Honey Pie...สัญญา(รัก)ร้าย / เพิ่มตอนพิเศษ
เมื่อหนึ่งอยากสานสัมพันธ์
แต่อีกหนึ่งกลับพยายาม "ตัด"
ปฏิบัติการ "รัก" พาตัว จึงเริ่มต้นขึ้น!
-------------------------------------------
เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันใย...ฉันทำอะไรให้เธอเคืองขุ่น
ปรักปรำฉันเป็นจำเลย? เชลย? ตัวประกัน?
จู่ๆ สติก็ดับวูบ ตื่นมาอีกครั้ง “พาริน” ก็พบว่านอนอยู่บนเตียงใหญ่ภายในห้องที่ไม่คุ้นเคย พร้อมๆ กับพบว่าตัวเองถูกลักพาตัว!!!
ราวกับฉากในละครที่เพิ่งย้อนดู เสียงเพลงประกอบดังกระหึ่มในหัว...
ไม่นะ นี่มันยุคไหนสมัยไหนแล้ว ยังจะมีการลักพาตัวอยู่อีก ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ หึ...แต่อย่าหวังว่าลูกพระพายอย่างเธอจะยอมให้ใครกดขี่ง่ายๆ ลองดูสิ ได้เห็นดีกันแน่!
ทว่าทุกอย่างกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด ดูเหมือน “ธารณ์” เตรียมตัวมาดี เขาสามารถแก้เกมของเธอได้ทุกกระบวน รู้ทันไปเสียทุกเรื่องราวกับเลี้ยงกุมารทองเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
ถูกลักพาตัว ริบเงิน โทรศัพท์มือถือว่าร้ายแล้ว การอยู่ใกล้ธารณ์กลับร้ายยิ่งกว่า รับมือกับเขาไม่พอ ยังมีของแถมเป็นอริของเขาด้วยสิ โอ๊ยยยย เธออยากจะบ้า!
** เรื่องนี้มีตัวละครเกี่ยวเนื่องกับเรื่อง เลื่อมลายดอกรัก ที่วางแผงไปกับสนพ.แจ่มใสนะคะ
แต่สามารถอ่านแยกกันได้ค่ะ จะไม่ได้งงอะไรน้าาาา
แต่อีกหนึ่งกลับพยายาม "ตัด"
ปฏิบัติการ "รัก" พาตัว จึงเริ่มต้นขึ้น!
-------------------------------------------
เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันใย...ฉันทำอะไรให้เธอเคืองขุ่น
ปรักปรำฉันเป็นจำเลย? เชลย? ตัวประกัน?
จู่ๆ สติก็ดับวูบ ตื่นมาอีกครั้ง “พาริน” ก็พบว่านอนอยู่บนเตียงใหญ่ภายในห้องที่ไม่คุ้นเคย พร้อมๆ กับพบว่าตัวเองถูกลักพาตัว!!!
ราวกับฉากในละครที่เพิ่งย้อนดู เสียงเพลงประกอบดังกระหึ่มในหัว...
ไม่นะ นี่มันยุคไหนสมัยไหนแล้ว ยังจะมีการลักพาตัวอยู่อีก ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ หึ...แต่อย่าหวังว่าลูกพระพายอย่างเธอจะยอมให้ใครกดขี่ง่ายๆ ลองดูสิ ได้เห็นดีกันแน่!
ทว่าทุกอย่างกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด ดูเหมือน “ธารณ์” เตรียมตัวมาดี เขาสามารถแก้เกมของเธอได้ทุกกระบวน รู้ทันไปเสียทุกเรื่องราวกับเลี้ยงกุมารทองเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
ถูกลักพาตัว ริบเงิน โทรศัพท์มือถือว่าร้ายแล้ว การอยู่ใกล้ธารณ์กลับร้ายยิ่งกว่า รับมือกับเขาไม่พอ ยังมีของแถมเป็นอริของเขาด้วยสิ โอ๊ยยยย เธออยากจะบ้า!
** เรื่องนี้มีตัวละครเกี่ยวเนื่องกับเรื่อง เลื่อมลายดอกรัก ที่วางแผงไปกับสนพ.แจ่มใสนะคะ
แต่สามารถอ่านแยกกันได้ค่ะ จะไม่ได้งงอะไรน้าาาา
Tags: เนตรนภัส, ธารณ์, พาริน, พาย, รักโรแมนติก, Oh! My Honey
ตอน: บทที่ 2 [2/2] ครบ
“ทำไม กลัวถูกพี่วางยาหรือไง”
“แค่ไม่ประมาท”
พารินทำท่าทางเหมือนไม่ยี่หระทว่าในสายตาของธารณ์ เขากำลังขำ คนไม่ประมาทมองจานข้าวตรงหน้าตาละห้อย อยากกินใจจะขาดแต่ไม่กล้า
ธารณ์เชื่อว่าถ้าหากเขายังนิ่ง ไม่ทำอะไรสักอย่าง เจ้าหล่อนก็คงนั่งมองจานข้าวตาปรอย ไม่กล้าตักเข้าปากแน่ ความสงสารทำให้เขาขยับตัวก่อน ตักข้าวผัดใส่ปากคำโต เคี้ยวแล้วกลืนลงท้องจนหมดคำ
“ไม่มียาพิษ ยาสลบ ยาเบื่อหรืออะไรทั้งนั้น” พอเห็นสายตาคู่เดิมตวัดไปยังถ้วยแกงจืดอีกอย่าง ธารณ์ก็แทบโคลงศีรษะอย่างระอา กระนั้นก็ยอมตักน้ำซุปซดเสียงดังราวกับประชด “พอใจหรือยัง”
พารินเริ่มเบาใจเมื่อเห็นชายหนุ่มตักอาหารเข้าปากอย่างไม่ลังเล ท่าทางอาหารตรงหน้าคงไม่มีอะไรแปลกๆเจือปน หมายใจจะกินให้อิ่มท้อง จะได้มีแรงตอนหนี...
เดี๋ยว...ละครที่เธอเคยดู คนร้ายฉลาดๆมักไม่โง่พอจะวางยานางเอกแล้วเผลอกินเข้าไปเองหรอก เขาเป็นคนถือถาดอาหารเข้ามา ถ้าใส่ยามาแค่จานข้าวของเธอจานเดียวย่อมทำได้แน่นอน แล้วเมื่อครู่เขาก็ชิมเฉพาะส่วนของตัวเอง ดังนั้นไม่มีอะไรรับประกันว่าจานของเธอจะไม่มีสิ่งเจือปนนี่
เกิดกินเข้าไปแล้วสลบไปอีกรอบ หรือถ้าร้ายกว่านั้น เขาใส่ยาที่ทำให้...วูบวาบ บรื๋อ แค่คิดก็สยิว เอ๊ย สยองแล้ว
“อะไรอีกล่ะทีนี้”ธารณ์เริ่มรำคาญขึ้นมานิดๆ
“ก็...” พารินกำลังจะหลุดปากแหวออกมาแล้ว ถึงเธอเรื่องมากอย่างไร เขาก็ไม่มีสิทธิ์มาใช้น้ำเสียงเหมือนรำคาญ ในเมื่อเป็นคนทำให้เธอไม่ไว้ใจเองแท้ๆ ทว่าก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือเสียก่อน
“มีอะไรหรือเปล่า หรือไม้ที่ไปส่งมีปัญหา” วันนี้มีนัดส่งไม้ให้ลูกค้ารายใหญ่ ปกติเขาจะเข้าไปดูการขึ้นของด้วยตัวเอง แต่ติดตัวปัญหาที่นั่งหน้ายุ่งอยู่ตรงหน้า เลยให้ภาษิต ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและมือขวาเป็นคนจัดการ การที่อีกฝ่ายโทร.มาขัดจังหวะทั้งๆที่รู้ว่าเขาทำอะไรอยู่ คงเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ
“เปล่าครับ เรื่องไม้เรียบร้อยดี แต่คุณเจษมารอคุณอยู่ที่สำนักงาน”
“นายก็รู้ว่าฉันทำอะไรอยู่”น้ำเสียงของธารณ์เริ่มหงุดหงิด เมื่อรู้สึกว่าถูกขัดจังหวะด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
“แต่คุณเจษไม่ทราบ”
ก็จริง...ดังนั้นธารณ์จึงปรับน้ำเสียงให้ดีขึ้น ขณะเอ่ยประโยคถัดไป นอกจากเจษฎาไม่รู้ว่าเขาติดธุระแล้ว ภาษิตก็ไม่ผิด รายนั้นทำตามหน้าที่เท่านั้น
ธารณ์เหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ถ้าเขามองไม่ผิดเหมือนเห็นแววไหวระริกด้วยความถูกใจในดวงตาคู่สวย คงอยากให้เขาออกไปจากห้องนี่เต็มแก่ละสิ บางทีเธออาจวางแผนหนีอยู่ก็ได้
“บอกให้รอไปก่อน”เพียงจบประโยค ธารณ์ก็ได้เห็นพารินทำหน้ามุ่ยทันที
“แต่คุณเจษบอกว่ามีเรื่องสำคัญมาก ถ้าคุณไม่มา เขาจะไปหาคุณถึงบ้าน”
ท่าทางของพารินทำให้เขาไม่อยากออกไปจากห้องนี้ก็จริง แต่การให้เจ้าเพื่อนตัวแสบอย่างเจษฎารู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ เป็นอย่างสุดท้ายที่เขาต้องการ
“เออๆ บอกมันรอที่นั่นแหละ เดี๋ยวฉันไป” ธารณ์กดตัดสายอย่างหัวเสีย แล้วหันมาหาคนที่นั่งกระหยิ่มอยู่ ขู่เสียงเข้ม“พี่มีธุระ ต้องออกไปข้างนอก พายอยู่ดีๆนะ อย่าคิดหนีล่ะ เกิดอะไรขึ้นมา อย่าหาว่าพี่ไม่เตือนก็แล้วกัน”
พูดจบ ธารณ์ก็ลุกพรวด หมายออกไปจัดการธุระสำคัญที่เจษฎาอ้างให้เรียบร้อย จะได้กลับมาคุมความประพฤติพารินอย่างเร็วที่สุด
“เดี๋ยวสินาย อย่าเพิ่งไป”
“พายมีอะไรอีก พี่รีบ” ธารณ์ถาม ปรายตามองมือเล็กของคนที่กระโจนพรวดมาห้ามกันถึงหน้าประตู ทั้งๆที่ตอนแรกเจ้าหล่อนลุ้นให้เขาออกจากห้องไปเร็วๆแท้ๆ
“นายจะไปทั้งอย่างนี้น่ะเหรอ”
“ใช่” เขาก้มลงมองสภาพของตนเอง ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าเสื้อผ้าหน้าผมเรียบร้อยดี ดังนั้นหญิงสาวคงไม่ได้หมายถึงรูปลักษณ์ภายนอกของเขาแน่
“ฉันไม่ได้หมายถึงเสื้อผ้า”
“อ้าว แล้วเรื่องอะไร”
“นายยังไม่ได้ชิมข้าวผัดในจานฉันเลย!”
“มัวทำอะไรอยู่วะธารณ์ ปล่อยให้ฉันรอตั้งนาน”
เจ้าของชื่อเพิ่งผลักประตูกระจก ยังไม่ทันก้าวเข้าไปในสำนักงานด้วยซ้ำ เสียงทักแกมติงก็ดังขึ้น และธารณ์ก็ตอบกลับไปด้วยความรัก
“ใครใช้ให้แกมารอ”
“เออ...ฉันผิดเอง ลืมไปว่าแกมันนักธุรกิจคนดัง งานรัดตัว ถ้าไม่ได้นัดไว้ก่อนก็ต้องมานั่งรอแบบนี้”
น้ำเสียงคนพูดติดประชดประชันแกมตัดพ้อ ทว่าเพราะเป็นเพื่อนสนิทที่รู้จักกันไปถึงไส้ถึงพุง ทำให้ธารณ์แน่ใจว่าเพื่อนแค่เสแสร้งเท่านั้น
“ดราม่าแต่เช้าเลยนะแก”
“เช้า! ป่านนี้แกยังเรียกเช้าอยู่อีก แหกตาดูพระอาทิตย์บ้างหรือเปล่า ตรงโด่จะถึงกลางหัวอยู่แล้ว แถวบ้านฉันเรียกใกล้เที่ยง”
“เออๆ จะเวลาไหนก็ช่าง ว่าแต่แกมีอะไร ว่างหรือไง ถึงได้มานั่งรอตัดพ้อฉันเป็นสาวๆไปได้”
“ต่อให้แกเป็นสาว แถมเหลือคนเดียวในโลก ฉันก็กระเดือกไม่ลงหรอกว่ะ กลัวติดคอ”
วาจาเราะรายของเพื่อนทำให้ธารณ์ถึงกลับโคลงศีรษะอย่างระอา
“คิดว่าฉันเอาแกลงหรือไง ก็พอกันแหละวะ” และก่อนจะถูกเพื่อนลากออกอ่าวไทย ธารณ์ก็เข้าสู่ประเด็นที่ทำให้เขาต้องรีบออกจากบ้านมาสำนักงานในทันที “เห็นไผ่บอกว่าแกมีเรื่องด่วน”
“ฉันไปได้ยินมาว่า เสี่ยพละจะสนับสนุนให้แกสมัครนายกอบต.สมัยหน้า นี่มันยังไงกันวะ ไหนว่าแกไม่ชอบการเมืองไง”เจษฎาหมายถึงนายกองค์การบริการส่วนตำบล
“ไม่รู้ว่ะ เพิ่งได้ยินจากปากของแกนี่แหละ”
“อ้าว เสี่ยพละยังไม่ได้ทาบทามแกหรือวะ”
ธารณ์ส่ายหน้าปฏิเสธ ไม่ใช่แค่เจษฎาที่ออกอาการงงเป็นไก่ตาแตก เขาเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่ากำลังจะถูกดันให้เล่นการเมืองท้องถิ่น
“แล้วแกไปรู้มาได้ยังไง”
“วงในเขาพูดกัน”
ธารณ์ไม่มีข้อสงสัยเรื่องความน่าเชื่อถือของข่าว เพราะเจษฎาเป็นคนกว้างขวาง ไม่สิ...ต้องบอกว่าพ่อของเจษฎานั้นเป็นคนกว้างขวาง รู้จักผู้คนมากมาย เนื่องจากเป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายสมัย ถึงแม้วางมือจากแวดวงการเมืองมาหลายปี แต่เพราะความเป็นคนซื่อตรง จึงมีคนให้ความเคารพอยู่ไม่เสื่อมคลาย ดังนั้นไม่แปลกหากเพื่อนของเขาจะรู้อะไรมาบ้าง
“แกไม่รู้เรื่องแบบนี้ แสดงว่าเสี่ยพละยังไม่เข้ามาทาบทามแกสินะ”
“อือ”
“แล้วแกจะเอาไง”
“ก็ปฏิเสธ”
เจษฎาไม่แปลกใจเลย ด้วยรู้ดีว่าเพื่อนไม่ชอบงานการเมือง แต่ก็เป็นที่รู้กันว่ามีหลายคนหมายตาให้ธารณ์ลงเล่นการเมือง ความจริงต้องพูดว่าใช้ธารณ์เป็นหุ่นเชิดเพื่อจะได้กอบโกยเงินเข้ากระเป๋ามากกว่า
ถึงแม้ธารณ์อายุยังน้อย ผ่านเลขสามมาแค่ไม่กี่ปี ทว่าเรื่องบารมีแล้ว เจ้าตัวมีไม่แพ้คนเลยวัยเกษียณบางคนเลยทีเดียวเพื่อนของเขาเป็นคนอัธยาศัยดี นอบน้อม ไม่ถือตัว และยังมีน้ำใจ ทำให้ธารณ์เป็นที่รักของชาวบ้านจนเกือบทั้งอำเภอ หลายคนจึงหมายตาไว้ว่า อีกไม่นานชายหนุ่มต้องกระโดดลงมาเล่นการเมืองแน่
หากธารณ์ทะเยอทะยานอีกสักนิด ชายหนุ่มคงไปได้สวยในเส้นทางนี้แน่ทว่าคนใกล้ชิดต่างรู้ดีว่าชายหนุ่มไม่ชอบทำงานการเมือง ไม่ว่าระดับไหนก็ตาม ดังนั้นไม่ว่าตอนนี้หรืออีกหลายปีข้างหน้า คงไม่มีใครได้เห็นธารณ์ในถนนสายการเมืองแน่
“ถ้าแกปฏิเสธ ฉันว่าไม่เป็นผลดีกับแกแน่ แกก็รู้ว่าเสียพละเป็นคนยังไง”
“เพราะรู้น่ะสิ ถึงต้องปฏิเสธ”
เสี่ยพละที่เจษฎาพูดถึง เป็นเจ้าของบริษัทการโยธาใหญ่ที่สุดในจังหวัดและเป็นลูกค้ารายหนึ่งของบริษัทเขาประกอบกับบริษัทมีขนาดใหญ่ เงินทุนหนา มีทั้งความพร้อมด้านอุปกรณ์และแรงงาน ทำให้บริษัทของเสี่ยพละประมูลงานใหญ่ๆ จากหน่วยงานราชการได้ตลอด แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าหากงานพวกนั้นได้มาอย่างถูกต้องเขาไม่ชอบความไม่โปร่งใส เห็นแก่ตัว รวมถึงการทำงานแบบไม่ซื่อสัตย์ต่อลูกค้าของเสี่ยพละจุดประสงค์ของเสี่ยพละคงไม่หวังดีกับเขานักหรอก
“ฉันไม่อยากยุ่งกับคนแบบนั้น ถ้าเสี่ยมาทาบทามจริงก็คงปฏิเสธ ฉันเป็นคนนะโว้ย ไม่ใช่หุ่นกระบอกให้ใคร”
เจษฎาพยักหน้า เขาก็พอมองจุดประสงค์ของเสี่ยพละออกเหมือนกัน
“ไม่แน่ เผื่อแกอยากเปลี่ยนบรรยากาศ นี่เห็นว่าเสี่ยกำลังหาที่ดินจะทำโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อีกแล้วนะ คราวนี้ลามไปจังหวัดใกล้ๆด้วย ถ้าแกร่วมมือกับเสี่ย พวกวงกบประตู หน้าต่าง ก็คงเป็นของร้านแกอีกนั่นแหละ”
ด้วยรู้จักนิสัยเพื่อนดีทำให้ธารณ์ไม่โกรธ เพราะรู้ว่าเจษฎาแค่แกล้งพูดเท่านั้นเอง
“แกลองไหมล่ะ ไม่แน่นะ ถ้าผิดหวังจากฉัน เสี่ยอาจเปลี่ยนเป้าหมายเป็นแกก็ได้นะ”
“ไอ้บ้า หาเรื่องให้ฉันแล้วไหมล่ะ”
ธารณ์หัวเราะกับท่าทางส่ายหน้าหวืออย่างสยดสยองของเพื่อน เจษฎาคงเหมือนเขา ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากยุ่งกับเสี่ยพละเช่นกัน
“ต่อให้เสี่ยไม่สั่งไม้ที่ร้านต่อ ก็ไม่มีผลกับฉันหรอกนะ เงินอาจหายไปส่วนหนึ่ง แต่ถ้ามันทำให้สบายใจ ฉันเลือกอย่างหลังว่ะ”
“แล้วแกจะเอาไงต่อ” เจษฎาถามจริงจัง
“ไม่รู้เหมือนกัน คงดูท่าทีไปก่อน ตอนนี้แกแค่บอกว่าข่าววงใน แต่เสี่ยยังไม่ได้มาทาบทามฉันจริงๆ ทำอะไรไปก็เหมือนร้อนตัว”
“ก็จริง” เจษฎาเห็นด้วย
“อีกอย่างกว่าจะเลือกตั้งครั้งใหม่ ยังมีเวลาอีกเป็นปี บางทีเสี่ยอาจเปลี่ยนใจเป็นแกก็ได้...ใครจะไปรู้”ธารณ์ไหวไหล่กวนๆ
“ไอ้นี่ นี่กะเล่นเพื่อนให้ได้ใช่ไหมวะ”
“แกจะได้คิดล่วงหน้าไง ว่าจะทำยังไง”
“ไม่อยากปวดหัวคนเดียว เลยโยนเรื่องมาให้ฉันว่างั้น”
“เออ เผื่อแกมีอะไรดีๆ ก็บอกด้วยแล้วกัน”
เจษฎาทำหน้าเพลีย เมื่อถูกเพื่อนตบไหล่ปุๆ ราวกับฝากความหวังไว้ที่ตัวเอง
“กวนไม่เลิกนะ”
“เออ...ยังไงก็ขอบใจนะที่อุตส่าห์มาบอก” รู้ตัวก่อนแบบนี้จะได้มีเวลาตั้งตัวแล้วก็เตรียมใจ
“เพื่อนกัน เรื่องแค่นี้เล็กน้อยว่ะ...นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ไปหาอะไรกินกันไหม ฉันอยากกินลาบปลาทับทิมร้านครัวทรงพล ไปกินกันเถอะ” แค่คิดถึงปลาทับทิมแล่ตัดเป็นชิ้นพอดีคำ ทอดจนเหลืองกรอบ ราดด้วยน้ำลาบสูตรเด็ดประจำร้านเคียงมากับผักแนม น้ำลายก็สอแล้ว “ไปกินกัน ชวนไผ่ไปด้วย”
“วันนี้คงไม่ได้ว่ะ”ธารณ์ปฏิเสธทันที
“อ้าว ทำไมล่ะ มีธุระต่อหรือไง ไผ่ไม่เห็นบอกเลย” เจษฎาเป็นเพื่อนสนิทกับธารณ์ เลยสนิทสนมกับภาษิตไปด้วย
“อือ” เพียงคิดถึง ‘ธุระ’ก็เหมือนมีใครเอามือมาปัดความรู้สึกหนักอกออกจากใจไม่รู้ป่านนี้เจ้าหล่อนทำอะไรอยู่...คงกำลังคิดถึงเขาอยู่แน่ๆ แต่เชื่อเถอะ คงไม่ใช่แง่ดีนัก
เมื่อสักครู่ ตอนเขากำลังจะออกจากบ้าน เจ้าหล่อนยังอุตส่าห์วิ่งมารั้งเขาไว้ ไม่ใช่เพราะพิศวาสอะไรหรอกนะ แต่เจ้าหล่อนไม่ไว้ใจ กลัวถูกวางยาอีกรอบ เพราะเขาชิมอาหารจากจานตัวเองในถ้วยซุป แต่ไม่ได้ตักข้าวจากปากเจ้าหล่อนใส่ท้อง เธอคิดว่าเขาอาจเอายาใส่มาเฉพาะจานของตัวเอง...เชื่อเขาเลยจริงๆ
เจษฎาหรี่ตามองเพื่อน เจ้าตัวจะรู้ไหมว่าตอนนี้มีรอยยิ้มประดับอยู่เต็มใบหน้า ลามไปถึงดวงตาที่พราวพร่างไม่ต่างจากแสงดาวในคืนเดือนมืดแบบนี้ต้องมีอะไรแน่ๆถึงไม่ยอมไปกินข้าวด้วยกัน ทั้งๆที่ธารณ์เองก็ชอบเมนูลาบปลาทับทิมร้านดังกล่าวยิ่งกว่าอะไร
“ไอ้ธารณ์ บอกมาเลย มีอะไรดีๆหรือเปล่า”
“อะไร ไม่มี”
“ปฏิเสธเร็วแบบนี้มันน่าสงสัย” เจษฎาไม่ปล่อยให้เพื่อนเลี่ยง เมื่อเห็นธารณ์ทำท่าจะลุกขึ้นก็กระโจนเข้าหา ใช้แขนคล้องคอเอาไว้ กดให้นั่งลงอีกครั้ง เค้นเสียงขู่ “ท่าทางมีพิรุธ บอกมาซะดีๆว่านายปิดบังอะไรฉันอยู่ หรือว่า...ที่บ้านมีอะไร ถึงไม่ยอมให้ไปหา”
“คิดมากไปแล้วไอ้เจษ”
“ปกติแกเคยหวงบ้านที่ไหน ฉันเข้านอกออกในเหมือนเป็นบ้านตัวเอง แต่วันนี้จู่ๆเกิดมาห้าม มันแปลกนะโว้ย”
“ที่ห้ามเพราะกำลังจะออกมาแล้ว ขืนแกตามเข้ามาก็สวนกันพอดี” ธารณ์เอ่ย ปัดแขนที่คล้องคอตัวเองออกอย่างหงุดหงิด ทั้งๆที่ภายในใจนั้นแอบสะดุ้งกับข้อสันนิษฐานของเพื่อนที่พูดเหมือนตาเห็น
“เหตุผลน่าฟัง”
ธารณ์ผุดลุกขึ้น มองหน้าเพื่อน ไม่สนใจสายตารู้ทันที่ส่งมาให้ กดดันให้อีกฝ่ายลุกตามกลายๆ
“ถ้าจะนั่งอีกนานก็ตามสบายนะ เดี๋ยวฉันไปก่อน”พูดจบธารณ์ก็หมุนตัว เดินออกมาด้านนอก ไม่สนใจเสียงโวยวายอย่างไม่พอใจของเจษฎา แค่นึกถึงเรื่องสนุกๆที่รออยู่ในบ้าน เขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
ชายหนุ่มกำลังจะขึ้นรถอยู่แล้ว เมื่อภาษิตเดินแกมวิ่งเข้ามาหา สีหน้าลำบากใจ
“มีอะไรหรือเปล่าไผ่”
“เรื่องโต๊ะสำหรับเด็กเล็ก ของวัดที่ครูขอไว้”
ธารณ์พยักหน้า เขาจำได้ถึงเรื่องที่ทางครูอาสาซึ่งร่วมมือกับวัดใกล้บ้านจัดโครงการสอนหนังสือให้กับเด็กตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงชั้นประถมหก โดยครูอาสาและพระครูซึ่งสอนศาสนาให้...เคยเอ่ยปากขอไม้สำหรับจัดทำเป็นโต๊ะเล็ก ลักษณะเหมือนโต๊ะญี่ปุ่น ให้เด็กใช้นั่งเรียนหนังสือรวมไปถึงทำกิจกรรมต่างๆ แต่ก็ยังไม่ได้คุยลงไปถึงรายละเอียดสักที
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ครูปลาอยากคุยรายละเอียดกับคุณธารณ์ครับ”ถึงแม้ธารณ์จะเห็นภาษิตเป็นเพื่อนแต่ภาษิตก็ให้เกียรติธารณ์ในฐานะเจ้านายโดยไม่กล้ายกตนเสมอเลยสักครั้ง
“วันนี้เลยเหรอ” ถ้าหากไม่ด่วน ภาษิตที่ทราบดีว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ ไม่น่าวิ่งกระหืดกระหอบตามมา“ไม่ไปไม่ได้ใช่ไหม”
“ครับ เห็นว่าครูปลาต้องไปอบรมที่กรุงเทพฯหลายวัน เลยอยากคุยรายละเอียดกับคุณธารณ์ให้เรียบร้อยก่อนไป จะได้ไม่ต้องกังวล”
“นัดที่ไหน”
“ร้านครัวทรงพลครับ เห็นว่าจะเลี้ยงข้าวขอบคุณล่วงหน้าด้วยครับที่รบกวน”
บังเอิญจริงๆ ธารณ์เหลือบไปยังเพื่อนที่ยืนพิงกรอบประตูมองมาอย่างสนใจ คงกำลังกางหูฟังเต็มที่สินะ
เรื่องโต๊ะสำหรับเด็กก็สำคัญ แต่คนอยู่ที่บ้านก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ป่านนี้หิวแย่แล้ว
พอเห็นธารณ์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง แถมยังมีสีหน้าลำบากใจ คนสนิทอย่างภาษิตก็รู้ทันทีว่าเจ้านายกำลังกังวลเรื่องอะไร
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ เดี๋ยวผมเอาอาหารไปให้เธอเอง” ภาษิตพูดเสียงเบาลงจนเกือบกระซิบ เพราะเขาเองก็เห็นว่าเพื่อนสนิทเจ้านายมองมาอย่างสงสัยเช่นกัน
“งั้นฉันฝากด้วยแล้วกัน นายไปจัดการเรื่องนั้นแล้วไม่ต้องกลับมาออฟฟิศ เข้าใจนะ”
“ครับ”
ได้ยินภาษิตรับคำหนักแน่น พร้อมๆกับแววตามองมาอย่างให้เขาวางใจ ธารณ์ก็เบาใจและมั่นใจว่าภาษิตจะจัดการเรื่องนั้นได้อย่างเรียบร้อยแน่นอน
“แค่ไม่ประมาท”
พารินทำท่าทางเหมือนไม่ยี่หระทว่าในสายตาของธารณ์ เขากำลังขำ คนไม่ประมาทมองจานข้าวตรงหน้าตาละห้อย อยากกินใจจะขาดแต่ไม่กล้า
ธารณ์เชื่อว่าถ้าหากเขายังนิ่ง ไม่ทำอะไรสักอย่าง เจ้าหล่อนก็คงนั่งมองจานข้าวตาปรอย ไม่กล้าตักเข้าปากแน่ ความสงสารทำให้เขาขยับตัวก่อน ตักข้าวผัดใส่ปากคำโต เคี้ยวแล้วกลืนลงท้องจนหมดคำ
“ไม่มียาพิษ ยาสลบ ยาเบื่อหรืออะไรทั้งนั้น” พอเห็นสายตาคู่เดิมตวัดไปยังถ้วยแกงจืดอีกอย่าง ธารณ์ก็แทบโคลงศีรษะอย่างระอา กระนั้นก็ยอมตักน้ำซุปซดเสียงดังราวกับประชด “พอใจหรือยัง”
พารินเริ่มเบาใจเมื่อเห็นชายหนุ่มตักอาหารเข้าปากอย่างไม่ลังเล ท่าทางอาหารตรงหน้าคงไม่มีอะไรแปลกๆเจือปน หมายใจจะกินให้อิ่มท้อง จะได้มีแรงตอนหนี...
เดี๋ยว...ละครที่เธอเคยดู คนร้ายฉลาดๆมักไม่โง่พอจะวางยานางเอกแล้วเผลอกินเข้าไปเองหรอก เขาเป็นคนถือถาดอาหารเข้ามา ถ้าใส่ยามาแค่จานข้าวของเธอจานเดียวย่อมทำได้แน่นอน แล้วเมื่อครู่เขาก็ชิมเฉพาะส่วนของตัวเอง ดังนั้นไม่มีอะไรรับประกันว่าจานของเธอจะไม่มีสิ่งเจือปนนี่
เกิดกินเข้าไปแล้วสลบไปอีกรอบ หรือถ้าร้ายกว่านั้น เขาใส่ยาที่ทำให้...วูบวาบ บรื๋อ แค่คิดก็สยิว เอ๊ย สยองแล้ว
“อะไรอีกล่ะทีนี้”ธารณ์เริ่มรำคาญขึ้นมานิดๆ
“ก็...” พารินกำลังจะหลุดปากแหวออกมาแล้ว ถึงเธอเรื่องมากอย่างไร เขาก็ไม่มีสิทธิ์มาใช้น้ำเสียงเหมือนรำคาญ ในเมื่อเป็นคนทำให้เธอไม่ไว้ใจเองแท้ๆ ทว่าก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือเสียก่อน
“มีอะไรหรือเปล่า หรือไม้ที่ไปส่งมีปัญหา” วันนี้มีนัดส่งไม้ให้ลูกค้ารายใหญ่ ปกติเขาจะเข้าไปดูการขึ้นของด้วยตัวเอง แต่ติดตัวปัญหาที่นั่งหน้ายุ่งอยู่ตรงหน้า เลยให้ภาษิต ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและมือขวาเป็นคนจัดการ การที่อีกฝ่ายโทร.มาขัดจังหวะทั้งๆที่รู้ว่าเขาทำอะไรอยู่ คงเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ
“เปล่าครับ เรื่องไม้เรียบร้อยดี แต่คุณเจษมารอคุณอยู่ที่สำนักงาน”
“นายก็รู้ว่าฉันทำอะไรอยู่”น้ำเสียงของธารณ์เริ่มหงุดหงิด เมื่อรู้สึกว่าถูกขัดจังหวะด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
“แต่คุณเจษไม่ทราบ”
ก็จริง...ดังนั้นธารณ์จึงปรับน้ำเสียงให้ดีขึ้น ขณะเอ่ยประโยคถัดไป นอกจากเจษฎาไม่รู้ว่าเขาติดธุระแล้ว ภาษิตก็ไม่ผิด รายนั้นทำตามหน้าที่เท่านั้น
ธารณ์เหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ถ้าเขามองไม่ผิดเหมือนเห็นแววไหวระริกด้วยความถูกใจในดวงตาคู่สวย คงอยากให้เขาออกไปจากห้องนี่เต็มแก่ละสิ บางทีเธออาจวางแผนหนีอยู่ก็ได้
“บอกให้รอไปก่อน”เพียงจบประโยค ธารณ์ก็ได้เห็นพารินทำหน้ามุ่ยทันที
“แต่คุณเจษบอกว่ามีเรื่องสำคัญมาก ถ้าคุณไม่มา เขาจะไปหาคุณถึงบ้าน”
ท่าทางของพารินทำให้เขาไม่อยากออกไปจากห้องนี้ก็จริง แต่การให้เจ้าเพื่อนตัวแสบอย่างเจษฎารู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ เป็นอย่างสุดท้ายที่เขาต้องการ
“เออๆ บอกมันรอที่นั่นแหละ เดี๋ยวฉันไป” ธารณ์กดตัดสายอย่างหัวเสีย แล้วหันมาหาคนที่นั่งกระหยิ่มอยู่ ขู่เสียงเข้ม“พี่มีธุระ ต้องออกไปข้างนอก พายอยู่ดีๆนะ อย่าคิดหนีล่ะ เกิดอะไรขึ้นมา อย่าหาว่าพี่ไม่เตือนก็แล้วกัน”
พูดจบ ธารณ์ก็ลุกพรวด หมายออกไปจัดการธุระสำคัญที่เจษฎาอ้างให้เรียบร้อย จะได้กลับมาคุมความประพฤติพารินอย่างเร็วที่สุด
“เดี๋ยวสินาย อย่าเพิ่งไป”
“พายมีอะไรอีก พี่รีบ” ธารณ์ถาม ปรายตามองมือเล็กของคนที่กระโจนพรวดมาห้ามกันถึงหน้าประตู ทั้งๆที่ตอนแรกเจ้าหล่อนลุ้นให้เขาออกจากห้องไปเร็วๆแท้ๆ
“นายจะไปทั้งอย่างนี้น่ะเหรอ”
“ใช่” เขาก้มลงมองสภาพของตนเอง ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าเสื้อผ้าหน้าผมเรียบร้อยดี ดังนั้นหญิงสาวคงไม่ได้หมายถึงรูปลักษณ์ภายนอกของเขาแน่
“ฉันไม่ได้หมายถึงเสื้อผ้า”
“อ้าว แล้วเรื่องอะไร”
“นายยังไม่ได้ชิมข้าวผัดในจานฉันเลย!”
“มัวทำอะไรอยู่วะธารณ์ ปล่อยให้ฉันรอตั้งนาน”
เจ้าของชื่อเพิ่งผลักประตูกระจก ยังไม่ทันก้าวเข้าไปในสำนักงานด้วยซ้ำ เสียงทักแกมติงก็ดังขึ้น และธารณ์ก็ตอบกลับไปด้วยความรัก
“ใครใช้ให้แกมารอ”
“เออ...ฉันผิดเอง ลืมไปว่าแกมันนักธุรกิจคนดัง งานรัดตัว ถ้าไม่ได้นัดไว้ก่อนก็ต้องมานั่งรอแบบนี้”
น้ำเสียงคนพูดติดประชดประชันแกมตัดพ้อ ทว่าเพราะเป็นเพื่อนสนิทที่รู้จักกันไปถึงไส้ถึงพุง ทำให้ธารณ์แน่ใจว่าเพื่อนแค่เสแสร้งเท่านั้น
“ดราม่าแต่เช้าเลยนะแก”
“เช้า! ป่านนี้แกยังเรียกเช้าอยู่อีก แหกตาดูพระอาทิตย์บ้างหรือเปล่า ตรงโด่จะถึงกลางหัวอยู่แล้ว แถวบ้านฉันเรียกใกล้เที่ยง”
“เออๆ จะเวลาไหนก็ช่าง ว่าแต่แกมีอะไร ว่างหรือไง ถึงได้มานั่งรอตัดพ้อฉันเป็นสาวๆไปได้”
“ต่อให้แกเป็นสาว แถมเหลือคนเดียวในโลก ฉันก็กระเดือกไม่ลงหรอกว่ะ กลัวติดคอ”
วาจาเราะรายของเพื่อนทำให้ธารณ์ถึงกลับโคลงศีรษะอย่างระอา
“คิดว่าฉันเอาแกลงหรือไง ก็พอกันแหละวะ” และก่อนจะถูกเพื่อนลากออกอ่าวไทย ธารณ์ก็เข้าสู่ประเด็นที่ทำให้เขาต้องรีบออกจากบ้านมาสำนักงานในทันที “เห็นไผ่บอกว่าแกมีเรื่องด่วน”
“ฉันไปได้ยินมาว่า เสี่ยพละจะสนับสนุนให้แกสมัครนายกอบต.สมัยหน้า นี่มันยังไงกันวะ ไหนว่าแกไม่ชอบการเมืองไง”เจษฎาหมายถึงนายกองค์การบริการส่วนตำบล
“ไม่รู้ว่ะ เพิ่งได้ยินจากปากของแกนี่แหละ”
“อ้าว เสี่ยพละยังไม่ได้ทาบทามแกหรือวะ”
ธารณ์ส่ายหน้าปฏิเสธ ไม่ใช่แค่เจษฎาที่ออกอาการงงเป็นไก่ตาแตก เขาเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่ากำลังจะถูกดันให้เล่นการเมืองท้องถิ่น
“แล้วแกไปรู้มาได้ยังไง”
“วงในเขาพูดกัน”
ธารณ์ไม่มีข้อสงสัยเรื่องความน่าเชื่อถือของข่าว เพราะเจษฎาเป็นคนกว้างขวาง ไม่สิ...ต้องบอกว่าพ่อของเจษฎานั้นเป็นคนกว้างขวาง รู้จักผู้คนมากมาย เนื่องจากเป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายสมัย ถึงแม้วางมือจากแวดวงการเมืองมาหลายปี แต่เพราะความเป็นคนซื่อตรง จึงมีคนให้ความเคารพอยู่ไม่เสื่อมคลาย ดังนั้นไม่แปลกหากเพื่อนของเขาจะรู้อะไรมาบ้าง
“แกไม่รู้เรื่องแบบนี้ แสดงว่าเสี่ยพละยังไม่เข้ามาทาบทามแกสินะ”
“อือ”
“แล้วแกจะเอาไง”
“ก็ปฏิเสธ”
เจษฎาไม่แปลกใจเลย ด้วยรู้ดีว่าเพื่อนไม่ชอบงานการเมือง แต่ก็เป็นที่รู้กันว่ามีหลายคนหมายตาให้ธารณ์ลงเล่นการเมือง ความจริงต้องพูดว่าใช้ธารณ์เป็นหุ่นเชิดเพื่อจะได้กอบโกยเงินเข้ากระเป๋ามากกว่า
ถึงแม้ธารณ์อายุยังน้อย ผ่านเลขสามมาแค่ไม่กี่ปี ทว่าเรื่องบารมีแล้ว เจ้าตัวมีไม่แพ้คนเลยวัยเกษียณบางคนเลยทีเดียวเพื่อนของเขาเป็นคนอัธยาศัยดี นอบน้อม ไม่ถือตัว และยังมีน้ำใจ ทำให้ธารณ์เป็นที่รักของชาวบ้านจนเกือบทั้งอำเภอ หลายคนจึงหมายตาไว้ว่า อีกไม่นานชายหนุ่มต้องกระโดดลงมาเล่นการเมืองแน่
หากธารณ์ทะเยอทะยานอีกสักนิด ชายหนุ่มคงไปได้สวยในเส้นทางนี้แน่ทว่าคนใกล้ชิดต่างรู้ดีว่าชายหนุ่มไม่ชอบทำงานการเมือง ไม่ว่าระดับไหนก็ตาม ดังนั้นไม่ว่าตอนนี้หรืออีกหลายปีข้างหน้า คงไม่มีใครได้เห็นธารณ์ในถนนสายการเมืองแน่
“ถ้าแกปฏิเสธ ฉันว่าไม่เป็นผลดีกับแกแน่ แกก็รู้ว่าเสียพละเป็นคนยังไง”
“เพราะรู้น่ะสิ ถึงต้องปฏิเสธ”
เสี่ยพละที่เจษฎาพูดถึง เป็นเจ้าของบริษัทการโยธาใหญ่ที่สุดในจังหวัดและเป็นลูกค้ารายหนึ่งของบริษัทเขาประกอบกับบริษัทมีขนาดใหญ่ เงินทุนหนา มีทั้งความพร้อมด้านอุปกรณ์และแรงงาน ทำให้บริษัทของเสี่ยพละประมูลงานใหญ่ๆ จากหน่วยงานราชการได้ตลอด แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าหากงานพวกนั้นได้มาอย่างถูกต้องเขาไม่ชอบความไม่โปร่งใส เห็นแก่ตัว รวมถึงการทำงานแบบไม่ซื่อสัตย์ต่อลูกค้าของเสี่ยพละจุดประสงค์ของเสี่ยพละคงไม่หวังดีกับเขานักหรอก
“ฉันไม่อยากยุ่งกับคนแบบนั้น ถ้าเสี่ยมาทาบทามจริงก็คงปฏิเสธ ฉันเป็นคนนะโว้ย ไม่ใช่หุ่นกระบอกให้ใคร”
เจษฎาพยักหน้า เขาก็พอมองจุดประสงค์ของเสี่ยพละออกเหมือนกัน
“ไม่แน่ เผื่อแกอยากเปลี่ยนบรรยากาศ นี่เห็นว่าเสี่ยกำลังหาที่ดินจะทำโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อีกแล้วนะ คราวนี้ลามไปจังหวัดใกล้ๆด้วย ถ้าแกร่วมมือกับเสี่ย พวกวงกบประตู หน้าต่าง ก็คงเป็นของร้านแกอีกนั่นแหละ”
ด้วยรู้จักนิสัยเพื่อนดีทำให้ธารณ์ไม่โกรธ เพราะรู้ว่าเจษฎาแค่แกล้งพูดเท่านั้นเอง
“แกลองไหมล่ะ ไม่แน่นะ ถ้าผิดหวังจากฉัน เสี่ยอาจเปลี่ยนเป้าหมายเป็นแกก็ได้นะ”
“ไอ้บ้า หาเรื่องให้ฉันแล้วไหมล่ะ”
ธารณ์หัวเราะกับท่าทางส่ายหน้าหวืออย่างสยดสยองของเพื่อน เจษฎาคงเหมือนเขา ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากยุ่งกับเสี่ยพละเช่นกัน
“ต่อให้เสี่ยไม่สั่งไม้ที่ร้านต่อ ก็ไม่มีผลกับฉันหรอกนะ เงินอาจหายไปส่วนหนึ่ง แต่ถ้ามันทำให้สบายใจ ฉันเลือกอย่างหลังว่ะ”
“แล้วแกจะเอาไงต่อ” เจษฎาถามจริงจัง
“ไม่รู้เหมือนกัน คงดูท่าทีไปก่อน ตอนนี้แกแค่บอกว่าข่าววงใน แต่เสี่ยยังไม่ได้มาทาบทามฉันจริงๆ ทำอะไรไปก็เหมือนร้อนตัว”
“ก็จริง” เจษฎาเห็นด้วย
“อีกอย่างกว่าจะเลือกตั้งครั้งใหม่ ยังมีเวลาอีกเป็นปี บางทีเสี่ยอาจเปลี่ยนใจเป็นแกก็ได้...ใครจะไปรู้”ธารณ์ไหวไหล่กวนๆ
“ไอ้นี่ นี่กะเล่นเพื่อนให้ได้ใช่ไหมวะ”
“แกจะได้คิดล่วงหน้าไง ว่าจะทำยังไง”
“ไม่อยากปวดหัวคนเดียว เลยโยนเรื่องมาให้ฉันว่างั้น”
“เออ เผื่อแกมีอะไรดีๆ ก็บอกด้วยแล้วกัน”
เจษฎาทำหน้าเพลีย เมื่อถูกเพื่อนตบไหล่ปุๆ ราวกับฝากความหวังไว้ที่ตัวเอง
“กวนไม่เลิกนะ”
“เออ...ยังไงก็ขอบใจนะที่อุตส่าห์มาบอก” รู้ตัวก่อนแบบนี้จะได้มีเวลาตั้งตัวแล้วก็เตรียมใจ
“เพื่อนกัน เรื่องแค่นี้เล็กน้อยว่ะ...นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ไปหาอะไรกินกันไหม ฉันอยากกินลาบปลาทับทิมร้านครัวทรงพล ไปกินกันเถอะ” แค่คิดถึงปลาทับทิมแล่ตัดเป็นชิ้นพอดีคำ ทอดจนเหลืองกรอบ ราดด้วยน้ำลาบสูตรเด็ดประจำร้านเคียงมากับผักแนม น้ำลายก็สอแล้ว “ไปกินกัน ชวนไผ่ไปด้วย”
“วันนี้คงไม่ได้ว่ะ”ธารณ์ปฏิเสธทันที
“อ้าว ทำไมล่ะ มีธุระต่อหรือไง ไผ่ไม่เห็นบอกเลย” เจษฎาเป็นเพื่อนสนิทกับธารณ์ เลยสนิทสนมกับภาษิตไปด้วย
“อือ” เพียงคิดถึง ‘ธุระ’ก็เหมือนมีใครเอามือมาปัดความรู้สึกหนักอกออกจากใจไม่รู้ป่านนี้เจ้าหล่อนทำอะไรอยู่...คงกำลังคิดถึงเขาอยู่แน่ๆ แต่เชื่อเถอะ คงไม่ใช่แง่ดีนัก
เมื่อสักครู่ ตอนเขากำลังจะออกจากบ้าน เจ้าหล่อนยังอุตส่าห์วิ่งมารั้งเขาไว้ ไม่ใช่เพราะพิศวาสอะไรหรอกนะ แต่เจ้าหล่อนไม่ไว้ใจ กลัวถูกวางยาอีกรอบ เพราะเขาชิมอาหารจากจานตัวเองในถ้วยซุป แต่ไม่ได้ตักข้าวจากปากเจ้าหล่อนใส่ท้อง เธอคิดว่าเขาอาจเอายาใส่มาเฉพาะจานของตัวเอง...เชื่อเขาเลยจริงๆ
เจษฎาหรี่ตามองเพื่อน เจ้าตัวจะรู้ไหมว่าตอนนี้มีรอยยิ้มประดับอยู่เต็มใบหน้า ลามไปถึงดวงตาที่พราวพร่างไม่ต่างจากแสงดาวในคืนเดือนมืดแบบนี้ต้องมีอะไรแน่ๆถึงไม่ยอมไปกินข้าวด้วยกัน ทั้งๆที่ธารณ์เองก็ชอบเมนูลาบปลาทับทิมร้านดังกล่าวยิ่งกว่าอะไร
“ไอ้ธารณ์ บอกมาเลย มีอะไรดีๆหรือเปล่า”
“อะไร ไม่มี”
“ปฏิเสธเร็วแบบนี้มันน่าสงสัย” เจษฎาไม่ปล่อยให้เพื่อนเลี่ยง เมื่อเห็นธารณ์ทำท่าจะลุกขึ้นก็กระโจนเข้าหา ใช้แขนคล้องคอเอาไว้ กดให้นั่งลงอีกครั้ง เค้นเสียงขู่ “ท่าทางมีพิรุธ บอกมาซะดีๆว่านายปิดบังอะไรฉันอยู่ หรือว่า...ที่บ้านมีอะไร ถึงไม่ยอมให้ไปหา”
“คิดมากไปแล้วไอ้เจษ”
“ปกติแกเคยหวงบ้านที่ไหน ฉันเข้านอกออกในเหมือนเป็นบ้านตัวเอง แต่วันนี้จู่ๆเกิดมาห้าม มันแปลกนะโว้ย”
“ที่ห้ามเพราะกำลังจะออกมาแล้ว ขืนแกตามเข้ามาก็สวนกันพอดี” ธารณ์เอ่ย ปัดแขนที่คล้องคอตัวเองออกอย่างหงุดหงิด ทั้งๆที่ภายในใจนั้นแอบสะดุ้งกับข้อสันนิษฐานของเพื่อนที่พูดเหมือนตาเห็น
“เหตุผลน่าฟัง”
ธารณ์ผุดลุกขึ้น มองหน้าเพื่อน ไม่สนใจสายตารู้ทันที่ส่งมาให้ กดดันให้อีกฝ่ายลุกตามกลายๆ
“ถ้าจะนั่งอีกนานก็ตามสบายนะ เดี๋ยวฉันไปก่อน”พูดจบธารณ์ก็หมุนตัว เดินออกมาด้านนอก ไม่สนใจเสียงโวยวายอย่างไม่พอใจของเจษฎา แค่นึกถึงเรื่องสนุกๆที่รออยู่ในบ้าน เขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
ชายหนุ่มกำลังจะขึ้นรถอยู่แล้ว เมื่อภาษิตเดินแกมวิ่งเข้ามาหา สีหน้าลำบากใจ
“มีอะไรหรือเปล่าไผ่”
“เรื่องโต๊ะสำหรับเด็กเล็ก ของวัดที่ครูขอไว้”
ธารณ์พยักหน้า เขาจำได้ถึงเรื่องที่ทางครูอาสาซึ่งร่วมมือกับวัดใกล้บ้านจัดโครงการสอนหนังสือให้กับเด็กตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงชั้นประถมหก โดยครูอาสาและพระครูซึ่งสอนศาสนาให้...เคยเอ่ยปากขอไม้สำหรับจัดทำเป็นโต๊ะเล็ก ลักษณะเหมือนโต๊ะญี่ปุ่น ให้เด็กใช้นั่งเรียนหนังสือรวมไปถึงทำกิจกรรมต่างๆ แต่ก็ยังไม่ได้คุยลงไปถึงรายละเอียดสักที
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ครูปลาอยากคุยรายละเอียดกับคุณธารณ์ครับ”ถึงแม้ธารณ์จะเห็นภาษิตเป็นเพื่อนแต่ภาษิตก็ให้เกียรติธารณ์ในฐานะเจ้านายโดยไม่กล้ายกตนเสมอเลยสักครั้ง
“วันนี้เลยเหรอ” ถ้าหากไม่ด่วน ภาษิตที่ทราบดีว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ ไม่น่าวิ่งกระหืดกระหอบตามมา“ไม่ไปไม่ได้ใช่ไหม”
“ครับ เห็นว่าครูปลาต้องไปอบรมที่กรุงเทพฯหลายวัน เลยอยากคุยรายละเอียดกับคุณธารณ์ให้เรียบร้อยก่อนไป จะได้ไม่ต้องกังวล”
“นัดที่ไหน”
“ร้านครัวทรงพลครับ เห็นว่าจะเลี้ยงข้าวขอบคุณล่วงหน้าด้วยครับที่รบกวน”
บังเอิญจริงๆ ธารณ์เหลือบไปยังเพื่อนที่ยืนพิงกรอบประตูมองมาอย่างสนใจ คงกำลังกางหูฟังเต็มที่สินะ
เรื่องโต๊ะสำหรับเด็กก็สำคัญ แต่คนอยู่ที่บ้านก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ป่านนี้หิวแย่แล้ว
พอเห็นธารณ์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง แถมยังมีสีหน้าลำบากใจ คนสนิทอย่างภาษิตก็รู้ทันทีว่าเจ้านายกำลังกังวลเรื่องอะไร
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ เดี๋ยวผมเอาอาหารไปให้เธอเอง” ภาษิตพูดเสียงเบาลงจนเกือบกระซิบ เพราะเขาเองก็เห็นว่าเพื่อนสนิทเจ้านายมองมาอย่างสงสัยเช่นกัน
“งั้นฉันฝากด้วยแล้วกัน นายไปจัดการเรื่องนั้นแล้วไม่ต้องกลับมาออฟฟิศ เข้าใจนะ”
“ครับ”
ได้ยินภาษิตรับคำหนักแน่น พร้อมๆกับแววตามองมาอย่างให้เขาวางใจ ธารณ์ก็เบาใจและมั่นใจว่าภาษิตจะจัดการเรื่องนั้นได้อย่างเรียบร้อยแน่นอน
เนตรนภัส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ก.ค. 2560, 11:44:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ก.ค. 2560, 11:44:49 น.
จำนวนการเข้าชม : 931
<< บทที่ 2 [1/2] | บทที่ 3 [1/2] >> |