ในรอยกาล / เพิ่มตอนพิเศษ
“พี่พริษฐ์หยิบหีบใบนั้นให้ชมพู่หน่อย”

ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที

หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้

“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว

เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ

“ครับ”

เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย

ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น

“มองพี่ได้ไหม”

นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง

ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา

ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม

“พี่จูบได้ไหม”

แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน

เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย

ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก

เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม


- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -

Tags: ในรอยกาล, เนตรนภัส, พริษฐ์, ชมพู่, แก้มแหม่ม,

ตอน: บทที่ 8

...๘...



พริษฐ์เริ่มเคยชินกับการทำอะไรปรูดปราดของแก้มแหม่มแล้ว พอทุกคนมาครบเจ้าตัวก็แจกอุปกรณ์ทำความสะอาดคนละชุด สั่งการให้แบ่งเป็นกลุ่ม

“ยอด แจกผ้าปิดปากด้วย” พอกำชับให้ทำความสะอาดอย่างเต็มความสามารถแล้ว แก้มแหม่มก็สั่งให้เด็กชายแจกของที่เตรียมมาอีกอย่าง โดยมีเด็กยอดคอยทำตามคำสั่ง

“น้าทนอึดอัดกันหน่อยนะจ๊ะ จะพูดจะหายใจมันลำบากหน่อย แต่บ้านหลังนี้ไม่ได้ทำความสะอาดนาน ฝุ่นมันเยอะ ถ้าไม่ใส่ไว้ ชมพู่กลัวว่ากลับไปจะไม่สบายกัน”

“หนูชมพู่กลัวพรุ่งนี้น้ามาทำงานไม่ได้ใช่ไหมล่ะ” หนึ่งในคนงานแซวมาอย่างอารมณ์ดี ซึ่งเจ้าตัวก็ยิ้มรับหน้าชื่น

“แหม น้าก็ รู้ทันจริงๆ”

พริษฐ์มองอาการหยอกล้ออย่างเป็นกันเองของแก้มแหม่มกับคนงานยิ้มๆ เจ้าตัวทำเหมือนพยายามรักษาผลประโยชน์ของตัวเองเต็มที่ ทว่าจริงๆ คงห่วงใยสุขภาพของคนงานมากกว่า

“ชมพู่เตรียมถุงมือยางมาให้ด้วยนะจ๊ะ ใครอยากได้ก็มาเอากับยอดได้เลย ส่วนพวกน้ำท่าไม่ต้องเป็นห่วง อีกเดี๋ยวยอดจะเอากระติกไปวางไว้ตามจุดต่างๆ ถ้าพวกน้าๆ หิวก็ตักดื่มกันได้”

เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่พริษฐ์คาดไม่ถึง พูดกันจริงๆ เขามองอย่างผู้บริหารซึ่งนั่งสั่งการอยู่บนยอดตึกสูง วันๆ แค่เซ็นชื่ออนุมัติ ไม่ได้ลงมาหยิบจับเองโดยตรง ทำให้มองข้ามและละเลยบางสิ่งไป เห็นแก้มแหม่มใส่ใจคนงานที่เรียกได้ว่าเป็นแค่ลูกจ้างใช้แรงงานแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้

“แยกย้ายกันไปทำงานเถอะจ้ะ” แก้มแหม่มมองบรรดาชาวบ้านที่เกณฑ์มาทำความสะอาดแยกย้ายกันไปประจำตามจุดของตนแล้วจึงหันมาทางชายหนุ่มอีกครั้ง “คุณพริษฐ์ อ้ะ นี่ของคุณ”

พริษฐ์ยืนกอดอกเลิกคิ้ว มองผ้าปิดจมูกสีขาวสะอาดที่ถูกส่งมาให้นิ่ง ไม่ยอมยื่นมือไปรับ

“อย่ามัวแต่เฉยอยู่เลยคุณ รับๆ ไปเถอะ จะได้ลงมือทำความสะอาดบ้านกัน เสียเวลามามากแล้วนะ”

นี่แม่ตัวดีคิดจะใช้เราเป็นแรงงานจริงๆ หรือนี่...

พอเห็นพริษฐ์ยังยืนกอดอกทิ้งขาเป็นยักษ์ปักหลั่นไม่ยอมขยับไปไหน แก้มแหม่มก็ใส่ผ้าปิดปาก หนีบไม้กวาดเอาไว้ข้างตัว แล้วออกแรงดันชายหนุ่มให้ออกเดิน

“ไปเถอะคุณ ช่วยๆ กัน ลดแรงงานไปคนหนึ่ง ค่าแรงก็ลดลงด้วยนะ”

นี่สินะ ประเด็นสำคัญที่เจ้าตัวลงทุนลงแรงทำทั้งหมด นอกจากค่าอุปกรณ์ซึ่งเจ้าตัวขนซื้อมาโดยไม่ได้สั่ง ยังมีค่าแรงของแรงงานพิเศษนอกเหนือจากสิบชีวิตนั้นอีก เผลอๆ อาจต้องจ่ายให้แรงงานเด็กที่อยู่ข้างนอกนั่นอีกคน

เมื่อคืนหลังจากนั่งเพ่งที่อยู่ของอัญชัน เขาก็พยายามหาจุดเชื่อมโยงระหว่างผู้หญิงคนนี้กับบิดา ไตร่ตรองดูก็ไม่มีอะไรผิดสังเกต ถ้ามีอะไรเชื่อมคนสองคนนี้ไว้ด้วยกันได้ก็คงเป็นที่อยู่

บิดาของเขาใช้ชีวิตในวัยเด็กในบ้านหลังนี้ช่วงหนึ่งแล้วย้ายไปลงหลักปักฐานในเมืองหลวง ที่อยู่ซึ่งทิวไผ่ให้มาก็อยู่ในจังหวัดนี้ เป็นจุดเชื่อมโยงจุดเดียวที่เขามองออก

ดังนั้นเขาจึงวางแผนไว้ ระหว่างทุกคนทำความสะอาดบ้าน เขาจะสำรวจตามห้องหับต่างๆ เผื่อมีอะไรหลงเหลือใช้เป็นเบาะแสได้บ้างว่าบิดากับอัญชันเกี่ยวข้องกันอย่างไร

ถ้ามีแก้มแหม่มคอยป่วนอยู่ใกล้ๆ แบบนี้ เราคงทำอะไรไม่ถนัดนัก

“งกจริงเลยคุณ”

“ฉันรักษาผลประโยชน์เป็นเลิศต่างหาก” แก้มแหม่มเถียงทันทีอย่างไม่ลดละ

แล้วมันต่างกันตรงไหน พริษฐ์คิดอย่างขำๆ แต่ก็ไม่เอ่ยปากพูดอะไรอีกนอกจากยอมให้หญิงสาวลากไปตามใจชอบ

พริษฐ์ไม่รู้ตัวเลยว่าคนเด็ดขาดไม่ยอมใครอย่างเขา เผลออ่อนข้อให้หญิงสาวที่รู้จักกันไม่กี่วันไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว



“เหนื่อยไหมพี่ชมพู่” ยอดถาม มือก็ตักน้ำเย็นเฉียบจากกระติกส่งไปให้ ตามด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กขาวสะอาดที่เจ้าตัวพาดอยู่บนไหล่ตลอดเวลา

แก้มแหม่มถอดผ้าปิดจมูกออก ใช้ผ้าเช็ดหน้าตาและลำคอ จากนั้นจึงยกน้ำขึ้นดื่มอึกๆ จนหมดแก้ว หลังจากต้องเจอะเจอกับฝุ่นมากมาย พอได้ดื่มน้ำเย็นๆ ก็ทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นมาก

“มีงานอะไรบ้างไม่เหนื่อยหือยอด”

เด็กชายส่ายหน้าหวือทันที ก็งานที่หยิบจับช่วยป้าตาบ ช่วยพี่ชมพู่ ล้วนเหนื่อยทั้งสิ้น

ใบหน้าแหยงๆ ของเด็กชายจุดรอยยิ้มเอ็นดูจากแก้มแหม่มได้ทันที แม้ยอดไม่ใช่น้อง ก็ผูกพันจนเหมือนเป็นน้องจริงๆ ไปแล้ว

หญิงสาวละสายตาจากเด็กชายกวาดไปมองรอบๆ สำรวจการทำงานของลูกจ้างที่หามาว่าทำงานอย่างขยันขันแข็งหรือเปล่า มีใครอู้งานหรือไม่ หากมีจะได้จัดการให้เรียบร้อย

การจ่ายค่าแรงเป็นรายวันนั้นส่งผลดีต่อลูกจ้างก็จริง แต่สำหรับนายจ้าง หากลูกจ้างทำงานไม่ดี คอยแต่อู้ อาจทำให้งานที่สามารถทำเสร็จในหนึ่งวันเพิ่มเป็นสองวันได้ และนั่นก็ทำให้ค่าจ้างเพิ่มสูงขึ้นโดยใช่เหตุ เธอไม่อยากให้พริษฐ์มาว่าเอาได้

ไหนๆ เขาก็วางใจให้ช่วยแล้ว ดังนั้นพอเห็นว่าทุกคนยังตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างรู้หน้าที่เธอก็เบาใจ

แก้มแหม่มส่งแก้วน้ำและผ้าขนหนูคืนให้ยอดหมายกลับไปทำหน้าที่ของตนต่อ ตอนนี้ทิ้งให้พริษฐ์พานหยากไย่อยู่คนเดียวในห้อง เธอไม่อยู่เสียคน ไม่รู้ชายหนุ่มจะทำงานได้หรือเปล่า แค่เห็นแวบแรกก็แล้วเขาคงไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน ท่าทางถึงได้เก้ๆ กังๆ ดูตลก

ทว่าระหว่างทางเดินไปหาชายหนุ่ม เสียงกรีดร้องของผู้หญิงก็ทำให้เธอเปลี่ยนเป้าหมาย ก้าวเท้าไปทางต้นเสียงทันใด

“มีอะไรหรือเปล่าคะน้า” หญิงสาวถามทันที “มีใครเป็นอะไรหรือเปล่า”

จากเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจ แก้มแหม่มคิดว่าคงได้เห็นอาการขวัญเสียของใครสักคน มากกว่าอาการกลั้นขำและโบกไม้โบกมือปฏิเสธเช่นนี้

“ไม่มีอะไรหรอกหนูชมพู่ น้าแค่คุยกันขำๆ ว่าบ้านนี้มีผีสิงหรือเปล่า ทำไมถึงทิ้งร้างมานานจนแมงมุมยกตระกูลมาทำรังแบบนี้ แล้วหนูมันกระโดดใส่หลัง ยายกลอยมันตกใจก็เลยกรี๊ดขึ้นมา” คนงานอีกคนที่รวมกลุ่มทำงานอยู่กับเจ้าของเสียงร้องอธิบายไปพลางหัวเราะขำเพื่อน ที่พอหายตกใจก็ยืนส่งยิ้มอายๆ มาให้

“ชมพู่เคยเจอเหมือนกัน หนูอะไรก็ไม่รู้ตัวเท่าแมว” หญิงสาวเล่าอย่างเห็นภาพ ด้วยเคยเจอกับตัวมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวันก่อน

“นั่นละจ้ะ ตัวไม่ใช่เล็กๆ กระโดดลงมาได้ ตกใจหมด” คราวนี้เป็นเจ้าของเสียงร้องพูดบ้าง “น้านี้แทบจุก”

“ปิดบ้านไว้นานๆ ก็แบบนี้ละค่ะ พอไม่มีคนอยู่ก็ถูกสัตว์ล่าอาณานิคม”

“นี่หนูชมพู่ น้าถามอะไรสักอย่างสิ” คนงานอีกคนขยับตัวเข้ามาใกล้ มองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง ทำราวกลัวคนอื่นได้ยินบทสนทนา

“อะไรคะ” แก้มแหม่มเลิกคิ้ว

“น้าละแปลกใจอยู่อย่างนะ บ้านนี้ออกสวย หลังก็ใหญ่โต ท่าทางจะอยู่สบาย แต่ทำไมเจ้าของถึงได้ปล่อยทิ้งร้างเอาไว้จนสัตว์เดินขบวนมายึด ดีนะไม่เจองูด้วยอีกอย่าง ถ้าเจอน้าคงเผ่น ค่ารงค่าแรงไม่เอากันละทีนี้”

“เอ...ชมพู่ก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ” หญิงสาวปฏิเสธทันที เธอไม่อยากออกความเห็นใดๆ ในเรื่องที่ตัวเองไม่รู้จริง

“ฉันก็ว่ามันแปลกอยู่นะ” พอมีคนเปิดประเด็น อีกคนก็เริ่มออกความเห็น

“นั่นสิ ฉันเห็นด้วย มีไม่กี่เหตุผลที่คนเราจะปล่อยบ้านทิ้งร้างไม่มาดูดำดูดี”

“อะไรๆ”

“บ้านร้างก็ต้องคู่กับผีสิ หรือว่า...” คนพูดกวาดตาไปรอบๆ อย่างหวาดๆ “บ้านนี้มีผีสิง เจ้าของอยู่ไม่ได้ เลยปล่อยเอาไว้เฉย”

“เฮ้ย!” สิ้นข้อสันนิษฐาน คนที่เหลือก็อุทานขึ้นมาพร้อมกัน

“ไม่หรอกมั้ง” ปากปฏิเสธ แต่หน้าตาของเจ้าของเสียงกรีดร้องเมื่อครู่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว มองไปรอบตัวอย่างไม่มั่นใจนัก

“เหลวไหลน่าน้า ผงผีที่ไหนกัน แค่บ้านไม่มีคนอยู่เท่านั้นแหละค่ะ” หญิงสาวดุเสียงแข็ง เธอไม่อยากให้บรรดาน้าๆ คิดเช่นนี้ เพราะเกรงว่าจะไม่มีใครทำงานให้

แต่พูดถึงเรื่องลี้ลับแล้ว เธอก็ชักไม่แน่ใจคำพูดของตัวเอง บ้านนี้ไม่มีผีสิงจริงหรือ...

“น้าเคยได้ยินมาว่าเมื่อก่อนครอบครัวนี้เขาก็อยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือจ๊ะ แต่จู่ๆ ก็ย้ายไปกรุงเทพฯ ยกครัว แบบนี้น้าว่ามันแปลกๆ อยู่นา อาจมีคนตายในบ้านก็ได้” ตอนท้ายเสียงคนพูดแผ่วลง ทำให้คนอื่นๆ ยิ่งขยับเข้ามาใกล้เพื่อเงี่ยหูฟัง

“ไปกันใหญ่แล้วค่ะ” ชมพู่เอ็ดเสียงแข็ง “แยกย้ายกันไปทำงานดีกว่า เดี๋ยวคุณพริษฐ์มาเห็นว่าน้าๆ มัวแต่อู้คุยกัน โดนตัดค่าแรงชมพู่ไม่รู้ด้วยนะคะ”

สิ้นประโยคนี้วงสนทนาก็แตกกระจาย ต่างคนต่างหันไปทำหน้าที่ของตนอย่างแข็งขันด้วยรู้ดีว่าแก้มแหม่มนั้นเป็นนายจ้างที่ไม่เอาเปรียบใคร ขณะเดียวกันก็ไม่เคยให้ใครมาเอาเปรียบเช่นกัน



ไม่รู้อุปาทานไปหรือเปล่า ขณะก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปในห้องซึ่งปล่อยให้พริษฐ์พานหยากไย่อยู่ลำพัง แก้มแหม่มรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัววังเวงชอบกล ทั้งๆ ที่ภายนอกผู้คนก็เดินกันขวักไขว่ ส่งเสียงพูดคุยจอแจฟังไม่ได้สรรพ จนอดมองรอบๆ อย่างหวาดระแวงไม่ได้

เธอรู้ดีว่าภายใต้ท่าทางยอมรับ หันไปทำงานและเลิกสันนิษฐานถึงสาเหตุที่เรือนไทยหลังงามถูกปล่อยทิ้งร้างไว้หลายปี ไม่มีใครเชื่อคำพูดของเธอสักคน ตอนนี้หลายคนคงปักใจไปแล้วว่าบ้านถูกปล่อยร้างเพราะผี

บ้านร้างกับผีสางเป็นของคู่กันมาช้านานจนกลายเป็นความเชื่อฝังหัวไปแล้ว เธอเองถึงไม่เคยเจอกับตัวก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าผีไม่มีจริง เข้าอีหรอบไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่ ทว่าช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผ่านมา เมื่อต้องเข้ามาพัวพันเข้านอกออกในบ้านหลังนี้ ก็ชักพูดได้ไม่เต็มปากว่าไม่เชื่อ

พอได้ยินคำพูดของลูกจ้างหลายๆ คนทำนองเดียวกันก็ชักเริ่มคิดหนักว่าสิ่งที่ตนเจอเป็นเพียงฝันกลางวันหรือว่าบ้านนี้มีสิ่งลี้ลับซ่อนอยู่กันแน่ และถ้าเป็นอย่างหลังจริง...

บรื๋อ-อ-อ-อ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว

อาการเย็นสันหลังวาบแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ราวกับมีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่...อย่าบอกนะว่าคิดถึงผี ผีก็มาน่ะ

แก้มแหม่มลอบกลืนน้ำลายอย่างหวาดหวั่น รู้สึกว่าคงอยู่ในห้องนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว จึงค่อยๆ ขยับตัวทีละนิด แต่ดูเหมือนร่างกายไม่เป็นใจ การก้าวขาแต่ละก้าวช่างยากเย็นเหลือเกิน เธอจึงขยับไปข้างๆ ทีละนิดโดยไม่กล้าหันไปมองด้านหลัง ด้วยกลัวว่าจะจ๊ะเอ๋เข้ากับอะไรก็ตามที่กำลังจ้องมาจนขนอ่อนลุกชันแบบนี้

กำลังจะถึงประตูทางออกอยู่แล้ว แก้มแหม่มก็เริ่มคิดหนักว่าจะออกจากห้องอย่างไรโดยไม่ต้องหมุนตัวไปมองข้างหลัง

“คุณชมพู่ มาทำลับๆ ล่อๆ อะไรตรงนี้”

“เฮ้ย!”

อารามกลัวเป็นทุนเดิม พอมีเสียงดังขึ้นด้านหลังแก้มแหม่มถึงกับสะดุ้งโหยง อุทานเสียงดัง นั่นไม่ร้ายแรงเท่ากับสัญชาตญาณการป้องกันตัว มือเล็กทว่าแข็งแรงถูกเหวี่ยงไปด้านหลังอย่างแรง เกิดเสียงของตกลงสู่พื้นไม้ดังโครม พร้อมกับฝุ่นลอยคละคลุ้ง

“อะไรกันน่ะคุณ เป็นบ้าอะไรเนี่ย”

‘ของใหญ่’ ตกลงสู่พื้นลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่ตะโกนฝ่าออกมา น้ำเสียงคุ้นหูทำทำแก้มแหม่มสะดุดกึก ดวงตาที่หลับปี๋อยู่เมื่อครู่ค่อยๆ เปิดทีละนิด พอเห็นว่าอะไรเป็นอะไรเท่านั้น หญิงสาวก็ถลันไปนั่งคุกเข่าอยู่กับร่างซึ่งยังเค้เก้อยู่บนพื้นด้วยความเป็นห่วง

“เป็นอะไรไปคุณพริษฐ์ ทำไมถึงลงไปนอนอย่างนี้” หญิงสาวถามด้วยความเป็นห่วง ลืมความกลัวเมื่อครู่ไปสิ้นเมื่อเห็นสภาพของเพื่อนใหม่กึ่งๆ นายจ้าง

ตอนนี้ตามเนื้อตัวพริษฐ์เต็มไปด้วยหยากไย่และฝุ่น ข้างๆ กันมีไม้กวาดสำหรับพานหยากไย่เอนหมิ่นๆ อยู่ ถ้าหากไม่มีตู้หลังใหญ่ด้านหลัง แก้มแหม่มเชื่อว่ามันคงตกลงมาใส่ชายหนุ่มแน่ เผลอๆ จะโดนศีรษะ

“ก็คุณนั่นแหละ เป็นบ้าอะไร จู่ๆ ก็หันมาผลักผมแบบนี้” น้ำเสียงตอบกลับมาเย็นเยียบพอๆ กับแววตาขุ่นๆ ที่มองมา

ต้องอยู่ในห้องอับชื้นเต็มไปด้วยฝุ่น แถมยังทำงานงกๆ ร้อนก็ร้อน พอเจอแบบนี้เข้าไป พริษฐ์ก็อดไม่พอใจไม่ได้

“ใครจะไปรู้ล่ะว่าเป็นคุณ อยู่ดีๆ ก็เข้ามาข้างหลังเงียบๆ” หญิงสาวตอบเสียงสะบัด คนเป็นห่วงแท้ๆ ยังมาทำท่าดุใส่อีก แต่นี่เพราะรู้สึกผิดหรอกนะถึงได้ช่วย ไม่อย่างนั้นคงได้ไปนอนคลุกฝุ่นอีกรอบแน่ “คนก็ตกใจเป็นเหมือนกันนะ”

“ก็คุณนั่นแหละ ผลักซะเต็มแรงเชียว”

“ฉันตกใจนี่” หญิงสาวว่า สายตาสำรวจเนื้อตัวชายหนุ่มไปด้วย เห็นว่าตรงไหนเปื้อนก็ใช้มือช่วยปัดออกให้ แต่ดูท่าจะเกินเยียวยา ยิ่งปัดยิ่งเปื้อน “ฉันว่าคุณไปล้างหน้าล้างตาหน่อยก็ดีนะ สภาพตอนนี้ดูไม่จืดเลย”

ก็เพราะใครล่ะเขาถึงมีสภาพเช่นนี้

“ดีเหมือนกัน ข้างในนี้ร้อนเหลือเกิน ผมหายใจไม่ค่อยออก”

“คุณแพ้ฝุ่นหรือ ไปๆ รีบไปเลย ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะว่ามีโรคประจำตัว จะได้ไม่ให้ช่วยทำ” พอได้ยินอย่างนี้ แก้มแหม่มก็กุลีกุจอประคองชายหนุ่มให้ยืนขึ้น

“ถ้าผมแพ้ฝุ่นจริง กว่าคุณจะรู้คงหายใจไม่ออกตายเป็นผีเฝ้าบ้านไปแล้วละ” พริษฐ์ค่อน ตอนนี้ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากอาบน้ำชำระร่างกายมากกว่าแค่ล้างหน้าอย่างที่แก้มแหม่มเสนอ

“คุณพริษฐ์ ฉันถามอะไรอย่างสิ”

“หือ”

พอเห็นชายหนุ่มละมือจากการปัดฝุ่นตามเนื้อตัวและศีรษะหันมามอง หญิงสาวก็ขยับเข้าไปใกล้ ยกมือป้องปากราวกับเรื่องที่พูดเป็นความลับสุดยอด

พริษฐ์มองท่าทางนั้นงงๆ แต่ก็ยอมเอียงหูไปฟังใกล้ๆ

“จริงๆ ที่พวกคุณย้ายไปอยู่กรุงเทพฯ เพราะบ้านนี้มีคนตายใช่ปะล่ะ”

“คุณ!” สิ้นคำพริษฐ์ก็อุทานเสียงดัง เล่นเอาคนถามถึงกับสะดุ้งหลับตาปี๋

“นี่แสดงว่าเมื่อครู่ที่คุณผลักผมลงไปนอนเค้เก้บนพื้นนั่น ก็เพราะคิดว่าเป็นผีมาหลอกคุณอย่างนั้นสิ”

อยากปฏิเสธใจจะขาด แต่สายตาคาดคั้นที่มองมาทำให้ไม่กล้า จึงพยักหน้าเบาๆ เป็นการยอมรับ แล้วเธอก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ

“คุณไปเอาความคิดบ้าๆ นี่มาจากไหนกัน”

“ใครๆ เขาก็พูดกันทั้งนั้น” แก้มแหม่มละเอาไว้ว่า ‘ใครๆ’ ที่ว่าคือคนงานซึ่งกำลังทำความสะอาดบ้านงกๆ หวังค่าแรงจากเขานั่นแหละ แต่ขืนบอกไปมีหวังหัวขาดกันหมด ดูเอาสิ เธอไม่เคยเห็นพริษฐ์ออกอาการหัวเสียขนาดนี้มาก่อน เรื่องเล็กๆ แท้ๆ

“บ้ากันหมดแล้วคุณ บ้านไม่มีคนอยู่ต้องคิดว่าผีสิงกันหมดหรือไง”

“ก็...” ปากจิ้มลิ้มอ้าออกจะอธิบายแล้วก็หุบฉับ เมื่อครู่เธอไม่ใช่หรือไงที่กลัวผีบ้านร้างน่ะ จึงปฏิเสธไม่ได้เต็มปาก

“ผมไม่คิดว่าคุณจะเชื่อเรื่องงมงายพวกนี้ บุคลิกของคุณไม่ใช่คนแบบนั้นเลย”

ใช่ ถึงเธอไม่เคยเชื่อเพราะตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยเจอเรื่องลี้ลับ มีวันนี้แหละที่รู้สึกว่าคงต้องตรองเรื่องนี้ใหม่อีกรอบ ทว่านั่นเพราะใครล่ะ ถ้าไม่ยื่นมือช่วยเขา เธอจะเจอเรื่องแบบนี้ไหม

แก้มแหม่มตวัดตามองชายหนุ่มเคืองๆ ตอนนี้เธอเหมาว่าเรื่องประหลาดจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่ออยู่ในรั้วบริเวณเรือนไทยหลังนี้เท่านั้น กลับไปบ้านก็นอนหลับสนิทดี ไม่ฝันเป็นตุเป็นตะ แถมเรื่องยังต่อกันราวภาพยนตร์ที่เช่ามาจากร้าน ดูค้างไว้ตรงไหน วันรุ่งขึ้นค่อยมาดูต่อได้

ท่าทีเปลี่ยนไปปุบปับของแก้มแหม่มเล่นเอาพริษฐ์งง เมื่อครู่ยังเห็นเกรงๆ เขาอยู่เลย ตอนนี้ดวงตาคู่นั้นกลับเรื่อเรืองอย่างเอาเรื่อง

“คุณไม่เคยได้ยินหรือไง ไม่เชื่อ แต่อย่าลบหลู่น่ะ”

“ถ้าวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ หรือเห็นกับตาจังๆ ผมก็ไม่เชื่อ” พูดจบพริษฐ์ก็ไหวไหล่เบาๆ อย่างกวนๆ ทิ้งให้แก้มแหม่มยืนอึ้งอยู่กับที่

“ชิ! ขอให้โดนผีหลอกจับไข้หัวโกร๋น”



พอได้ล้างหน้าล้างตาพริษฐ์สดชื่นขึ้นเป็นกอง เขาปลีกตัวออกมาจากเรือนไทย เดินเตร่อยู่ด้านล่างเพราะไม่อยากขึ้นไปขลุกอยู่ในพื้นที่อับ เต็มไปด้วยฝุ่นและสัตว์น้อยใหญ่ที่หนีกระเจิดกระเจิงเมื่อถิ่นอาศัยกำลังถูกทวงคืน

เนื่องจากบ้านถูกทิ้งร้างมานาน ต้องปัดกวาดเช็ดถู เผลอๆ พริษฐ์คิดว่าอาจต้องถึงขั้นล้างบ้าน น่าจะกินเวลาหลายวัน คงต้องเตรียมเงินไว้จ่ายค่าแรงให้พอ ดังนั้นเขาจึงล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง กดหาคนที่คิดว่าสามารถจัดการเรื่องนี้ให้เขาได้รวดเร็วที่สุด

“คุณประเสริฐ” พอปลายสายกดรับ พริษฐ์ก็กรอกเสียงไปทันที “ผมมีเรื่องให้จัดการหน่อย”

“คุณพริษฐ์หรือครับ คุณจะกลับวันไหน ผมจะให้นลินเตรียมตั๋วเครื่องบินให้”

ชายหนุ่มถอนหายใจพรืด...ทำงานรับใช้กันไม่บกพร่อง สมกับเป็นมือขวาของบิดาจริงๆ

“นี่คุณประเสริฐ คุณอยากเป็นพ่อผมอีกคนหรือไง”

“ปะ...เปล่าครับ” ปลายสายละล่ำละลักปฏิเสธน้ำเสียงร้อนรน “ว่าแต่คุณพริษฐ์โทร.มามีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ”

“มีแน่คุณประเสริฐ แต่ตอนนี้ให้การเงินโอนเงินมาให้ผมก่อน”

“คุณพริษฐ์จะเอาไปทำอะไรครับ”

“ก็เอามาสะสางเรื่องยุ่งๆ ทางนี้น่ะสิ คุณรู้บ้างหรือเปล่าว่าทำงานหย่อนยานแค่ไหน จ่ายเงินจ้างคนดูแลบ้านทุกเดือน แต่ไม่มีใครมาทำอะไรเลย” แค่คิดถึงสิ่งที่เขาต้องเจอตลอดหลายวันนี้ก็เริ่มอารมณ์ไม่ดี “เอาเถอะ เรื่องนี้ผมค่อยกลับไปสะสางกับคุณ แต่ตอนนี้คุณจัดการเรื่องนี้ให้ผมก่อนแล้วกัน ผมต้องการเงินสำหรับปรับปรุงซ่อมแซมทั้งบ้านและสวนก่อนเย็นวันนี้ และอีกอย่าง จัดการโอนเงินชดเชยไปให้คนดูแลบ้านคนเก่าด้วย”

“คุณพริษฐ์ทำอะไรกับเขาครับ” ทนายความสูงวัยถามอย่างหวั่นเกรง กลัวใจเจ้านายมิใช่น้อย

“ทำในสิ่งที่สมควรน่ะสิ คุณคิดว่าผมจะปล่อยให้คนที่นอนกินเงินเดือนจากเราฟรีๆ โดยไม่ทำอะไรเลยงั้นหรือ”

“ผมขอโทษครับคุณพริษฐ์”

“ช่างเถอะ ยังไงคุณจัดการให้การเงินโอนเงินให้ผมด้วยแล้วกัน...อ้อ เรื่องนี้ไม่ต้องให้ถึงหูพ่อผมนะ”

พริษฐ์วางสายไปแล้วพร้อมๆ กับมั่นใจว่าเรื่องนี้ถึงหูพ่อของตนแน่ๆ ซึ่งเขาก็ไม่กลัวอยู่แล้ว บิดาต้องขอบคุณเขาถึงจะถูกที่คิดปรับปรุงบ้านให้กลายเป็นบ้านเหมือนเดิม

เสร็จไปเรื่องหนึ่งก็ยังมีเรื่องสำคัญต้องจัดการอีกเรื่องหนึ่ง

สายตาคมมองหาร่างบอบบางคุ้นตา เมื่อครู่ตอนคุยโทรศัพท์กับประเสริฐเขาเห็นแก้มแหม่มในชุดเสื้อยืดสีเข้มเดินอยู่ใกล้ๆ พอเห็นว่าหญิงสาวเดินอยู่แถวๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลนัก จึงรีบสาวเท้าเข้าไปใกล้ แต่แล้วจากแค่เดินเฉยๆ ในตอนแรก พริษฐ์ก็เปลี่ยนเป็นวิ่งจนแทบเป็นกระโจน เมื่อเห็นว่าร่างบอบบางนั้นมีอาการโงนเงนคล้ายจะเป็นลม

“คุณชมพู่!”






เนตรนภัส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ก.ค. 2560, 11:58:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ก.ค. 2560, 11:58:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 921





<< บทที่ 7   บทที่ 9 >>
สิรินดา 15 ก.ค. 2560, 07:56:34 น.
แอ้มมมม หนุก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account