ในรอยกาล / เพิ่มตอนพิเศษ
“พี่พริษฐ์หยิบหีบใบนั้นให้ชมพู่หน่อย”

ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที

หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้

“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว

เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ

“ครับ”

เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย

ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น

“มองพี่ได้ไหม”

นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง

ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา

ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม

“พี่จูบได้ไหม”

แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน

เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย

ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก

เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม


- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -

Tags: ในรอยกาล, เนตรนภัส, พริษฐ์, ชมพู่, แก้มแหม่ม,

ตอน: บทที่ 7

...๗...



สิ้นเสียงโครม แก้มแหม่มก็สะดุ้งโหยง ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ หันมองรอบกายเลิ่กลั่กหาว่าใครทำให้เกิดเสียง แล้วดวงตาที่เบิกโพลงอยู่แล้วก็โตขึ้นอีก เมื่อพบว่าอุโบสถเมื่อสักครู่อันตรธานหายไป ไม่มีธงหลากสี ไม่มีกองทราย ไร้เงาชาวบ้านซึ่งร่วมแรงแข็งขันในการขนทรายเข้าวัด เหลือเพียงป่ารกเรื้อ ร่มไม้รกครึ้ม และเงาทะมึนชะโงกเงื้อมอยู่เหนือศีรษะ

“ฝันกลางวันอีกแล้วหรือคุณ”

“เฮ้ย!” หญิงสาวตกใจสะดุ้งโหยงจนศีรษะทุยไปโขกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ด้านหลังเกิดเสียงดังปั้ก “โอ๊ย!”

เจ้าของเงาดำเมื่อครู่ถลันมานั่งข้างๆ ทันใด มองอาการลูบศีรษะตัวเองป้อยๆ ด้วยความเป็นห่วง

“เป็นยังไงบ้าง”

“ลองดูไหมล่ะ” แก้มแหม่มตวัดค้อนทันใด “เจ็บน่ะสิ ถามมาได้ไม่คิด”

“ไหนขอผมดูหน่อย โนหรือเปล่า” ชายหนุ่มดึงมือเธอออก ใช้มือค่อยๆ คลำไปบนศีรษะของหญิงสาวตรงจุดที่คาดว่าโขกกับต้นไม้ เขาว่าเบามือแล้วเชียว แต่แม่ตัวดีก็ยังโวยวายเสียงขุ่น

“โอ๊ย! เบาๆ หน่อยสิคุณ”

มันน่าจับโขกต้นไม้ให้ได้อีกสักแผล ทำดีไม่ได้ดี พริษฐ์คิดอย่างมันเขี้ยว กระนั้นมือใหญ่ยังสำรวจศีรษะของคนขี้บ่นอย่างเบามือ

“ดูท่าทางคุณเนี่ยเป็นพวกชอบนอนกลางวันนะ ผมเจอคุณสองครั้ง คุณก็หลับทั้งสองครั้ง” ชายหนุ่มตั้งข้อสังเกต

“ใช่ที่ไหนกันล่ะ เพราะเมื่อคืนฉันนอนน้อย พอมาเจอลมเย็นๆ ใต้ต้นไม้ร่มๆ เข้าไปแบบนี้ ก็เลยผล็อยหลับไปต่างหาก”

ปากพูดออกไปแบบนั้นก็จริง แต่แก้มแหม่มชักไม่ค่อยแน่ใจ สาเหตุที่เธอผล็อยหลับไปในสถานที่แบบนี้ถึงสองครั้งสองคราเกิดจากอะไร ความเหนื่อยล้า อดนอน หรืออย่างอื่นกันแน่

“แถมยังหลับฝันดีอีกใช่ไหมล่ะ” ชายหนุ่มเย้าคนปากแข็งทันที ขณะเดินเข้ามาเขาเห็นหญิงสาวนอนหลับตาพริ้ม ใบหน้าเปี่ยมสุข จนเขาอดคิดไม่ได้ว่านอกจากนอนกลางดินแล้ว เจ้าหล่อนยังสามารถฝันดีได้อีกต่างหาก มีใครแปลกขนาดนี้ได้อีกไหมเนี่ย

“อืม ฝันกลางวัน”

ฝันหรือ...นั่นเป็นแค่ความฝันจริงๆ ละหรือ

ถ้าเป็นแค่ความฝันทำไมเธอถึงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกปลาบปลื้มและชื่นชมในตัวผู้ชายชื่อเทิดได้ชัดเจน เหนือสิ่งอื่นใดเธอรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเปี่ยมรักจากหัวใจดวงน้อยๆ นั่น หากเป็นเพียงความฝันจริง ทำไมยามนี้ความรู้สึกเหล่านั้นยังเต็มตื้นอยู่ในความรู้สึกราวกับก้าวร่วมเข้าเป็นพยานในเหตุการณ์อย่างไรอย่างนั้น

“คุณนี่สุดยอด โดนไปดังปั้ก แต่หัวไม่ยักโน”

คำพูดกลั้วเสียงหัวเราะจากปากพริษฐ์ดึงแก้มแหม่มออกจากภวังค์ พอได้ทบทวนประโยคนั้นจริงจัง หญิงสาวก็ถึงกับตวาดแหวเสียงเขียว

“คุณหาว่าฉันหัวแข็งรึ”

“พูดเองนะ ผมไม่ได้พูดอะไรสักคำ” ชายหนุ่มลอยหน้าตอบ ไม่เกรงกลัวกำปั้นที่ชูหรามาตรงหน้า เขาคว้ามือเล็กๆ นั้นไว้ฉุดให้ลุกขึ้น ซึ่งแก้มแหม่มก็ไม่ขัดขืน ลุกขึ้นได้ก็ปัดเศษดินที่ติดตัวออกง่ายๆ “ผมสำรวจบ้านเสร็จแล้ว เราไปหาอะไรกินกันดีกว่า นี่บ่ายกว่าละ คุณคงหิว”

“ฉันเลือกร้านนะ คุณเลี้ยง ตกลงปะ” หญิงสาวต่อรองอย่างลิงโลด “กำลังหิวอยู่พอดี”

พร้อมๆ กันนั้นท้องของหญิงสาวก็ร้องโครกราวกับสนับสนุน แก้มแหม่มส่งยิ้มอายๆ ไปให้ชายหนุ่มซึ่งกลั้นขำจนตาพราว

“งั้นไปกันเลยดีกว่า ท่าทางคุณจะหิวจริงๆ”

“ค่ะ” แก้มแหม่มไม่คิดปฏิเสธ ตอนนี้ถ้ามีของกินอยู่ตรงหน้า เธอก็จะจัดการมันไม่ให้เหลือซาก

“ผมมีเรื่องจะปรึกษาคุณชมพู่หลายเรื่อง” ชายหนุ่มบอก ดันหญิงสาวให้ออกเดิน การกระทำของเขาเป็นไปอย่างสุภาพจนแก้มแหม่มไม่ตะขิดตะขวงใจที่โดนคนเพิ่งรู้จักไม่นานแตะเนื้อต้องตัว

“ฉันก็มีหลายเรื่องจะบอกคุณเหมือนกัน”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แก้มแหม่มจึงขยายความ

“เรื่องสวนกับรอบๆ บ้าน มีหลายจุดต้องปรับปรุง”

พริษฐ์พยักหน้าเข้าใจ “เดี๋ยวเรากินไปคุยกันไปแล้วกัน”

พอเดินมานอกบริเวณบ้าน ตรงจุดที่พริษฐ์จอดรถยนต์เช่าของเขาเอาไว้ ก่อนก้าวเข้าไปนั่งในรถ แก้มแหม่มก็หันมามองเรือนไทยหลังใหญ่อีกครั้ง

เรื่องราวที่เธอได้เห็นคืออะไรกันแน่ ทำไมเธอถึงผล็อยหลับไปง่ายๆ ถึงสองครั้งสองคราในบริเวณบ้านหลังนี้ และจำเพาะว่าทุกครั้งเธอต้องฝันเห็นผู้หญิงชื่อเดือน

เดือน...คุณเป็นใครกันแน่ มีอะไรเกี่ยวข้องกับบ้านหลังนี้หรือเปล่า

หรือทั้งหมดเธอเพียงเพ้อเจ้อไปเอง...



พริษฐ์กลับถึงโรงแรมด้วยอาการกะปลกกะเปลี้ย แสงแดดร้อนแรงของทางใต้ทำคนเคยชินแต่อากาศร้อนอบอ้าวแบบภาคกลางถึงกับหมดแรงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นสิ่งแรกที่เขาทำคือคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกาย สายน้ำเย็นฉ่ำสามารถคืนความมีชีวิตชีวาให้กับเขาได้เป็นอย่างดี

แต่งกายเรียบร้อยแล้วพริษฐ์จึงหยิบแล็ปท็อปมาเปิดเป็นลำดับต่อมา ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ทำให้ไม่ว่าอยู่มุมไหนก็สามารถทำงานได้ตลอดเวลาเพียงแค่มีอินเตอร์เน็ต ทว่าพอทำการเชื่อมต่อเท่านั้นพริษฐ์ก็เจอปัญหา เมื่อพบว่าโรงแรมเล็กๆ แห่งนี้ไม่มีอินเตอร์เน็ตให้บริการ เขาจึงต้องใช้โทรศัพท์มือถือในการเชื่อมต่อแทน และเนื่องจากเบอร์ใหม่นั้นเขายังไม่ได้เปิดบริการอินเตอร์เน็ตจึงหลีกเลี่ยงการใช้เบอร์หลักซึ่งรองรับการใช้งานอินเตอร์เน็ตไม่ได้

เพียงสลับซิมการ์ดเป็นเบอร์หลักเท่านั้น ข้อความแจ้งเตือนว่ามีคนพยายามโทร.หาเขาตอนปิดเครื่องก็เข้ามา พอเห็นเบอร์ ใบหน้าคมถึงกับส่ายอย่างอ่อนใจ บิดาไม่ลดละในการเพียรเรียกตัวกลับบ้านจริงๆ แต่พริษฐ์ก็ทำแค่ชายตาแล ไม่ใส่ใจจะติดต่อกลับ ด้วยรู้จุดประสงค์การกระหน่ำโทร.เข้ามาดี

นอกนั้นก็เป็นสัญญาณเตือนว่ามีอีเมลใหม่ มองชื่อผู้ส่งคร่าวๆ ก็เดาได้ว่าเป็นเรื่องงาน เขาจึงขยับตัวมาหน้าแล็ปท็อปอีกครั้งและเรียกอ่านอีเมลผ่านทางนั้นแทน ในใจมาดหมายว่าพรุ่งนี้คงมีเรื่องรบกวนแก้มแหม่มอีกเรื่อง

เขาคงต้องหาโทรศัพท์สำรองถูกๆ อีกสักเครื่อง จะได้ไม่ต้องสลับซิมการ์ดและวุ่นวายเซตค่าต่างๆ ของโทรศัพท์ใหม่ทุกครั้ง อีกอย่างจะได้แอบเปิดเครื่องเช็กเมลบ่อยๆ

หวังว่าบิดาคงไม่คอยจิ้มโทรศัพท์หาทุกห้านาที หรือต่อให้มีสายเรียกเข้ามาจริงๆ เขาไม่รับเสียอย่าง ท่านก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว นอกเสียจากว่าจะตัดสินใจลงมาเอาตัวเขาถึงที่ใต้นี่ ซึ่งคงเป็นไปได้ยากสักหน่อย เขาไม่อยู่เสียคน บิดาคงต้องหัวปั่นกับงานอยู่สักพัก

นอกเสียจากการยกบ้านหลังนี้ให้ ‘คนอื่น’ สำคัญกว่าบริษัท

พริษฐ์ทำงานต่ออย่างสบายใจขึ้น พอจัดการงานต่างๆ เสร็จเขาก็สั่งงานนลินอีกเล็กน้อย เคลียร์เรื่องงานในบริษัทเสร็จ สิ่งที่ต้องทำต่อในคืนนี้คือวางแผนปรับปรุงและฟื้นฟูเรือนไทยหลังนั้นให้กลับมาเป็นบ้านในความทรงจำเปี่ยมความสุขอีกครั้ง

ความทรุดโทรมของบ้านก็ไม่ต่างจากต้นไม้ไร้การดูแล ทำให้เขาถึงกับใจหาย อดคิดไม่ได้ว่าถ้าปู่โชติยังอยู่ ได้ทราบว่าบ้านหลังที่ท่านรักมากกลายเป็นแบบนี้ คงเสียใจไม่น้อย

ดังนั้นเขาจึงตั้งปณิธานเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไรบ้านหลังนี้จะไม่ตกไปอยู่ในมือคนอื่น นอกจากคนในตระกูลเศรษฐสิทธ์เท่านั้น เพราะฉะนั้นเขาจะฟื้นฟูบ้านให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ในขั้นแรกคือการทำความสะอาด ซ่อมแซมบางส่วนที่เสียหาย รวมทั้งปรับปรุงภูมิทัศน์รอบๆ ให้กลับมาน่าอยู่ดังเดิม

เรื่องทำความสะอาด แก้มแหม่มรับปากว่าสามารถหาคนงานให้ได้และลงมือทำในวันพรุ่งนี้ ส่วนเรื่องซ่อมแซมตัวบ้าน เนื่องจากเรือนไทยหลังนี้เป็นบ้านเก่าทำจากไม้สักทองทั้งหลัง ต้องใช้ช่างที่ชำนาญการและมีฝีมืออยู่สักหน่อย คงไม่สามารถหาได้รวดเร็วพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้

อย่างไรก็ตามเธอจะหาให้ได้เร็วที่สุด และให้เข้ามาคุยรายละเอียดกับเขาเองว่าตกลงหรือไม่ จะได้เปรียบเทียบราคาไปด้วย ส่วนเรื่องปรับปรุงภูมิทัศน์ ถึงหญิงสาวไม่ได้เสนอตัว แต่การพูดในทำนองที่ว่าทั้งอำเภอมีร้านรับจัดสวนอยู่เจ้าเดียวก็คงเป็นคำตอบกลายๆ ว่าให้เลือกเจ้าหล่อนทำงานนี้

ต่อให้แก้มแหม่มไม่เสนอ เขาก็อยากให้เธอรับงานนี้ไปทำ นี่คงเป็นการตัดสินใจที่ไม่ได้คิดคำนวณต้นทุนกำไรใดๆ เหมือนนักธุรกิจทำกันเป็นอันดับแรก เขาตัดสินใจโดยใช้ ‘น้ำใจ’ วัดล้วนๆ

เธอกับเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ณ ตอนนี้ยังไม่สามารถพูดได้ว่าสนิทสนม เรียกได้ว่าเป็นคนแปลกหน้าที่บังเอิญได้รู้จักกันภายใต้สถานการณ์หนึ่ง ทว่าแก้มแหม่มก็ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือทั้งๆ ที่เธอสามารถเพิกเฉยได้ และเขาคิดว่าถึงเธอไม่ช่วย อย่างไรก็คงหาวิธีจัดการกับปัญหาทุกอย่างได้เอง เพียงแต่คงต้องใช้เวลามากสักหน่อยเท่านั้น

การมีมิตรในต่างถิ่นมันดีแบบนี้นี่เอง...พริษฐ์คิดอย่างอารมณ์ดี

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาก็ชัตดาวน์แล็ปท็อป เตรียมตัวนอน แต่แล้วขณะกำลังล้มตัวลงบนเตียง โทรศัพท์มือถือก็ส่งสัญญาณยาวว่ามีสายเรียกเข้า เขาคว้าขึ้นมามองแล้วต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างอ่อนใจ ดูเหมือนบิดาของเขาจะมีความพยายามเป็นเลิศ

“ครับพ่อ”

“ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่าให้กลับบ้าน วันนี้ทำไมฉันยังไม่เห็นหัวแก ไอ้พริษฐ์”

“ผมบอกพ่อไปแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ และอีกอย่างถ้าเรื่องทางนี้ไม่เรียบร้อยพ่อก็จะยังไม่ได้เห็นหน้าผม”

“นี่แกเป็นลูกฉันนะ ฉันบอกให้แกกลับก็ต้องกลับ”

“ถ้าอย่างนั้นเรือนไทยหลังนี้ก็ควรต้องตกเป็นของผม” ชายหนุ่มต่อรองด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ผิดกับอีกฝ่ายที่ตอนนี้พริษฐ์คิดว่าคงโกรธจนลมออกหูไปแล้ว

พื้นฐานนิสัยของเขาไม่ใช่ลูกชายหัวอ่อนที่บิดาจะชักจูงไปทางไหนก็ได้ มีความเป็นตัวของตัวเองค่อนข้างสูง ตลอดมาเขาเป็นฝ่ายเลือกทางเดินชีวิตเอง ตลอดทั้งเรื่องเรียน เรื่องการถ่ายภาพที่โปรดปราน รวมทั้งเรื่องโลดโผนอีกหลายๆ อย่าง ถ้ามีเรื่องไหนที่ยอมลงให้บิดาคือการเรียนปริญญาโทเพิ่มแล้วเข้าไปนั่งแท่นรองประธานบริษัท ทว่าความรักอิสระของเขาไม่เคยหายไป เมื่องานไม่ยุ่งมากเขาก็เก็บกระเป๋าแบกกล้องหนีเที่ยวอยู่เนืองๆ

ดังนั้นไม้แข็งไม่เคยใช้กับเขาได้ผล ยิ่งไม่รู้ว่าสิ่งใดเป็นแรงจูงใจให้บิดาทำเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้เขาอยากหาสาเหตุให้จงได้

“แกไม่ใช่คนที่ควรได้บ้านหลังนั้น”

“แล้วคุณอัญชันอะไรนั่นเหมาะตรงไหน” ป่วยการจะถามต่อ ในเมื่อเขารู้อยู่เต็มอกว่าถามไปก็เท่านั้น บิดาไม่มีทางปริปาก เพราะหากจะบอกจริงๆ เขาคงได้คำตอบตั้งแต่ถามไปครั้งแรกแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นแกก็เอาโฉนดที่ดินบ้านหลังนั้นมาให้ฉัน”

“คงไม่ได้หรอกครับ ตราบใดที่ชื่อผู้รับมรดกในพินัยกรรมยังเป็นอัญชัน ไม่ใช่ผมหรือใครก็ตามที่นามสกุลเศรษฐสิทธ์ พ่อก็อย่าหวังว่าจะได้โฉนดที่ดินฉบับนี้คืน”

“ไอ้พริษฐ์!”

“หรือไม่พ่อก็ฉีกพินัยกรรมฉบับนั้นทิ้งไปซะ” พริษฐ์ยื่นคำขาด

“แกทำอย่างนี้ให้ได้อะไรขึ้นมาพริษฐ์ ในเมื่อทุกอย่างฉันตัดสินใจไปแล้ว”

“เพื่อรักษาสิ่งที่ปู่โชติรักเอาไว้ไงครับ” พริษฐ์ตอบอย่างไม่ลังเล “บ้านหลังนี้เป็นมรดกตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นของคนในตระกูลเรา ผมไม่อยากให้มันตกไปอยู่ในมือคนอื่น ไม่ว่ายังไงผมก็จะหาทางรักษาบ้านหลังนี้เอาไว้ให้ได้ เพราะมันเป็นบ้านที่ปู่โชติรักมาก เพราะฉะนั้นผมไม่มีทางให้พ่อเอาไปยกให้คนอื่นแน่ๆ”

ปลายสายนิ่งไป แต่พริษฐ์ก็รู้ว่านั่นไม่ได้เกิดจากการยอมรับข้อเสนอ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าบิดากำลังคิดอะไรอยู่ อาจกำลังสงบสติอารมณ์อยู่ก็เป็นได้

ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้คงไม่อาจหาข้อยุติได้โดยการฉีกพินัยกรรมฉบับนั้นทิ้งอย่างแน่นอน พริษฐ์จึงถอนหายใจออกมาเบาๆ

“ผมว่าเราเลิกคุยเรื่องนี้กันดีกว่า ในเมื่อพ่อก็ไม่อยากยกเลิกพินัยกรรมฉบับนั้น ส่วนผมก็ยอมรับการตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ได้ พูดไปก็เหมือนพายเรือในอ่าง ผมจะหาทางพิสูจน์ให้ได้ว่าคุณอัญชันอะไรนั่นไม่เหมาะสมที่จะได้ครอบครองบ้านหลังนี้ ถ้าถึงเวลาความจริงปรากฏ พ่อต้องยอมรับเรื่องพวกนั้นให้ได้”

บิดาวางสายไปครู่ใหญ่แล้ว พริษฐ์ยังนั่งกำโทรศัพท์ หัวสมองก็วกวนแต่เรื่องผู้หญิงชื่ออัญชัน เขาต้องรู้ให้ได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร มาจากไหน และมีความสัมพันธ์อย่างไรกับบิดา ท่านถึงได้คิดยกบ้านเก่าพร้อมที่ดินหลายไร่ให้

กระดาษแผ่นเล็กซึ่งจดที่อยู่ของอัญชันตามคำบอกของทิวไผ่ถูกหยิบขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง

พรุ่งนี้เขาคงต้องรบกวนแก้มแหม่มอีกเรื่อง



พริษฐ์ไปถึงเรือนไทยตามเวลาที่นัดไว้กับแก้มแหม่ม แล้วเขาก็แปลกใจเมื่อบริเวณถนนด้านหน้ามีจักรยายยนต์จอดเรียงกันอยู่หลายคันทว่าไร้เงาเจ้าของ ได้ยินแค่เสียงพูดคุยของคนจำนวนมากลอยมา พอเงี่ยหูฟังจึงพบว่ามันดังมาจากบริเวณบ้านของเขาเอง

เนื่องจากชายหนุ่มมัวแต่สนใจว่าใครมาทำอะไรในบ้านของตนจึงไม่ทันสังเกตว่ารถปิ๊กอัพคันใหญ่ของแก้มแหม่มเคลื่อนมาจอดต่อท้ายรถของตน กระทั่งมือเล็กวางแปะลงมาบนท่อนแขนของเขา นั่นละพริษฐ์ถึงละสายตาจากต้นกำเนิดเสียงหันไปมอง

“มานานหรือยังคุณ” ชายหนุ่มไม่ทันได้ตอบคำถามนั้นด้วยซ้ำ แก้มแหม่มก็หันไปทางรถคันใหญ่ของตน ตะโกนเสียงดัง “ยอด เอาของลงให้หมดนะ เดี๋ยวพี่ตามคนงานอื่นๆ มาช่วย”

“ครับ พี่ชมพู่”

“คุณหาคนงานมาได้แล้วหรือครับ” พริษฐ์ถาม เริ่มเดาออกว่าต้นกำเนิดเสียงจอแจที่ดังมาถึงริมถนนนั้นคงเป็นเสียงของคนงานทำความสะอาดบ้าน ซึ่งแก้มแหม่มบอกว่าจะหามาให้วันนี้

“อือ...สิบคน รวมคุณกับฉันด้วยก็เป็นสิบสอง”

“คุณ...กับผม” ชายหนุ่มถามย้ำ นิ้วเรียวชี้ไปที่หญิงสาวแล้วดึงกลับมาจิ้มอกตัวเองอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจว่าตนเองหูฝาดไปหรือเปล่า

“ใช่ คุณกับฉันอีกสองแรงงานก็เพิ่มเป็นสิบสอง ส่วนยอดนั่นไม่นับ ให้วิ่งหยิบจับของเป็นครั้งคราว”

พริษฐ์หันไปมองแรงงานพิเศษซึ่งกำลังลำเลียงไม้กวาด ที่โกยผง และอุปกรณ์ต่างๆ นานาอย่างแข็งขัน พอรู้ว่าถูกเขาจ้องมอง เด็กชายก็หันมาฉีกยิ้มจนเห็นฟันขาวตัดกับผิวไม่ต่างจากเมื่อวานส่งมาให้ แล้วหันไปง่วนกับงานของตัวเองต่อ

“แต่ผมเป็นนายจ้างนะ” เขาบอกเสียงแข็ง ยืนยันว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ทำ แต่ดูเหมือนหญิงสาวไม่สนใจ เจ้าตัวยื่นหน้ามามองด้วยท่าทางใสซื่อ กะพริบตาปริบๆ ราวกับถามว่า...

“แล้วไง”

“ไม่ ยังไงผมก็ไม่ทำ” ชายหนุ่มยังยืนยันคำเดิม และอีกคนก็ยังไม่เลิกทำหน้าเหมือนเดิมเช่นกัน ท่าทางแก้มแหม่มดื้อดึงไม่น้อย และหลังจากเล่นเกมจ้องตากันอยู่ครู่ใหญ่ แก้มแหม่มก็เป็นฝ่ายขยับเข้าหา

“น่าคุณ อย่าเรื่องมากเลย ไปเถอะ” ไม่พูดเปล่า ยังคว้ามือชายหนุ่มกุมไว้แน่น ไม่เปิดโอกาสให้ถอย แล้วออกแรงดึงให้เขาเดินตาม

ความตกใจเมื่อโดนประชิดตัวในคราแรกหายไปเมื่อรู้สึกถึงความสากระคาย จนเผลอก้มมองมือเล็กซึ่งยังกอบกุมมือเขาเอาไว้มั่นอย่างไม่รู้ตัว พริษฐ์เผลอบีบมือเล็กนั้นเบาๆ อย่างไม่แน่ใจ

“มีอะไรหรือเปล่าคุณ” เจ้าของมือหันมาถามทันที

“มือคุณ” เขาพูดเหมือนคราง

หญิงสาวดึงมือตัวเองมาพลิกดู แล้วถามกลั้วเสียงหัวเราะ

“อ๋อ คุณจะบอกว่ามือฉันด้านใช่ไหม เรื่องปกติน่ะคุณ อย่าตกใจเลย คนใช้แรงงาน ไม่ได้ทำงานนั่งโต๊ะ วันๆ เฝ้าแต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มือจะหยาบบ้างแตกบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา”

คำตอบของหญิงสาวฟังดูธรรมดาเหลือเกินจนพริษฐ์อดอึ้งไม่ได้

สังคมฉาบฉวยมองคนแค่รูปลักษณ์ภายนอกอย่างในเมืองหลวง ทำให้วันๆ เขาเจอแต่ผู้หญิงสวย สร้างภาพหรือพยายามปั้นแต่งให้น่ารักตลอดเวลา ผิดกับสาวภูธรคนนี้ เธอไม่แม้แต่แสดงอาการอายออกมาด้วยซ้ำ

นี่ถ้าเป็นสาวชาวกรุงเจอเขาพูดตรงๆ ขนาดนี้ คงแว้ดๆ หาว่าเขาไม่มีมารยาทไปแล้ว เผลอๆ อาจโดนตบอีกต่างหาก

“อย่ามัวแต่สนใจมือฉันเลยคุณ เข้าไปข้างในกันเถอะ ยิ่งช้าจะยิ่งเสียเวลา ป่านนี้ทุกคนคงรอแล้วละ อ๊ะ ช่วยถือนี่ไปด้วย”

พร้อมๆ กับประโยคนั้นไม้กวาดพื้นกองโตถูกยัดใส่อ้อมกอดเขา เช่นเคยแก้มแหม่มไม่รอฟังหรือถามว่าเขาเต็มใจหรือเปล่า เจ้าตัวหันไปช่วยยอดขนอุปกรณ์อีกหลายอย่างซึ่งถูกยกลงจากกระบะหลังกองไว้กับพื้น เดินลิ่วๆ นำเข้าไปในบริเวณบ้าน ไปถึงหญิงสาวก็ออกปากให้คนงานอีกส่วนไปขนของที่เหลือเข้ามา

ตอนยอดยกของที่หญิงสาวใช้รถบรรทุกมา พริษฐ์ก็ไม่ได้สนใจ พอทุกอย่างมากองรวมกันอยู่ตรงหน้าบันไดเรือนไทยเขาก็ได้แต่อึ้ง ทั้งไม้กวาดพื้น ไม้กวาดพานหยากไย่ ถุงดำ ที่โกยผง แปลงขัดพื้น ถังน้ำ และอีกหลายๆ อย่างนั้นล้วนแล้วแต่เป็นของใหม่ทั้งสิ้น นั่นหมายความว่า...

“ไม่ต้องทำท่าตกใจขนาดนั้นคุณ อ๊ะ นี่บิลค่าของ จ่ายมาด้วยนะ”

พริษฐ์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ รับกระดาษซึ่งมีตัวหนังสือบนหัวว่า ‘บิลเงินสด’ มาถือไว้อย่างขำๆ

ไม่รู้เขาคิดถูกหรือผิดที่ให้แก้มแหม่มช่วยในคราวนี้






เนตรนภัส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.ค. 2560, 11:19:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.ค. 2560, 11:19:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 863





<< บทที่ 6   บทที่ 8 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account