Crazy Love Song เพลงรักลวงใจ
เธอ ฝันอยากจะเป็นนักร้อง เลือกเดินหนีจากทุกสิ่งเพื่อไขว่คว้าหาอิสระ
เขา นักดนตรีผู้ไร้ความฝัน เลือกเดินหนีจากทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าหาที่พักของหัวใจ
พวกเขาจะพากันหนีไปจนสุดขอบฟ้า... หรือว่าจะดิ่งลงเหวไปด้วยกัน
เขา นักดนตรีผู้ไร้ความฝัน เลือกเดินหนีจากทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าหาที่พักของหัวใจ
พวกเขาจะพากันหนีไปจนสุดขอบฟ้า... หรือว่าจะดิ่งลงเหวไปด้วยกัน
Tags: วัยรุ่น,ดราม่า,ดนตรี,วง,รัก,ดาร์ก
ตอน: บทเพลงที่ 9
บทเพลงที่ 9
Promise? Promise.
บอยกำหนดเวลาซ้อมดนตรีตั้งแต่ช่วงบ่ายยาวไปจนถึงตอนเย็นให้กับสมาชิกวงทุกคน โดยมีบางวันที่พวกเขาจะต้องไปรวมตัวกันที่บ้านของโจ้ เพื่ออัดเสียงสำหรับการประกวดรอบคัดเลือกลงคอมพิวเตอร์ ซึ่งกรรมการตัดสินจะคัดวงที่มีคุณสมบัติเหมาะสมให้เหลือเพียงแค่ยี่สิบวงเท่านั้น แล้วทั้งยี่สิบวงที่ผ่านเข้ารอบก็จะต้องอัพโหลดเพลงของตัวเองลงอินเทอร์เน็ต เพื่อแข่งรอบต่อๆ ไปด้วยจำนวนยอดวิวและยอดไลค์
แม้ว่าจะมีบางวันที่พ่อของฉันอยู่บ้านจึงทำให้ฉันแอบหนีออกมาจากบ้านไม่ได้ แต่ฉันก็แอบหลบออกมาเพื่อไปดูพวกเขาซ้อมเกือบทุกวัน และเป็นผู้ชมแสนดีที่คอยส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจพวกเขาอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเวลาช่วงพัก ซึ่งฉันจะคอยแย่งไมค์พวกเขาร้องเพลงเล่นอยู่บ่อยๆ พลางพูดคุย ส่งเสียงหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน หลังจากนั้นพวกเขาก็ต้องกลับไปฝึกซ้อมต่อ ซึ่งใช้เวลาต่อเนื่องยาวไปจนถึงพลบค่ำ ก่อนที่ไนท์จะต้องแยกตัวไปเล่นกีตาร์ที่ชั้นล่าง เขาเล่นอยู่ประมาณสองชั่วโมงเป็นประจำทุกวัน จากนั้นก็กลับขึ้นมาข้างบน เพื่อร่วมงานปาร์ตี้ของเหล่าคนรักเสียงดนตรีดังเช่นทุกค่ำคืน
หลายวันที่ผ่านมานี้ฉันสังเกตเห็นว่าไนท์มักจะมีอาการง่วงซึมอยู่ตลอดเวลา ไม่ค่อยกินอะไร อีกทั้งยังแอบฟุบหลับคาโต๊ะทุกวัน จนฉันอดที่จะลอบมองเขาอยู่เรื่อยๆ ด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ และเมื่อเขาเห็นว่าฉันกำลังมองอยู่ ไนท์ก็มักจะยิ้มจางๆ แล้วตอบเสียงเนือยๆ กลับมา
“ผลข้างเคียงของยาน่ะ”
เวลาปกติเขาก็ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว พอมาตอนนี้เขายิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรเลยสักคำ ดูง่วงนอนและเอาแต่นั่งซึมตลอดวัน พอเห็นไนท์เป็นแบบนี้ ฉันจึงเริ่มที่จะเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงไม่อยากกินยาจิตเวช เขาคงจะรู้สึกเบื่อตัวเองไม่น้อยที่จะต้องเสียเวลาไปกับการหลับเพียงอย่างเดียว ถึงแม้ว่าฉันอยากจะช่วยเขา แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ในเมื่อดูเหมือนว่าการกินยาจะเป็นหนทางเดียวที่ระงับอาการคลุ้มคลั่งของเขาได้
ไม่หรอก...ฉันเชื่อว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี เพราะว่าฉันจะคอยอยู่เคียงข้างและคอยเป็นกำลังใจให้เขาตลอดไป
‘ขอแค่มีเธออยู่ก็พอ’
ฉันยังจำคำพูดของเขาในคืนนั้นได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นฉันก็จะทำตามคำขอของเขา แล้วเลิกคิดกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะฉันมั่นใจว่าความรักและกำลังใจของฉันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับไนท์
ในช่วงเวลาหนึ่งอาทิตย์นั้นบอยจะเรียกซ้อมดนตรีห้าวัน แต่ก็จะมีวันจันทร์และวันอังคารที่เขาต้องไปทำงานเป็นไกด์พร้อมกับโน้ต ทำให้สองวันนั้นเป็นวันที่ฉันจะไปขลุกอยู่ที่บ้านของไนท์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเขาจะเอาแต่หลับเกือบทั้งวัน ส่วนฉันก็ไปนอนเล่น ฟังเพลง อ่านหนังสืออะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้องของเขา
เสียงขยับตัวบนเตียงเรียกให้ฉันเงยหน้าจากหนังสือในมือขึ้นไปมอง
ไนท์กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงโดยมีกีตาร์ของตัวเองวางอยู่บนตัก เขาส่งรอยยิ้มน้อยๆ มาให้ฉัน ก่อนจะเริ่มเล่นเพลงโปรดของฉันด้วยท่วงทำนองที่แสนไพเราะและอ่อนโยน แม้ว่าจะมีจังหวะต่างไปจากเดิมบ้างเล็กน้อย เหมือนกับว่าเขาจงใจใส่ลูกเล่นแปลกใหม่ลงไป แต่มันกับยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหลงรักในเพลงของเขามากขึ้นไปอีก
ฉันยิ้มกว้างออกมาทันทีอย่างรู้สึกคึกคัก ฉันนึกว่าวันนี้ไนท์จะเอาแต่หลับเหมือนเมื่อวานเสียอีก เสียงดนตรีแสนไพเราะที่กำลังบรรเลงอยู่ในขณะนี้ทำให้ฉันรู้สึกอยากร้องเพลงขึ้นมาในทันใด ดังนั้นฉันจึงรีบลุกขึ้นยืน ยกแขนขวาขึ้นมาทำเป็นว่ากำลังถือไมค์อยู่ จากนั้นก็ค่อยๆ เปล่งเสียงร้องเพลงออกมาควบคู่ไปกับเสียงกีตาร์ของไนท์ แล้วยืนร้องเพลงไปเรื่อยๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับทำท่าประกอบเสมือนว่าตัวเองเป็นนักร้องบนเวที
ไนท์ปรบมือเบาๆ หลังจากที่ฉันร้องเพลงที่สี่จบ พร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ มองตรงมาด้วยสายตาอบอุ่น ทำให้ฉันต้องรีบวิ่งเข้าไปทิ้งตัวลงบนเตียง แล้วคว้าผ้าห่มของเขาขึ้นมาปิดหน้าด้วยความเขิน ไม่ว่าคนอื่นจะพูดชมฉันสักเท่าไหร่ฉันก็ไม่เคยรู้สึกเขินและดีใจเท่ากับที่ไนท์ชมเลย
“ฉันชอบเพลงที่ไนท์แต่งมากที่สุดเลยล่ะ” เสียงใสกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง พลางหัวเราะคิกคักออกมาเบาๆ ก่อนจะมีความคิดอะไรบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว ทำให้ฉันหันไปมองคนตรงหน้าอย่างรู้สึกตื่นเต้น แล้วจับแขนของเขาเขย่าเบาๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด “แต่งอีกสิ นะ นะ”
พอถูกฉันรบเร้าหนักๆ เข้า ไนท์ก็หลุดขำออกมาน้อยๆ
“ต้องมีตัวช่วยก่อน” เขาพูดยิ้มๆ ก่อนจะลุกจากเตียงไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ จากนั้นก็ก้มลงเปิดตู้ชั้นล่างสุด หยิบ ก่อนจะถุงสีขาวๆ ออกมา เขาหันไปหยิบหลอดกาแฟสั้นพร้อมกับหนังสือปกแข็งเล่มหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะ แล้วเดินกลับมาที่เตียงอีกครั้ง
ชายหนุ่มเทผงสีขาวที่ดูแล้วเหมือนเกลือหรือแป้งอะไรสักอย่างลงบนปกของหนังสือ ก่อนจะเหลือบสายตาขึ้นมามองแวบหนึ่งพร้อมด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปาก แล้วหยิบหลอดกาแฟขึ้นมาวางตั้งเหนือผงสีขาว ทำท่าเหมือนจะดูดผงพวกนั้นขึ้นมา แต่แทนที่เขาจะดูดเข้าทางปาก เขากลับใช้จมูกสูดมันเข้าปอดแทน
“มันคืออะไรเหรอ” ฉันเอ่ยถามพร้อมกับนั่งจ้องผงสีขาวตรงหน้าด้วยความสนใจ
คนถูกถามยิ้มน้อยๆ สีหน้าที่เคยดูง่วงซึมเริ่มเปลี่ยนมามีชีวิตชีวาขึ้นโดยพลัน
“โค้กไง” ชายหนุ่มตอบเสียงสดใส ดูร่าเริงกว่าเดิมหลายเท่าตัวอย่างเห็นได้ชัด
ฉันขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างสงสัยว่าโค้กคืออะไร ฉันนึกไปถึงน้ำอัดลม แต่มันคงไม่ใช่แน่ๆ หรือว่าจะเป็นศัพท์เรียก ‘ของดี’ ที่เขาเคยให้ฉันลองเมื่อตอนนั้น
“ขอมั่ง” ฉันแบมือขอหลอดจากอีกฝ่าย ซึ่งไนท์ก็ยื่นให้ฉันทันที แล้วหันไปดีดกีตาร์ต่อด้วยท่าทีกระฉับกระเฉง สีหน้ายิ้มแย้มอย่างสนุกสนาน เพลงที่เขากำลังเล่นอยู่จึงฟังดูสดใสเฮฮา และเหมือนจะเป็นเพลงที่เขาเพิ่งจะแต่งเดี๋ยวนี้ เพราะว่าเขาเล่นๆ หยุดๆ พร้อมกับหันไปคว้าสมุดมาเขียนคอร์ดกีตาร์ไปพลางอีกด้วย
ฉันลองใช้หลอดสูดผงสีขาวเข้าจมูกดูบ้างตามที่เคยเห็นไนท์ทำเมื่อครู่ รู้สึกแปลกใจน้อยๆ ที่มันไม่มีกลิ่น แล้วก็เริ่มรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าตอนนี้ฉันมีเรี่ยวแรงทำได้ทุกอย่าง ใช่แล้ว กับไอ้แค่การเป็นนักร้อง ทำไมฉันจะทำไม่ได้ อีกเดี๋ยวฉันก็จะได้เป็นนักร้องแล้ว ฉันจะร้องเพลงที่ไพเราะที่สุด และเป็นนักร้องที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกได้อย่างแน่นอน
ฉันใช้หลอดสูดผงสีขาวอีกสองสามที แล้วก็หันไปหัวเราะคิกคักกับไนท์ด้วยความรู้สึกเป็นสุขที่สุดเท่าที่เคยรู้สึกมา ฟังเสียงดนตรีของเขาแล้วก็เริ่มมีเนื้อร้องผุดขึ้นมาในหัวเรื่อยๆ อย่างน่าอัศจรรย์ ฉันคว้าปากกาของไนท์มาเขียนเนื้อเพลงในหัวของฉันลงไป จากนั้นก็เริ่มเปล่งเสียงร้องเพลงไปด้วย ฉันไม่เคยรู้สึกหัวแล่นเท่านี้มาก่อนเลย สมองปลอดโปร่ง คิดเนื้อเพลงออกมาได้อย่างรวดเร็ว ราวกับว่ากลไกของสมองของฉันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสมบูรณ์แบบที่สุดจนสามารถคิดหาไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ๆ ได้ทุกวินาที
เวลาผ่านไปจนกระทั่งพวกเราสองคนช่วยกันแต่งเพลงได้ถึงสองเพลงภายในเวลาอันสั้นๆ สมแล้วที่มีตัวช่วยสุดพิเศษของไนท์ ถ้าพวกเราไม่มีมันล่ะก็ แม้ว่าจะพยายามสักเท่าไหร่ ยังไงก็ไม่มีทางแต่งเพลงได้เร็วขนาดนี้แน่นอน
สุดยอดจริงๆ
คิดๆ แล้วฉันก็อยากจะสูดผงสีขาวเข้าปอดอีกที มันช่างให้ความรู้สึกแสนวิเศษเหลือเกิน
หลังจากนั้นพวกเราทั้งคู่ก็ผลัดกันสูด ‘ตัวช่วย’ เข้าปอดกันคนละสองสามทีจนรู้สึกพอใจ และเคลิบเคลิ้มไปกับความรู้สึกสดชื่นที่แสนวิเศษ แล้วพากันทิ้งตัวลงนอนบนเตียง พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะให้กันอย่างมีความสุข
ฉันเลื้อยตัวเข้าไปนอนหนุนแขนของไนท์ เขาใช้มือเขี่ยผมของฉันเล่นไปเรื่อยๆ อย่างเบามือ ก่อนจะหันมามอบจุมพิตแสนอ่อนโยนลงบนศีรษะของฉัน ทำให้ฉันต้องหลับตาปี๋ หลุดเสียงหัวเราะคิกคักออกมา พร้อมกับยกไหล่ขึ้นแนบแก้มด้วยความเขิน
“ตอนเด็กๆ ฉันก็เคยนอนหนุนแขนของพลอยแบบนี้เหมือนกัน” ฉันเกริ่นเล่าเรื่องสมัยเด็กของตัวเองด้วยน้ำเสียงบางเบา ราวกับเป็นแค่การรำพึงรำพันอยู่กับตัวเอง พลางคิดย้อนไปถึงความทรงจำในอดีต ซึ่งมีภาพของฉันกำลังหัวเราะร่วนอยู่กับพลอยปรากฏขึ้นมาในหัวให้เห็นรางๆ
“พ่อแม่ฉันงานยุ่ง ก็เลยไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ส่วนพี่ก็มีสังคมของเขา ฉันจึงต้องอยู่คนเดียวอยู่บ่อยๆ แล้วที่โรงเรียน ฉันก็จะเงียบๆ ไม่ใช่คนพูดเก่ง คนอื่นๆ ก็เลยไม่ค่อยชอบหน้าฉันสักเท่าไหร่ มีแต่พลอยที่คอยอยู่กับฉันมาโดยตลอด...”
พอเรื่องเล่าวกเข้าเรื่องของพลอย ฉันก็ต้องเผลอกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ พร้อมกับรีบเปลี่ยนเรื่องโดยพลัน ต้องขอบคุณ ‘ตัวช่วย’ ของไนท์ที่ทำให้ฉันคิดได้ว่าพลอยก็เป็นแค่เพื่อนไร้ค่า ไม่ต้องไปสนใจ อีกทั้งยังช่วยให้ฉันสามารถลบความรู้สึกไม่สบายใจทั้งหมดออกไปได้ภายในชั่วพริบตา
“นอกจากอยากจะเป็นนักร้องแล้ว ฉันก็มีความฝันอีกอย่างหนึ่งด้วยล่ะ” ฉันอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหลุดขำออกมาเบาๆ ให้กับความหวานเลี่ยนในจินตนาการของตัวเอง “ฉันอยากจะไปร้องเพลงที่ริมหาด แล้วนายก็เล่นกีตาร์ให้ฉันอยู่ข้างๆ”
“ต้องเป็นเพลงที่ฉันแต่งด้วยนะ” ไนท์พูดเสริม ก่อนจะหันมาหอมศีรษะของฉันอีกครั้ง ทำให้ฉันขยับตัวเล็กน้อย พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความรู้สึกจั๊กจี้ จากนั้นเขาก็เอียงคอพิงศีรษะของฉัน
“หรือไม่ก็ร้องเพลงกลางทุ่งดอกไม้ แล้วนายดีดกีตาร์” ฉันพูดต่ออย่างตื่นเต้น พลางจินตนาการถึงภาพของพวกเราทั้งสองคนล้อมรอบไปด้วยดอกไม้สีอ่อนมากมายหลายชนิด ไนท์คอยดีดกีตาร์เป็นเสียงทำนองแสนไพเราะ ส่วนฉันก็กำลังขับบทเพลงของเขาภายใต้ก้อนเมฆสีขาวที่กำลังล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าสดใส “ฉันอยากทำแบบนี้มานานแล้วล่ะ แต่ก็ทำได้แค่จินตนาการ”
“ฉันจะพาเธอไปเอง” เสียงนุ่มพูดขึ้น
เมื่อได้ยินดังนั้นฉันจึงยิ้มกว้างออกมาทันที พร้อมกับยกนิ้วก้อยของตัวเองขึ้นมา ส่วนไนท์ก็ทำตามฉันอย่างเชื่อฟัง แล้วเคลื่อนมือเข้ามาเกี่ยวก้อยสัญญากับฉัน
“สัญญานะ” ฉันกล่าวอย่างจริงจัง
“สัญญา”
สิ้นเสียงคำสัญญา ทั้งสองคนต่างก็หลุดเสียงหัวเราะคิกคักออกมาพร้อมๆ กัน แล้วเงียบกันไปพักหนึ่งโดยที่ไม่มีใครพูดอะไร ฉันอมยิ้มอยู่กับตัวเองขณะนึกถึงสัญญาเมื่อครู่นี้ ซึ่งได้กลายเป็นความฝันของพวกเราทั้งสองคนไปแล้ว
ความฝัน... พอคิดถึงเรื่องความฝัน มันก็อดที่จะทำให้ฉันนึกถึงความฝันที่อยากจะเป็นนักร้องของตัวเองขึ้นมาไม่ได้ ฉันฝันอยากจะเป็นนักร้องมาตั้งแต่เด็ก ฉันอยากเป็นนักร้องเพราะว่าฉันชอบร้องเพลง และมันทำให้ฉันมีความสุข
แต่พ่อและพี่คงจะพูดถูก... มันเป็นความฝันที่เป็นไปไม่ได้
ฉันหุบรอยยิ้มของตัวเองพร้อมกับเม้มปากน้อยๆ ด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยวใจ อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับว่ายาวิเศษของไนท์เริ่มหมดฤทธิ์แล้วทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านไปเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น เมื่อไม่มีฤทธิ์ของยาวิเศษ ความกังวลทั้งหลายก็ได้ไหลทะลักกลับเข้ามาใหม่จนฉันรู้สึกปวดใจเหลือเกิน
อีกสักที...
เมื่อครู่นี้ช่างเป็นประสบการณ์แสนวิเศษ เพราะฉะนั้นขอฉันลองอีกแค่ทีเดียว เพื่อไล่ความทุกข์ทั้งหลายให้หายไปให้หมด ฉันไม่อยากจมอยู่กับความเศร้าหมองอยู่แบบนี้ต่อไปอีกแล้ว
ฉันอ้าปากเพื่อจะเอ่ยขอ ‘ตัวช่วย’ ของไนท์อีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้ด้วยความรู้สึกเกรงใจ เพราะว่ามันเป็นของของเขา และคงจะมีราคาสูงไม่น้อย
ในเมื่อมีแต่ภาพยาวิเศษของไนท์ลอยอยู่ในหัวเต็มไปหมดแบบนี้ ฉันจึงต้องพยายามไปคิดเรื่องอื่นแทน เรื่องอะไรก็ได้ที่จะมาเบนความสนใจจากฉันไป
“จริงสิ...เล่าความฝันของนายให้ฉันฟังบ้างสิ” ฉันเอ่ยถามคาดหวังว่าจะได้ฟังไนท์เล่าเรื่องของตัวเองสมัยเด็กๆ ให้ฉันฟัง อย่างเช่นพวกความฝันอยากจะเป็นซุปเปอร์ฮีโร่เหมือนในการ์ตูน พี่ชายของฉันก็เคยพล่ามเรื่องความฝันอยากจะเป็นสัตวแพทย์ แต่สุดท้ายแล้วก็มาเรียนทนายซะงั้น หรือไม่ก็พวกวีรกรรมแสนโลดโผนต่างๆ ที่จุดประกายความใฝ่ฝันในอดีต
แต่แทนที่ไนท์จะยิ้มน้อยๆ แล้วตอบกลับมาตามที่ฉันคิดเอาไว้ เขากลับเงียบไปนานจนฉันสงสัย
ฉันหันไปมองคนข้างกายอย่างฉงนว่าเขาเป็นอะไรไป มองจากใบหน้าด้านข้างของเขาแล้ว ฉันก็เห็นว่าสีหน้าของเขาดูซึมๆ สายตาเหม่อลอยเหมือนกับว่ากำลังจมอยู่ในภวังค์ของตัวเอง
“...ไม่รู้สิ ฉันไม่มีความฝัน” เสียงเรียบเอ่ยตอบกลับมาในที่สุด บางทีอาจจะเป็นเพราะว่ายาวิเศษของเขาหมดฤทธิ์แล้วก็ได้ ไนท์ถึงได้กลับไปมีอาการเซื่องซึมแบบเดิม
“ถ้าอย่างนั้น...ทำไมนายถึงมาเล่นดนตรีล่ะ” ฉันเอ่ยถามต่อ พลางคิดโยงเรื่องดนตรีเข้ากับความฝันของเขา ไนท์อาจจะเคยมีความฝันว่าจะเป็นนักดนตรี แล้วตอนนี้เขาก็ทำตามที่เคยวาดฝันเอาไว้ได้สำเร็จ จึงทำให้เขาไม่มีความฝันอีกต่อไปแล้วก็ได้
“ไม่รู้เหมือนกัน” คนถูกถามเอ่ยตอบกลับมาเสียงเบา ราวกับว่ากำลังพูดพึมพำอยู่กับตัวเอง “...ฉันเล่นดนตรีเพื่ออะไร ฉันยังไม่รู้เลย คงจะเป็นการระบายอารมณ์ล่ะมั้ง”
ฉันเริ่มสัมผัสได้ถึงอารมณ์หม่นหมองที่กำลังก่อตัวอยู่รอบๆ ไนท์ ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกหดหู่ไปด้วย ดังนั้นฉันจึงพลิกตัวนอนตะแคง หันหน้าไปหาเขา พร้อมกับส่งรอยยิ้มสดใสไปให้ เพื่อคลายบรรยากาศรอบตัวพวกเราทั้งสองคนให้หายไป
“ไม่เป็นไรหรอก มีคนอีกตั้งมากมายที่ไม่มีความฝัน” เสียงใสกล่าวอย่างร่าเริง แม้ว่าฉันจะยังคงรู้สึกเศร้าใจเกี่ยวกับเรื่องการเป็นนักร้องของตัวเอง แต่ฉันก็อยากจะให้กำลังใจเขา อยากให้เขาร่าเริงขึ้น ถ้าเขาไม่มีความสุข ฉันก็ไม่มีความสุขด้วยเช่นกัน “นายอายุแค่นี้แต่ทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้แล้ว ฉันคิดว่ามันน่าชื่นชมมากเลยล่ะ”
ไนท์หันมามองฉัน พร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาน้อยๆ รอยยิ้มแสนอ่อนโยนเช่นเคยที่ทำให้ฉันรู้สึกหลงใหล
“เธอเองก็เหมือนกัน น่าชื่นชมที่มีความฝัน” เขายิ้มจางๆ ขณะมองสบสายตากับฉัน “ฉันต่างหากที่คิดว่าฉันเป็นผู้ใหญ่ ส่วนฉันกลับยังเป็นแค่เด็กที่ยังไม่โต เอาแต่หนีไปวันๆ”
เป็นแค่เด็กอะไรกัน ฉันคิดว่าเขาดูเป็นผู้ใหญ่ออกจะตายไป ดังนั้นฉันจึงรู้สึกอยากที่จะเอ่ยแย้งเขา แต่ประโยคก่อนหน้านี้ของเขากลับดึงสนใจทั้งหมดจากฉันไป ซึ่งคำชมจากไนท์นั้นทำให้ความรู้สึกไม่สบายใจก่อนหน้านี้ของฉันหายวับไปได้อย่างรวดเร็ว
“รู้สึกดีจังเลยที่มีคนชมฉันว่าเป็นผู้ใหญ่ด้วย” ฉันยิ้มกว้างด้วยความรู้สึกเขิน ก่อนจะหรี่ตาลง พร้อมกับมองไปที่เขาอย่างรู้ทัน “แต่ฉันก็รู้ตัวดีว่าตัวเองยังเด็กอยู่ ฉันรู้นะว่านายแค่ปากหวาน”
ไนท์ไม่เอ่ยตอบอะไร พลางมองตรงมาโดยที่ยังคงรอยยิ้มน้อยๆ เอาไว้เช่นเดิม ก่อนจะค่อยๆ โน้มศีรษะเข้ามาหอมหน้าผากของฉันอย่างอ่อนโยน ซึ่งทำให้ฉันต้องหัวเราะคิกคักออกมาเบาๆ ด้วยความเขิน
“อยากอยู่อย่างนี้ตลอดไปเลย” ฉันเอ่ยพึมพำเสียงเบา ขณะนอนซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของไนท์ด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย พลางหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข
“ไปไหนมา” เสียงกร้าวของพ่อดังขึ้นทันทีที่ฉันก้าวขาผ่านประตูเข้าไปในบ้าน
ฉันกลอกตาขึ้นข้างบนอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อเห็นผู้เป็นพ่อทำหน้าเหี้ยม ยืนกอดอกเฝ้าอยู่ตรงตีนบันได ทำให้ฉันขึ้นไปข้างบนไม่ได้เพราะถูกพ่อขวางทางเอาไว้
ให้ตายสิ นึกว่าสายป่านนี้จะออกไปทำงานแล้วซะอีก
“ออกจากบ้านทุกวัน กลับมาตอนสายมั่งล่ะ แป๊บๆ เดี๋ยวก็ออกไปอีกแล้ว ไปค้างอ้างแรมที่ไหนไม่เคยบอกกล่าว” พ่อเริ่มร่ายบทเทศนา พร้อมกับเดินออกห่างจากบันไดเข้ามายืนตรงหน้าฉัน พลางถลึงตามองตรงมาอย่างโกรธเกรี้ยว ซึ่งมันควรจะทำให้ฉันรู้สึกหวั่นเกรง แต่ฉันกลับชินชาเสียจนอยากจะขำซะมากกว่า เพราะตาของพ่อโปนออกมาจนดูเหมือนคนที่มีอาการของโรคไทรอยด์เป็นพิษไม่มีผิดเลย
“เอาแต่ยืนเงียบอยู่ได้ ฟังรึเปล่าฮะ!”
ฉันยักไหล่ไปให้ทีหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ ฉันไม่ค่อยพูดตอบอะไรอยู่แล้ว ไม่ว่าฉันจะพูดอะไรก็ไม่เคยถูกใจพ่อสักอย่าง ในเมื่อเป็นแบบนั้นฉันจึงเลือกที่จะไม่พูดอีก เพราะมั่นใจว่าพ่อจะต้องหาว่าฉันเถียงอีกแน่ๆ ตามเคย
เมื่อได้รับปฏิกิริยาตอบรับตามที่ต้องการ พ่อก็หันไปร่ายยาวบทเทศนาของตัวเองต่อราวกับว่าฉันเพิ่งไปฆ่าใครมา
ฉันถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ ขณะฟังคำบ่นสลับกับคำด่าของอีกฝ่าย ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่มีเรื่องแอดมิชชั่น ฉันก็เคยหนีไปค้างบ้านพลอยโดยที่ไม่ได้บอกตั้งหลายครั้ง ไม่ว่าจะกลับเช้า กลับสาย กลับบ่าย หรือไม่กลับ พ่อกับแม่ไม่เห็นจะเคยสนใจฉันเลย แล้วเพิ่งจะมาสนใจเอาตอนนี้เนี่ยนะ อยากจะบงการชีวิตของฉันนักหรือไง พอฉันไม่แอดเข้านิติตามคำสั่ง ก็เลยเปลี่ยนมาคุมเข้มเรื่องอื่นแทนอย่างนั้นล่ะสิ
“วันนี้เป็นวันเกิดของพี่แก ถ้าฉันไม่โทรไปหาหนูพลอยเพื่อที่จะตามตัวแกให้กลับมาที่บ้าน ก็คงไม่มีทางได้รู้แน่ว่าแกไม่ได้ไปที่บ้านของหนูพลอยแล้ว แต่ไปอยู่ที่ไหนไม่รู้”
ฉันแค่นหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินดังนั้น หึ วันเกิดของพี่ จริงๆ แล้วน่าจะแก้เป็น ถ้าวันนี้ไม่ใช่วันเกิดของพี่ พ่อก็คงไม่มีวันสนใจว่าฉันจะไปอยู่ที่ไหนมากกว่ามั้ง
“แกไปบ้านเพื่อนคนไหนมาฮะ บอกชื่อ บอกเบอร์มาเดี๋ยวนี้”
คำสั่งจากพ่อทำให้ฉันหลุดหัวเราะเยาะออกมา ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ พร้อมกับยกมุมปากขึ้นแย้มรอยยิ้มเย็นอย่างท้าทาย
“บ้านแฟน”
ทันทีที่พูดจบฉันก็รีบพุ่งตัวไปที่บันได วิ่งขึ้นไปที่ห้องของตัวเองอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจเสียงตะโกนของพ่อที่ไล่หลังมา จากนั้นก็จัดการล็อกประตูทันทีที่เข้ามาในห้อง ก่อนจะมีเสียงทุบประตูดังขึ้นตามมาหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้! เดย์!”
ฉันหันไปลากเตียงนอนมาขวางประตูเอาไว้เพื่อไม่ให้พ่อพังประตูเข้ามาได้ แล้วเปิดเสียงเพลงจากสเตอริโอดังสนั่นให้มันกลบเสียงตะโกนของพ่อให้หมด ถ้าอยากจะตะโกนสู้กับเสียงเพลงนักก็เชิญตามสบาย เพราะฉันจะไม่ยอมเบาเสียงลงแม้แต่นิดเดียวแน่ จนกว่าพ่อจะหุบปากนั่นแหละ
ฉันคว้าโทรศัพท์มือถือมาส่งไลน์ไปถามไนท์ว่าเขาจะไปที่เดอะมิราเคิลกี่โมง ตัวเลขบนหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นบอกให้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาสิบโมงครึ่ง ซึ่งไนท์คงจะยังไม่ตื่น พอมาคิดๆ ดูแล้วก็ชักจะรู้สึกเสียดายไม่น้อย เมื่อเช้านี้ฉันไม่น่าแอบย่องออกมาจากห้องของเขาก่อนเลย ไม่น่ากลับมาที่บ้านเลยด้วยซ้ำ ฉันก็นึกว่าพ่อจะไปทำงานแล้วเสียอีก แต่ที่ไหนได้ กลับลางานเพื่อฉลองวันเกิดให้กับลูกชายสุดที่รัก
น่ายินดีซะไม่มี
ถ้าวันนี้ไม่ใช่วันเกิดของพี่ พ่อก็คงจะไม่ลางาน
ถ้าวันนี้ไม่ใช่วันเกิดของพี่ พ่อก็คงจะไม่โทรไปหาพลอย
ถ้าวันนี้ไม่ใช่วันเกิดของพี่ พ่อก็คงจะไม่สนใจฉัน
ถ้าวันนี้ไม่ใช่วันเกิดของพี่ พ่อก็คงจะไม่รู้ว่าฉันยังหายใจอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ
ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งกัดฟันแน่นมากขึ้น อยากจะร้องตะโกนออกมาให้กับความเจ็บใจที่ตัวเองตัดสินใจพลาดไป ฉันน่าจะขนเสื้อผ้าไปด้วย จะได้ไม่ต้องกลับมาเปลี่ยนชุดที่นี่ ฉันไม่น่ากลับมาที่บ้านเลยจริงๆ ไม่น่าเลย
บรรยากาศหมองหมุ่นภายในห้อง รวมทั้งความรู้สึกปวดตุบๆ ตรงขมับทำให้ฉันนึกถึงยาวิเศษของไนท์ของมาอีก ฉันอยากจะสูดผงสีขาวนั่นเหลือเกิน เพื่อให้ความรู้สึกห่อเหี่ยวใจได้กลายเป็นความสดใสร่าเริงอีกครั้ง อีกทั้งยังช่วยให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองสามารถทำได้ทุกอย่าง กระตือรือร้นอยากทำโน่นทำนี่ ไม่ใช่มาจมอยู่กับความรู้สึกหดหู่อยู่แบบนี้ ฉันอยากมีความสุข สนุกสนาน แล้วยาวิเศษของไนท์ก็เป็นผู้ช่วยแสนดีที่ทำให้โลกใบนี้ได้กลายเป็นสีรุ้งสดใส
ฉันอยากจะเป็นนกที่กำลังบินรอบรุ้งกินน้ำอย่างอิสระบนท้องฟ้า
เวลาที่อยากจะทำอะไรสักอย่าง แต่กลับทำไม่ได้นี่มันช่างทรมานเหลือเกิน
ฉันนอนเกลือกกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงอยู่พักใหญ่โดยที่ยังคงเอาแต่นึกถึงยาวิเศษของไนท์ พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูไลน์ว่าไนท์ตอบกลับมาบ้างรึเปล่า แต่แล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง ไนท์คงจะยังไม่ตื่นจริงๆ นั่นแหละ
ดังนั้นฉันจึงลุงจากเตียงไปที่โน้ตบุ๊คแทน แล้วเลือกหนังสักเรื่องหนึ่งมาเปิดดูเพื่อเป็นการเบนความสนใจของฉันออกจากเรื่องยาวิเศษ และยังฆ่าเวลาได้อีกด้วย ฉันต้องรอให้พ่อลืมเรื่องของฉันไปก่อน แล้วฉันก็จะเก็บกระเป๋า แอบออกจากบ้านไปอยู่กับไนท์
เสียงของหนังเสียงดนตรีต่างก็ดังลั่น ตีกันมั่วจนทำให้ฉันต้องหันไปกดหยุดเล่นเพลงเอาไว้ แล้วค่อยหันมาดูหนังต่อ
หลังจากหนังที่ดำเนินเรื่องไปได้สักพักหนึ่ง เสียงเลื่อนเปิดประตูรั้วบ้านก็ดังขึ้น ทำให้ฉันเดาได้ทันทีว่าพี่แดนคงกลับมาแล้ว และต่อจากนี้พ่อกับแม่ก็คงจะช่วยกันทำเค้กเองที่บ้านเหมือนอย่างทุกๆ ปีที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าดีสำหรับฉัน เพราะพวกเขาก็จะขลุกตัวกันอยู่แต่ข้างล่าง ไม่ขึ้นมาชั้นบน
แต่ในอีกสิบนาทีถัดมาฉันก็ต้องกดปิดหนัง เพราะว่ามันไม่ได้มีความสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว จะเปลี่ยนไปดูเรื่องอื่น ฉันก็ไม่รู้สึกว่าอยากจะดูอยู่ดี เหมือนกับว่าตอนนี้ฉันรู้สึกเซ็งๆ เบื่อๆ ดังนั้นฉันจึงลุกเดินไปที่ห้องน้ำ บางทีการอาบน้ำสระผมอาจจะช่วยทำให้ฉันรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นก็ได้
การปล่อยให้น้ำไหลผ่านร่างกายไปเรื่อยๆ นั้นเป็นวิธีอย่างหนึ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจและสดชื่นขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ราวกับว่าความนิ่มนวลของสายน้ำได้ช่วยบรรเทาความเศร้าหมอง รวมทั้งความรู้สึกต่างๆ ที่กำลังอัดแน่นอยู่ภายในจิตใจของฉันให้จางหายไป เพราะฉะนั้นฉันจึงมักจะใช้เวลาอาบน้ำนานเป็นชั่วโมง จนกระทั่งถูกพ่อด่าว่าใช้น้ำเปลืองก็มีอยู่บ่อยครั้ง แต่ในเมื่อฉันไม่ได้มียาวิเศษแบบไนท์ ในบ้านนี้สิ่งที่จะช่วยทำให้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้ก็มีเพียงแค่การอาบน้ำเท่านั้น
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำมานานเท่าไหร่แล้ว แต่ก็พอจะเดาได้ว่าคงจะผ่านไปนานพอสมควร ซึ่งน่าจะนานพอที่จะทำให้พ่อเลิกสนใจเรื่องของฉัน แล้วหันไปทุ่มความสนใจทั้งหมดให้กับพี่แดนแทน
หลังจากที่ได้อาบน้ำจนรู้สึกสดชื่นและหัวสมองปลอดโปร่งมากขึ้น ฉันก็เลิกคิดที่จะเก็บกระเป๋าไปอยู่กับไนท์ เพราะกลัวว่าเขาจะรำคาญ และอีกอย่างหนึ่ง ฉันยังไม่ได้ขอเขาเลยด้วย เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นความคิดที่ดูบุ่มบ่ามและสิ้นคิดเกินไป
เสียงหัวเราะร่วนของพี่แดนดังขึ้นมาจนถึงชั้นบนในตอนที่ฉันค่อยๆ แง้มประตูห้องเปิดออกไป แต่แล้วฉันก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันไปกดเปิดเพลงสเตอริโอดังลั่นอีกครั้ง พร้อมกับเปิดประตูค้างเอาไว้เพื่อให้คงความดังอยู่แบบเดิม ไม่อย่างนั้นพวกพ่อจะจับได้ว่ามีการเปิดปิดประตูห้องของฉัน จากนั้นก็ค่อยๆ ย่องลงบันไดมาที่ชั้นล่างอย่างเงียบๆ แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นเจอกับพี่พอดี สีหน้าของเขาดูยิ้มแย้มอย่างมีความสุข ก่อนจะเปลี่ยนไปยิ้มจางๆ เมื่อเห็นฉัน
หึ ฉลองวันเกิดสุขสบายเชียวนะ
คนตรงหน้าถอนหายใจเบาๆ แล้วทำท่าจะเรียกฉันเอาไว้ ฉันจึงตัดสินใจรีบวิ่งไปที่ประตูหน้าบ้านทันที พร้อมกับเปิดมันออก แล้วพุ่งตัวออกไปข้างนอกโดยที่ไม่ได้หันกลับไปมองอีก เสียงประตูเหวี่ยงกลับไปกระแทกปิดดังปัง แต่ฉันไม่สนใจเรื่องเสียงอีกต่อไปแล้ว ขอเพียงแค่ไม่มีใครมาขวางก่อนที่ฉันจะหนีออกไปจากบ้านได้ก็พอ และพี่ก็เห็นฉันแล้วด้วย เดี๋ยวเขาก็คงจะบอกพ่อว่าฉันแอบหนีออกมาอยู่ดีนั่นแหละ
ฉันหยิบมือถือขึ้นมาโทรไปที่ป้อมยามหน้าหมู่บ้านเพื่อขอให้ช่วยเรียกแท็กซี่ให้ฉันด้วย ระหว่างที่นั่งรออยู่ตรงสวนหย่อมประจำหมู่บ้านฉันก็เปิดไลน์ขึ้นมา แล้วก็ต้องยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจเมื่อเห็นข้อความของไนท์
‘อยู่บนแท็กซี่แล้วล่ะ แล้วเจอกัน’
รถแท็กซี่มารับฉันในอีกห้านาทีต่อมา ฉันบอกจุดหมายปลายทางกับคนขับให้ไปที่เดอะมิราเคิล ระหว่างนั้นฉันก็นั่งพิมพ์ข้อความส่งตอบกับไนท์ไปเรื่อยๆ เพราะตอนนี้เขาก็อยู่บนรถแท็กซี่เหมือนกัน
ฉันมาถึงที่หมายช้ากว่าไนท์ไปประมาณยี่สิบนาที เมื่อมาถึงแล้วฉันก็ไปที่ห้องซ้อมดนตรีชั้นสอง จากนั้นก็เคาะประตูสองสามทีก่อนจะค่อยๆ เปิดแง้มเข้าไปข้างใน ซึ่งพอดีกันกับที่ไนท์ช่วยเปิดประตูออกให้ ฉันยิ้มกว้างพร้อมกับกระโดดกอดชายหนุ่มทันทีที่เห็นเขา
เสียงผิวปากล้อเลียนดังมาจากโจ้และโน้ต ทำให้ฉันผละตัวออกจากเขา แล้วก้มหน้ามองพื้นด้วยความรู้สึกเขิน ฉันเหลือบสายตาไปมองที่คนข้างกาย แล้วก็เห็นว่าชายหนุ่มกำลังอมยิ้มน้อยๆ พลางเอามือลูบท้ายทอย หันมองไปทางอื่น ซึ่งดูท่าทางเก้ๆ กังๆ อยู่ไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นเพื่อนๆ ของไนท์ แม้แต่บอยด้วยก็ยังส่งเสียงผิวปากล้อเลียนกันไม่หยุด ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าด้วยความเขินจัดมากกว่าเดิมเข้าไปอีก จนต้องตวัดสายตากลับมาที่พื้น แล้วเอาแต่ยืนก้มหน้าอยู่อย่างนั้นอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองใคร พวกโจ้นี่ก็เอาแต่ผิวปากกล้อกันอยู่ได้ ทั้งๆ ที่ฉันกับไนท์ไม่ได้กอดกันแล้วซะหน่อย เมื่อกี้นี้ฉันก็แค่ลืมไปว่ายังมีคนอื่นๆ อยู่ในห้องนี้ด้วยเท่านั้นเอง
“สวีทกันจริงนะคู่นี้ น่าอิจฉาว่ะ” โจ้พูดเสียงสูง พร้อมกับยิ้มร่าอย่างล้อเลียน
“มดจะเต็มห้องแล้วเนี่ย” โน้ตเสริมพร้อมด้วยเสียงหัวเราะ ตามมาด้วยที่บอยหัวเราะดังกว่าคนอื่น
ฉันเดินก้มหน้าไปนั่งที่โซฟาอย่างเงียบๆ ไม่กล้าพูดอะไรออกไปทั้งนั้น เพราะกลัวว่าจะยิ่งเป็นการทำให้พวกเขาล้อหนักกว่าเดิม แต่แล้วฉันก็เหลือบไปเห็นว่าบอยกำลังกวักมือเรียกฉันให้ไปหาเขาอยู่ โดยมีโจ้นั่งยิ้มแฉ่งอยู่ข้างๆ
ฉันหันไปมองไนท์ซึ่งกำลังจัดเตรียมเครื่องดนตรีอยู่ทางอีกด้านหนึ่งของห้อง ก่อนจะลุกเดินเข้าไปหาพวกบอยอย่างงงๆ ว่าพวกเขาต้องการจะคุยอะไรกับฉัน
“ฝากดูแลมันด้วยนะน้องเดย์” บอยพูดเสียงเบา ราวกับต้องการที่จะให้ฉันได้ยินแค่คนเดียว
“ไอ้ไนท์มันไม่เคยมีแฟน เอาแต่เก็บตัวเงียบ มาเล่นเพลงแล้วก็ไป ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร” โจ้พูดเสียงกระซิบด้วยอีกคน พร้อมกับแกล้งทำหน้าจริงจังเกินเหตุจนฉันต้องหลุดขำพรืดออกมาเบาๆ “แต่ก็มีหลายครั้งที่มันเมาเละเทะจนคนอื่นขยาด นิสัยประหลาดชิบหาย”
“ขนาดพวกเรามันยังไม่ค่อยคุยด้วยเลย มีฉันเป็นคนแรกนี่แหละที่มันเปิดใจให้” บอยเสริมต่อ ซึ่งเป็นประโยคที่ทำให้ฉันต้องรู้สึกหัวใจพองโตขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก พร้อมกับหัวเราะคิกคักออกมาด้วยความเขิน ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ ไปให้กับทั้งสองคน พร้อมด้วยรอยยิ้มสดใส
“ฉันจะดูแลเขาอย่างดีเลย”
และฉันหมายความตามนั้นจริงๆ
########
//โปรดติดตามตอนต่อไป//
บทเพลงที่ 9
Promise? Promise.
บอยกำหนดเวลาซ้อมดนตรีตั้งแต่ช่วงบ่ายยาวไปจนถึงตอนเย็นให้กับสมาชิกวงทุกคน โดยมีบางวันที่พวกเขาจะต้องไปรวมตัวกันที่บ้านของโจ้ เพื่ออัดเสียงสำหรับการประกวดรอบคัดเลือกลงคอมพิวเตอร์ ซึ่งกรรมการตัดสินจะคัดวงที่มีคุณสมบัติเหมาะสมให้เหลือเพียงแค่ยี่สิบวงเท่านั้น แล้วทั้งยี่สิบวงที่ผ่านเข้ารอบก็จะต้องอัพโหลดเพลงของตัวเองลงอินเทอร์เน็ต เพื่อแข่งรอบต่อๆ ไปด้วยจำนวนยอดวิวและยอดไลค์
แม้ว่าจะมีบางวันที่พ่อของฉันอยู่บ้านจึงทำให้ฉันแอบหนีออกมาจากบ้านไม่ได้ แต่ฉันก็แอบหลบออกมาเพื่อไปดูพวกเขาซ้อมเกือบทุกวัน และเป็นผู้ชมแสนดีที่คอยส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจพวกเขาอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเวลาช่วงพัก ซึ่งฉันจะคอยแย่งไมค์พวกเขาร้องเพลงเล่นอยู่บ่อยๆ พลางพูดคุย ส่งเสียงหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน หลังจากนั้นพวกเขาก็ต้องกลับไปฝึกซ้อมต่อ ซึ่งใช้เวลาต่อเนื่องยาวไปจนถึงพลบค่ำ ก่อนที่ไนท์จะต้องแยกตัวไปเล่นกีตาร์ที่ชั้นล่าง เขาเล่นอยู่ประมาณสองชั่วโมงเป็นประจำทุกวัน จากนั้นก็กลับขึ้นมาข้างบน เพื่อร่วมงานปาร์ตี้ของเหล่าคนรักเสียงดนตรีดังเช่นทุกค่ำคืน
หลายวันที่ผ่านมานี้ฉันสังเกตเห็นว่าไนท์มักจะมีอาการง่วงซึมอยู่ตลอดเวลา ไม่ค่อยกินอะไร อีกทั้งยังแอบฟุบหลับคาโต๊ะทุกวัน จนฉันอดที่จะลอบมองเขาอยู่เรื่อยๆ ด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ และเมื่อเขาเห็นว่าฉันกำลังมองอยู่ ไนท์ก็มักจะยิ้มจางๆ แล้วตอบเสียงเนือยๆ กลับมา
“ผลข้างเคียงของยาน่ะ”
เวลาปกติเขาก็ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว พอมาตอนนี้เขายิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรเลยสักคำ ดูง่วงนอนและเอาแต่นั่งซึมตลอดวัน พอเห็นไนท์เป็นแบบนี้ ฉันจึงเริ่มที่จะเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงไม่อยากกินยาจิตเวช เขาคงจะรู้สึกเบื่อตัวเองไม่น้อยที่จะต้องเสียเวลาไปกับการหลับเพียงอย่างเดียว ถึงแม้ว่าฉันอยากจะช่วยเขา แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ในเมื่อดูเหมือนว่าการกินยาจะเป็นหนทางเดียวที่ระงับอาการคลุ้มคลั่งของเขาได้
ไม่หรอก...ฉันเชื่อว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี เพราะว่าฉันจะคอยอยู่เคียงข้างและคอยเป็นกำลังใจให้เขาตลอดไป
‘ขอแค่มีเธออยู่ก็พอ’
ฉันยังจำคำพูดของเขาในคืนนั้นได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นฉันก็จะทำตามคำขอของเขา แล้วเลิกคิดกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะฉันมั่นใจว่าความรักและกำลังใจของฉันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับไนท์
ในช่วงเวลาหนึ่งอาทิตย์นั้นบอยจะเรียกซ้อมดนตรีห้าวัน แต่ก็จะมีวันจันทร์และวันอังคารที่เขาต้องไปทำงานเป็นไกด์พร้อมกับโน้ต ทำให้สองวันนั้นเป็นวันที่ฉันจะไปขลุกอยู่ที่บ้านของไนท์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเขาจะเอาแต่หลับเกือบทั้งวัน ส่วนฉันก็ไปนอนเล่น ฟังเพลง อ่านหนังสืออะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้องของเขา
เสียงขยับตัวบนเตียงเรียกให้ฉันเงยหน้าจากหนังสือในมือขึ้นไปมอง
ไนท์กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงโดยมีกีตาร์ของตัวเองวางอยู่บนตัก เขาส่งรอยยิ้มน้อยๆ มาให้ฉัน ก่อนจะเริ่มเล่นเพลงโปรดของฉันด้วยท่วงทำนองที่แสนไพเราะและอ่อนโยน แม้ว่าจะมีจังหวะต่างไปจากเดิมบ้างเล็กน้อย เหมือนกับว่าเขาจงใจใส่ลูกเล่นแปลกใหม่ลงไป แต่มันกับยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหลงรักในเพลงของเขามากขึ้นไปอีก
ฉันยิ้มกว้างออกมาทันทีอย่างรู้สึกคึกคัก ฉันนึกว่าวันนี้ไนท์จะเอาแต่หลับเหมือนเมื่อวานเสียอีก เสียงดนตรีแสนไพเราะที่กำลังบรรเลงอยู่ในขณะนี้ทำให้ฉันรู้สึกอยากร้องเพลงขึ้นมาในทันใด ดังนั้นฉันจึงรีบลุกขึ้นยืน ยกแขนขวาขึ้นมาทำเป็นว่ากำลังถือไมค์อยู่ จากนั้นก็ค่อยๆ เปล่งเสียงร้องเพลงออกมาควบคู่ไปกับเสียงกีตาร์ของไนท์ แล้วยืนร้องเพลงไปเรื่อยๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับทำท่าประกอบเสมือนว่าตัวเองเป็นนักร้องบนเวที
ไนท์ปรบมือเบาๆ หลังจากที่ฉันร้องเพลงที่สี่จบ พร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ มองตรงมาด้วยสายตาอบอุ่น ทำให้ฉันต้องรีบวิ่งเข้าไปทิ้งตัวลงบนเตียง แล้วคว้าผ้าห่มของเขาขึ้นมาปิดหน้าด้วยความเขิน ไม่ว่าคนอื่นจะพูดชมฉันสักเท่าไหร่ฉันก็ไม่เคยรู้สึกเขินและดีใจเท่ากับที่ไนท์ชมเลย
“ฉันชอบเพลงที่ไนท์แต่งมากที่สุดเลยล่ะ” เสียงใสกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง พลางหัวเราะคิกคักออกมาเบาๆ ก่อนจะมีความคิดอะไรบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว ทำให้ฉันหันไปมองคนตรงหน้าอย่างรู้สึกตื่นเต้น แล้วจับแขนของเขาเขย่าเบาๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด “แต่งอีกสิ นะ นะ”
พอถูกฉันรบเร้าหนักๆ เข้า ไนท์ก็หลุดขำออกมาน้อยๆ
“ต้องมีตัวช่วยก่อน” เขาพูดยิ้มๆ ก่อนจะลุกจากเตียงไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ จากนั้นก็ก้มลงเปิดตู้ชั้นล่างสุด หยิบ ก่อนจะถุงสีขาวๆ ออกมา เขาหันไปหยิบหลอดกาแฟสั้นพร้อมกับหนังสือปกแข็งเล่มหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะ แล้วเดินกลับมาที่เตียงอีกครั้ง
ชายหนุ่มเทผงสีขาวที่ดูแล้วเหมือนเกลือหรือแป้งอะไรสักอย่างลงบนปกของหนังสือ ก่อนจะเหลือบสายตาขึ้นมามองแวบหนึ่งพร้อมด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปาก แล้วหยิบหลอดกาแฟขึ้นมาวางตั้งเหนือผงสีขาว ทำท่าเหมือนจะดูดผงพวกนั้นขึ้นมา แต่แทนที่เขาจะดูดเข้าทางปาก เขากลับใช้จมูกสูดมันเข้าปอดแทน
“มันคืออะไรเหรอ” ฉันเอ่ยถามพร้อมกับนั่งจ้องผงสีขาวตรงหน้าด้วยความสนใจ
คนถูกถามยิ้มน้อยๆ สีหน้าที่เคยดูง่วงซึมเริ่มเปลี่ยนมามีชีวิตชีวาขึ้นโดยพลัน
“โค้กไง” ชายหนุ่มตอบเสียงสดใส ดูร่าเริงกว่าเดิมหลายเท่าตัวอย่างเห็นได้ชัด
ฉันขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างสงสัยว่าโค้กคืออะไร ฉันนึกไปถึงน้ำอัดลม แต่มันคงไม่ใช่แน่ๆ หรือว่าจะเป็นศัพท์เรียก ‘ของดี’ ที่เขาเคยให้ฉันลองเมื่อตอนนั้น
“ขอมั่ง” ฉันแบมือขอหลอดจากอีกฝ่าย ซึ่งไนท์ก็ยื่นให้ฉันทันที แล้วหันไปดีดกีตาร์ต่อด้วยท่าทีกระฉับกระเฉง สีหน้ายิ้มแย้มอย่างสนุกสนาน เพลงที่เขากำลังเล่นอยู่จึงฟังดูสดใสเฮฮา และเหมือนจะเป็นเพลงที่เขาเพิ่งจะแต่งเดี๋ยวนี้ เพราะว่าเขาเล่นๆ หยุดๆ พร้อมกับหันไปคว้าสมุดมาเขียนคอร์ดกีตาร์ไปพลางอีกด้วย
ฉันลองใช้หลอดสูดผงสีขาวเข้าจมูกดูบ้างตามที่เคยเห็นไนท์ทำเมื่อครู่ รู้สึกแปลกใจน้อยๆ ที่มันไม่มีกลิ่น แล้วก็เริ่มรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าตอนนี้ฉันมีเรี่ยวแรงทำได้ทุกอย่าง ใช่แล้ว กับไอ้แค่การเป็นนักร้อง ทำไมฉันจะทำไม่ได้ อีกเดี๋ยวฉันก็จะได้เป็นนักร้องแล้ว ฉันจะร้องเพลงที่ไพเราะที่สุด และเป็นนักร้องที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกได้อย่างแน่นอน
ฉันใช้หลอดสูดผงสีขาวอีกสองสามที แล้วก็หันไปหัวเราะคิกคักกับไนท์ด้วยความรู้สึกเป็นสุขที่สุดเท่าที่เคยรู้สึกมา ฟังเสียงดนตรีของเขาแล้วก็เริ่มมีเนื้อร้องผุดขึ้นมาในหัวเรื่อยๆ อย่างน่าอัศจรรย์ ฉันคว้าปากกาของไนท์มาเขียนเนื้อเพลงในหัวของฉันลงไป จากนั้นก็เริ่มเปล่งเสียงร้องเพลงไปด้วย ฉันไม่เคยรู้สึกหัวแล่นเท่านี้มาก่อนเลย สมองปลอดโปร่ง คิดเนื้อเพลงออกมาได้อย่างรวดเร็ว ราวกับว่ากลไกของสมองของฉันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสมบูรณ์แบบที่สุดจนสามารถคิดหาไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ๆ ได้ทุกวินาที
เวลาผ่านไปจนกระทั่งพวกเราสองคนช่วยกันแต่งเพลงได้ถึงสองเพลงภายในเวลาอันสั้นๆ สมแล้วที่มีตัวช่วยสุดพิเศษของไนท์ ถ้าพวกเราไม่มีมันล่ะก็ แม้ว่าจะพยายามสักเท่าไหร่ ยังไงก็ไม่มีทางแต่งเพลงได้เร็วขนาดนี้แน่นอน
สุดยอดจริงๆ
คิดๆ แล้วฉันก็อยากจะสูดผงสีขาวเข้าปอดอีกที มันช่างให้ความรู้สึกแสนวิเศษเหลือเกิน
หลังจากนั้นพวกเราทั้งคู่ก็ผลัดกันสูด ‘ตัวช่วย’ เข้าปอดกันคนละสองสามทีจนรู้สึกพอใจ และเคลิบเคลิ้มไปกับความรู้สึกสดชื่นที่แสนวิเศษ แล้วพากันทิ้งตัวลงนอนบนเตียง พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะให้กันอย่างมีความสุข
ฉันเลื้อยตัวเข้าไปนอนหนุนแขนของไนท์ เขาใช้มือเขี่ยผมของฉันเล่นไปเรื่อยๆ อย่างเบามือ ก่อนจะหันมามอบจุมพิตแสนอ่อนโยนลงบนศีรษะของฉัน ทำให้ฉันต้องหลับตาปี๋ หลุดเสียงหัวเราะคิกคักออกมา พร้อมกับยกไหล่ขึ้นแนบแก้มด้วยความเขิน
“ตอนเด็กๆ ฉันก็เคยนอนหนุนแขนของพลอยแบบนี้เหมือนกัน” ฉันเกริ่นเล่าเรื่องสมัยเด็กของตัวเองด้วยน้ำเสียงบางเบา ราวกับเป็นแค่การรำพึงรำพันอยู่กับตัวเอง พลางคิดย้อนไปถึงความทรงจำในอดีต ซึ่งมีภาพของฉันกำลังหัวเราะร่วนอยู่กับพลอยปรากฏขึ้นมาในหัวให้เห็นรางๆ
“พ่อแม่ฉันงานยุ่ง ก็เลยไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ส่วนพี่ก็มีสังคมของเขา ฉันจึงต้องอยู่คนเดียวอยู่บ่อยๆ แล้วที่โรงเรียน ฉันก็จะเงียบๆ ไม่ใช่คนพูดเก่ง คนอื่นๆ ก็เลยไม่ค่อยชอบหน้าฉันสักเท่าไหร่ มีแต่พลอยที่คอยอยู่กับฉันมาโดยตลอด...”
พอเรื่องเล่าวกเข้าเรื่องของพลอย ฉันก็ต้องเผลอกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ พร้อมกับรีบเปลี่ยนเรื่องโดยพลัน ต้องขอบคุณ ‘ตัวช่วย’ ของไนท์ที่ทำให้ฉันคิดได้ว่าพลอยก็เป็นแค่เพื่อนไร้ค่า ไม่ต้องไปสนใจ อีกทั้งยังช่วยให้ฉันสามารถลบความรู้สึกไม่สบายใจทั้งหมดออกไปได้ภายในชั่วพริบตา
“นอกจากอยากจะเป็นนักร้องแล้ว ฉันก็มีความฝันอีกอย่างหนึ่งด้วยล่ะ” ฉันอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหลุดขำออกมาเบาๆ ให้กับความหวานเลี่ยนในจินตนาการของตัวเอง “ฉันอยากจะไปร้องเพลงที่ริมหาด แล้วนายก็เล่นกีตาร์ให้ฉันอยู่ข้างๆ”
“ต้องเป็นเพลงที่ฉันแต่งด้วยนะ” ไนท์พูดเสริม ก่อนจะหันมาหอมศีรษะของฉันอีกครั้ง ทำให้ฉันขยับตัวเล็กน้อย พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความรู้สึกจั๊กจี้ จากนั้นเขาก็เอียงคอพิงศีรษะของฉัน
“หรือไม่ก็ร้องเพลงกลางทุ่งดอกไม้ แล้วนายดีดกีตาร์” ฉันพูดต่ออย่างตื่นเต้น พลางจินตนาการถึงภาพของพวกเราทั้งสองคนล้อมรอบไปด้วยดอกไม้สีอ่อนมากมายหลายชนิด ไนท์คอยดีดกีตาร์เป็นเสียงทำนองแสนไพเราะ ส่วนฉันก็กำลังขับบทเพลงของเขาภายใต้ก้อนเมฆสีขาวที่กำลังล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าสดใส “ฉันอยากทำแบบนี้มานานแล้วล่ะ แต่ก็ทำได้แค่จินตนาการ”
“ฉันจะพาเธอไปเอง” เสียงนุ่มพูดขึ้น
เมื่อได้ยินดังนั้นฉันจึงยิ้มกว้างออกมาทันที พร้อมกับยกนิ้วก้อยของตัวเองขึ้นมา ส่วนไนท์ก็ทำตามฉันอย่างเชื่อฟัง แล้วเคลื่อนมือเข้ามาเกี่ยวก้อยสัญญากับฉัน
“สัญญานะ” ฉันกล่าวอย่างจริงจัง
“สัญญา”
สิ้นเสียงคำสัญญา ทั้งสองคนต่างก็หลุดเสียงหัวเราะคิกคักออกมาพร้อมๆ กัน แล้วเงียบกันไปพักหนึ่งโดยที่ไม่มีใครพูดอะไร ฉันอมยิ้มอยู่กับตัวเองขณะนึกถึงสัญญาเมื่อครู่นี้ ซึ่งได้กลายเป็นความฝันของพวกเราทั้งสองคนไปแล้ว
ความฝัน... พอคิดถึงเรื่องความฝัน มันก็อดที่จะทำให้ฉันนึกถึงความฝันที่อยากจะเป็นนักร้องของตัวเองขึ้นมาไม่ได้ ฉันฝันอยากจะเป็นนักร้องมาตั้งแต่เด็ก ฉันอยากเป็นนักร้องเพราะว่าฉันชอบร้องเพลง และมันทำให้ฉันมีความสุข
แต่พ่อและพี่คงจะพูดถูก... มันเป็นความฝันที่เป็นไปไม่ได้
ฉันหุบรอยยิ้มของตัวเองพร้อมกับเม้มปากน้อยๆ ด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยวใจ อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับว่ายาวิเศษของไนท์เริ่มหมดฤทธิ์แล้วทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านไปเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น เมื่อไม่มีฤทธิ์ของยาวิเศษ ความกังวลทั้งหลายก็ได้ไหลทะลักกลับเข้ามาใหม่จนฉันรู้สึกปวดใจเหลือเกิน
อีกสักที...
เมื่อครู่นี้ช่างเป็นประสบการณ์แสนวิเศษ เพราะฉะนั้นขอฉันลองอีกแค่ทีเดียว เพื่อไล่ความทุกข์ทั้งหลายให้หายไปให้หมด ฉันไม่อยากจมอยู่กับความเศร้าหมองอยู่แบบนี้ต่อไปอีกแล้ว
ฉันอ้าปากเพื่อจะเอ่ยขอ ‘ตัวช่วย’ ของไนท์อีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้ด้วยความรู้สึกเกรงใจ เพราะว่ามันเป็นของของเขา และคงจะมีราคาสูงไม่น้อย
ในเมื่อมีแต่ภาพยาวิเศษของไนท์ลอยอยู่ในหัวเต็มไปหมดแบบนี้ ฉันจึงต้องพยายามไปคิดเรื่องอื่นแทน เรื่องอะไรก็ได้ที่จะมาเบนความสนใจจากฉันไป
“จริงสิ...เล่าความฝันของนายให้ฉันฟังบ้างสิ” ฉันเอ่ยถามคาดหวังว่าจะได้ฟังไนท์เล่าเรื่องของตัวเองสมัยเด็กๆ ให้ฉันฟัง อย่างเช่นพวกความฝันอยากจะเป็นซุปเปอร์ฮีโร่เหมือนในการ์ตูน พี่ชายของฉันก็เคยพล่ามเรื่องความฝันอยากจะเป็นสัตวแพทย์ แต่สุดท้ายแล้วก็มาเรียนทนายซะงั้น หรือไม่ก็พวกวีรกรรมแสนโลดโผนต่างๆ ที่จุดประกายความใฝ่ฝันในอดีต
แต่แทนที่ไนท์จะยิ้มน้อยๆ แล้วตอบกลับมาตามที่ฉันคิดเอาไว้ เขากลับเงียบไปนานจนฉันสงสัย
ฉันหันไปมองคนข้างกายอย่างฉงนว่าเขาเป็นอะไรไป มองจากใบหน้าด้านข้างของเขาแล้ว ฉันก็เห็นว่าสีหน้าของเขาดูซึมๆ สายตาเหม่อลอยเหมือนกับว่ากำลังจมอยู่ในภวังค์ของตัวเอง
“...ไม่รู้สิ ฉันไม่มีความฝัน” เสียงเรียบเอ่ยตอบกลับมาในที่สุด บางทีอาจจะเป็นเพราะว่ายาวิเศษของเขาหมดฤทธิ์แล้วก็ได้ ไนท์ถึงได้กลับไปมีอาการเซื่องซึมแบบเดิม
“ถ้าอย่างนั้น...ทำไมนายถึงมาเล่นดนตรีล่ะ” ฉันเอ่ยถามต่อ พลางคิดโยงเรื่องดนตรีเข้ากับความฝันของเขา ไนท์อาจจะเคยมีความฝันว่าจะเป็นนักดนตรี แล้วตอนนี้เขาก็ทำตามที่เคยวาดฝันเอาไว้ได้สำเร็จ จึงทำให้เขาไม่มีความฝันอีกต่อไปแล้วก็ได้
“ไม่รู้เหมือนกัน” คนถูกถามเอ่ยตอบกลับมาเสียงเบา ราวกับว่ากำลังพูดพึมพำอยู่กับตัวเอง “...ฉันเล่นดนตรีเพื่ออะไร ฉันยังไม่รู้เลย คงจะเป็นการระบายอารมณ์ล่ะมั้ง”
ฉันเริ่มสัมผัสได้ถึงอารมณ์หม่นหมองที่กำลังก่อตัวอยู่รอบๆ ไนท์ ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกหดหู่ไปด้วย ดังนั้นฉันจึงพลิกตัวนอนตะแคง หันหน้าไปหาเขา พร้อมกับส่งรอยยิ้มสดใสไปให้ เพื่อคลายบรรยากาศรอบตัวพวกเราทั้งสองคนให้หายไป
“ไม่เป็นไรหรอก มีคนอีกตั้งมากมายที่ไม่มีความฝัน” เสียงใสกล่าวอย่างร่าเริง แม้ว่าฉันจะยังคงรู้สึกเศร้าใจเกี่ยวกับเรื่องการเป็นนักร้องของตัวเอง แต่ฉันก็อยากจะให้กำลังใจเขา อยากให้เขาร่าเริงขึ้น ถ้าเขาไม่มีความสุข ฉันก็ไม่มีความสุขด้วยเช่นกัน “นายอายุแค่นี้แต่ทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้แล้ว ฉันคิดว่ามันน่าชื่นชมมากเลยล่ะ”
ไนท์หันมามองฉัน พร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาน้อยๆ รอยยิ้มแสนอ่อนโยนเช่นเคยที่ทำให้ฉันรู้สึกหลงใหล
“เธอเองก็เหมือนกัน น่าชื่นชมที่มีความฝัน” เขายิ้มจางๆ ขณะมองสบสายตากับฉัน “ฉันต่างหากที่คิดว่าฉันเป็นผู้ใหญ่ ส่วนฉันกลับยังเป็นแค่เด็กที่ยังไม่โต เอาแต่หนีไปวันๆ”
เป็นแค่เด็กอะไรกัน ฉันคิดว่าเขาดูเป็นผู้ใหญ่ออกจะตายไป ดังนั้นฉันจึงรู้สึกอยากที่จะเอ่ยแย้งเขา แต่ประโยคก่อนหน้านี้ของเขากลับดึงสนใจทั้งหมดจากฉันไป ซึ่งคำชมจากไนท์นั้นทำให้ความรู้สึกไม่สบายใจก่อนหน้านี้ของฉันหายวับไปได้อย่างรวดเร็ว
“รู้สึกดีจังเลยที่มีคนชมฉันว่าเป็นผู้ใหญ่ด้วย” ฉันยิ้มกว้างด้วยความรู้สึกเขิน ก่อนจะหรี่ตาลง พร้อมกับมองไปที่เขาอย่างรู้ทัน “แต่ฉันก็รู้ตัวดีว่าตัวเองยังเด็กอยู่ ฉันรู้นะว่านายแค่ปากหวาน”
ไนท์ไม่เอ่ยตอบอะไร พลางมองตรงมาโดยที่ยังคงรอยยิ้มน้อยๆ เอาไว้เช่นเดิม ก่อนจะค่อยๆ โน้มศีรษะเข้ามาหอมหน้าผากของฉันอย่างอ่อนโยน ซึ่งทำให้ฉันต้องหัวเราะคิกคักออกมาเบาๆ ด้วยความเขิน
“อยากอยู่อย่างนี้ตลอดไปเลย” ฉันเอ่ยพึมพำเสียงเบา ขณะนอนซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของไนท์ด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย พลางหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข
“ไปไหนมา” เสียงกร้าวของพ่อดังขึ้นทันทีที่ฉันก้าวขาผ่านประตูเข้าไปในบ้าน
ฉันกลอกตาขึ้นข้างบนอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อเห็นผู้เป็นพ่อทำหน้าเหี้ยม ยืนกอดอกเฝ้าอยู่ตรงตีนบันได ทำให้ฉันขึ้นไปข้างบนไม่ได้เพราะถูกพ่อขวางทางเอาไว้
ให้ตายสิ นึกว่าสายป่านนี้จะออกไปทำงานแล้วซะอีก
“ออกจากบ้านทุกวัน กลับมาตอนสายมั่งล่ะ แป๊บๆ เดี๋ยวก็ออกไปอีกแล้ว ไปค้างอ้างแรมที่ไหนไม่เคยบอกกล่าว” พ่อเริ่มร่ายบทเทศนา พร้อมกับเดินออกห่างจากบันไดเข้ามายืนตรงหน้าฉัน พลางถลึงตามองตรงมาอย่างโกรธเกรี้ยว ซึ่งมันควรจะทำให้ฉันรู้สึกหวั่นเกรง แต่ฉันกลับชินชาเสียจนอยากจะขำซะมากกว่า เพราะตาของพ่อโปนออกมาจนดูเหมือนคนที่มีอาการของโรคไทรอยด์เป็นพิษไม่มีผิดเลย
“เอาแต่ยืนเงียบอยู่ได้ ฟังรึเปล่าฮะ!”
ฉันยักไหล่ไปให้ทีหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ ฉันไม่ค่อยพูดตอบอะไรอยู่แล้ว ไม่ว่าฉันจะพูดอะไรก็ไม่เคยถูกใจพ่อสักอย่าง ในเมื่อเป็นแบบนั้นฉันจึงเลือกที่จะไม่พูดอีก เพราะมั่นใจว่าพ่อจะต้องหาว่าฉันเถียงอีกแน่ๆ ตามเคย
เมื่อได้รับปฏิกิริยาตอบรับตามที่ต้องการ พ่อก็หันไปร่ายยาวบทเทศนาของตัวเองต่อราวกับว่าฉันเพิ่งไปฆ่าใครมา
ฉันถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ ขณะฟังคำบ่นสลับกับคำด่าของอีกฝ่าย ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่มีเรื่องแอดมิชชั่น ฉันก็เคยหนีไปค้างบ้านพลอยโดยที่ไม่ได้บอกตั้งหลายครั้ง ไม่ว่าจะกลับเช้า กลับสาย กลับบ่าย หรือไม่กลับ พ่อกับแม่ไม่เห็นจะเคยสนใจฉันเลย แล้วเพิ่งจะมาสนใจเอาตอนนี้เนี่ยนะ อยากจะบงการชีวิตของฉันนักหรือไง พอฉันไม่แอดเข้านิติตามคำสั่ง ก็เลยเปลี่ยนมาคุมเข้มเรื่องอื่นแทนอย่างนั้นล่ะสิ
“วันนี้เป็นวันเกิดของพี่แก ถ้าฉันไม่โทรไปหาหนูพลอยเพื่อที่จะตามตัวแกให้กลับมาที่บ้าน ก็คงไม่มีทางได้รู้แน่ว่าแกไม่ได้ไปที่บ้านของหนูพลอยแล้ว แต่ไปอยู่ที่ไหนไม่รู้”
ฉันแค่นหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินดังนั้น หึ วันเกิดของพี่ จริงๆ แล้วน่าจะแก้เป็น ถ้าวันนี้ไม่ใช่วันเกิดของพี่ พ่อก็คงไม่มีวันสนใจว่าฉันจะไปอยู่ที่ไหนมากกว่ามั้ง
“แกไปบ้านเพื่อนคนไหนมาฮะ บอกชื่อ บอกเบอร์มาเดี๋ยวนี้”
คำสั่งจากพ่อทำให้ฉันหลุดหัวเราะเยาะออกมา ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ พร้อมกับยกมุมปากขึ้นแย้มรอยยิ้มเย็นอย่างท้าทาย
“บ้านแฟน”
ทันทีที่พูดจบฉันก็รีบพุ่งตัวไปที่บันได วิ่งขึ้นไปที่ห้องของตัวเองอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจเสียงตะโกนของพ่อที่ไล่หลังมา จากนั้นก็จัดการล็อกประตูทันทีที่เข้ามาในห้อง ก่อนจะมีเสียงทุบประตูดังขึ้นตามมาหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้! เดย์!”
ฉันหันไปลากเตียงนอนมาขวางประตูเอาไว้เพื่อไม่ให้พ่อพังประตูเข้ามาได้ แล้วเปิดเสียงเพลงจากสเตอริโอดังสนั่นให้มันกลบเสียงตะโกนของพ่อให้หมด ถ้าอยากจะตะโกนสู้กับเสียงเพลงนักก็เชิญตามสบาย เพราะฉันจะไม่ยอมเบาเสียงลงแม้แต่นิดเดียวแน่ จนกว่าพ่อจะหุบปากนั่นแหละ
ฉันคว้าโทรศัพท์มือถือมาส่งไลน์ไปถามไนท์ว่าเขาจะไปที่เดอะมิราเคิลกี่โมง ตัวเลขบนหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นบอกให้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาสิบโมงครึ่ง ซึ่งไนท์คงจะยังไม่ตื่น พอมาคิดๆ ดูแล้วก็ชักจะรู้สึกเสียดายไม่น้อย เมื่อเช้านี้ฉันไม่น่าแอบย่องออกมาจากห้องของเขาก่อนเลย ไม่น่ากลับมาที่บ้านเลยด้วยซ้ำ ฉันก็นึกว่าพ่อจะไปทำงานแล้วเสียอีก แต่ที่ไหนได้ กลับลางานเพื่อฉลองวันเกิดให้กับลูกชายสุดที่รัก
น่ายินดีซะไม่มี
ถ้าวันนี้ไม่ใช่วันเกิดของพี่ พ่อก็คงจะไม่ลางาน
ถ้าวันนี้ไม่ใช่วันเกิดของพี่ พ่อก็คงจะไม่โทรไปหาพลอย
ถ้าวันนี้ไม่ใช่วันเกิดของพี่ พ่อก็คงจะไม่สนใจฉัน
ถ้าวันนี้ไม่ใช่วันเกิดของพี่ พ่อก็คงจะไม่รู้ว่าฉันยังหายใจอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ
ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งกัดฟันแน่นมากขึ้น อยากจะร้องตะโกนออกมาให้กับความเจ็บใจที่ตัวเองตัดสินใจพลาดไป ฉันน่าจะขนเสื้อผ้าไปด้วย จะได้ไม่ต้องกลับมาเปลี่ยนชุดที่นี่ ฉันไม่น่ากลับมาที่บ้านเลยจริงๆ ไม่น่าเลย
บรรยากาศหมองหมุ่นภายในห้อง รวมทั้งความรู้สึกปวดตุบๆ ตรงขมับทำให้ฉันนึกถึงยาวิเศษของไนท์ของมาอีก ฉันอยากจะสูดผงสีขาวนั่นเหลือเกิน เพื่อให้ความรู้สึกห่อเหี่ยวใจได้กลายเป็นความสดใสร่าเริงอีกครั้ง อีกทั้งยังช่วยให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองสามารถทำได้ทุกอย่าง กระตือรือร้นอยากทำโน่นทำนี่ ไม่ใช่มาจมอยู่กับความรู้สึกหดหู่อยู่แบบนี้ ฉันอยากมีความสุข สนุกสนาน แล้วยาวิเศษของไนท์ก็เป็นผู้ช่วยแสนดีที่ทำให้โลกใบนี้ได้กลายเป็นสีรุ้งสดใส
ฉันอยากจะเป็นนกที่กำลังบินรอบรุ้งกินน้ำอย่างอิสระบนท้องฟ้า
เวลาที่อยากจะทำอะไรสักอย่าง แต่กลับทำไม่ได้นี่มันช่างทรมานเหลือเกิน
ฉันนอนเกลือกกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงอยู่พักใหญ่โดยที่ยังคงเอาแต่นึกถึงยาวิเศษของไนท์ พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูไลน์ว่าไนท์ตอบกลับมาบ้างรึเปล่า แต่แล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง ไนท์คงจะยังไม่ตื่นจริงๆ นั่นแหละ
ดังนั้นฉันจึงลุงจากเตียงไปที่โน้ตบุ๊คแทน แล้วเลือกหนังสักเรื่องหนึ่งมาเปิดดูเพื่อเป็นการเบนความสนใจของฉันออกจากเรื่องยาวิเศษ และยังฆ่าเวลาได้อีกด้วย ฉันต้องรอให้พ่อลืมเรื่องของฉันไปก่อน แล้วฉันก็จะเก็บกระเป๋า แอบออกจากบ้านไปอยู่กับไนท์
เสียงของหนังเสียงดนตรีต่างก็ดังลั่น ตีกันมั่วจนทำให้ฉันต้องหันไปกดหยุดเล่นเพลงเอาไว้ แล้วค่อยหันมาดูหนังต่อ
หลังจากหนังที่ดำเนินเรื่องไปได้สักพักหนึ่ง เสียงเลื่อนเปิดประตูรั้วบ้านก็ดังขึ้น ทำให้ฉันเดาได้ทันทีว่าพี่แดนคงกลับมาแล้ว และต่อจากนี้พ่อกับแม่ก็คงจะช่วยกันทำเค้กเองที่บ้านเหมือนอย่างทุกๆ ปีที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าดีสำหรับฉัน เพราะพวกเขาก็จะขลุกตัวกันอยู่แต่ข้างล่าง ไม่ขึ้นมาชั้นบน
แต่ในอีกสิบนาทีถัดมาฉันก็ต้องกดปิดหนัง เพราะว่ามันไม่ได้มีความสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว จะเปลี่ยนไปดูเรื่องอื่น ฉันก็ไม่รู้สึกว่าอยากจะดูอยู่ดี เหมือนกับว่าตอนนี้ฉันรู้สึกเซ็งๆ เบื่อๆ ดังนั้นฉันจึงลุกเดินไปที่ห้องน้ำ บางทีการอาบน้ำสระผมอาจจะช่วยทำให้ฉันรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นก็ได้
การปล่อยให้น้ำไหลผ่านร่างกายไปเรื่อยๆ นั้นเป็นวิธีอย่างหนึ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจและสดชื่นขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ราวกับว่าความนิ่มนวลของสายน้ำได้ช่วยบรรเทาความเศร้าหมอง รวมทั้งความรู้สึกต่างๆ ที่กำลังอัดแน่นอยู่ภายในจิตใจของฉันให้จางหายไป เพราะฉะนั้นฉันจึงมักจะใช้เวลาอาบน้ำนานเป็นชั่วโมง จนกระทั่งถูกพ่อด่าว่าใช้น้ำเปลืองก็มีอยู่บ่อยครั้ง แต่ในเมื่อฉันไม่ได้มียาวิเศษแบบไนท์ ในบ้านนี้สิ่งที่จะช่วยทำให้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้ก็มีเพียงแค่การอาบน้ำเท่านั้น
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำมานานเท่าไหร่แล้ว แต่ก็พอจะเดาได้ว่าคงจะผ่านไปนานพอสมควร ซึ่งน่าจะนานพอที่จะทำให้พ่อเลิกสนใจเรื่องของฉัน แล้วหันไปทุ่มความสนใจทั้งหมดให้กับพี่แดนแทน
หลังจากที่ได้อาบน้ำจนรู้สึกสดชื่นและหัวสมองปลอดโปร่งมากขึ้น ฉันก็เลิกคิดที่จะเก็บกระเป๋าไปอยู่กับไนท์ เพราะกลัวว่าเขาจะรำคาญ และอีกอย่างหนึ่ง ฉันยังไม่ได้ขอเขาเลยด้วย เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นความคิดที่ดูบุ่มบ่ามและสิ้นคิดเกินไป
เสียงหัวเราะร่วนของพี่แดนดังขึ้นมาจนถึงชั้นบนในตอนที่ฉันค่อยๆ แง้มประตูห้องเปิดออกไป แต่แล้วฉันก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันไปกดเปิดเพลงสเตอริโอดังลั่นอีกครั้ง พร้อมกับเปิดประตูค้างเอาไว้เพื่อให้คงความดังอยู่แบบเดิม ไม่อย่างนั้นพวกพ่อจะจับได้ว่ามีการเปิดปิดประตูห้องของฉัน จากนั้นก็ค่อยๆ ย่องลงบันไดมาที่ชั้นล่างอย่างเงียบๆ แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นเจอกับพี่พอดี สีหน้าของเขาดูยิ้มแย้มอย่างมีความสุข ก่อนจะเปลี่ยนไปยิ้มจางๆ เมื่อเห็นฉัน
หึ ฉลองวันเกิดสุขสบายเชียวนะ
คนตรงหน้าถอนหายใจเบาๆ แล้วทำท่าจะเรียกฉันเอาไว้ ฉันจึงตัดสินใจรีบวิ่งไปที่ประตูหน้าบ้านทันที พร้อมกับเปิดมันออก แล้วพุ่งตัวออกไปข้างนอกโดยที่ไม่ได้หันกลับไปมองอีก เสียงประตูเหวี่ยงกลับไปกระแทกปิดดังปัง แต่ฉันไม่สนใจเรื่องเสียงอีกต่อไปแล้ว ขอเพียงแค่ไม่มีใครมาขวางก่อนที่ฉันจะหนีออกไปจากบ้านได้ก็พอ และพี่ก็เห็นฉันแล้วด้วย เดี๋ยวเขาก็คงจะบอกพ่อว่าฉันแอบหนีออกมาอยู่ดีนั่นแหละ
ฉันหยิบมือถือขึ้นมาโทรไปที่ป้อมยามหน้าหมู่บ้านเพื่อขอให้ช่วยเรียกแท็กซี่ให้ฉันด้วย ระหว่างที่นั่งรออยู่ตรงสวนหย่อมประจำหมู่บ้านฉันก็เปิดไลน์ขึ้นมา แล้วก็ต้องยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจเมื่อเห็นข้อความของไนท์
‘อยู่บนแท็กซี่แล้วล่ะ แล้วเจอกัน’
รถแท็กซี่มารับฉันในอีกห้านาทีต่อมา ฉันบอกจุดหมายปลายทางกับคนขับให้ไปที่เดอะมิราเคิล ระหว่างนั้นฉันก็นั่งพิมพ์ข้อความส่งตอบกับไนท์ไปเรื่อยๆ เพราะตอนนี้เขาก็อยู่บนรถแท็กซี่เหมือนกัน
ฉันมาถึงที่หมายช้ากว่าไนท์ไปประมาณยี่สิบนาที เมื่อมาถึงแล้วฉันก็ไปที่ห้องซ้อมดนตรีชั้นสอง จากนั้นก็เคาะประตูสองสามทีก่อนจะค่อยๆ เปิดแง้มเข้าไปข้างใน ซึ่งพอดีกันกับที่ไนท์ช่วยเปิดประตูออกให้ ฉันยิ้มกว้างพร้อมกับกระโดดกอดชายหนุ่มทันทีที่เห็นเขา
เสียงผิวปากล้อเลียนดังมาจากโจ้และโน้ต ทำให้ฉันผละตัวออกจากเขา แล้วก้มหน้ามองพื้นด้วยความรู้สึกเขิน ฉันเหลือบสายตาไปมองที่คนข้างกาย แล้วก็เห็นว่าชายหนุ่มกำลังอมยิ้มน้อยๆ พลางเอามือลูบท้ายทอย หันมองไปทางอื่น ซึ่งดูท่าทางเก้ๆ กังๆ อยู่ไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นเพื่อนๆ ของไนท์ แม้แต่บอยด้วยก็ยังส่งเสียงผิวปากล้อเลียนกันไม่หยุด ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าด้วยความเขินจัดมากกว่าเดิมเข้าไปอีก จนต้องตวัดสายตากลับมาที่พื้น แล้วเอาแต่ยืนก้มหน้าอยู่อย่างนั้นอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองใคร พวกโจ้นี่ก็เอาแต่ผิวปากกล้อกันอยู่ได้ ทั้งๆ ที่ฉันกับไนท์ไม่ได้กอดกันแล้วซะหน่อย เมื่อกี้นี้ฉันก็แค่ลืมไปว่ายังมีคนอื่นๆ อยู่ในห้องนี้ด้วยเท่านั้นเอง
“สวีทกันจริงนะคู่นี้ น่าอิจฉาว่ะ” โจ้พูดเสียงสูง พร้อมกับยิ้มร่าอย่างล้อเลียน
“มดจะเต็มห้องแล้วเนี่ย” โน้ตเสริมพร้อมด้วยเสียงหัวเราะ ตามมาด้วยที่บอยหัวเราะดังกว่าคนอื่น
ฉันเดินก้มหน้าไปนั่งที่โซฟาอย่างเงียบๆ ไม่กล้าพูดอะไรออกไปทั้งนั้น เพราะกลัวว่าจะยิ่งเป็นการทำให้พวกเขาล้อหนักกว่าเดิม แต่แล้วฉันก็เหลือบไปเห็นว่าบอยกำลังกวักมือเรียกฉันให้ไปหาเขาอยู่ โดยมีโจ้นั่งยิ้มแฉ่งอยู่ข้างๆ
ฉันหันไปมองไนท์ซึ่งกำลังจัดเตรียมเครื่องดนตรีอยู่ทางอีกด้านหนึ่งของห้อง ก่อนจะลุกเดินเข้าไปหาพวกบอยอย่างงงๆ ว่าพวกเขาต้องการจะคุยอะไรกับฉัน
“ฝากดูแลมันด้วยนะน้องเดย์” บอยพูดเสียงเบา ราวกับต้องการที่จะให้ฉันได้ยินแค่คนเดียว
“ไอ้ไนท์มันไม่เคยมีแฟน เอาแต่เก็บตัวเงียบ มาเล่นเพลงแล้วก็ไป ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร” โจ้พูดเสียงกระซิบด้วยอีกคน พร้อมกับแกล้งทำหน้าจริงจังเกินเหตุจนฉันต้องหลุดขำพรืดออกมาเบาๆ “แต่ก็มีหลายครั้งที่มันเมาเละเทะจนคนอื่นขยาด นิสัยประหลาดชิบหาย”
“ขนาดพวกเรามันยังไม่ค่อยคุยด้วยเลย มีฉันเป็นคนแรกนี่แหละที่มันเปิดใจให้” บอยเสริมต่อ ซึ่งเป็นประโยคที่ทำให้ฉันต้องรู้สึกหัวใจพองโตขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก พร้อมกับหัวเราะคิกคักออกมาด้วยความเขิน ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ ไปให้กับทั้งสองคน พร้อมด้วยรอยยิ้มสดใส
“ฉันจะดูแลเขาอย่างดีเลย”
และฉันหมายความตามนั้นจริงๆ
########
//โปรดติดตามตอนต่อไป//
LazyMe
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.ค. 2560, 00:27:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.ค. 2560, 00:27:34 น.
จำนวนการเข้าชม : 786
<< บทเพลงที่ 8 | บทเพลงที่ 10 >> |