเพื่อกำจัดอารมณ์ขุ่นมัวในตอนนี้ให้หมดไป ถึงจะลองอีกสักทีสองทีก็คงไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพอใจแล้วก็หยุดได้เองนั่นแหละ
แต่ปัญหาก็คือ ฉันไม่รู้ว่าจะไปหาลองได้จากที่ไหน คงจะต้องกลับไปหาพวกไนท์
หลังจากเลิกงานและฉันตรวจนับเงินเพื่อทำสรุปยอดขายรายวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันก็ออกมายืนตรงหน้าทางเข้าห้างเพื่อเรียกแท็กซี่ไปที่เดอะมิราเคิล
“เดย์?” เสียงเรียกคุ้นหูดังมาจากทางข้างหลัง แต่เมื่อไปมองที่มาของเสียงนั้น ผู้เป็นเจ้าของชื่อก็ต้องยืนตัวแข็งชาด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะได้มาพลอยอีกครั้งด้วยความบังเอิญแบบนี้
“เดย์...แกเป็นไงบ้าง” พลอยดูกล้าๆ กลัวๆ ที่จะพูดกับฉันอยู่ไม่น้อย แล้วก็เงียบไปเหมือนจะกำลังรอดูท่าทีของฉันอยู่ หรือไม่ก็รอให้ฉันพูดอะไรสักอย่าง
แต่ว่าฉันไม่อยากพูด ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับเพื่อนทรยศ ไม่อยากเห็นหน้าพลอยอีกเลยด้วยซ้ำ
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉันจึงตัดสินใจก้าวเท้ายาวๆ เพื่อเดินหนีไปจากพลอย พร้อมกับพยายามโบกมือเรียกรถแท็กซี่ไปด้วย
“เดย์! ฉันขอโทษ เดย์!”
ฉันไม่สนใจคนข้างหลังที่กำลังวิ่งตามมา แล้วรีบเข้าไปนั่งในรถแท็กซี่คันหนึ่งซึ่งจอดรับฉันพอดี จากนั้นก็บอกปลายทางให้กับคนขับ พร้อมกับทำเป็นไม่เห็นว่าพลอยวิ่งมาเกือบจะถึงตัวรถอยู่แล้ว
รถเคลื่อนผ่านอีกฝ่ายไปโดยที่ฉันไม่แม้แต่จะชายตามองผู้เป็นอดีตเพื่อนสนิทเลยสักนิด ยัยนั่นไม่ใช่เพื่อนของฉันอีกต่อไป ตอนนี้ฉันมีพวกไนท์เป็นเพื่อนแล้ว เพราะฉะนั้นฉันไม่ต้องการเพื่อนจอมหักหลังอย่างพลอย
หนึ่งชั่วโมงครึ่งถัดมา ฉันก็มาถึงหน้าประตูทางเข้าของเดอะมิราเคิลซึ่งมีรถจอดอยู่สี่ห้าคัน โดยที่รู้แน่ชัดว่าหนึ่งในนั้นเป็นรถของพิม เพราะว่าฉันเห็นอีกฝ่ายกำลังลงมาจากรถพอดี
ฉันรีบจ่ายเงินค่ารถแล้ววิ่งออกไปหาพิมทันที ฉันไม่ค่อยเล่นพวกโซเชียลเน็ตเวิร์กสักเทาไหร่จึงไม่ได้ขอไลน์หรือเฟสบุ๊คของพวกไนท์เอาไว้ ตอนที่เจอกันครั้งสุดท้ายนั้นมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น แล้วบอยก็บอกให้ฉันกลับออกมาก่อน ดังนั้นฉันจึงรู้สึกเป็นห่วงไนท์มาก และอยากจะถามถึงชายหนุ่มว่าหลังจากวันนั้นเขาเป็นยังไงบ้าง
แย่จริงๆ อย่างน้อยฉันก็น่าจะขอไลน์พวกเขาเอาไว้สักหน่อย จะได้ติดต่อหากันได้
“อ้าวเดย์” พิมเอ่ยทักทันทีที่เห็นฉัน
“วันนี้มีเรื่องอะไรกันเหรอ ปกติเดอะมิราเคิลไม่เคยอนุญาตให้จอดรถตรงหน้าทางเข้านี่” ฉันหันไปมองรอบๆ อย่างสงสัย การ์ดหน้าประตูก็ไม่มี แถมทุกคนยังดูเร่งรีบ วิ่งเข้าไปข้างในเหมือนกับว่ากำลังเกิดเรื่องอะไรสักอย่างอยู่เลย
“ข้างในมีเรื่องวุ่นหน่อยน่ะ คนก็เลยเข้าไปมุงดูกัน” พิมพูดยิ้มๆ แล้วถอนหายใจยาวออกมาอย่างเซ็งๆ “ช่วงนี้เดย์อย่าเพิ่งมาเลยจะดีกว่า ให้พวกโจ้ไปหาทางจัดการคุมคนเมาเละให้ดีก่อน”
คนเมาเละ? ฉันขมวดคิ้วอย่างงุนงง แต่พอจะเอ่ยถามพิมต่อ จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนลั่นมาจากข้างใน
“มันจะโดดแล้วว่ะ!”
“เฮ้ย...”
คนด้านนอกเริ่มหันไปมองหน้ากันเองอย่างวิตก
“มันมีโซฟาวางรับอยู่ข้างล่างก็จริง แต่มันห่างกันเกือบสามเมตรเลยนะ แล้วโซฟานั่นมันก็ไม่ได้ใหญ่อะไรเลยนะเว่ย”
คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ พวกเราเริ่มพากันรีบวิ่งพรวดไปที่ประตู แล้วพยายามเบียดตัวเองผ่านฝูงคนที่ยืนอัดแน่นเข้าไปข้างในให้ได้
ฉันรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังมีมวลอะไรบางอย่างในท้อง ลอยขึ้นมาจุกแน่นจนถึงช่วงอก หัวใจเต้นเร็วอย่างหวาดหวั่นไปกับการคาดเดาอะไรบางอย่างที่ผุดขึ้นมาในใจ
ไม่หรอกมั้ง...ฉันแค่คิดไปเองเท่านั้นแหละ
ฉันเดินแยกตัวมาออกจากพิม แล้วรีบวิ่งเข้าไปรวมกลุ่มอยู่กับฝูงไทยมุงทั้งหลาย พร้อมกับพยายามแทรกตัวเองเข้าไปข้างในด้วยอีกคน
หลังจากอาศัยช่วงชุลมุนแทรกตัวผ่านเข้ามาข้างในได้สำเร็จ ฉันก็เห็นว่าคนอื่นๆ กำลังยืนล้อมวงบริเวณโซฟาตัวหนึ่งเอาไว้ หลายคนพากันเงยหน้าชี้มือขึ้นไปยังชั้นบน ทำให้ฉันเงยหน้ามองตามพวกเขาด้วยเช่นกัน แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง มองภาพที่ปรากฏให้เห็นอยู่เบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง
ไนท์!
เขากำลังยืนอยู่บนขอบระเบียบพร้อมกับถือแก้วไวน์ไว้ในมือซ้าย พลางยิ้มร่าเหมือนกำลังนึกสนุกที่จะได้แสดงกายกรรมให้ผู้ชมเบื้องล่างดู ส่วนพื้นที่สำหรับยึดเกาะได้นั้นก็มีน้อยนิดเสียจนน่าหวาดเสียวว่าเขาจะเสียการทรงตัวแล้วตกลงมาได้ทุกวินาที
“มันบ้าไปแล้ว” เสียงหัวเราะของหลายๆ คนดังขึ้นพร้อมกับพากันชี้มือไปที่ไนท์ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงขำขันของคนอื่นๆ
“ใครก็ได้เตรียมเรียกรถพยาบาลเหอะ”
“ปอเต๊กตึงเลย ไม่รอดแหง”
ฉันจ้องเขม็งไปยังคนที่กำลังตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนด้วยความหวาดวิตก แล้วก็เห็นว่าเขากำลังหัวเราะเบาๆ อยู่ จากนั้นเขาก็ค่อยๆ คว่ำแก้วในมือซ้ายลง ปล่อยให้ของเหลวในแก้วไหลเทลงไปบนโซฟาที่อยู่ข้างล่าง
“รีบๆ โดดเลย!” เสียงหงุดหงิดของใครบางคนตะโกนลั่น
“โดดลงมาให้มันตายๆ ไปซะก็ดี”
“งี่เง่าว่ะ เสียเวลา ถ้ากล้าโดดจริงก็รีบๆ โดดซะทีเซ่ ไม่กล้านี่หว่า”
แต่ละคนเริ่มส่งเสียงโวยวายอย่างไม่พอใจ เหมือนกับว่าต้องการจะประชดถากถางที่ไนท์มาขัดจังหวะช่วงเวลาแสนสนุกของพวกเขา จากนั้นก็ช่วยตะโกนประสานเสียงกันดังสนั่นพร้อมกับตบมือเป็นจังหวะไปด้วย
“โดดเลย! โดดเลย! โดดเลย!”
ฉันหันมองซ้ายขวาด้วยความตกใจโดยพลัน
ไม่นะ ทุกคนทำอะไรกันน่ะ ไปยุให้เขาโดดลงมาจริงๆ ทำไม
“โดดเลย! โดดเลย! โดดเลย!”
ฉันพยายามเขย่าแขนคนข้างๆ พร้อมกับพร่ำร้องบอกให้พวกเขาหยุด แต่ทุกคนก็ยังคงช่วยกันประสานเสียงต่อไป ไม่มีใครสนใจฟังฉันเลยแม้แต่คนเดียว
“ไนท์!” ฉันหันไปตะโกนเรียกเขาสุดเสียง แต่เสียงของฉันกลับถูกเสียงร้องประสานของคนอื่นๆ กลบจนหมด ฉันจึงพยายามกรีดร้องลั่นมากขึ้นอีก แม้ว่าจะต้องตะโกนจนหลอดเสียงขาดฉันก็จะทำ! “อย่าโดดนะ ไนท์!! ไนท์!!!”
ได้โปรด ขอร้องล่ะ ได้โปรดได้ยินเสียงของฉันที!
ไนท์โยนแก้วไวน์ไปข้างหลังโดยที่ไม่มีใครได้ยินเสียงแก้วใบนั้นแตกเพราะว่ามันถูกกลบด้วยเสียงร้องประสานของทุกๆ คน
แล้วเขาก็ก้าวเท้าออกมา
ไม่นะ!!!
ฉันกรีดร้องเสียงดังลั่นเมื่อเห็นร่างของไนท์ร่วงลงมาจากระเบียง
#########
//โปรดติดตามตอนต่อไป//
บทเพลงที่ 6
Hear my voice
เสียงปรบมือค่อยๆ เงียบลง พร้อมกับที่บอยเดินมาลากตัวไนท์ออกไปข้างนอก ทำให้คนอื่นๆ พากันร้องบ่นว่าเสียดาย น่าจะให้เขาเล่นเกมบ้าระห่ำนี่ต่อ ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะเฮฮากันออกมาอีกรอบ
หลังจากที่ไนท์ออกไปแล้ว ฉันก็นั่งคุยกับโจ้ต่อ ส่วนบอยและโน้ตนั้นคงจะออกไปข้างนอกพร้อมกับไนท์ เพราะว่าฉันไม่เห็นพวกเขาเลย แต่อีกหลายสิบนาทีต่อมาโจ้ก็เป็นฝ่ายขอแยกตัวไปบ้าง ฉันจึงหันไปคุยกับหนุ่มหน้าตี๋คนหนึ่งแทน ซึ่งเคยแนะนำตัวเองว่าชื่อภูหรืออะไรสักอย่างที่ฉันจำไม่ได้ และเป็นคนที่พูดเก่งมากพอๆ กับโจ้เลยทีเดียว จึงทำให้ฉันชักจะเริ่มสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วว่า คุณสมบัติในการเป็นนักร้องนำนั้นจะต้องมีเรื่องพูดเก่งรวมอยู่ด้วยหรือเปล่า
เมื่อนั่งคุยกันไปได้สักพักหนึ่ง พิมก็เดินเข้ามาทักพวกเรา พร้อมกับนั่งลงข้างๆ ฉันด้วยอีกคน ถึงแม้ว่าพิมจะไม่ใช่คนพูดเก่ง แต่พวกเราสองคนก็เข้ากันได้ดี ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องน่าแปลกสำหรับฉันที่ฉันรู้สึกเป็นกันเองกับทุกคนในห้องนี้ เหมือนกับว่าเหล่าคนที่รักเสียงเพลงทั้งหลายนั้นเป็นเพื่อนของฉันทุกคนเลย
“...แล้วพอฉันเปิดประตูออกไปนะ ไอ้โน้ตมันก็มายืนดักรอ โคตรตกใจเลยตอนนั้น” หนุ่มหน้าตี๋ หรือภูนามสมมติ พูดพลางเคี้ยวขนมขาไก่ไปด้วย
“อ่อ ฉันจำได้ ผมยาวๆ ของมันน่ะน่ากลัวสุดๆ แล้วตอนนั้นดันปิดไฟมืดอีกต่างหาก” พิมเสริมต่อพร้อมกับแกล้งทำหน้าตกใจกลัวอะไรบางอย่างในอากาศ ซึ่งทำให้ฉันและภูต้องหลุดขำพรืดออกมาพร้อมกัน
ทันใดนั้นเอง เพื่อนๆ กลุ่มเดียวกันกับพิมก็เดินมาเรียกพิมให้ลงไปข้างล่างด้วยกันกับพวกเขา มือกีตาร์สาวจึงหันมาขอแยกตัวจากพวกเราก่อนจะลุกไปรวมกลุ่มกับเพื่อนอีกสี่คนตรงประตู
“เดี๋ยวฉันไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะ” ภูลุกไปที่ประตูด้วยอีกคน แล้วหันมายิ้มให้กับฉันทีหนึ่ง ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไปพร้อมๆ กับกลุ่มเพื่อนของพิม
เมื่อพวกเขาออกไปจากห้องกันแล้วฉันก็ต้องนั่งอยู่ที่เดิมคนเดียว หันไปมองรอบๆ ห้องพลางคิดถึงพลอยขึ้นมาอย่างฉับพลัน โดยที่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะไปคิดถึงคนแบบนั้นอีกทำไม แต่ยิ่งห้ามไม่ให้คิด ฉันก็ยิ่งคิดจนรู้สึกหดหู่ แล้วก็พาลคิดไปถึงคำพูดเรื่องการเป็นนักร้องของพี่แดน ซึ่งมันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกท้อแท้เข้าไปใหญ่
ฉันนั่งคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยๆ อยู่สักพักจนกระทั่งรู้สึกว่ามีใครมานั่งข้างๆ ถึงได้หันไปมอง แล้วก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ อย่างแปลกใจ พร้อมกับที่ความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายในหัวได้หายวับไปและรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทันควัน
“ถูกปล่อยตัวออกมาแล้วเหรอ” ฉันเอ่ยถามไนท์ด้วยเสียงขำขันเบาๆ
“อือ ใช่แล้วล่ะ ฉันจับคนหนึ่งขังไว้ในห้องน้ำ เอาเก้าอี้ขัดกับประตูไว้เพื่อไม่ให้ออกมาได้” ไนท์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสดใสอย่างขี้เล่น พลางอมยิ้มน้อยๆ เช่นเคย ซึ่งทำให้เขาดูน่ารักมากๆ “แล้วก็สร้างเรื่องทะเลาะวิวาทให้อีกสองคนไปจัดการแทนอยู่ข้างนอก”
ฉันหัวเราะออกมาให้กับเรื่องล้อเล่นของเขา แล้วลองจินตนาการถึงสีหน้าบึ้งตึงของพวกโจ้ดูเล่นๆ ถ้าหากว่าโดนไนท์ทำแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ เขาคงจะโกรธกันน่าดูเลย
ไนท์ล้วงเอาซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง หยิบบุหรี่ออกมาสองมวน แล้วหันมายื่นให้กับฉันมวนหนึ่ง
“เอาด้วยมั้ย”
ฉันยิ้มร่าออกมาด้วยความยินดี พร้อมกับยื่นมือไปรับบุหรี่มาจากมือของเขาอย่างไม่กลัวว่ามันจะมีอันตรายถ้าสูบในที่แออัดแบบนี้ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ค่อยชอบบุหรี่สักเท่าไหร่ แต่บางทีมันอาจจะต้องลองสูบหลายๆ ทีถึงจะรู้สึกติดใจในรสชาติของมันก็ได้
ไนท์ยื่นไฟแช็กมาจุดบุหรี่ให้กับฉัน แล้วค่อยหันไปจุดให้ตัวเองต่อ หลังจากนั้นเขาหันมาทางฉันเหมือนเดิม พลางอมยิ้มน้อยๆ อย่างพึงพอใจขณะมองฉันสูบบุหรี่
“เมื่อปีที่แล้ว...” ชายหนุ่มพูดเกริ่น พร้อมกับเอาบุหรี่ใส่ปาก ละสายตาจากฉันไปมองที่พื้น แล้วค่อยๆ พ่นควันออกมาเบาๆ “...บอยมันเคยปวดท้องตอนขึ้นไปแสดงบนเวที แต่ก็ยังฝืน ไม่ยอมฟังคนอื่นว่าให้นอนพัก จนในที่สุดก็ต้องหยุดเล่นกลางคันเพราะว่าทนไม่ไหว แล้วมันก็วิ่งไปเข้าห้องน้ำ ท้องเสียหนักสุดๆ แต่จะว่าไปแล้วมันก็เป็นเรื่องน่าอายของพวกเราทั้งวงนั่นแหละ”
ทันทีที่ไนท์เล่าจบ พวกเราก็หันไปสบสายตากันแวบหนึ่ง ก่อนที่จะพากันหลุดขำพรืดออกมาพร้อมๆ กัน และเมื่อฉันได้ลองคิดไปถึงสีหน้าเคร่งขรึมของบอยขึ้นมาแล้ว ฉันก็ยิ่งกลั้นขำเอาไว้ไม่ไหว ต้องหัวเราะออกมาหนักกว่าเก่า ชอบฝืนตัวเองแบบนั้นฟังดูเป็น ‘บอย’ จริงๆ นั่นแหละ สมกับที่เป็นคนจริงจังเอามากๆ
ไนท์อมยิ้มน้อยๆ ขณะมองฉันขำไม่หยุด จนเมื่อฉันหยุดขำและรู้สึกดีขึ้นแล้ว เขาก็ล้วงหยิบบุหรี่มวนใหม่ออกมาอีก จากนั้นไนท์ก็พเยิดหน้ามาที่บุหรี่มวนเก่าในมือของฉัน แล้วหงายมือกระดิกนิ้วเหมือนจะต้องการให้ฉันส่งบุหรี่ในมือคืนไปให้เขา
พอฉันทำตามนั้น เขาก็ยื่นบุหรี่มวนใหม่มาให้แทน
“ให้ลองของดี”
“ของดี?” ฉันถามกลับไปอย่างงุนงง ขณะที่ไนท์ยื่นไฟแช็กมาจุดบุหรี่ให้ฉันเป็นครั้งที่สอง นี่มันบุหรี่ไม่ใช่เหรอ แล้วมันต่างจากบุหรี่อันเดิมยังไง แต่จะว่าไป พอดูใกล้ๆ แล้ว ฉันก็คิดว่ามันดูต่างจากบุหรี่ทั่วไปอยู่เหมือนกัน แต่บอกไม่ถูกว่าต่างกันยังไง
กลิ่น... ใช่แล้ว กลิ่นยังไงล่ะ คล้ายกลิ่นบุหรี่ก็จริง แต่มันมีกลิ่นใบไม้เขียวปนมาด้วย กลิ่นอะไรบางอย่างกำลังถูกเผาไหม้ อย่างกลิ่นตอนเผาหญ้าหรืออาจจะเป็นกลิ่นเนื้อย่างกันนะ
ฉันเอาบุหรี่ใส่ปาก สูดกลิ่นหอมหวานของหญ้าแล้วก็ชักจะรู้สึกเคลิ้ม สบายใจขึ้นมา
“หลายคนที่นี่ชอบมากเลยล่ะ สารแห่งความสุข” เสียงของไนท์ดังก้องอยู่ข้างหู สารแห่งความสุขงั้นเหรอ...
ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อคาดเดาคำตอบเอาเองในหัว
ไนท์มองฉันด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ เหมือนกับว่าเขาพอใจที่เห็นฉันดูอึ้งๆ ไป แล้วเขาก็ยื่นมือมาหยิบบุหรี่ยัดไส้ไปจากมือของฉัน จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน ทำท่าว่าจะเดินจากไป
แต่อยู่ๆ อาการตกใจของฉันหายวับไปอย่างฉับพลัน โดยกลายเป็นว่าฉันเริ่มรู้สึกคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องพยายามกลั้นขำเอาไว้อย่างสุดความสามารถแทน แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องหลุดขำพรืดออกมาเพราะว่าทนไม่ไหว หัวใจเต้นรัวเร็วด้วยความตื่นเต้นที่ได้ลอง ‘ของดี’ ถ้าพ่อรู้เข้า คงจะต้องด่าฉันเละแน่ แต่แทนที่จะกลัว ฉันกลับรู้สึกสะใจมากกว่า เพราะสีหน้าของพ่อตอนนั้นคงจะตลกไม่เบาเลย
ตอนนี้ฉันกำลังล่องลอยเป็นอิสระ หัวสมองปลอดโปร่ง ให้ความรู้สึกแสนสบายดีเหลือเกิน ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ฉันจะกลุ้มเรื่องถูกพ่อดุไปทำไม เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะมีอะไรยากเลย ในเมื่อพ่อไม่ฟังฉัน ฉันก็จะไม่ฟังพ่อเหมือนกัน
ฉันหันไปมองคนข้างกายซึ่งกำลังมองมาที่ฉันเช่นกัน แล้วก็ต้องหัวเราะคิกคักออกมาโดยที่ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองขำอะไร มันเหมือนกับว่าหน้าของไนท์ดูตลกมากเลย จากนั้นพอหันไปมองรอบๆ ห้อง ฉันก็ต้องหลุดขำออกมาอีกอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ เพราะว่าไม่ใช่แค่ไนท์เท่านั้นที่ดูตลก แต่เป็นทุกคนเลยต่างหาก
“แฮ่ ขออีก” ฉันยิ้มร่า แบมือขอบุหรี่วิเศษของเขามาลองสูบอีกครั้ง พลางคิดอย่างมั่นใจว่าไนท์จะต้องหัวเราะที่ฉันทำท่าแบมือขอขนมเหมือนเด็กๆ แบบนี้แน่ๆ
แต่ไนท์กลับจ้องมาที่ฉันเขม็ง ราวกับไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง ทำให้ฉันต้องหุบยิ้มลงทันควันและมองเขาอย่างงงๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ เขาถึงเปลี่ยนท่าทีไปอย่างฉับพลันราวกับว่าเป็นคนละคน อีกทั้งยังดูเหมือนว่าเขากำลังโกรธ และรำคาญอะไรบางอย่างอยู่ด้วยอีกต่างหาก
“เข้าใจแล้ว” สีหน้าโกรธขึงของไนท์เริ่มอ่อนลงจนกลายเป็นสีหน้านิ่งๆ เขาเดินกลับมานั่งข้างๆ ฉันอีกครั้งหนึ่ง แล้วหันมาพูดกระซิบเสียงเบาที่ฟังดูเย็นชาจนน่าขนลุก “...ฉันต้องการเซ็กส์งั้นสิ”
ฉันนั่งตัวแข็งชาทันที มองสบสายตากับเขาอย่างอึ้งๆ ด้วยความรู้สึกมึนงง มือเริ่มสั่นและคอแห้งผากอย่างฉับพลัน คิดอย่างสับสนคิดว่าตัวเองหูฝาดไปหรือเปล่า ซึ่งระหว่างนั้นไนท์ก็ค่อยๆ โน้มตัวเข้ามาใกล้ ในขณะที่ฉันได้แต่นั่งนิ่งเป็นรูปปั้น หัวใจเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง ตั้งสติไม่ทัน
ใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ จนฉันสัมผัสได้ถึงลมหายใจอ่อนๆ ของเขา และริมฝีปากของพวกเรากำลังจวนเจียนจะสัมผัสกันและกันในอีกเสี้ยววินาทีข้างหน้านี้
“ไนท์!” เสียงเรียกขัดจังหวะทำให้เขาหยุดชะงักไปทันควัน แล้วเอียงคอหันไปมองเจ้าของเสียงเรียกอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะค่อยๆ ผละตัวออกจากฉันไป
บอยและโน้ตกำลังทำหน้าตาน่ากลัวเสียจนฉันต้องรีบดึงสติของตัวเองให้กลับมาโดยเร็วที่สุด พวกเขาทั้งสองคนต่างก็ถลึงตามาทางไนท์เหมือนกำลังโกรธจัด
“จู่ๆ มึงเข้าไปพังมือถือของเขาทำไมวะ!” โน้ตตะคอกเสียงลั่น เรียกให้คนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องเริ่มหันมามองพวกเรากันเป็นสายตาเดียว
แต่คนถูกถามกลับยังคงนั่งเงียบ ไม่ยอมเอ่ยตอบอะไรทั้งสิ้น
ฉันพยายามลืมเหตุการณ์ระหว่างฉันกับเขาเมื่อครู่นี้ไปก่อน แล้วมองไนท์สลับกับพวกโน้ตอย่างงุนงงว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“ไอ้ไนท์มันเดินผ่านโต๊ะวัยรุ่นสองคน แล้วก็คว้าหยิบมือถือของสองคนนั้นที่วางอยู่บนโต๊ะมาเขวี้ยงลงพื้น” บอยคงจะเห็นว่าฉันกำลังสับสนอยู่ จึงช่วยอธิบายเหตุการณ์เพื่อขยายความเข้าใจให้ “จากนั้นมันก็เหยียบซ้ำๆ จนพัง ก็เลยมีเรื่องกัน แต่พอพวกเราไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็แอบหนีไป พวกเราจึงต้องกลายเป็นแพะรับบาปแทน”
ทันใดนั้นเองประตูห้องก็ถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง พร้อมกับที่โจ้พุ่งตัวเข้ามาข้างใน โดยมีภูเดินตามเข้ามาด้วยอีกคน ฉันหันขวับไปที่เขาจึงเห็นว่าโจ้เองก็กำลังอยู่ในอารมณ์เดือดด้วยเช่นกัน
“แกขังฉันไว้ในห้องน้ำทำไมวะฮะ! คนจะใช้ห้องน้ำก็เปิดประตูเข้าไปไม่ได้ คนถูกขังข้างในก็ออกมาไม่ได้ เสียเวลาไปเป็นชาติกว่าจะงัดเอาเก้าอี้ออกมา!” โจ้ตะคอกเสียงกร้าวพร้อมกับถลึงตามองมาที่ไนท์อย่างเอาเรื่อง
ฉันหันกลับไปมองไนท์อย่างไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะสร้างเรื่องทะเลาะวิวาท และขังโจ้เอาไว้ในห้องน้ำอย่างที่บอกจริงๆ ฉันนึกว่าเขาพูดเล่นเสียอีก
ไนท์มองไปที่พวกโจ้ด้วยสายตาเย็นชา ขณะนั่งกอดอกโดยเอาหลังพิงพนักโซฟา โดยที่ไม่ยอมพูดอะไรอยู่พักใหญ่ จนโน้ตทำท่าจะโวยวายออกมาอีกรอบหนึ่ง
แต่จู่ๆ ชายหนุ่มก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง
“เก้าอี้แค่ตัวเดียว ไม่มีปัญญาเอาออกกันเองนี่” เสียงเย็นกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มเยาะตรงมุมปากข้างหนึ่งอย่างกวนประสาท “แล้วจะว่าไปฉันก็ไม่ได้ขอให้พวกนายต้องไปเป็นแพะแทนซะหน่อย”
“มึง!” ทั้งโจ้และโน้ตต่างก็กัดฟันกรอด พร้อมกับทำท่าว่าจะพุ่งตัวเข้ามาปล่อยหมัดใส่ไนท์ แต่ทั้งคู่กลับถูกบอยคว้าแขนเอาไว้
“ใจเย็นก่อนพวกมึง”
“กูเย็นไม่ลงแล้วว่ะ! อยากจะซัดปากมันสักรอบสองรอบ!” โน้ตหันไปตะคอกใส่บอย พร้อมกับพยายามสะบัดมือของเขาออก
“มันเมาเละเทะแบบนั้น มันไม่รู้เรื่องอะไรหรอกว่ะ”
โจ้กับโน้ตกัดฟันกรอดเหมือนกำลังพยายามข่มอารมณ์เดือดของตัวเองเอาไว้ ทั้งสองคนมีท่าทีลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่โน้ตจะสบถออกมา แล้วหมุนตัวเดินหนีออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว โดยที่มีโจ้เดินตามออกไปด้วยอีกคน
ไนท์หัวเราะออกมาเบาๆ ยิ้มเยาะอย่างสมเพชพวกเขาทั้งสองคนไม่น้อย ส่วนคนอื่นๆ ก็เริ่มหันไปพูดคุยกระซิบกระซาบอะไรกันบางอย่าง ซึ่งฉันได้ยินไม่ชัด
“เธอกลับไปก่อนเถอะ” บอยหันมาทางฉันพร้อมกับถอนหายใจยาวออกมาอีกครั้ง “คืนนี้คงไม่สนุกแล้วล่ะ”
ฉันอ้าปากจะแย้งเพราะยังงงอยู่เลยว่าไนท์เป็นอะไรไป แต่แล้วเขาก็สวนกลับมาอีก
“กลับไปก่อนเถอะเดย์” น้ำเสียงและสีหน้าเคร่งเครียดของบอยทำให้ฉันไม่กล้าที่จะขัดเขา ในเมื่อบอยยืนยันหนักแน่นขนาดนี้ ฉันก็ไม่อยากจะดึงดันที่จะอยู่ต่อ มีแต่จะต้องยอมกลับออกมาข้างนอกเท่านั้น
ฉันออกมาจากเดอะมิราเคิลด้วยความรู้สึกที่แตกต่างจากตอนที่เข้าไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อนโดยสิ้นเชิง ตอนนั้นฉันยังยิ้มแย้มอย่างคาดหวังว่าจะมาปลดปล่อยอารมณ์ไปกับปาร์ตี้สุดเหวี่ยงเช่นเคย แต่นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมความสนุกสนานถึงได้กลายเป็นความสับสนไปได้
ฉันยืนงงอยู่ตรงหน้าทางเข้า พลางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ทั้งหลายในคืนนี้ ซึ่งมันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันจนทำให้รู้สึกสับสนไปหมด ฉันยังคงช็อกเรื่องที่ไนท์พูดไม่หาย เรื่องเซ็กส์ แล้วยังพฤติกรรมแย่ๆ ของเขาที่ไปทำลายมือถือของคนอื่น รวมทั้งยังขังเพื่อนไว้ในห้องน้ำ แต่แทนที่จะกล่าวขอโทษ เขากลับหัวเราะเยาะออกมาเสียอย่างนั้น
นั่นไม่ใช่ไนท์
ฉันร้องปฏิเสธในใจอย่างเชื่อมั่น เนื่องจากเขาต่างจากไนท์ที่ฉันรู้จักราวกับว่าเป็นคนละคน
จะต้องเป็นเพราะว่าเขากำลังเมาเละอยู่แน่ๆ ไนท์ผู้แสนเพอร์เฟ็กต์ของฉันไม่มีวันทำอะไรแบบนั้นแน่นอน
##########
เวลาในแต่ละวันช่างเดินเชื่องช้าจนน่าเบื่อหน่ายเหลือเกิน แต่ก็ยังดีหน่อยที่ผู้คุมของฉันติดภารกิจเล่าเรียนจึงต้องลาออกไปแล้ว ไม่อย่างนั้นความน่าเบื่อคงมีความน่ารำคาญเพิ่มเข้ามาด้วยแน่ๆ
ส่วนพ่อกับแม่ของฉันก็ยังคงหมกมุ่นอยู่กับการโทรศัพท์ เพื่อหาทางยัดฉันเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังให้ได้ ฉันรู้สึกเสียววาบไม่น้อยในตอนที่ลอบได้ยินมาว่า พ่อติดต่อยัดฉันเข้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งได้แล้ว แต่ด้วยความที่พ่อเป็นผู้ยึดมั่นในความสมบูรณ์แบบ จึงทำให้พ่อสนใจแต่ภูมิฤดีเท่านั้น ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกถูกชะตากับนิสัยนิยมสิ่งสมบูรณ์แบบของพ่อ เพราะว่ามันทำให้ช่วยยืดเวลาอิสระเสรีของฉันออกไปได้
เมื่อไม่มีพี่มานั่งเฝ้าอีกต่อไป ฉันก็ไม่อารมณ์เสีย และไม่โวยวาย แค่นั่งเงียบเป็นตุ๊กตาประดับฉาก ซึ่งคงจะทำให้พ่อพอใจมากเลยทีเดียว เพราะว่าพ่อไม่พูดบ่นอะไรอีก
ไม่สิ พ่อไม่พูดกับฉันเลยต่างหาก ทั้งพ่อและแม่ต่างก็ปล่อยให้ฉันขลุกตัวอยู่แต่ในบ้านได้ตามใจชอบ จะออกไปเดินห้างนอกบ้านก็ได้โดยที่ไม่พูดบ่นอะไรอีก
หึ จะว่าไปแล้ว นี่มันก็เหมือนย้อนเวลากลับไปยังตอนก่อนที่ฉันจะบอกเรื่องแอดมิชชั่นไม่มีผิด พ่อกับแม่ไม่เคยสนใจฉันอยู่แล้วนี่ สนใจแต่ลูกชายแสนรัก ฉันไม่เคยอยู่ในสายตาซะหน่อย แต่กลับมาเห็นหัวตอนที่จะเลือกเข้ามหาวิทยาลัย แล้วก็จะมาบงการชีวิตของฉันเนี่ยนะ ช่างน่าขำสิ้นดี
ในที่สุดวันจันทร์ถึงศุกร์อันแสนน่าเบื่อก็ได้ผ่านพ้นไป และวันเสาร์อาทิตย์ซึ่งเป็นวันที่ฉันต้องออกมาทำงานก็มาถึง ฉันไปถึงที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ประจำของตัวเองก่อนเวลาเริ่มงานเล็กน้อย แล้วก็เห็นว่าสาวผมหยิกที่เป็นเพื่อนร่วมงานของฉัน ซึ่งประจำอยู่ตรงแคชเชียร์ข้างๆ นั้นกำลังยืนจับกลุ่มคุยกับพนักงานหญิงของแผนกอื่นอีกสี่คน
“...มาแล้วนั่นไง”
“มันแต่งตาซะเข้มจนดูทุเรศอีกแล้วแหละแก”
พวกเขาคงจะคิดว่า การพูดเสียดสีนินทาแบบนี้คงจะทำให้ฉันรู้สึกอัดอัด แล้วแสดงท่าทีอ่อนแอออกมาให้เห็น หรือไม่ก็ทนไม่ไหวจนต้องยอมก้มหัวให้ หรืออาจจะลาออกไปเลยสินะ
แต่เสียใจด้วยนะ เพราะว่าฉันไม่สนใจคำซุบซิบนินทา คำด่าว่าหรือข่าวลืองี่เง่าอะไรทั้งหลาย ฉันเจอพวกชอบนินทาตอนอยู่ที่โรงเรียนมานักต่อนักแล้ว แล้วเรื่องคำด่าก็คงไม่มีใครสู้พ่อฉันได้แน่ ส่วนข่าวลือ...ใครมันซื่อบื้อจนถึงกับหลงเชื่อเรื่องงี่เง่าก็ปล่อยให้มันเชื่อกันไปเถอะ
เมื่อเวลาดำเนินไปเรื่อยๆ จนมาถึงช่วงพัก ฉันก็ออกมากินข้าวคนเดียวอีกเหมือนเคย แม้ว่าจะมีพวกผู้ชายจากแผนกบรรจุสินค้ามาชวนไปกินข้าวด้วย แต่ฉันก็ปฏิเสธไปเนื่องจากอยากนั่งกินคนเดียวมากกว่า
“ชอบมากินข้าวคนเดียวเหมือนกันเลย” เสียงห้าวถูกดัดให้แหลมดังมาจากจากโต๊ะข้างๆ เรียกให้ฉันหันไปมอง เขาเป็นผู้ชายร่างผอมบางดูตุ้งติ้ง ซึ่งมองแวบเดียวก็รู้ได้ทันทีเลยว่าไม่ใช่ผู้ชายแท้แน่นอน
ฉันยักไหล่ให้ทีหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันกลับมายังจานข้าวตรงหน้าต่อ
“ไม่ต้องไปสนใจพวกยัยเจนมันหรอก มันก็แค่กลุ่มแรดปากหมาเท่านั้นนั่นแหละ” เขาถือวิสาสะยกจานข้าวของตัวเองเดินมานั่งลงตรงหน้าฉัน แล้วส่งรอยยิ้มกว้างมาให้ “ฉันชื่อมินนี่ จริงๆ แล้วคือมิน แต่พอเติมนี่เข้าไปแล้วมันทำให้ฟังดูน่ารักเลยใช่มั้ยล่ะ”
“ก็คงงั้น” เสียงเนือยตอบกลับไปอย่างไม่นึกว่ามันจะน่ารักตรงไหน
มินหรือมินนี่พูดพล่ามเรื่องกลุ่มของคนที่ชื่อเจน ซึ่งฉันคิดว่าคงเป็นชื่อของสาวผมหยิกต่อจนเกือบหมดเวลาพัก โดยที่ฉันไม่ได้สนใจฟัง และไม่ได้พูดอะไรออกไปเลยแม้แต่คำเดียว หลังจากนั้นพวกเราก็แยกกัน เพื่อไปประจำหน้าที่ของตนเอง
ช่วงบ่ายมีลูกค้างี่เง่ามาหาเรื่องฉันอยู่สองราย โวยวายว่าไม่ได้สินค้าแถมตามที่ป้ายตรงชั้นวางเขียนบอกเอาไว้ ฉันพยายามอธิบายว่า ถ้ามันซื้อหนึ่งแถมหนึ่งจริง เครื่องก็จะตัดรายการที่เป็นของแถมออกไปให้เอง แต่ในเมื่อเครื่องคิดราคารวมสินค้าชิ้นนั้นไปด้วยก็แสดงว่ามันไม่ใช่รายการแถม แต่ไม่ว่าจะพูดอธิบายไปสักเท่าไหร่ ลูกค้างี่เง่าทั้งสองรายก็ไม่ยอม เอาแต่โวยวายว่าจะเอาเรื่องให้ได้ สุดท้ายแล้วพวกเราจึงต้องเดินไปดูที่ป้ายตรงชั้นวางสินค้าด้วยกัน จึงทำให้ได้รู้ว่า สินค้าที่ซื้อไปนั้นเป็นคนละประเภทกันจึงทำให้ไม่มีของแถม
หลังจากรบกับลูกค้างี่เง่าทั้งสองรายจบ ฉันก็อารมณ์เสียมาก จนคิดอยากจะเผ่นหนีออกไปจากที่นี่เสียเดี๋ยวนี้ แต่ก็ทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น เพราะว่าฉันยังคงต้องทำงานต่อจนถึงเย็น และอาจจะต้องคอยรับมือลูกค้างี่เง่ารายที่สามอีกด้วย
ฉันทำหน้าบึ้งตลอดการทำงานในอีกหลายชั่วโมงถัดมา ฉันคิดถึงพวกไนท์ โดยเฉพาะ ‘ของดี’ ที่เขาเคยให้ฉันลอง แม้ว่าฉันจะลองไปแค่หนเดียว แต่ฉันก็จำความรู้สึกชื่นใจในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี อีกทั้งมันยังทำให้สบายใจมากๆ ราวกับว่าปัญหาทุกอย่างได้กลายเป็นเรื่องสนุกไปเสียหมดเลย จนทำให้ฉันรู้สึกอยากจะลองอีกทีเพื่อกำจัดอารมณ์ขุ่นมัวในตอนนี้ให้หมดไป ถึงจะลองอีกสักทีสองทีก็คงไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพอใจแล้วก็หยุดได้เองนั่นแหละ
แต่ปัญหาก็คือ ฉันไม่รู้ว่าจะไปหาลองได้จากที่ไหน คงจะต้องกลับไปหาพวกไนท์
หลังจากเลิกงานและฉันตรวจนับเงินเพื่อทำสรุปยอดขายรายวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันก็ออกมายืนตรงหน้าทางเข้าห้างเพื่อเรียกแท็กซี่ไปที่เดอะมิราเคิล
“เดย์?” เสียงเรียกคุ้นหูดังมาจากทางข้างหลัง แต่เมื่อไปมองที่มาของเสียงนั้น ผู้เป็นเจ้าของชื่อก็ต้องยืนตัวแข็งชาด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะได้มาพลอยอีกครั้งด้วยความบังเอิญแบบนี้
“เดย์...แกเป็นไงบ้าง” พลอยดูกล้าๆ กลัวๆ ที่จะพูดกับฉันอยู่ไม่น้อย แล้วก็เงียบไปเหมือนจะกำลังรอดูท่าทีของฉันอยู่ หรือไม่ก็รอให้ฉันพูดอะไรสักอย่าง
แต่ว่าฉันไม่อยากพูด ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับเพื่อนทรยศ ไม่อยากเห็นหน้าพลอยอีกเลยด้วยซ้ำ
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉันจึงตัดสินใจก้าวเท้ายาวๆ เพื่อเดินหนีไปจากพลอย พร้อมกับพยายามโบกมือเรียกรถแท็กซี่ไปด้วย
“เดย์! ฉันขอโทษ เดย์!”
ฉันไม่สนใจคนข้างหลังที่กำลังวิ่งตามมา แล้วรีบเข้าไปนั่งในรถแท็กซี่คันหนึ่งซึ่งจอดรับฉันพอดี จากนั้นก็บอกปลายทางให้กับคนขับ พร้อมกับทำเป็นไม่เห็นว่าพลอยวิ่งมาเกือบจะถึงตัวรถอยู่แล้ว
รถเคลื่อนผ่านอีกฝ่ายไปโดยที่ฉันไม่แม้แต่จะชายตามองผู้เป็นอดีตเพื่อนสนิทเลยสักนิด ยัยนั่นไม่ใช่เพื่อนของฉันอีกต่อไป ตอนนี้ฉันมีพวกไนท์เป็นเพื่อนแล้ว เพราะฉะนั้นฉันไม่ต้องการเพื่อนจอมหักหลังอย่างพลอย
หนึ่งชั่วโมงครึ่งถัดมา ฉันก็มาถึงหน้าประตูทางเข้าของเดอะมิราเคิลซึ่งมีรถจอดอยู่สี่ห้าคัน โดยที่รู้แน่ชัดว่าหนึ่งในนั้นเป็นรถของพิม เพราะว่าฉันเห็นอีกฝ่ายกำลังลงมาจากรถพอดี
ฉันรีบจ่ายเงินค่ารถแล้ววิ่งออกไปหาพิมทันที ฉันไม่ค่อยเล่นพวกโซเชียลเน็ตเวิร์กสักเทาไหร่จึงไม่ได้ขอไลน์หรือเฟสบุ๊คของพวกไนท์เอาไว้ ตอนที่เจอกันครั้งสุดท้ายนั้นมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น แล้วบอยก็บอกให้ฉันกลับออกมาก่อน ดังนั้นฉันจึงรู้สึกเป็นห่วงไนท์มาก และอยากจะถามถึงชายหนุ่มว่าหลังจากวันนั้นเขาเป็นยังไงบ้าง
แย่จริงๆ อย่างน้อยฉันก็น่าจะขอไลน์พวกเขาเอาไว้สักหน่อย จะได้ติดต่อหากันได้
“อ้าวเดย์” พิมเอ่ยทักทันทีที่เห็นฉัน
“วันนี้มีเรื่องอะไรกันเหรอ ปกติเดอะมิราเคิลไม่เคยอนุญาตให้จอดรถตรงหน้าทางเข้านี่” ฉันหันไปมองรอบๆ อย่างสงสัย การ์ดหน้าประตูก็ไม่มี แถมทุกคนยังดูเร่งรีบ วิ่งเข้าไปข้างในเหมือนกับว่ากำลังเกิดเรื่องอะไรสักอย่างอยู่เลย
“ข้างในมีเรื่องวุ่นหน่อยน่ะ คนก็เลยเข้าไปมุงดูกัน” พิมพูดยิ้มๆ แล้วถอนหายใจยาวออกมาอย่างเซ็งๆ “ช่วงนี้เดย์อย่าเพิ่งมาเลยจะดีกว่า ให้พวกโจ้ไปหาทางจัดการคุมคนเมาเละให้ดีก่อน”
คนเมาเละ? ฉันขมวดคิ้วอย่างงุนงง แต่พอจะเอ่ยถามพิมต่อ จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนลั่นมาจากข้างใน
“มันจะโดดแล้วว่ะ!”
“เฮ้ย...”
คนด้านนอกเริ่มหันไปมองหน้ากันเองอย่างวิตก
“มันมีโซฟาวางรับอยู่ข้างล่างก็จริง แต่มันห่างกันเกือบสามเมตรเลยนะ แล้วโซฟานั่นมันก็ไม่ได้ใหญ่อะไรเลยนะเว่ย”
คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ พวกเราเริ่มพากันรีบวิ่งพรวดไปที่ประตู แล้วพยายามเบียดตัวเองผ่านฝูงคนที่ยืนอัดแน่นเข้าไปข้างในให้ได้
ฉันรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังมีมวลอะไรบางอย่างในท้อง ลอยขึ้นมาจุกแน่นจนถึงช่วงอก หัวใจเต้นเร็วอย่างหวาดหวั่นไปกับการคาดเดาอะไรบางอย่างที่ผุดขึ้นมาในใจ
ไม่หรอกมั้ง...ฉันแค่คิดไปเองเท่านั้นแหละ
ฉันเดินแยกตัวมาออกจากพิม แล้วรีบวิ่งเข้าไปรวมกลุ่มอยู่กับฝูงไทยมุงทั้งหลาย พร้อมกับพยายามแทรกตัวเองเข้าไปข้างในด้วยอีกคน
หลังจากอาศัยช่วงชุลมุนแทรกตัวผ่านเข้ามาข้างในได้สำเร็จ ฉันก็เห็นว่าคนอื่นๆ กำลังยืนล้อมวงบริเวณโซฟาตัวหนึ่งเอาไว้ หลายคนพากันเงยหน้าชี้มือขึ้นไปยังชั้นบน ทำให้ฉันเงยหน้ามองตามพวกเขาด้วยเช่นกัน แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง มองภาพที่ปรากฏให้เห็นอยู่เบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง
ไนท์!
เขากำลังยืนอยู่บนขอบระเบียบพร้อมกับถือแก้วไวน์ไว้ในมือซ้าย พลางยิ้มร่าเหมือนกำลังนึกสนุกที่จะได้แสดงกายกรรมให้ผู้ชมเบื้องล่างดู ส่วนพื้นที่สำหรับยึดเกาะได้นั้นก็มีน้อยนิดเสียจนน่าหวาดเสียวว่าเขาจะเสียการทรงตัวแล้วตกลงมาได้ทุกวินาที
“มันบ้าไปแล้ว” เสียงหัวเราะของหลายๆ คนดังขึ้นพร้อมกับพากันชี้มือไปที่ไนท์ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงขำขันของคนอื่นๆ
“ใครก็ได้เตรียมเรียกรถพยาบาลเหอะ”
“ปอเต๊กตึงเลย ไม่รอดแหง”
ฉันจ้องเขม็งไปยังคนที่กำลังตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนด้วยความหวาดวิตก แล้วก็เห็นว่าเขากำลังหัวเราะเบาๆ อยู่ จากนั้นเขาก็ค่อยๆ คว่ำแก้วในมือซ้ายลง ปล่อยให้ของเหลวในแก้วไหลเทลงไปบนโซฟาที่อยู่ข้างล่าง
“รีบๆ โดดเลย!” เสียงหงุดหงิดของใครบางคนตะโกนลั่น
“โดดลงมาให้มันตายๆ ไปซะก็ดี”
“งี่เง่าว่ะ เสียเวลา ถ้ากล้าโดดจริงก็รีบๆ โดดซะทีเซ่ ไม่กล้านี่หว่า”
แต่ละคนเริ่มส่งเสียงโวยวายอย่างไม่พอใจ เหมือนกับว่าต้องการจะประชดถากถางที่ไนท์มาขัดจังหวะช่วงเวลาแสนสนุกของพวกเขา จากนั้นก็ช่วยตะโกนประสานเสียงกันดังสนั่นพร้อมกับตบมือเป็นจังหวะไปด้วย
“โดดเลย! โดดเลย! โดดเลย!”
ฉันหันมองซ้ายขวาด้วยความตกใจโดยพลัน
ไม่นะ ทุกคนทำอะไรกันน่ะ ไปยุให้เขาโดดลงมาจริงๆ ทำไม
“โดดเลย! โดดเลย! โดดเลย!”
ฉันพยายามเขย่าแขนคนข้างๆ พร้อมกับพร่ำร้องบอกให้พวกเขาหยุด แต่ทุกคนก็ยังคงช่วยกันประสานเสียงต่อไป ไม่มีใครสนใจฟังฉันเลยแม้แต่คนเดียว
“ไนท์!” ฉันหันไปตะโกนเรียกเขาสุดเสียง แต่เสียงของฉันกลับถูกเสียงร้องประสานของคนอื่นๆ กลบจนหมด ฉันจึงพยายามกรีดร้องลั่นมากขึ้นอีก แม้ว่าจะต้องตะโกนจนหลอดเสียงขาดฉันก็จะทำ! “อย่าโดดนะ ไนท์!! ไนท์!!!”
ได้โปรด ขอร้องล่ะ ได้โปรดได้ยินเสียงของฉันที!
ไนท์โยนแก้วไวน์ไปข้างหลังโดยที่ไม่มีใครได้ยินเสียงแก้วใบนั้นแตกเพราะว่ามันถูกกลบด้วยเสียงร้องประสานของทุกๆ คน
แล้วเขาก็ก้าวเท้าออกมา
ไม่นะ!!!
ฉันกรีดร้องเสียงดังลั่นเมื่อเห็นร่างของไนท์ร่วงลงมาจากระเบียง
#########
//โปรดติดตามตอนต่อไป//
LazyMe
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ก.ค. 2560, 00:27:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ก.ค. 2560, 00:27:39 น.
จำนวนการเข้าชม : 766
<< บทเพลงที่ 5 | บทเพลงที่ 7 >> |