Crazy Love Song เพลงรักลวงใจ
เธอ ฝันอยากจะเป็นนักร้อง เลือกเดินหนีจากทุกสิ่งเพื่อไขว่คว้าหาอิสระ
เขา นักดนตรีผู้ไร้ความฝัน เลือกเดินหนีจากทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าหาที่พักของหัวใจ


พวกเขาจะพากันหนีไปจนสุดขอบฟ้า... หรือว่าจะดิ่งลงเหวไปด้วยกัน


Tags: วัยรุ่น,ดราม่า,ดนตรี,วง,รัก,ดาร์ก

ตอน: บทเพลงที่ 7

​​

บทเพลงที่ 7

​Trust & Secret



ช่วงเวลาน่าหวาดเสียวหลังจากที่ไนท์ทิ้งตัวลงมานั้น ฉันเผลอกลั้นหายใจเอาไว้โดยไม่รู้ตัว กรีดร้องสุดเสียงจนเสียงแหบหาย พอเห็นว่าเขาตกลงมาบนโซฟาได้อย่างปลอดภัย ฉันก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาหลายสิบลูกออกจากอกโดยพลัน



เสียงผู้คนรอบข้างกลายเป็นเสียงอื้ออึงที่ฟังได้ไม่ชัด ฉันยกมืออันสั่นเทาของตัวเองขึ้นปิดปาก หลับตาแน่นด้วยความตกใจกลัวจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ฉันกลัวมากว่าเขาจะบาดเจ็บหรือเป็นยิ่งกว่านั้น



กลัวเหลือเกินว่าเขาจะจากฉันไป



เหล่าคนที่ยืนมุงกันอยู่เริ่มทยอยเดินออกไปข้างนอก บางคนส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอาขณะเหลือบสายตาไปมองไนท์ซึ่งนั่งยิ้มๆ อย่างภาคภูมิใจอยู่ตรงโซฟา แต่ก็มีบางคนที่ยังคงยืนมองเขาอย่างอึ้งๆ เพราะไม่คิดว่าเขาจะโดดลงมาจริงๆ



ฉันค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปหาไนท์อย่างหวั่นๆ แต่แล้วก็เหลือบไปเห็นว่าบอยพุ่งพรวดมาจากทางทิศตรงกันข้ามเข้าไปหาไนท์ด้วยเช่นกัน สีหน้าของเขาตึงเครียดเหมือนกำลังโกรธจัด แล้วบอยก็สาดน้ำจากแก้วในมือไปที่ใบหน้าของไนท์ทันที



“มึงออกจากวงไปซะ กูทนไม่ไหวแล้ว!” บอยตะคอกเสียงลั่นพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ไนท์ “มึงมันผิดปกติ!”



รอยยิ้มของไนท์หายวับไปทันควัน พร้อมกับที่สีหน้ายิ้มแย้มได้กลายเป็นเกรี้ยวกราดในทันใด



“วงห่วยแตกแบบนี้กูไม่อยู่ให้โง่หรอก กูขอลาออกเอง!” เขาลุกพรวดขึ้นจากโซฟา ตะโกนไล่หลังบอยซึ่งกำลังย่ำเท้าหนีกลับไปยังเส้นทางเดิม “แล้วก็ไม่อยากอยู่ปาร์ตี้ห่วยๆ ในบาร์ห่วยแตกนี่ด้วยซ้ำ!”



จากนั้นไนท์ก็เดินมาทางที่ฉันยืนอยู่ แต่เขากลับทำเป็นไม่เห็น แล้วเดินผ่านไปราวกับว่าฉันไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็พากันหลีกทางให้ไนท์ เพราะว่าไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย



ฉันรีบวิ่งตามเขาออกมาข้างนอกด้วยความงุนงงว่ามันเกิดอะไรขึ้น พลางคิดโทษพวกบอยอย่างฉุนเฉียว ถ้าพวกเขารู้ว่าไนท์จะเมาเละเทะแบบนี้ทำไมถึงปล่อยให้ไนท์ดื่มเข้าไปเยอะกันเล่า พวกเขาต่างหากที่ไม่ดูแลไนท์ แล้วก็ยังมาไล่เขาออกจากวงอีก



ไนท์กำลังโบกเรียกรถแท็กซี่อยู่ตรงริมถนน ฉันสังเกตเห็นว่าเขาเดินแปลกๆ เหมือนจะกะเผลกนิดๆ ที่ขาซ้าย แสดงว่าตอนที่กระโดดลงมาเมื่อครู่นี้ ข้อเท้าซ้ายของเขาคงจะแพลงแน่ๆ



ฉันรีบวิ่งไปที่รถแท็กซี่สุดฝีเท้าแล้วพุ่งตัวเข้าไปนั่งข้างในด้วยอีกคน ไนท์หันขวับมามองฉันด้วยสายตาตื่นตกใจ



“เธอทำอะไรน่ะ ลงไปซะ”



“ไม่” ฉันตอบเสียงแข็ง แล้วนั่งนิ่งไม่ยอมขยับเขยื้อนใดๆ ทั้งสิ้น



“บอกให้ลงไปไงเล่า!” ไนท์ตะคอกเสียงดังขึ้นกว่าเดิม แต่ฉันก็ยังคงไม่ขยับและจะไม่ยอมลงไปเด็ดขาด



เมื่อเห็นว่าฉันไม่มีทางยอมง่ายๆ แน่ เขาจึงขบกรามแน่นพร้อมกับสบถออกมาอย่างหงุดหงิด



“เออ อยากจะทำอะไรก็ทำ” เสียงเย็นชาพึมพำก่อนจะหันหน้าไปอีกทาง จากนั้นก็หันไปบอกเส้นทางให้กับคนขับรถแท็กซี่



ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันที่ฉันคิดอยากให้แท็กซี่เปิดวิทยุฟังเพลงหรือแม้แต่ฟังข่าวบ้างก็ยังดี เพราะบรรยากาศภายในรถขณะนี้นั้นเงียบเชียบและอึมครึมเสียจนฉันชักรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก พอเหลือบสายตาไปมองคนข้างๆ ก็เห็นว่าไนท์ยังคงนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง โดยที่ไม่ยอมหันกลับมาทางฉันอีกเลย



หลายสิบนาทีต่อมารถแท็กซี่ก็มาจอดอยู่ที่หน้าหอพักแห่งหนึ่งตรงชานเมือง



ไนท์หยิบเงินจ่ายค่ารถแล้วหุนหันเปิดประตูลงไปจากรถทันที ฉันรีบตามเขาลงมาด้วยอีกคน แต่จู่ๆ เขาก็หันกลับมาทางฉัน ทำหน้าตาน่ากลัวเหมือนกำลังโมโหสุดขีด



“กลับไปซะ!” เขาตะคอกเสียงลั่นแล้วย่ำเท้าไปที่ประตูทางเข้าอย่างรวดเร็วจนฉันต้องรีบเร่งฝีเท้าตามเขาไปให้ทันก่อนที่ประตูหน้าหอพักจะปิด ไม่อย่างนั้นฉันจะเข้าไปข้างในไม่ได้เพราะว่าไม่มีกุญแจ



หลังจากวิ่งพรวดพราวดเข้ามาได้อย่างฉิวเฉียด ฉันก็เดินตามไนท์ขึ้นไปจนถึงชั้นสาม แล้วเดินตามเขาเข้าไปในห้องที่อยู่ถัดจากห้องในสุดมาสองห้อง



แต่แทนที่ไนท์จะหันมาโวยวายไล่ฉันออกไปจากห้อง เขากลับทำเมินไม่สนใจฉัน พุ่งตัวไปที่โต๊ะเครื่องเขียนของตัวเอง แล้วกวาดของทุกอย่างออกไปจากโต๊ะอย่างแรง จากนั้นก็หันไปคว้าโคมไฟบนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาเขวี้ยงใส่พื้นจนมันแตกกระจาย



ฉันยืนตัวแข็งชาอยู่ตรงประตู เบิกตากว้างมองไนท์ทำลายห้องของตัวเองด้วยความตกใจอย่างคนทำอะไรไม่ถูก รวมทั้งรู้สึกหวาดกลัวเขาขึ้นมาอย่างฉับพลัน แม้ว่าจะอยากเข้าไปทำแผลให้เขา แต่ฉันก็ไม่กล้าขยับตัวหรือเข้าไปใกล้เขาเลย



แต่จู่ๆ เขาก็ร้องไห้ออกมา ก่อนที่จะหันไปหยิบนาฬิกาตั้งโต๊ะมาเขวี้ยงลงพื้นสุดแรง พลางขบกรามแน่นอย่างเกรี้ยวกราด สีหน้าทุกข์ทรมานเสียจนทำให้ฉันรู้สึกเจ็บแปลบในอกขณะยืนมองเขาขว้างปาข้าวของ ทำลายห้องของตัวเองไปเรื่อยๆ



ไนท์หันไปคว้ากีตาร์บนเตียง แล้วทำท่าจะเขวี้ยงมันด้วยเช่นกัน



“อย่านะไนท์!” ฉันตะโกนเสียงดัง พร้อมกับรีบวิ่งเข้าไปยึดแขนของเขาเอาไว้แน่น



ไนท์ชะงักไปในท่าเงื้อกีตาร์ขึ้นสูงอยู่อย่างนั้น เมื่อเห็นเขาไม่มีทีท่าว่าจะเขวี้ยงมันลงมา ฉันจึงค่อยๆ ปล่อยแขนของไนท์ให้เป็นอิสระพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วก็เห็นว่าไนท์กำลังกัดฟันแน่นด้วยสีหน้าเจ็บปวด เขาค่อยๆ ลดแขนลงแล้วหันไปวางกีตาร์ลงบนเตียงเหมือนเดิม จากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าอยู่ข้างเตียงพลางร้องไห้ออกมาเงียบๆ



“ในเมื่อกลัวฉันก็ออกไปซะ...” ไนท์พูดพึมพำอยู่กับตัวเองซึ่งทำให้ฉันฟังไม่ค่อยชัด แต่ไม่ทันไรฉันก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะจู่ๆ ก็ถูกเขาตะคอกใส่ “ออกไป!”



ฉันพยายามรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปนั่งลงตรงหน้าไนท์เพื่อดูข้อเท้าซ้ายของเขา พอเห็นว่ามันเริ่มบวมมากแล้วฉันจึงรีบลุกไปที่ตู้เย็น หยิบน้ำแข็งออกมาใส่ผ้าเช็ดมือที่แขวนอยู่ตรงมือจับตู้เคาน์เตอร์เหนืออ่างล้างจาน



จากนั้นก็วิ่งกลับมาแล้วเอาน้ำแข็งประคบบริเวณข้อเท้าของไนท์เพื่อลดอาการบวม แต่เขากลับชักขาหนีพร้อมกับมองมาที่ฉันอย่างระแวงสุดๆ ดังนั้นฉันจึงต้องดึงเท้าซ้ายของเขาออกมาอีกรอบ แล้วรีบวางประคบน้ำแข็งให้โดยเร็วเพราะกลัวว่าเขาจะดื้อรั้นไม่ยอมให้ทำอีก แต่ครั้งนี้ไนท์กลับยอมนั่งอยู่นิ่งๆ จนเวลาผ่านไปพักใหญ่เลยทีเดียว



ในระหว่างที่พวกเรากำลังนั่งเงียบกันอยู่นั่นเอง ไนท์ก็หยิบซองบุหรี่ในกระเป๋ากางเกงออกมาจุดสูบ แต่กลิ่นที่ได้กลับเหมือนกลิ่นเผาหญ้าแห้งที่ให้ความรู้สึกคุ้นๆ ว่าเคยได้กลิ่นนี้ที่ไหนมาก่อน



ใช่แล้ว ‘ของดี’ ที่เขาเคยให้ฉันลองเมื่ออาทิตย์ก่อน



ไนท์หันไปเอื้อมมือคว้าขวดแก้วอะไรสักอย่างออกมาจากตู้ชั้นล่างสุดของโต๊ะเขียนหนังสือแล้วเอามาวางไว้ตรงหน้าฉัน ตอนแรกฉันนึกว่าเป็นขวดโหลใส่ของธรรมดา แต่แล้วก็ต้องทำตาโตในทันใดเพราะจำได้ว่าเคยเห็นมันในหนังสือเรียนมาก่อน



บ้องกัญชา...



“ออกไปซะ...อย่ามายุ่งกับฉัน” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะออกมา ก่อนจะหันมาพ่นควันใส่หน้าฉันเบาๆ แล้วยิ้มเยาะที่เห็นฉันไอค่อกแค่ก “เสียใจด้วยนะที่ฉันไม่ใช่เทพบุตรอย่างที่เธอหวัง ฐานะก็แค่ระดับหอพักที่ฉันเห็นเนี่ยแหละ แต่ถ้าเธอทำดีด้วยเพราะหวังเซ็กส์ก็ไปนอนรอบนเตียงซะ...จะได้ทำให้มันจบๆ แล้วออกไปจากที่นี่ซะที!”



ฉันอ้าปากค้าง จ้องหน้าเขาอย่างไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะพูดกับฉันแบบนั้น รวมทั้งพยายามเก็บความรู้สึกเสียใจที่กำลังอัดแน่นอยู่ในใจไม่ให้มันไหลทะลักออกมา แต่ท้ายที่สุดฉันก็กลั้นน้ำตาด้วยความโกรธและความเสียใจเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป



“...ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” ฉันกัดปากแน่น พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือขณะปล่อยให้น้ำใสๆ ไหลซึมผ่านแก้มลงมา “ฉันเสียใจมากนะที่นายมองฉันในแง่ร้าย นายต้องมีเรื่องกลุ้มใจอยู่แน่ๆ เลยใช่มั้ยถึงได้เมาเละเทะแบบนี้ นายเป็นเพื่อนของฉัน รับฟังปัญหาของฉัน ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจ เพราะฉะนั้นฉันก็จะรับฟังปัญหาของนาย แล้วฉันก็ไม่ใช่เพื่อนเลวที่จะทิ้งเพื่อนให้อยู่ในสภาพแบบนี้ ฉันจะไม่มีวันหักหลังทิ้งเพื่อนแน่ ไม่มีวัน!”



ทันทีที่พูดจบ ฉันก็ยื่นมือไปแย่งบุหรี่ไส้กัญชาออกมาจากมือของเขา แล้วเอาเข้าปากของตัวเองทันที แม้ว่าควันของมันจะทำให้ฉันสำลักออกมาเล็กน้อย แต่พอหายสำลักแล้วฉันก็ตวัดสายตาไปมองสบสายตากับคนตรงหน้าโดยพลัน



“ฉัน ไม่ กลัว” เสียงหนักเน้นทีละคำพร้อมกับจ้องเขม็งเข้าไปในดวงตาของไนท์ เพื่อสื่อให้เขารู้ว่าฉันหมายความตามที่พูดจริงๆ “บอกแล้วไงว่าฉันเชื่อใจนาย”



ฉันหลับตาลงพร้อมกับสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อให้ตัวเองอารมณ์เย็นลง แล้วค่อยๆ เริ่มเปล่งเสียงร้องเพลงของไนท์ออกมาเบาๆ ด้วยเสียงขาดหาย



ไนท์ดูสงบลงไปมากขณะนั่งเงียบๆ ฟังฉันร้องเพลง ฉันจึงร้องเสียงดังขึ้นอีกราวกับว่ากำลังเปล่งเสียงทั้งหมดออกมาจากหัวใจของตัวเอง



ทันใดนั้นเขาก็ดึงตัวฉันเข้าไปกอด แม้ว่าการกระทำของเขาจะทำให้เสียงเพลงของฉันขาดช่วงไปแวบหนึ่งเพราะความตกใจ แต่ฉันก็ยกแขนกอดเขากลับทันที แล้วพวกเราทั้งคู่ก็ร่วมร้องเพลงไปพร้อมๆ กันทั้งน้ำตา



#########




ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นเพดานห้องสีขาวเป็นสีเทาขุ่นเพราะถูกแสงแดดยามเช้าที่ส่องผ่านผ้าม่านปิดทึบเกือบทั้งห้องเข้ามา จากนั้นก็ใช้ดันตัวขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงแล้วมองไปรอบๆ ห้องอย่างสนใจ



เครื่องเรือนหายในห้องคุมโทนเป็นสีขาวดำ บนพื้นมีข้าวของต่างๆ วางเกลื่อนเละเทะ บางชิ้นอยู่ในสภาพที่ใช้การไม่ได้แล้วราวกับว่ามีใครบางคนต้องการที่จะทำลายของพวกนี้



ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่แล้วความทรงจำเมื่อคืนก็ค่อยๆ ไหลเทเข้ามา



พอคิดเรื่องเมื่อคืนที่เราสองคนนั่งกอดกันอยู่ตรงข้างเตียงแล้วก็ชักจะรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างฉับพลัน ฉันคงจะผล็อยหลับไปสินะ



แต่ฉันก็ต้องขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างรู้สึกฉงน เพราะเหมือนจะคุ้นๆ ว่าฉันไม่ได้ขึ้นมานอนบนเตียง แสดงว่าไนท์ต้องเป็นคนอุ้มฉันขึ้นมานอนบนนี้



“อรุณสวัสดิ์” เสียงนุ่มแสนคุ้นหูดังลอยมาจากทางด้านซ้ายมือ เรียกให้ฉันหันขวับไปมองผู้เป็นเจ้าของเสียง ไนท์กำลังนั่งเท้าศอกกับเข่าอยู่ตรงโซฟา พลางอมยิ้มน้อยๆ ขณะมองมาที่ฉัน ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นน่ารักเหมือนไนท์คนเดิม



“อือ หวัดดี...” ฉันดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้าให้เหลือแค่ตาทั้งสองข้าง พร้อมกับร้องกรี๊ดอยู่ในใจอย่างอับอายที่ถูกเขาเห็นในสภาพหลังตื่นนอนที่แสนยับเยินสุดๆ แบบนี้



“เอาชาร้อนมั้ย”



ฉันพยักหน้าไปให้เขา เมื่อฉันตอบตกลงไนท์จึงลุกเดินไปที่ครัว



“...เอ่อ ที่นี่มีแปรงสีฟันกับยาสีฟันสำรองมั้ย” ฉันเอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ด้วยความรู้สึกเกรงใจ แต่ฉันก็ไม่อยากปล่อยให้ตัวเองเยินอยู่อย่างนี้



“อยู่ในตู้กระจกในห้องน้ำน่ะ” เสียงของไนท์ตะโกนตอบกลับมา เขายืนหันหลังมาให้อยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ในครัว



ฉันลุกพรวดไปที่ห้องน้ำอย่างรวดเร็ว พอเห็นสภาพดูไม่ได้ของตัวเองในกระจกแล้วฉันก็ต้องรู้สึกอายขึ้นมาอีกรอบ พร้อมกับถอนหายใจยาวให้กับมาสคาร่าและอายไลเนอร์ที่พร้อมใจกันหลุดลอกออกมาเป็นหมีแพนด้า จากนั้นก็เปิดตู้กระจก หยิบแปรงสีฟันกับยาสีฟันสำรองออกมา แล้วรีบล้างหน้าแปรงฟันอย่างเร็ว พลางคิดอย่างเจ็บใจว่าน่าจะใช้มาสคาร่ากับอายไลเนอร์แบบกันน้ำ



ตอนที่ฉันเดินออกมาจากห้องน้ำหลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น ไนท์ก็เดินออกมาจากครัวพอดี เขายื่นถ้วยกาแฟมาให้ก่อนที่จะเดินไปนั่งลงตรงข้างๆ เตียง แล้วยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาชันเข่า



ฉันเดินไปนั่งกอดเข่าข้างๆ เขา พลางจิบชาร้อนไปด้วยทีละนิด เหลือบมองไปทางคนข้างกายทีละนิดแล้วก็เห็นว่าไนท์เปลี่ยนมานั่งขัดสามาธิ ห่อไหลน้อยๆ อย่างที่เขาชอบทำอยู่เป็นประจำ



“...ฉันควรจะอธิบายให้เธอฟังสินะ” เขาเกริ่นเสียงเบาเหมือนเป็นการรำพึงกับตัวเอง ก่อนจะเอียงตัวเข้ามาหาฉันน้อยๆ โดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมามอง พลางยกมือซ้ายขึ้นมาเกาศีรษะพร้อมกับหัวเราะแห้งๆ ออกมา แล้วเอาแต่นั่งก้มหน้าอยู่อย่างนั้น เหมือนลังเลที่จะพูดอะไรบางอย่าง “...แต่ฉันไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนดี”



“...งั้นเริ่มจากตอบคำถามฉันก็ได้...นายมีเรื่องอะไรกับบอยเหรอ” ฉันเข้าใจดีว่าบางทีเราก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มเล่าเรื่องของตัวเองออกมายังไง ดังนั้นฉันจึงคิดว่าจะช่วยถามเขาอีกแรงเพื่อช่วยให้เขาเรียงลำดับความคิดไปทีละเรื่องได้ง่ายขึ้น



“บอยเป็นคนเอาจริงเอาจังน่ะ” ไนท์ประสานมือเข้าด้วยกัน พร้อมกับยิ้มจางๆ ขณะเหม่อมองไปที่พื้น “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน เรื่องการใช้ชีวิต เรื่องวง... เขาทุ่มเทกับมันมาก คนที่ก่อตั้งวงของเราขึ้นมาก็คือบอยนี่แหละ อย่างเรื่องการประกวดนี่เขาก็เรียกซ้อมทุกวันเลยนะ ฉันก็ไปซ้อมตามที่เขาสั่ง แม้ว่าฉันจะไม่ได้สนเรื่องการประกวดอะไรนั่นสักนิดเลยก็เถอะ”



ไนท์แค่นหัวเราะออกมาเหมือนกับรู้สึกว่าสิ่งที่เขากำลังเล่าอยู่นั้นมันเป็นเรื่องงี่เง่าสิ้นดี



“แต่ที่เธอเห็นว่าบอยกำลังเครียดอยู่นั้นมันไม่ได้มาจากเรื่องการประกวดอย่างเดียวหรอก...เขาเครียดเรื่องฉันน่ะ”



ฉันขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างงุนงงว่าบอยจะมาเครียดเรื่องเขาทำไม เพราะไนท์ก็ไปซ้อมตามที่บอยสั่งไม่ใช่เหรอ หรือว่าจะเป็นเรื่องฝีมือ แต่เท่าที่ฉันเคยฟังพวกเขาเล่นอยู่หลายหน ฉันคิดว่าไนท์ก็เล่นดีแล้วนี่นา



“นายเล่นผิดเยอะเหรอ” ฉันเอ่ยถามด้วยความสงสัย แต่คนถูกถามกลับส่ายหน้าตอบเบาๆ



“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก บอยกังวลเรื่องภาพลักษณ์ของวงน่ะ” ไนท์เอ่ยตอบเสียงเรียบ ”เมื่อคืนเธอก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันมีพฤติกรรมงี่เง่าแบบนั้นอยู่บ่อยๆ ตั้งแต่ก่อนที่จะรู้จักกับพวกโจ้ซะอีก ซึ่งมักจะเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเราทะเลาะกันอยู่เรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งบอยก็ลากฉันไปหาจิตแพทย์โดยที่ไม่บอกให้โจ้กับโน้ตรู้...”



จู่ๆ ไนท์ก็เงียบไป สีหน้าสลดลงดูท่าทางเซื่องซึมอย่างเห็นได้ชัด



“...ฉันไม่ได้เป็นแบบนั้นเพราะเมา พวกเขาบอกว่าฉันเป็นไบโพลาร์และบุคลิกภาพแปรปรวน” เขากลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยเล่าต่อด้วยอารมณ์ขุ่นมัวที่ค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมา “แล้วบอยก็กังวลเรื่องภาพลักษณ์ของวง หาว่าฉันไม่ปกติ ต้องกินยา... แต่ว่าฉันไม่อยากกินยา เพราะว่ามันทำให้เฉื่อยแล้วก็ง่วงอยู่ตลอดเวลา”



ฉันมองเขาอย่างรู้สึกตกใจ เพราะคิดไม่ถึงเลยว่าไนท์จะเป็นโรคทางจิตเวช



ไบโพลาร์ บุคลิกภาพแปรปรวน ฉันไม่ค่อยเข้าใจความหมายหรืออาการของสองโรคนี้สักเท่าไหร่ สงสัยฉันคงจะต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติมดูแล้ว



“ถ้างั้นก็แสดงว่าโจ้กับโน้ตไม่รู้เรื่องนี้สินะ” ฉันพูดสรุปข้อมูลที่ได้



“ไม่มีใครรู้หรอก บอยไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้”



“แล้ว...พ่อแม่ของนายล่ะ”



ไนท์ไม่ยอมตอบคำถาม เขาเอาแต่นั่งเงียบ ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นจนเป็นปมโดยที่ไม่พูดอะไรอยู่อย่างนั้น แล้วส่ายหน้าไปมาเป็นพัลวันก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ขอแค่มีเธออยู่ก็พอ”



คำพูดของไนท์ทำให้ฉันรู้สึกเขินจนเผลอนั่งตัวเกร็งขึ้นมาโดยพลัน ทั้งที่เขากำลังเปิดใจเล่าเรื่องของตัวเองอยู่แท้ๆ แต่ฉันกลับมานั่งเขินบ้าเขินบออะไรตอนนี้กันเล่า



เมื่อคิดได้ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อกลบเกลื่อนอาการเขินอายของตัวเอง



“แล้วยา...”



ไนท์ชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจทันที พร้อมกับตวัดสายตากร้าวขึ้นมามอง อารมณ์ของเขาเปลี่ยนเร็วมากเสียจนฉันตั้งตัวไม่ทัน



“คือว่ามันช่วยทำให้นายไม่มีพฤติกรรมแบบเมื่อคืนอีกใช่มั้ย” ฉันรีบพูดต่ออย่างรวดเร็ว “สมมติว่านายยังอยากเล่นต่ออยู่ในวง ถ้ากินยา...ก็อาจจะทำให้กลับไปคืนดีกับพวกบอยก็ได้นะ”



ฉันพูดถึงข้อดีของการกินยาให้เขาฟังอย่างคาดหวังว่ามันอาจจะช่วยกระตุ้นให้ไนท์รู้สึกอยากจะกินยาขึ้นมาดูบ้าง แม้ว่าฉันจะยังไม่แน่ใจเรื่องที่เขาอยากจะเล่นอยู่ในวงต่อ แต่ฟังจากที่เขาเล่ามาแล้ว ถ้าไนท์ไม่ได้อยากเล่นอยู่ในวง เขาก็น่าจะลาออกไปตั้งแต่ตอนแรกๆ ที่มีปัญหากับพวกบอยแล้วมากกว่า ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ฝืนอยู่ต่อจนมาถึงทุกวันนี้หรอก



หลังจากได้ฟังดังนั้น ไนท์ก็เริ่มมีท่าทีอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด



“ฉันก็คิดเหมือนกันว่าเมื่อคืนนี้ฉันทำตัวแย่มาก” เขาพูดเสียงอ่อยอย่างเห็นด้วย “...ถ้าเธออยากให้ฉันกินยา ฉันก็จะกิน”



“พูดจริงนะ” ฉันยิ้มแป้นออกมาด้วยความยินดี



ไนท์อมยิ้มน้อยๆ พร้อมกับพยักหน้าเป็นคำตอบ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นฉันยิ้มกว้างอย่างดีใจสุดๆ



“ไม่เคยมีใครเชื่อใจฉันเหมือนเธอมาก่อนเลย” เขาอมยิ้มน้อยๆ แต่มันช่างดูเศร้าสร้อยเหลือเกิน “เมื่อคืนฉันก็เลยมั่นใจว่าเธอจะต้องทิ้งฉันไปเหมือนคนอื่นๆ ด้วยแน่ๆ ...ขอโทษนะที่ทำให้เธอต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้”



เห็นรอยยิ้มแหยๆ อย่างรู้สึกผิดของเขาแล้ว ฉันก็ชักจะรู้สึกเจ็บแปลบในอกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก



“เรื่องมันผ่านไปแล้วน่า” ฉันพูดปลอบด้วยเสียงร่าเริงพร้อมกับยิ้มแย้มอย่างสดใส “เอาเป็นว่า...นายไถ่โทษด้วยการเลี้ยงหนังฉันละกัน”



จากนั้นทั้งฉันและเขาต่างก็หลุดขำพรืดออกมาพร้อมกัน



“เอางี้ เรามาสัญญากันดีกว่าว่าจะไม่ทิ้งกัน” ฉันชูนิ้วก้อยทั้งสองข้างขึ้น แล้วไขว้แขนก่อนที่จะกระดิกนิ้วก้อยน้อยๆ เป็นการส่งสัญญาณให้เขาทำตาม ซึ่งไนท์ก็ยอมทำตามฉันอย่างเชื่อฟัง



“ฉันจะไม่ทิ้งเธอไปเด็ดขาด” ไนท์ยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปาก ไขว้แขนเข้ามาเกี่ยวนิ้วก้อยกับฉัน



“และฉันก็จะไม่มีวันทิ้งนาย”



หลังจากที่พวกเราเกี่ยวก้อยกันแล้วผละออกจากกันได้เพียงแค่แวบเดียว จู่ๆ ไนท์ก็เอียงตัวโน้มเข้ามาหาฉันจากทางด้านข้างพร้อมกับจูบริมฝีปากของฉันอย่างนิ่มนวล



ฉันนั่งตัวเกร็งและเผลอหยุดหายใจเองโดยไม่รู้ตัว ในหัวขาวโพลนคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ รู้สึกได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจในอกที่ทวีเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงจากรอยสัมผัสแสนอ่อนโยนตรงริมฝีปาก



ไนท์ค่อยๆ ผละออกจากฉัน ทำตาปรือเหลือบขึ้นมามอง ก่อนจะอมยิ้มน้อยๆ อย่างน่ารัก



“จูบเล่น”



คนถูก ‘จูบเล่น’ เผลอเม้มปากโดยอัตโนมัติ รู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองกำลังมีเลือดสูบฉีดอย่างรุนแรงจนกลายเป็นสีแดงระเรื่อแล้วแน่นอน แม้ว่าจะรู้สึกเขินจัดจนแทบอยากจะกลับขึ้นไปบนเตียงแล้วเอาผ้าห่มมาปิดหน้าอยู่ก็ตาม แต่ฉันก็ไม่สามารถกลั้นรอยยิ้มด้วยความปิติเอาไว้ได้ ฉันหลับตาปี๋ แล้วยิ้มแป้นออกมาด้วยความรู้สึกเป็นสุขสุดๆ ซึ่งทำให้ไนท์ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นปฏิกิริยาของฉัน



########

//โปรดติดตามตอนต่อไป//




LazyMe
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ก.ค. 2560, 00:31:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ก.ค. 2560, 00:31:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 685





<< บทเพลงที่ 6   บทเพลงที่ 8 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account