Crazy Love Song เพลงรักลวงใจ
เธอ ฝันอยากจะเป็นนักร้อง เลือกเดินหนีจากทุกสิ่งเพื่อไขว่คว้าหาอิสระ
เขา นักดนตรีผู้ไร้ความฝัน เลือกเดินหนีจากทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าหาที่พักของหัวใจ
พวกเขาจะพากันหนีไปจนสุดขอบฟ้า... หรือว่าจะดิ่งลงเหวไปด้วยกัน
เขา นักดนตรีผู้ไร้ความฝัน เลือกเดินหนีจากทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าหาที่พักของหัวใจ
พวกเขาจะพากันหนีไปจนสุดขอบฟ้า... หรือว่าจะดิ่งลงเหวไปด้วยกัน
Tags: วัยรุ่น,ดราม่า,ดนตรี,วง,รัก,ดาร์ก
ตอน: บทเพลงที่ 8
บทเพลงที่ 8
Dream VS Reality
วันอาทิตย์สำหรับคนทั่วไปนั้นมักจะเป็นวันหยุดพักผ่อนหลังจากที่ได้ทำงานยาวนานมาทั้งสัปดาห์ และจะตื่นสายเท่าไหร่ก็ย่อมได้ แต่สำหรับฉันแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น ฉันหลงนึกไปว่า ‘อรุณสวัสดิ์’ ของไนท์จะเป็นยามเช้าตามที่เขาบอกจริงๆ เสียอีก
ห้องของเขาปิดผ้าม่านจนเกือบมืดตื๋อ มีแสงลอดผ่านเข้ามาได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น เมื่อฉันเหลือบไปเห็นหน้าปัดนาฬิกาตั้งโต๊ะบนพื้น แวบแรกฉันนึกว่านาฬิกาเสียเพราะถูกไนท์เขวี้ยงลงมาเมื่อคืนนี้ แต่แล้วก็ต้องรู้สึกแปลกๆ เนื่องจากไม่คิดว่าพวกเราจะสามารถตื่นเช้าได้หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน และพอเงยหน้าขึ้นไปมองนาฬิกาบนผนังแล้ว ใบหน้างามก็ต้องซีดเผือดโดยพลัน ก่อนจะรีบควานหาโทรศัพท์มือถือมาโทรแจ้งที่ทำงานด้วยความวิตกทันทีที่เห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแล้วต่างหาก
หลังจากที่ฉันโทรบอกที่ทำงานเรียบร้อยว่าอยู่ๆ ฉันก็ไม่สบายขึ้นมากะทันหัน ทำให้ต้องลาป่วย ไนท์ก็บอกกับฉันว่าเขาจะลองไปขอโทษพวกบอย เพราะว่าเขารู้สึกผิดจริงๆ จากนั้นก็บอกเบอร์โทรศัพท์ของตัวเอง รวมทั้งเบอร์ของพวกบอยมาให้ด้วย
“คืนนี้จะโทรไปหานะ” เสียงนุ่มก้มลงมาพูดกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู ขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินไปตามทางเดินชั้นล่างสุด ซึ่งให้ความรู้สึกจั๊กจี้ได้ไม่น้อย ฉันยกไหล่ซ้ายขึ้นแนบแก้มพร้อมกับบิดตัวน้อยๆ โดยอัตโนมัติด้วยความรู้สึกเสียววาบบริเวณลำคอ
ฉันเดินออกมาจากหอพักพร้อมกับไนท์ ก่อนที่จะเลี้ยวแยกไปอีกทางเขาก็หันมาจุ๊บเบาๆ ตรงริมฝีปากของฉัน แล้วทำตาปรือ มองตรงมาพร้อมด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเช่นเคย
“แล้วเจอกัน”
“อื้อ แล้วเจอกัน” เสียงใสตอบกลับไปอย่างไม่อาจห้ามรอยยิ้มกว้างของตัวเองเอาไว้ได้
เมื่อพวกเราแยกกันแล้ว ฉันก็อดที่จะยกมือขึ้นมาแตะเบาๆ ตรงริมฝีปากของตัวเอง พลางนึกย้อนไปถึงรสจูบแสนหอมหวานของไนท์ไม่ได้ นี่มันช่างเหลือเชื่อจริงๆ ไม่เคยคิดเลยว่าฉันจะได้มีจูบแรกกับไนท์ ไม่สิ ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดเขาถึงขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ
ฉันหลับตาปี๋ พร้อมกับร้องกรี๊ดลั่นอยู่ในใจด้วยความรู้สึกดีใจสุดๆ
ตลอดทางที่นั่งแท็กซี่กลับมาบ้านฉันเอาแต่หวนนึกไปถึงจูบแรก จินตนาการว่าไปเที่ยวที่โน่นที่นี่ด้วยกันสองคน และไม่ว่ามันจะไปที่ไหนฉันก็ไม่สนใจหรอก ขอแค่มีเขาอยู่เคียงข้างก็พอ ยิ่งคิดไปไกล ฉันก็ชักจะรู้สึกคิดถึงไนท์ขึ้นมาเสียแล้วทั้งๆ ที่พวกเราเพิ่งแยกกันไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเลยแท้ๆ
ฉันรู้สึกเหมือนกับว่ามีคนสองคนอยู่ในตัวเอง คนหนึ่งคือตัวตนของฉันจริงๆ ในยามที่อยู่กับพวกไนท์ ส่วนอีกคนคือฉันที่อยู่ที่บ้าน พวกเราคือฉันสองคนที่อยู่ในร่างเดียวกัน และสามารถเปลี่ยนสลับกันได้โดยอัตโนมัติตามสภาพแวดล้อมหรือคนรอบข้าง
แต่จริงๆ แล้ว ตอนอยู่ที่บ้านฉันอาจจะแค่ใส่หน้ากากอยู่เสมอเลยก็ได้
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอลูก ตื่นบ่ายเชียวนะ” แม่เดินออกมาจากครัว แล้วยิ้มทันทีที่เห็นฉันกำลังจะขึ้นบันไดไปชั้นบน “เข้ามาในครัวเร็ว แม่เพิ่งทำของชอบของลูกเสร็จพอดี”
ฉันกลอกตาขึ้นอย่างเซ็งๆ ก่อนจะเดินตามผู้เป็นแม่เข้าไปในครัว พอผ่านช่วงแอดมิชชั่นไปแล้ว ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติเหมือนก่อนหน้านี้ ไม่ว่าฉันจะกลับบ้านดึก หรือแม้แต่จะไม่ได้กลับบ้านเลยก็ตาม แม่ก็ไม่เคยรู้ หรืออาจจะรู้แต่ไม่ได้สนใจ ส่วนพ่อก็ยังคงทำเมินตามปกติ ไม่มาคอยด่าฉันเหมือนตอนที่เพิ่งผ่านช่วงการประกาศผลแอดมิชชั่นอีกต่อไป
เมื่อดูจากการที่ทั้งสองคนกลับมาทำตัวเหมือนเดิมแบบนี้แล้ว แสดงว่าเรื่องยัดเงินใต้โต๊ะนั่นคงจะยังไม่มีอะไรคืบหน้า หรือก็คงไม่เป็นไปตามที่พ่อกับแม่หวังเอาไว้
แม่ยกถาดอาหารที่เพิ่งทำเสร็จมาวางไว้บนโต๊ะ พลางฮัมเพลงเบาๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนกับว่าวันนี้มีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้น แล้วเดินกลับไปที่เตาใหม่ ส่วนพ่อก็นั่งเงียบอยู่ตรงหัวโต๊ะ ก้มหน้าอ่านอะไรบางอย่างในไอแพดโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองฉัน
ฉันปรายตามองจานอาหารสามสี่ใบบนโต๊ะ แล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับหันไปมองทางอื่นอย่างเบื่อหน่าย อาหารพวกนี้มีแต่ไก่ทอดทั้งนั้น แล้วก็มีแต่พวกของรสจัดทั้งหลาย
ทั้งหมดมีแต่ของชอบของพี่ต่างหาก
ฉันเคยบอกแม่ไปตั้งไม่รู้กี่รอบแล้วว่าฉันไม่ชอบไก่ทอด เพราะว่ามันมัน แต่แม่ก็ไม่เคยสนใจ สนใจแต่พี่แดนเท่านั้น แม่ไม่เคยถามฉันเลยด้วยซ้ำว่าฉันชอบกินอะไร ดังนั้นถึงฉันจะพร่ำบอกออกไปอีกกี่สิบรอบ แม่ก็คงไม่สนใจหรอก เพราะฉะนั้นฉันจึงขี้เกียจพูดซ้ำซากอีก รำคาญ
ฉันหยิบส้อมที่วางขนาบอยู่ข้างจานข้าวของตัวเอง แล้วจิ้มไก่ทอดชิ้นหนึ่งขึ้นมากินด้วยสีหน้าเรียบเฉยโดยที่ไม่เอ่ยพูดบ่นอะไรทั้งสิ้น
“เดี๋ยววันนี้พี่เขาจะกลับบ้านเร็ว แม่ก็เลยเตรียมอาหารไว้เร็วหน่อย เพราะเห็นว่าพี่เขาจะออกไปทำงานที่บ้านเพื่อนตอนดึก”
“ก็ดีนี่คะ” เสียงเนือยตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ
พวกเรานั่งกินข้าวกันเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอยู่พักใหญ่ แล้วแม่ก็เป็นคนทำลายความเงียบนั้นลงในที่สุด
“เอ่อ...เดย์ เห็นว่าลูกไปเที่ยวบาร์มาเหรอจ๊ะ” แม่เอื้อมมือมาตักไก่ทอดไปสองชิ้น แล้วก็ตักชิ้นที่สามต่อ ชิ้นที่สี่ ชิ้นที่ห้า...
ฉันนั่งมองจานข้าวของผู้เป็นแม่ซึ่งเต็มไปด้วยไก่ทอด พลางคิดอย่างเอือมๆ ว่าแม่ของฉันช่างเป็นคนที่อ่านง่ายดีเหลือเกิน
“ผับค่ะ ไม่ใช่บาร์” ฉันเอ่ยตอบเสียงเรียบ พร้อมกับใช้ส้อมจิ้มไกชิ้นสุดท้ายมาใส่จานของตัวเอง นึกสงสัยว่าทำไมแม่ถึงรู้เรื่องที่ฉันไปเที่ยวผับได้
“แสดงว่าลูกไปมาจริงๆ ใช่มั้ย”
“แม่ถามทำไมเหรอคะ”
“ตอนที่หนูพลอยโทรมาก่อนหน้านี้ หนูพลอยเขาบอกกับแม่ว่าพวกลูกไปเที่ยวกันมา... แม่ก็เลยอยากจะถามเพื่อความแน่ใจน่ะ”
ฉันกัดปากแน่นทันทีที่ได้รู้ว่าอดีตเพื่อนรักนั้นหักหลังฉันถึงสองครั้งเลยทีเดียว อารมณ์ขุ่นมัวเริ่มปะทุกลายเป็นอารมณ์เดือดขึ้นมาอย่างฉับพลัน ฉันไม่เคยคิดเลยว่าพลอยจะทำแบบนี้กับฉันได้ลงคอ
“เดย์ สิ่งที่ลูกทำน่ะมันไม่ดี ลูกยังอายุไม่ถึงเลย มันผิดกฎหมายนะ” แม่เริ่มเข้าบทเทศนาสั่งสอนฉัน แต่คนฟังกลับยักไหล่ทีหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ
“แล้วไงคะ คนอื่นเขาก็ทำกัน”
“หึ ข้อแก้ตัวของพวกไม่มีสมอง” พ่อซึ่งนั่งเงียบมาโดยตลอดเอ่ยแทรกขึ้น ก่อนจะละสายตาจากหน้าจอไอแพดขึ้นมาจ้องฉันเขม็ง “แกคิดว่าการคอรัปชั่นมันผิดมั้ย”
ฉันขมวดคิ้วน้อยๆ ขณะมองสบสายตากับพ่ออย่างระแวงว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน แล้วพยักหน้าไปให้เป็นคำตอบ
“แต่พวกนักการเมืองมันก็คอรัปชั่นกันทั้งนั้นนี่ เพราะฉะนั้นมันก็ต้องทำได้สิ” พ่อสวนกลับมาแทบจะในทันที แล้วหันกลับไปที่หน้าจอไอแพดต่อ พลางส่ายหน้าไปมาเหมือนกับว่าเอือมระอาฉันเต็มทน “สิ่งที่คนอื่นเขาทำกัน ใช่ว่ามันจะไม่ผิด ตรรกะประหลาดจริงๆ แกเถียงกลับกวนประสาทแบบนี้มันแสดงให้เห็นถึงความไร้สมองของตัวเอง”
ฉันกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ อยู่ๆ ก็หายใจติดขัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ฉันพยายามสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอด แต่มันก็ทำได้ยากลำบากเหลือเกิน ราวกับว่าอากาศภายในบ้านหลังนี้ไม่ใช่อากาศให้ฉันเอาไว้ใช้หายใจ
ใช่แล้ว ฉันมันเด็กไร้สมอง ไม่มีวันเรียนกฎหมายได้หรอก แล้วจะมาบังคับฉันทำไมในเมื่อรู้ดีอยู่แล้วว่าฉันโง่
ฉันลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะโดยพลันเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหายใจไม่ออก แล้วรีบวิ่งออกมาจากบ้านอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ฉันวิ่งพ้นจากตัวบ้านออกมาข้างนอก ฉันก็รู้สึกโล่ง ปลอดโปร่งขึ้นมาในพริบตา อากาศรอบตัวสามารถถ่ายเทเข้าปอดได้อย่างง่ายดาย
#########
“พวกเราอยู่ที่สตูดิโอ กำลังจะเริ่มซ้อมกัน ฉันมาที่นี่สิ” เสียงสดใสของไนท์ลอดผ่านโทรศัพท์ออกมา ขณะที่ฉันกำลังเดินไปเรื่อยๆ ตามทางเดินเท้าริมถนน เสียงของเขาฟังดูร่าเริงทีเดียวหลังจากที่เขาบอกว่าเขาคืนดีกับพวกบอยแล้ว
“อือ...ฉันขอผ่านดีกว่า ”
“เสียงของเดย์ฟังดูแปลกๆ นะ มีอะไรรึเปล่า” น้ำเสียงเป็นห่วงจากทางปลายสายทำให้ฉันอยากวิ่งไปกอดเขาเสียเดี๋ยวนี้ แต่ฉันก็ต้องห้ามความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ เพราะว่าไนท์เพิ่งจะคืนดีกับพวกบอย แล้วพวกเขาก็กำลังซ้อมดนตรีกันอยู่ ฉันไม่อยากเอาเรื่องของตัวเองไปรบกวนพวกเขา
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่เจ็บคอนิดหน่อยน่ะ สงสัยจะนอนไม่พอ”
“ถ้างั้นก็ต้องกินน้ำเยอะๆ แล้วนอนพักซะนะ” จากนั้นก็มีเสียงของบอยลอดผ่านออกมาบอกให้พวกเขาเริ่มซ้อมกันได้แล้ว ทำให้ไนท์ต้องกล่าวลากับฉัน “แล้วคืนนี้ฉันจะโทรไปหาใหม่”
หลังจากที่เขาวางสายไปแล้ว ฉันก็เดินไปขึ้นรถไฟฟ้า แล้วหาที่ยืนตรงรอยเชื่อมต่อระหว่างขบวนรถ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองควรจะไปที่ไหน ใจหนึ่งก็อยากจะไปหาไนท์เหลือเกิน แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากที่จะไปรบกวนพวกเขา
ฉันร้องไห้ออกมาเงียบๆ ขณะยืนนิ่งๆ อยู่กับที่ รู้สึกเหมือนกับว่าไม่มีที่ให้กลับไป จึงเอาแต่ยืนอยู่ในรถไฟฟ้าแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ พลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย จนมันวิ่งวนกลับมาที่เดิมเป็นรอบที่สอง รอบที่สาม
แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเรียกของใครคนหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆ ตัว
“...เดย์” เสียงเรียกชื่อของฉันทำให้ฉันหันขวับไปมองยังที่มาของเสียง แล้วฉันก็ต้องมองอีกฝ่ายอย่างงุนงงน้อยๆ เพราะจำคนตรงหน้าไม่ได้
คนตรงหน้าอยู่ในชุดลำลองธรรมดา กำลังจูงมือเด็กน้อยคนหนึ่งอยู่
แต่พอมองดีๆ แล้วฉันก็ชักจะรู้สึกคุ้นหน้าอีกฝ่ายขึ้นมาบ้างเหมือนกัน
ใช่แล้ว บีที่เคยออกจากโรงเรียนไปกลางคัน...
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สบายดีมั้ย” บีเอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร
ฉันก้มมองร่างน้อยๆ แล้วก็ชักจะรู้สึกไม่อยากคุยกับอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เด็กชายตตัวน้อยคนนี้คงจะเป็นลูกของบี ถ้าอย่างนั้นเรื่องข่าวลือนั่นก็เป็นความจริงน่ะสิ
ท้องในวัยเรียน...
แม้ว่าฉันจะไม่ได้อยากรู้สึกรังเกียจ แต่มันห้ามใจไม่ให้ตัดสินนิสัยของบีจากภาพที่ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้าไม่ได้จริงๆ
ฉันยิ้มเจื่อนๆ โดยที่ไม่พูดอะไรตอบกลับไป รู้สึกไม่ค่อยกล้าคุยกับอีกฝ่ายสักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ
“ตอนนี้ว่างมั้ย ไปนั่งคุยกันดีกว่า ฉันไปเจอร้านกาแฟที่เพิ่งเปิดใหม่ อยู่สถานีต่อไปนี่เอง”
ฉันอยากจะตอบปฏิเสธ แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลอะไรมาใช้เป็นข้ออ้างดี เพราะว่าตอนนี้ฉันกำลังว่างอยู่จริงๆ
ในเมื่อคิดหาเหตุผลมาใช้เป็นข้ออ้างไม่ได้ อีกทั้งยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ฉันจึงตัดสินใจลงจากรถไฟฟ้าพร้อมกับบี แล้วเดินตามอีกฝ่ายไป พวกเราเดินลงมาจากสถานีรถไฟฟ้าโดยที่ไม่มีใครพูดอะไร จากนั้นบีก็เดินเลี้ยวเข้าไปยังร้านกาแฟร้านหนึ่งซึ่งอยู่ตรงตีนบันไดเลื่อนทางขึ้นของสถานีพอดี
บีสั่งชาเขียวเย็นแก้วหนึ่งกับพนักงาน ก่อนจะหันมาถามว่าฉันจะเอาอะไร แต่ฉันกลับไม่รู้สึกอยากจะกินอะไร จึงส่ายหน้าปฏิเสธไป
“ช่วงนี้เข้าหน้าฝนแล้วล่ะ” บีพูดพึมพำขณะนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม หยิบเสื้อกันหนาวตัวจิ๋วออกมาจากกระเป๋าสะพาย แล้วหันไปสวมให้กับเด็กน้อยข้างกาย ซึ่งกำลังนั่งอ้าปากหาว เหมือนอยากจะหลับปุ๋ยเต็มทน
จากนั้นบีก็หันมามองฉัน พร้อมกับยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ฉันรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยขณะมองสบสายตากับอีกฝ่าย
“เดย์ยังเรียนอยู่ที่เดิมรึเปล่า” บีเอ่ยถามเสียงใส “จะว่าไปตอนนี้เป็นช่วงแอดมิชชั่นนี่เนอะ”
พอบทสนทนาวกเข้าเรื่องแอดมิชชั่น ฉันก็นั่งตัวเกร็งขึ้นมาทันที
“เรื่องมหา’ลัย...”
ฉันรู้สึกว่าตาข้างขวาของฉันกระตุกน้อยๆ เมื่อได้ยินคำต้องห้ามนั่น บีกำลังจะถามว่าฉันเข้าที่ไหนได้สินะ พอถูกถามคำถามนี้ ฉันก็รู้สึกฉุนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ฉันไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมาสาธยายประวัติส่วนตัวให้กับคนที่เคยเจอหน้ากันแค่ไม่กี่ทีตอนม.ต้นสักหน่อย นี่มันเรื่องส่วนตัวชัดๆ มันไม่เกี่ยวอะไรกับบีเลยสักนิด ทำไมฉันต้องมาทนนั่งให้คนตรงหน้าสอบปากคำอยู่อย่างนี้ด้วย
“...ถ้าเดย์ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรนะ” อยู่ๆ บีก็บอกปัด แต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกงุนงง เพราะว่าปรับอารมณ์ของตัวเองไม่ทัน ตอนแรกฉันกำลังโกรธ แต่อยู่ๆ อารมณ์ฉุนเฉียวก็ได้หายวับไปอย่างรวดเร็ว
“ฉันเข้าใจถ้าเดย์จะไม่อยากคุยกับฉัน” เสียงเรียบๆ พูดต่อ พร้อมกับยิ้มๆ เหมือนกับว่าไม่ได้ถือสาอะไร “ทุกคนคงจะมองว่าฉันไม่ดีที่ท้องตั้งแต่อยู่แค่ม.สาม มันผิดประเพณี ผิดธรรมเนียม ฉันถูกคนอื่นมองด้วยสายตารังเกียจอยู่เสมอ จนมันทำให้ฉันรู้สึกชินแล้วล่ะ”
ฉันหลุบสายตาลงต่ำอย่างไม่กล้ามองสบสายตากับบีสักเท่าไหร่ ฉันรู้สึกเหมือนกำลังถูกคนตรงหน้าต่อว่าโดยทางอ้อมอยู่ เพราะว่าฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนพวกนั้นด้วยเช่นกัน
“ตอนนั้นชีวิตของฉันย่ำแย่มาก เพราะว่าท้องแล้วพ่อเด็กก็ไม่รับผิดชอบ แต่ว่าฉันไม่อยากเอาเด็กออก กลัวการทำแท้งน่ะ” บียิ้มจางๆ ขณะพูดเรื่องในอดีตของตัวเอง “พอท้องเริ่มโตจนเห็นได้ชัด ฉันก็โดนไล่ออกจากโรงเรียน หลังจากคลอด ฉันก็ต้องทำงานหาเงินเลี้ยงลูก ฉันเคยวาดฝันเอาไว้ว่าจะมีครอบครัวที่อบอุ่น ไม่เป็นแบบแม่ที่ถูกพ่อทิ้งไป ฉันไม่มีพ่อ มีแต่แม่ ซึ่งแม่ก็คอยช่วยเหลือฉันทุกอย่าง ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกผิดมากที่เป็นตัวก่อปัญหา สร้างภาระให้กับแม่ นึกเสียใจและโทษโชคชะตา โทษตัวเอง โทษทุกคน โทษทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ฉันฝันสลาย ฉันอยากฆ่าตัวตาย แต่ก็ตายไม่ได้เพราะว่าฉันยังมีแม่ มีลูกที่ต้องดูแล ฉันทิ้งพวกเขาไปไม่ได้”
ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมบีถึงยังยิ้มอยู่ได้ เพราะว่าเรื่องที่อีกฝ่ายเล่ามานั้นมันฟังดูหดหู่เหลือเกิน แต่บีก็ยังคงรอยยิ้มจางๆ เอาไว้ ซึ่งมันทำให้แวบหนึ่งฉันคิดว่าคนตรงหน้าแข็งแกร่งมากเลยทีเดียว อีกทั้งยังทำให้ฉันรู้สึกสับสนว่าบีเป็นคนดีหรือไม่ดีกันแน่
“แต่เมื่อเวลาผ่านไป พอฉันทำใจยอมรับเผชิญหน้ากับความจริงได้แล้ว ฉันก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรมากนัก คนเราเอาแต่จมอยู่กับความฝัน แล้วคอยหนีปัญหาไปตลอดไม่ได้หรอก”
คำพูดของบีทำให้ฉันเบือนสายตาหนีไปจากอีกฝ่ายอีกครั้ง
คนเราเอาแต่จมอยู่กับความฝัน แล้วคอยหนีปัญหาไปตลอดไม่ได้หรอ**ก
มันช่างเป็นการสะท้อนความเป็นจริงในขณะนี้ที่ตอกย้ำจิตใจของฉันสิ้นดี
“ไม่ว่าจะเจอกับปัญหาแบบไหน ขอให้ตั้งสติ และทำใจยอมรับมันให้ได้ มันก็แค่อุปสรรคที่เราต้องก้าวข้ามมันไปให้ได้เท่านั้น” น้ำเสียงนุ่มพูดต่อพร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ฉันเหลือบสายตาขึ้นมองคนตรงหน้า พลางคิดถึงประโยคเมื่อครู่นี้ของอีกฝ่าย แต่ยิ่งคิด ฉันก็ยิ่งรู้สึกปวดหัว ฉันไม่รู้ว่าปัญหาของตัวเองคืออะไรด้วยซ้ำ ฉันกำลังหนีอะไรอยู่ก็ไม่รู้ รู้เพียงแค่ว่าฉันไม่มีความสุข แล้วพวกไนท์ก็ทำให้ฉันลืมปัญหาทั้งหมดไปได้ ดังนั้นเขาจึงเปรียบเสมือนเป็นทางหนีของฉัน
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการหนี แต่มันก็ทำให้ฉันสบายใจ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอไง
เมื่อเห็นว่าฉันไม่ตอบอะไรกลับไป บีก็ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหยิบสมุดเล็กๆ เล่มหนึ่งกับปากกาน้ำเงินออกมาจากกระเป๋า แล้วฉีกกระดาษหน้าหนึ่งออกมา
“ฉันรู้ว่าเราเพิ่งมาเจอกัน คงไม่สนิทใจที่จะคุยเรื่องปัญหากันหรอก” บีก้มเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดาษแผ่นนั้น จากนั้นก็ยื่นส่งมันมาให้ฉัน “แต่ถ้าอยากจะคุย หรืออยากให้ฉันช่วยอะไรก็บอกได้นะ”
ฉันรับกระดาษแผ่นเล็กๆ มาจากมือของอีกฝ่าย แล้วก็เห็นว่าสิ่งที่เขียนอยู่บนกระดาษคือเบอร์โทรศัพท์
“โทรมาได้ตลอดเลยนะ แต่ถ้าส่งไลน์มาฉันคงตอบช้าหน่อยเพราะต้องดูลูกน่ะ แล้วก็ไม่ค่อยชอบคุยไลน์เท่าไหร่ ฉันคิดว่าการคุยกันด้วยวิธีพิมพ์ตัวอักษรนั้น มันไม่สามารถรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของอีกฝ่ายได้เหมือนกับการพูดคุยกันทางโทรศัพท์ ซึ่งเป็นเหตุทำให้เกิดการเข้าใจผิดกันได้ง่ายอีกด้วย ดังนั้นฉันก็เลยชอบคุยโทรศัพท์มากกว่า”
ฉันมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกทึ่ง บีในตอนนี้นั้นดูแตกต่างจากบีในความทรงจำของฉันเมื่อสามปีก่อนมากเลยทีเดียว เปลี่ยนไปราวกับว่าเป็นคนละคน กลายเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ทั้งๆ ที่เราสองคนอายุเท่ากันแท้ๆ
เลขอายุ ไม่ได้บ่งบอกความเป็นผู้ใหญ่ของใครอย่างที่ไนท์พูดจริงๆ นั่นแหละ
“ฉันดีใจที่ได้เจอเดย์นะ” บีกล่าวยิ้มๆ ก่อนจะหันไปดูเด็กชายตัวน้อยข้างกาย แล้วไม่พูดอะไรออกมาอีก
หลังจากนั้นพวกเราก็นั่งเงียบๆ กันต่ออีกประมาณห้านาที ก่อนที่บีจะขอตัวกลับก่อน ส่วนฉันก็นั่งอยู่คนเดียวต่อไปอีกพักใหญ่ แล้วถึงค่อยลุกเดินออกไปจากร้าน
########
//โปรดติดตามตอนต่อไป//
บทเพลงที่ 8
Dream VS Reality
วันอาทิตย์สำหรับคนทั่วไปนั้นมักจะเป็นวันหยุดพักผ่อนหลังจากที่ได้ทำงานยาวนานมาทั้งสัปดาห์ และจะตื่นสายเท่าไหร่ก็ย่อมได้ แต่สำหรับฉันแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น ฉันหลงนึกไปว่า ‘อรุณสวัสดิ์’ ของไนท์จะเป็นยามเช้าตามที่เขาบอกจริงๆ เสียอีก
ห้องของเขาปิดผ้าม่านจนเกือบมืดตื๋อ มีแสงลอดผ่านเข้ามาได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น เมื่อฉันเหลือบไปเห็นหน้าปัดนาฬิกาตั้งโต๊ะบนพื้น แวบแรกฉันนึกว่านาฬิกาเสียเพราะถูกไนท์เขวี้ยงลงมาเมื่อคืนนี้ แต่แล้วก็ต้องรู้สึกแปลกๆ เนื่องจากไม่คิดว่าพวกเราจะสามารถตื่นเช้าได้หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน และพอเงยหน้าขึ้นไปมองนาฬิกาบนผนังแล้ว ใบหน้างามก็ต้องซีดเผือดโดยพลัน ก่อนจะรีบควานหาโทรศัพท์มือถือมาโทรแจ้งที่ทำงานด้วยความวิตกทันทีที่เห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแล้วต่างหาก
หลังจากที่ฉันโทรบอกที่ทำงานเรียบร้อยว่าอยู่ๆ ฉันก็ไม่สบายขึ้นมากะทันหัน ทำให้ต้องลาป่วย ไนท์ก็บอกกับฉันว่าเขาจะลองไปขอโทษพวกบอย เพราะว่าเขารู้สึกผิดจริงๆ จากนั้นก็บอกเบอร์โทรศัพท์ของตัวเอง รวมทั้งเบอร์ของพวกบอยมาให้ด้วย
“คืนนี้จะโทรไปหานะ” เสียงนุ่มก้มลงมาพูดกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู ขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินไปตามทางเดินชั้นล่างสุด ซึ่งให้ความรู้สึกจั๊กจี้ได้ไม่น้อย ฉันยกไหล่ซ้ายขึ้นแนบแก้มพร้อมกับบิดตัวน้อยๆ โดยอัตโนมัติด้วยความรู้สึกเสียววาบบริเวณลำคอ
ฉันเดินออกมาจากหอพักพร้อมกับไนท์ ก่อนที่จะเลี้ยวแยกไปอีกทางเขาก็หันมาจุ๊บเบาๆ ตรงริมฝีปากของฉัน แล้วทำตาปรือ มองตรงมาพร้อมด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเช่นเคย
“แล้วเจอกัน”
“อื้อ แล้วเจอกัน” เสียงใสตอบกลับไปอย่างไม่อาจห้ามรอยยิ้มกว้างของตัวเองเอาไว้ได้
เมื่อพวกเราแยกกันแล้ว ฉันก็อดที่จะยกมือขึ้นมาแตะเบาๆ ตรงริมฝีปากของตัวเอง พลางนึกย้อนไปถึงรสจูบแสนหอมหวานของไนท์ไม่ได้ นี่มันช่างเหลือเชื่อจริงๆ ไม่เคยคิดเลยว่าฉันจะได้มีจูบแรกกับไนท์ ไม่สิ ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดเขาถึงขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ
ฉันหลับตาปี๋ พร้อมกับร้องกรี๊ดลั่นอยู่ในใจด้วยความรู้สึกดีใจสุดๆ
ตลอดทางที่นั่งแท็กซี่กลับมาบ้านฉันเอาแต่หวนนึกไปถึงจูบแรก จินตนาการว่าไปเที่ยวที่โน่นที่นี่ด้วยกันสองคน และไม่ว่ามันจะไปที่ไหนฉันก็ไม่สนใจหรอก ขอแค่มีเขาอยู่เคียงข้างก็พอ ยิ่งคิดไปไกล ฉันก็ชักจะรู้สึกคิดถึงไนท์ขึ้นมาเสียแล้วทั้งๆ ที่พวกเราเพิ่งแยกกันไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเลยแท้ๆ
ฉันรู้สึกเหมือนกับว่ามีคนสองคนอยู่ในตัวเอง คนหนึ่งคือตัวตนของฉันจริงๆ ในยามที่อยู่กับพวกไนท์ ส่วนอีกคนคือฉันที่อยู่ที่บ้าน พวกเราคือฉันสองคนที่อยู่ในร่างเดียวกัน และสามารถเปลี่ยนสลับกันได้โดยอัตโนมัติตามสภาพแวดล้อมหรือคนรอบข้าง
แต่จริงๆ แล้ว ตอนอยู่ที่บ้านฉันอาจจะแค่ใส่หน้ากากอยู่เสมอเลยก็ได้
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอลูก ตื่นบ่ายเชียวนะ” แม่เดินออกมาจากครัว แล้วยิ้มทันทีที่เห็นฉันกำลังจะขึ้นบันไดไปชั้นบน “เข้ามาในครัวเร็ว แม่เพิ่งทำของชอบของลูกเสร็จพอดี”
ฉันกลอกตาขึ้นอย่างเซ็งๆ ก่อนจะเดินตามผู้เป็นแม่เข้าไปในครัว พอผ่านช่วงแอดมิชชั่นไปแล้ว ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติเหมือนก่อนหน้านี้ ไม่ว่าฉันจะกลับบ้านดึก หรือแม้แต่จะไม่ได้กลับบ้านเลยก็ตาม แม่ก็ไม่เคยรู้ หรืออาจจะรู้แต่ไม่ได้สนใจ ส่วนพ่อก็ยังคงทำเมินตามปกติ ไม่มาคอยด่าฉันเหมือนตอนที่เพิ่งผ่านช่วงการประกาศผลแอดมิชชั่นอีกต่อไป
เมื่อดูจากการที่ทั้งสองคนกลับมาทำตัวเหมือนเดิมแบบนี้แล้ว แสดงว่าเรื่องยัดเงินใต้โต๊ะนั่นคงจะยังไม่มีอะไรคืบหน้า หรือก็คงไม่เป็นไปตามที่พ่อกับแม่หวังเอาไว้
แม่ยกถาดอาหารที่เพิ่งทำเสร็จมาวางไว้บนโต๊ะ พลางฮัมเพลงเบาๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนกับว่าวันนี้มีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้น แล้วเดินกลับไปที่เตาใหม่ ส่วนพ่อก็นั่งเงียบอยู่ตรงหัวโต๊ะ ก้มหน้าอ่านอะไรบางอย่างในไอแพดโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองฉัน
ฉันปรายตามองจานอาหารสามสี่ใบบนโต๊ะ แล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับหันไปมองทางอื่นอย่างเบื่อหน่าย อาหารพวกนี้มีแต่ไก่ทอดทั้งนั้น แล้วก็มีแต่พวกของรสจัดทั้งหลาย
ทั้งหมดมีแต่ของชอบของพี่ต่างหาก
ฉันเคยบอกแม่ไปตั้งไม่รู้กี่รอบแล้วว่าฉันไม่ชอบไก่ทอด เพราะว่ามันมัน แต่แม่ก็ไม่เคยสนใจ สนใจแต่พี่แดนเท่านั้น แม่ไม่เคยถามฉันเลยด้วยซ้ำว่าฉันชอบกินอะไร ดังนั้นถึงฉันจะพร่ำบอกออกไปอีกกี่สิบรอบ แม่ก็คงไม่สนใจหรอก เพราะฉะนั้นฉันจึงขี้เกียจพูดซ้ำซากอีก รำคาญ
ฉันหยิบส้อมที่วางขนาบอยู่ข้างจานข้าวของตัวเอง แล้วจิ้มไก่ทอดชิ้นหนึ่งขึ้นมากินด้วยสีหน้าเรียบเฉยโดยที่ไม่เอ่ยพูดบ่นอะไรทั้งสิ้น
“เดี๋ยววันนี้พี่เขาจะกลับบ้านเร็ว แม่ก็เลยเตรียมอาหารไว้เร็วหน่อย เพราะเห็นว่าพี่เขาจะออกไปทำงานที่บ้านเพื่อนตอนดึก”
“ก็ดีนี่คะ” เสียงเนือยตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ
พวกเรานั่งกินข้าวกันเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอยู่พักใหญ่ แล้วแม่ก็เป็นคนทำลายความเงียบนั้นลงในที่สุด
“เอ่อ...เดย์ เห็นว่าลูกไปเที่ยวบาร์มาเหรอจ๊ะ” แม่เอื้อมมือมาตักไก่ทอดไปสองชิ้น แล้วก็ตักชิ้นที่สามต่อ ชิ้นที่สี่ ชิ้นที่ห้า...
ฉันนั่งมองจานข้าวของผู้เป็นแม่ซึ่งเต็มไปด้วยไก่ทอด พลางคิดอย่างเอือมๆ ว่าแม่ของฉันช่างเป็นคนที่อ่านง่ายดีเหลือเกิน
“ผับค่ะ ไม่ใช่บาร์” ฉันเอ่ยตอบเสียงเรียบ พร้อมกับใช้ส้อมจิ้มไกชิ้นสุดท้ายมาใส่จานของตัวเอง นึกสงสัยว่าทำไมแม่ถึงรู้เรื่องที่ฉันไปเที่ยวผับได้
“แสดงว่าลูกไปมาจริงๆ ใช่มั้ย”
“แม่ถามทำไมเหรอคะ”
“ตอนที่หนูพลอยโทรมาก่อนหน้านี้ หนูพลอยเขาบอกกับแม่ว่าพวกลูกไปเที่ยวกันมา... แม่ก็เลยอยากจะถามเพื่อความแน่ใจน่ะ”
ฉันกัดปากแน่นทันทีที่ได้รู้ว่าอดีตเพื่อนรักนั้นหักหลังฉันถึงสองครั้งเลยทีเดียว อารมณ์ขุ่นมัวเริ่มปะทุกลายเป็นอารมณ์เดือดขึ้นมาอย่างฉับพลัน ฉันไม่เคยคิดเลยว่าพลอยจะทำแบบนี้กับฉันได้ลงคอ
“เดย์ สิ่งที่ลูกทำน่ะมันไม่ดี ลูกยังอายุไม่ถึงเลย มันผิดกฎหมายนะ” แม่เริ่มเข้าบทเทศนาสั่งสอนฉัน แต่คนฟังกลับยักไหล่ทีหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ
“แล้วไงคะ คนอื่นเขาก็ทำกัน”
“หึ ข้อแก้ตัวของพวกไม่มีสมอง” พ่อซึ่งนั่งเงียบมาโดยตลอดเอ่ยแทรกขึ้น ก่อนจะละสายตาจากหน้าจอไอแพดขึ้นมาจ้องฉันเขม็ง “แกคิดว่าการคอรัปชั่นมันผิดมั้ย”
ฉันขมวดคิ้วน้อยๆ ขณะมองสบสายตากับพ่ออย่างระแวงว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน แล้วพยักหน้าไปให้เป็นคำตอบ
“แต่พวกนักการเมืองมันก็คอรัปชั่นกันทั้งนั้นนี่ เพราะฉะนั้นมันก็ต้องทำได้สิ” พ่อสวนกลับมาแทบจะในทันที แล้วหันกลับไปที่หน้าจอไอแพดต่อ พลางส่ายหน้าไปมาเหมือนกับว่าเอือมระอาฉันเต็มทน “สิ่งที่คนอื่นเขาทำกัน ใช่ว่ามันจะไม่ผิด ตรรกะประหลาดจริงๆ แกเถียงกลับกวนประสาทแบบนี้มันแสดงให้เห็นถึงความไร้สมองของตัวเอง”
ฉันกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ อยู่ๆ ก็หายใจติดขัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ฉันพยายามสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอด แต่มันก็ทำได้ยากลำบากเหลือเกิน ราวกับว่าอากาศภายในบ้านหลังนี้ไม่ใช่อากาศให้ฉันเอาไว้ใช้หายใจ
ใช่แล้ว ฉันมันเด็กไร้สมอง ไม่มีวันเรียนกฎหมายได้หรอก แล้วจะมาบังคับฉันทำไมในเมื่อรู้ดีอยู่แล้วว่าฉันโง่
ฉันลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะโดยพลันเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหายใจไม่ออก แล้วรีบวิ่งออกมาจากบ้านอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ฉันวิ่งพ้นจากตัวบ้านออกมาข้างนอก ฉันก็รู้สึกโล่ง ปลอดโปร่งขึ้นมาในพริบตา อากาศรอบตัวสามารถถ่ายเทเข้าปอดได้อย่างง่ายดาย
#########
“พวกเราอยู่ที่สตูดิโอ กำลังจะเริ่มซ้อมกัน ฉันมาที่นี่สิ” เสียงสดใสของไนท์ลอดผ่านโทรศัพท์ออกมา ขณะที่ฉันกำลังเดินไปเรื่อยๆ ตามทางเดินเท้าริมถนน เสียงของเขาฟังดูร่าเริงทีเดียวหลังจากที่เขาบอกว่าเขาคืนดีกับพวกบอยแล้ว
“อือ...ฉันขอผ่านดีกว่า ”
“เสียงของเดย์ฟังดูแปลกๆ นะ มีอะไรรึเปล่า” น้ำเสียงเป็นห่วงจากทางปลายสายทำให้ฉันอยากวิ่งไปกอดเขาเสียเดี๋ยวนี้ แต่ฉันก็ต้องห้ามความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ เพราะว่าไนท์เพิ่งจะคืนดีกับพวกบอย แล้วพวกเขาก็กำลังซ้อมดนตรีกันอยู่ ฉันไม่อยากเอาเรื่องของตัวเองไปรบกวนพวกเขา
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่เจ็บคอนิดหน่อยน่ะ สงสัยจะนอนไม่พอ”
“ถ้างั้นก็ต้องกินน้ำเยอะๆ แล้วนอนพักซะนะ” จากนั้นก็มีเสียงของบอยลอดผ่านออกมาบอกให้พวกเขาเริ่มซ้อมกันได้แล้ว ทำให้ไนท์ต้องกล่าวลากับฉัน “แล้วคืนนี้ฉันจะโทรไปหาใหม่”
หลังจากที่เขาวางสายไปแล้ว ฉันก็เดินไปขึ้นรถไฟฟ้า แล้วหาที่ยืนตรงรอยเชื่อมต่อระหว่างขบวนรถ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองควรจะไปที่ไหน ใจหนึ่งก็อยากจะไปหาไนท์เหลือเกิน แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากที่จะไปรบกวนพวกเขา
ฉันร้องไห้ออกมาเงียบๆ ขณะยืนนิ่งๆ อยู่กับที่ รู้สึกเหมือนกับว่าไม่มีที่ให้กลับไป จึงเอาแต่ยืนอยู่ในรถไฟฟ้าแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ พลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย จนมันวิ่งวนกลับมาที่เดิมเป็นรอบที่สอง รอบที่สาม
แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเรียกของใครคนหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆ ตัว
“...เดย์” เสียงเรียกชื่อของฉันทำให้ฉันหันขวับไปมองยังที่มาของเสียง แล้วฉันก็ต้องมองอีกฝ่ายอย่างงุนงงน้อยๆ เพราะจำคนตรงหน้าไม่ได้
คนตรงหน้าอยู่ในชุดลำลองธรรมดา กำลังจูงมือเด็กน้อยคนหนึ่งอยู่
แต่พอมองดีๆ แล้วฉันก็ชักจะรู้สึกคุ้นหน้าอีกฝ่ายขึ้นมาบ้างเหมือนกัน
ใช่แล้ว บีที่เคยออกจากโรงเรียนไปกลางคัน...
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สบายดีมั้ย” บีเอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร
ฉันก้มมองร่างน้อยๆ แล้วก็ชักจะรู้สึกไม่อยากคุยกับอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เด็กชายตตัวน้อยคนนี้คงจะเป็นลูกของบี ถ้าอย่างนั้นเรื่องข่าวลือนั่นก็เป็นความจริงน่ะสิ
ท้องในวัยเรียน...
แม้ว่าฉันจะไม่ได้อยากรู้สึกรังเกียจ แต่มันห้ามใจไม่ให้ตัดสินนิสัยของบีจากภาพที่ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้าไม่ได้จริงๆ
ฉันยิ้มเจื่อนๆ โดยที่ไม่พูดอะไรตอบกลับไป รู้สึกไม่ค่อยกล้าคุยกับอีกฝ่ายสักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ
“ตอนนี้ว่างมั้ย ไปนั่งคุยกันดีกว่า ฉันไปเจอร้านกาแฟที่เพิ่งเปิดใหม่ อยู่สถานีต่อไปนี่เอง”
ฉันอยากจะตอบปฏิเสธ แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลอะไรมาใช้เป็นข้ออ้างดี เพราะว่าตอนนี้ฉันกำลังว่างอยู่จริงๆ
ในเมื่อคิดหาเหตุผลมาใช้เป็นข้ออ้างไม่ได้ อีกทั้งยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ฉันจึงตัดสินใจลงจากรถไฟฟ้าพร้อมกับบี แล้วเดินตามอีกฝ่ายไป พวกเราเดินลงมาจากสถานีรถไฟฟ้าโดยที่ไม่มีใครพูดอะไร จากนั้นบีก็เดินเลี้ยวเข้าไปยังร้านกาแฟร้านหนึ่งซึ่งอยู่ตรงตีนบันไดเลื่อนทางขึ้นของสถานีพอดี
บีสั่งชาเขียวเย็นแก้วหนึ่งกับพนักงาน ก่อนจะหันมาถามว่าฉันจะเอาอะไร แต่ฉันกลับไม่รู้สึกอยากจะกินอะไร จึงส่ายหน้าปฏิเสธไป
“ช่วงนี้เข้าหน้าฝนแล้วล่ะ” บีพูดพึมพำขณะนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม หยิบเสื้อกันหนาวตัวจิ๋วออกมาจากกระเป๋าสะพาย แล้วหันไปสวมให้กับเด็กน้อยข้างกาย ซึ่งกำลังนั่งอ้าปากหาว เหมือนอยากจะหลับปุ๋ยเต็มทน
จากนั้นบีก็หันมามองฉัน พร้อมกับยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ฉันรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยขณะมองสบสายตากับอีกฝ่าย
“เดย์ยังเรียนอยู่ที่เดิมรึเปล่า” บีเอ่ยถามเสียงใส “จะว่าไปตอนนี้เป็นช่วงแอดมิชชั่นนี่เนอะ”
พอบทสนทนาวกเข้าเรื่องแอดมิชชั่น ฉันก็นั่งตัวเกร็งขึ้นมาทันที
“เรื่องมหา’ลัย...”
ฉันรู้สึกว่าตาข้างขวาของฉันกระตุกน้อยๆ เมื่อได้ยินคำต้องห้ามนั่น บีกำลังจะถามว่าฉันเข้าที่ไหนได้สินะ พอถูกถามคำถามนี้ ฉันก็รู้สึกฉุนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ฉันไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมาสาธยายประวัติส่วนตัวให้กับคนที่เคยเจอหน้ากันแค่ไม่กี่ทีตอนม.ต้นสักหน่อย นี่มันเรื่องส่วนตัวชัดๆ มันไม่เกี่ยวอะไรกับบีเลยสักนิด ทำไมฉันต้องมาทนนั่งให้คนตรงหน้าสอบปากคำอยู่อย่างนี้ด้วย
“...ถ้าเดย์ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรนะ” อยู่ๆ บีก็บอกปัด แต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกงุนงง เพราะว่าปรับอารมณ์ของตัวเองไม่ทัน ตอนแรกฉันกำลังโกรธ แต่อยู่ๆ อารมณ์ฉุนเฉียวก็ได้หายวับไปอย่างรวดเร็ว
“ฉันเข้าใจถ้าเดย์จะไม่อยากคุยกับฉัน” เสียงเรียบๆ พูดต่อ พร้อมกับยิ้มๆ เหมือนกับว่าไม่ได้ถือสาอะไร “ทุกคนคงจะมองว่าฉันไม่ดีที่ท้องตั้งแต่อยู่แค่ม.สาม มันผิดประเพณี ผิดธรรมเนียม ฉันถูกคนอื่นมองด้วยสายตารังเกียจอยู่เสมอ จนมันทำให้ฉันรู้สึกชินแล้วล่ะ”
ฉันหลุบสายตาลงต่ำอย่างไม่กล้ามองสบสายตากับบีสักเท่าไหร่ ฉันรู้สึกเหมือนกำลังถูกคนตรงหน้าต่อว่าโดยทางอ้อมอยู่ เพราะว่าฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนพวกนั้นด้วยเช่นกัน
“ตอนนั้นชีวิตของฉันย่ำแย่มาก เพราะว่าท้องแล้วพ่อเด็กก็ไม่รับผิดชอบ แต่ว่าฉันไม่อยากเอาเด็กออก กลัวการทำแท้งน่ะ” บียิ้มจางๆ ขณะพูดเรื่องในอดีตของตัวเอง “พอท้องเริ่มโตจนเห็นได้ชัด ฉันก็โดนไล่ออกจากโรงเรียน หลังจากคลอด ฉันก็ต้องทำงานหาเงินเลี้ยงลูก ฉันเคยวาดฝันเอาไว้ว่าจะมีครอบครัวที่อบอุ่น ไม่เป็นแบบแม่ที่ถูกพ่อทิ้งไป ฉันไม่มีพ่อ มีแต่แม่ ซึ่งแม่ก็คอยช่วยเหลือฉันทุกอย่าง ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกผิดมากที่เป็นตัวก่อปัญหา สร้างภาระให้กับแม่ นึกเสียใจและโทษโชคชะตา โทษตัวเอง โทษทุกคน โทษทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ฉันฝันสลาย ฉันอยากฆ่าตัวตาย แต่ก็ตายไม่ได้เพราะว่าฉันยังมีแม่ มีลูกที่ต้องดูแล ฉันทิ้งพวกเขาไปไม่ได้”
ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมบีถึงยังยิ้มอยู่ได้ เพราะว่าเรื่องที่อีกฝ่ายเล่ามานั้นมันฟังดูหดหู่เหลือเกิน แต่บีก็ยังคงรอยยิ้มจางๆ เอาไว้ ซึ่งมันทำให้แวบหนึ่งฉันคิดว่าคนตรงหน้าแข็งแกร่งมากเลยทีเดียว อีกทั้งยังทำให้ฉันรู้สึกสับสนว่าบีเป็นคนดีหรือไม่ดีกันแน่
“แต่เมื่อเวลาผ่านไป พอฉันทำใจยอมรับเผชิญหน้ากับความจริงได้แล้ว ฉันก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรมากนัก คนเราเอาแต่จมอยู่กับความฝัน แล้วคอยหนีปัญหาไปตลอดไม่ได้หรอก”
คำพูดของบีทำให้ฉันเบือนสายตาหนีไปจากอีกฝ่ายอีกครั้ง
คนเราเอาแต่จมอยู่กับความฝัน แล้วคอยหนีปัญหาไปตลอดไม่ได้หรอ**ก
มันช่างเป็นการสะท้อนความเป็นจริงในขณะนี้ที่ตอกย้ำจิตใจของฉันสิ้นดี
“ไม่ว่าจะเจอกับปัญหาแบบไหน ขอให้ตั้งสติ และทำใจยอมรับมันให้ได้ มันก็แค่อุปสรรคที่เราต้องก้าวข้ามมันไปให้ได้เท่านั้น” น้ำเสียงนุ่มพูดต่อพร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ฉันเหลือบสายตาขึ้นมองคนตรงหน้า พลางคิดถึงประโยคเมื่อครู่นี้ของอีกฝ่าย แต่ยิ่งคิด ฉันก็ยิ่งรู้สึกปวดหัว ฉันไม่รู้ว่าปัญหาของตัวเองคืออะไรด้วยซ้ำ ฉันกำลังหนีอะไรอยู่ก็ไม่รู้ รู้เพียงแค่ว่าฉันไม่มีความสุข แล้วพวกไนท์ก็ทำให้ฉันลืมปัญหาทั้งหมดไปได้ ดังนั้นเขาจึงเปรียบเสมือนเป็นทางหนีของฉัน
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการหนี แต่มันก็ทำให้ฉันสบายใจ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอไง
เมื่อเห็นว่าฉันไม่ตอบอะไรกลับไป บีก็ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหยิบสมุดเล็กๆ เล่มหนึ่งกับปากกาน้ำเงินออกมาจากกระเป๋า แล้วฉีกกระดาษหน้าหนึ่งออกมา
“ฉันรู้ว่าเราเพิ่งมาเจอกัน คงไม่สนิทใจที่จะคุยเรื่องปัญหากันหรอก” บีก้มเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดาษแผ่นนั้น จากนั้นก็ยื่นส่งมันมาให้ฉัน “แต่ถ้าอยากจะคุย หรืออยากให้ฉันช่วยอะไรก็บอกได้นะ”
ฉันรับกระดาษแผ่นเล็กๆ มาจากมือของอีกฝ่าย แล้วก็เห็นว่าสิ่งที่เขียนอยู่บนกระดาษคือเบอร์โทรศัพท์
“โทรมาได้ตลอดเลยนะ แต่ถ้าส่งไลน์มาฉันคงตอบช้าหน่อยเพราะต้องดูลูกน่ะ แล้วก็ไม่ค่อยชอบคุยไลน์เท่าไหร่ ฉันคิดว่าการคุยกันด้วยวิธีพิมพ์ตัวอักษรนั้น มันไม่สามารถรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของอีกฝ่ายได้เหมือนกับการพูดคุยกันทางโทรศัพท์ ซึ่งเป็นเหตุทำให้เกิดการเข้าใจผิดกันได้ง่ายอีกด้วย ดังนั้นฉันก็เลยชอบคุยโทรศัพท์มากกว่า”
ฉันมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกทึ่ง บีในตอนนี้นั้นดูแตกต่างจากบีในความทรงจำของฉันเมื่อสามปีก่อนมากเลยทีเดียว เปลี่ยนไปราวกับว่าเป็นคนละคน กลายเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ทั้งๆ ที่เราสองคนอายุเท่ากันแท้ๆ
เลขอายุ ไม่ได้บ่งบอกความเป็นผู้ใหญ่ของใครอย่างที่ไนท์พูดจริงๆ นั่นแหละ
“ฉันดีใจที่ได้เจอเดย์นะ” บีกล่าวยิ้มๆ ก่อนจะหันไปดูเด็กชายตัวน้อยข้างกาย แล้วไม่พูดอะไรออกมาอีก
หลังจากนั้นพวกเราก็นั่งเงียบๆ กันต่ออีกประมาณห้านาที ก่อนที่บีจะขอตัวกลับก่อน ส่วนฉันก็นั่งอยู่คนเดียวต่อไปอีกพักใหญ่ แล้วถึงค่อยลุกเดินออกไปจากร้าน
########
//โปรดติดตามตอนต่อไป//
LazyMe
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ก.ค. 2560, 00:13:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.ค. 2560, 00:13:07 น.
จำนวนการเข้าชม : 766
<< บทเพลงที่ 7 | บทเพลงที่ 9 >> |