ในรอยกาล / เพิ่มตอนพิเศษ
“พี่พริษฐ์หยิบหีบใบนั้นให้ชมพู่หน่อย”

ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที

หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้

“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว

เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ

“ครับ”

เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย

ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น

“มองพี่ได้ไหม”

นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง

ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา

ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม

“พี่จูบได้ไหม”

แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน

เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย

ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก

เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม


- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -

Tags: ในรอยกาล, เนตรนภัส, พริษฐ์, ชมพู่, แก้มแหม่ม,

ตอน: บทที่ 9

...๙...



“มีธุระอะไรพ่อหนุ่ม” ป้าตาบถามทันทีเมื่อเห็นชายแปลกหน้ามายืนลับๆ ล่อๆ อยู่หน้าบ้าน แล้วหญิงสูงวัยก็ต้องยกมือรับไหว้เมื่อชายคนนั้นทำความเคารพ

“สวัสดีครับ ผมพริษฐ์ มาหาคุณชมพู่”

ป้าตาบมองกราดคนมาใหม่อย่างสำรวจ เธอรู้จักเพื่อนของแก้มแหม่มทุกคน ไม่ว่าเป็นเพื่อนสมัยเรียนในเมืองหลวงหรือเพื่อนแถวบ้าน แต่คนนี้นอกจากไม่รู้จักแล้วยังไม่เคยพูดถึงให้ได้ยินด้วยซ้ำ ที่สำคัญอะไรบางอย่างในตัวคนนี้ทำให้รู้สึกว่าเขาไม่ธรรมดา

ขณะป้าตาบกำลังชั่งใจอยู่ว่าควรเรียกคุณหนูของเธอมาพบดีหรือเปล่า เสียงใสๆ พร้อมกับหน้าแฉล้มก็ชะโงกมาทางหน้าต่าง

“คุณพริษฐ์ มาแล้วหรือคะ รอแป๊บนึงนะ ขอฉันหยิบของก่อน”

“ครับ” ชายหนุ่มตอบกลับไปแล้วหันมายิ้มให้ป้าตาบ

ครู่เดียวเท่านั้นจริงๆ ร่างบอบบางในชุดทะมัดทะแมงก็วิ่งลงบันไดมายืนอยู่ข้างๆ ป้าตาบ แล้วหันไปหาชายหนุ่ม

“ไปกันเลยดีไหมคะ”

เมื่อวานหลังจากเขามาช่วยเธอไว้ตอนโงนเงนจะเป็นลม เธอก็สัญญากับเขาไว้ว่าจะพาไปตามหาบ้านญาติของชายหนุ่มที่อยู่อีกอำเภอหนึ่งไม่ไกลมากนักซึ่งเขาไม่เคยไป มีเพียงแค่ที่อยู่เท่านั้น เบอร์โทรศัพท์ติดต่อก็ไม่มี ถือว่ายากสักหน่อยกับการหาบ้านหลังนั้นให้เจอ เธอจึงเสนอให้ออกจากบ้านเช้าหน่อย แม้ระยะทางไม่ไกลก็จริง แต่คงต้องเสียเวลาในการขับรถวนหาสักพัก

และก่อนพริษฐ์จะได้ตอบคำอะไร ป้าตาบซึ่งยืนมองคนสองคนนิ่งอยู่ก็ถามขึ้นมา

“จะไปไหนกันแต่เช้าคะคุณชมพู่”

น้ำเสียงคาดคั้นของป้าตาบและสายตาที่มองไปทางพริษฐ์อย่างไม่ไว้ใจทำให้แก้มแหม่มนึกรู้ในทันทีว่า อะไรกำลังจะเกิดขึ้น เธอจึงส่งยิ้มประจบไปให้

“พาคุณพริษฐ์ไปทำธุระที่...”

พอได้ยินชื่ออำเภอหนึ่งไม่ไกลนัก ป้าตาบก็ร้องค้านทันที

“จะไปกันได้ยังไงคะ แถวนั้นเป็นป่าเป็นเขา ทางก็เปลี่ยว”

มองตาป้าตาบหญิงสาวก็นึกรู้ทันทีว่าใจความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ ‘จะไปกันยังไง’ แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าไปกันสองต่อสองได้อย่างไรต่างหาก และพอหันไปมองพริษฐ์ก็เห็นว่าเขาคงรู้ทันเหมือนกัน

“ขับรถไปปกตินี่ละค่ะป้า ใครจะมาทำอะไรได้คะ บ้านเราไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อนถึงจะได้มีโจรซ่อนอยู่ตามป่าเขาสักหน่อย” หญิงสาวตอบพร้อมรอยยิ้มทะเล้น แต่พอมองหน้าป้าตาบแล้วก็รู้ว่าคงไม่สนุกด้วยเท่าไร

หญิงสูงวัยถอนหายใจออกมาเบาๆ เธอเลี้ยงแก้มแหม่มมากับมือ ลองพูดขนาดนี้ คำตอบก็มีเพียงคำเดียวคือต้องไปให้ได้ และห้ามก็คงไม่ฟัง

“งั้นป้าให้ไปก็ได้ แต่ต้องให้ยอดนั่งไปด้วย”

นั่นไง ป้าตาบไม่ไว้ใจพริษฐ์ชัดๆ หญิงสาวหันไปมองชายหนุ่มแวบหนึ่งแล้วก็เห็นเขาอ้าปากกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง จึงใช้สายตาปรามไว้ก่อน ซึ่งแม้ชายหนุ่มจะออกอาการไม่เห็นด้วย แต่ก็ยอมเฉย

“ไม่ได้หรอกค่ะป้า ถ้ายอดไปแล้วใครจะเฝ้าร้านล่ะคะ กิจการพันล้านของชมพู่หยุดไม่ได้แม้แต่วันเดียวนะคะ”

“เดี๋ยวป้าไปเฝ้าให้เองค่ะ” ป้าตาบออกปากทันที แต่คนได้คืบหวังศอกอย่างแก้มแหม่มก็ยังไม่ละความพยายาม

“ไม่ได้อีกนั่นละค่ะ ป้าลืมไปแล้วหรือคะว่าเมื่อคืนรับปากอะไรชมพู่เอาไว้”

“จะช่วยคุณคุมงาน ก็ที่ร้านไม่ใช่หรือคะ”

“ไม่ใช่ค่ะ” นิ้วเรียวยกขึ้นส่ายเบาๆ เป็นการปฏิเสธ “ชมพู่จะให้ป้าไปคุมคนงานทำความสะอาดเรือนไทยต่างหากล่ะคะ ที่ชมพู่เคยเล่าให้ฟังเมื่อวันก่อนไง”

“ก็ให้เจ้าของบ้านเขาคุมกันไปสิคะ” ป้าตาบยังไม่หมดปัญหา เธอรู้มาว่าคุณหนูเป็นแค่คนหาแรงงานให้เฉยๆ ไม่ได้เป็นนายหน้ารับเหมาเสียหน่อย ถึงต้องลงมือคุมงานเอง

“นั่นมันก็จริงค่ะ” หญิงสาวพูดเหมือนนายจ้างที่ว่าไม่ได้ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ เหตุผลหลักๆ เลยคือกลัวว่าถ้าป้าตาบรู้จะต้องให้พริษฐ์ไปคุมงานเองแน่ๆ หากเป็นเช่นนั้นเขาคงไม่ได้ไปตามหาญาติ

“แต่ป้าคิดดูสิคะ คนงานที่ชมพู่หามาก็คนบ้านเราทั้งนั้นนะคะ แล้วเจ้าของบ้านเขาเป็นคนกรุงเทพฯ ไม่คุ้นเคยกัน เขาจะเอากันอยู่หรือคะ อีกอย่างถ้างานออกมาไม่ดี มันก็เสียถึงเราด้วยนะคะ” หญิงสาวอ้อนเสียงหวาน ส่งสายตาปรอยไปให้ รู้ดีว่าป้าตาบรักตัวเองขนาดไหน ใช้ไม้นี้รับรองได้ผลแน่นอน

“ก็ได้ค่ะ แต่ถึงไหนแล้วต้องรายงานให้ป้ารู้เรื่อยๆ นะคะ” ป้าตาบยังไม่วายมีข้อแม้

“ตกลงค่ะ” แก้มแหม่มตอบรับเสียงใส เธอรู้ว่าทุกสิ่งที่ป้าตาบทำล้วนเกิดจากความรักและหวังดีทั้งสิ้น “รักป้าตาบจัง”

ไม่พูดเปล่า หญิงสาวยังโผเข้าไปกอดเอวหญิงสูงวัยที่เลี้ยงเธอมาไม่ต่างจากลูกตั้งแต่เล็ก รัดแรงๆ จนป้าตาบร้องลั่น แล้วชะโงกหน้าไปจุ๊บแก้มนั้นเบาๆ อย่างประจบประแจง

“อ้อ...อีกอย่างนะคะ ป้าแค่ไปคุมงานเฉยๆ เวลาคนงานทำไม่ได้อย่างใจก็ไม่ต้องลงไปทำเองหรอกนะ ชมพู่รู้ว่าป้าคงขัดใจ แต่ฝุ่นมันเยอะ ชมพู่เป็นห่วง”

“ค่ะ ป้าสัญญาว่าจะยืนดูเฉยๆ อยู่ห่างๆ เลยเอ้า”

“นั่นละค่ะ ดีมากที่สุดเลย งั้นชมพู่ไปก่อนนะคะ เดี๋ยวสายไปมากกว่านี้” หญิงสาวตัดบท แล้วหันไปชักชวนชายหนุ่มที่ยืนมองเฉยมานาน “ไปกันเถอะคุณ เดี๋ยวร้อน”

พริษฐ์ยิ้มรับ แต่ก่อนเดินไปขึ้นรถ เขาหันไปหาป้าตาบอีกครั้ง ให้คำสัญญาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จริงใจ

“ป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะดูแลคุณชมพู่อย่างดี”

ป้าตาบไม่รู้จะเบาใจหรือหนักใจเพิ่มมากขึ้นดี ดูเหมือนคุณหนูของเธอจะสนิทสนมและวางใจผู้ชายคนนี้เหลือเกิน



“ท่าทางคุณป้าจะรักคุณมากนะ” พริษฐ์ชวนคุย ตอนนี้ทั้งคู่นั่งอยู่ในรถปิ๊กอัพของแก้มแหม่ม โดยมีพริษฐ์เป็นสารถี

วันนี้ชายหนุ่มยื่นคำขาดว่าหากจะให้เอารถปิ๊กอัพไปเพราะกังวลเรื่องสภาพถนนที่คาดเดาไม่ได้ เธอต้องยอมนั่งเฉยๆ ไม่ใช่ขับให้เขานั่งเหมือนคราวก่อน เขาไม่อยากเอาเปรียบผู้หญิง และไม่ต้องกังวล ถึงจะเคยชินกับเกียร์อัตโนมัติก็ไม่มีปัญหากับเกียร์กระปุก ระยะแรกอาจต้องปรับตัวนิดหน่อยเท่านั้นนั่นละหญิงสาวถึงตกลง แต่ข้อต่อรองถัดมาทำให้เขาถึงกับโคลงศีรษะเบาๆ

ถึงเธอไม่พูดออกมาให้จ่ายค่าน้ำมัน เขาก็ต้องทำอย่างนั้นอยู่แล้ว

“แน่อยู่แล้วละ ก็ป้าตาบเลี้ยงฉันมาตั้งแต่เด็กๆ นี่”

“แล้วพ่อแม่ของคุณล่ะ” ชายหนุ่มถามต่อ เมื่อตอนอยู่ในบ้านเขาพยายามมองหาญาติผู้ใหญ่คนอื่นของหญิงสาวก็ไม่เห็น “เมื่อครู่ผมพยายามมองหาจะได้ขออนุญาตพาลูกสาวออกนอกบ้าน แต่ไม่เห็น”

“ถ้าเห็น คุณก็รีบเผ่นเลยนะ”

“ทำไมครับ พ่อคุณดุหรือ” ชายหนุ่มถามอย่างไม่รู้จริงๆ ซึ่งแก้มแหม่มเห็นแบบนั้นแล้วก็หลุดหัวเราะกิ๊ก

“ท่านเสียไปนานแล้วต่างหาก”

“ผมขอโทษ ผมไม่น่าถามเลย”

“ไม่ต้องขอโทษหรอกคุณ เรื่องมันนานมาแล้ว” เห็นอาการเสียใจของชายหนุ่มแล้วหญิงสาวก็โบกมือปฏิเสธให้ว่อน “เรื่องเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าใครก็ต้องพบเจอทั้งนั้น ฉันไม่เศร้าแล้วละ เรื่องมันนานมาแล้ว ตอนนี้ฉันมีคนอื่นๆ ให้รักและรักฉันถมไป ถือว่าฉันโชคดีกว่าอีกหลายคนที่ไม่เหลือใครเลย”

“นั่นสินะ คุณยังมีป้า ยังมีน้องอีกนี่”

คงเพราะต้องเป็นเสาหลักของครอบครัวเลยหล่อหลอมให้หญิงสาวเป็นเช่นนี้ หลายครั้งเขาสะกิดใจเมื่อแก้มแหม่มพูดถึงเรื่องเงิน นั่นทำให้เขามองว่าผู้หญิงคนนี้งก แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าหล่อนต้องทำเช่นนั้น และถ้าตรองดูดีๆ ทุกครั้งที่หญิงสาวพูดถึงเรื่องเงิน นั่นหมายความว่ามันเป็นสิ่งซึ่งเธอควรได้รับทั้งสิ้น

ที่ผ่านมาไม่มีครั้งไหนที่เธอแสดงออกว่าอยากเอาเปรียบคนอื่น

ขนาดเป็นนายจ้างเขายังรู้สึกว่าแก้มแหม่มเป็นนายจ้างที่คิดถึงผลประโยชน์ของลูกน้องอยู่มาก ไม่ใช่สักแต่ว่าอยากเอาเงินเข้ากระเป๋าอย่างเดียว ไม่เท่านั้น กับคนต่างถิ่นซึ่งไม่ได้สนิทสนมหรือรู้จักกันมาก่อนอย่างเขา เธอยังมีน้ำใจช่วยเหลือ ทั้งๆ ที่ถ้าเธอไม่ทำก็ไม่มีใครมาว่าได้ว่าแล้งน้ำใจ ในเมื่อสังคมเดี๋ยวนี้ผลักดันให้ผู้คนคิดเช่นนั้น เรียกได้ว่าแก้มแหม่มเป็นผู้หญิงที่รักษาผลประโยชน์ของตนเองเป็นเลิศ

จะว่าไปเธอกับเขาก็ไม่ต่างกันนัก ในขณะการรักษาผลประโยชน์ของแก้มแหม่มเพื่อคนรัก เขาเองก็รักษาเรือนไทยหลังนี้เอาไว้เพื่อคนที่รักเช่นเดียวกัน

“ฉันรักป้าตาบเหมือนครอบครัวจริงๆ ยอดด้วยนะ ฉันรักยอดเหมือนน้องเลยละ” แก้มแหม่มพูดอย่างภูมิใจ แต่พริษฐ์กลับติดใจความนัยของประโยคนี้มากกว่า

“ยอดไม่ใช่น้องแท้ๆ ของคุณหรอกหรือ”

หญิงสาวส่ายหน้าหวือทันที แล้วก็หัวเราะเบาๆ

“ฉันไม่แปลกใจเลยที่คุณคิดแบบนี้ เพราะขนาดชาวบ้านบางคนที่ไม่รู้จักครอบครัวฉันดียังคิดว่ายอดกับป้าตาบเป็นญาติของฉัน จริงๆ แล้วเราไม่มีอะไรเกี่ยวพันกันทางสายเลือด ป้าตาบแกเลี้ยงฉันมาตั้งแต่เด็ก แล้วฉันก็ติดแกมาก พอพ่อแม่เสีย ป้าตาบก็ทิ้งไม่ลง เลยดูแลมาจนตอนนี้ ส่วนยอดนั่นเป็นหลานของป้าตาบ แต่ฉันก็เอ็นดูและรักเหมือนน้อง”

“มิน่าล่ะ ผมเคยสงสัยว่าพี่น้องอะไรหน้าตาผิวพรรณไม่เหมือนกันเลย”

“แต่ยังไงฉันก็ถือว่าทุกคนเป็นครอบครัวที่ฉันรัก”

“ผมว่าคนอื่นๆ ก็รักคุณเหมือนกัน ดูอย่างป้าตาบสิ นอกจากรักแล้ว แกยังออกอาการหวงและห่วงคุณจนผมกลัวเลย”

“คุณนี่นะกลัว” หญิงสาวมองหน้าคนข้างๆ อย่างไม่เชื่อถือ “ฉันไม่เห็นคุณออกอาการกลัวป้าตาบตรงไหน เป็นคนอื่นพอโดนป้าซักและมองมาอย่างไม่น่าเชื่อถือ คงโกรธหรือไม่ก็เผ่นไปแล้ว แต่คุณก็ยังยืนเฉยอยู่ได้ แถมยังทำท่าจะเถียงป้ากลับอีกแน่ะ”

“ก็ผมต้องใช้ประโยชน์จากคุณนี่”

“อ๋อ...ที่แท้เป็นเพราะแบบนี้ใช่ไหม” หญิงสาวหันไปมองอย่างเอาเรื่อง แต่พริษฐ์ไม่กลัว แถมยังส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้

“ล้อเล่นหรอกน่าคุณ ผมไม่ใช่คนตีค่าความมีน้ำใจของคุณตื้นๆ แบบนั้นสักหน่อย” เขาอธิบายอย่างใจเย็น ตาก็มองถนนไปด้วย “อีกอย่างป้าตาบแกไม่ได้น่ากลัวสักนิด ก็แค่ความห่วงใยของผู้ใหญ่ทำไมผมต้องกลัวด้วยล่ะ”

แก้มแหม่มพยักหน้าหงึกๆ พอใจในคำตอบของชายหนุ่มไม่น้อย

“ข้างหน้าเลี้ยวขวานะคุณ เป็นทางเข้าตัวอำเภอ”

พอสิ้นคำ พริษฐ์ตบไฟเลี้ยวขวาทันที

“เราจะเริ่มต้นจากตรงไหนดีล่ะ ถามชาวบ้านแถวตลาดดีไหม” ชายหนุ่มขอความเห็น คิดว่าน่าจะมีคนรู้บ้าง ถ้าคนแรกไม่รู้ก็ค่อยๆ ถามไปเรื่อยๆ น่าจะได้ความอะไรบ้าง

“แต่ฉันมีไอเดียดีกว่านั้น”

หญิงสาวหันมาหลิ่วตาให้อย่างเจ้าเล่ห์ ชนิดที่พริษฐ์เห็นแล้วชักไม่แน่ใจว่าเขาคิดถูกหรือผิดที่วางใจยอมทำตามแก้มแหม่มบอก



หญิงสาวลงไปถามทางชาวบ้านในตลาดจริง ทว่าไม่ได้ถามทางไปบ้าน ‘ญาติ’ ของเขา แต่เป็นที่ทำการไปรษณีย์ประจำอำเภอ

ต้องยอมรับว่าเขาไม่คิดถึงวิธีนี้มาก่อน ถ้านึกถึงใครสักคนที่มองแค่บ้านเลขที่แล้วสามารถตอบพิกัดที่ตั้งได้ ก็คงเป็นบุรุษไปรษณีย์นี่ละ

หญิงสาวหายเข้าไปในที่ทำการไม่นาน ก็เดินยิ้มกริ่มโบกกระดาษหย็อยๆ เข้ามาในรถ นอกจากรู้ที่ตั้งแล้ว แก้มแหม่มยังได้แผนที่คร่าวๆ ติดมือมาด้วย นั่นทำให้พวกเขาประหยัดเวลาในการวนรถหาไปเยอะ ไม่นานชายหนุ่มก็นำรถมาจอดอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่หน้าบ้านหลังหนึ่ง

พริษฐ์มองฝ่ากระจกหน้ารถออกไป ไม่แน่ใจว่ามาถูกบ้านหรือเปล่า เพราะบ้านหลังนี้ดูอย่างไรก็ไม่น่ามีคนอาศัยอยู่ ตัวบ้านทำจากไม้ใต้ถุนสูงดูทรุดโทรม รอบบ้านรกเรื้อขาดการดูแล รั้วบ้านมีตำลึงและพืชเถาเลื้อยพันจนกลายเป็นกำแพงต้นไม้ไปแล้ว เขามองไปบ้านหลังข้างๆ อย่างชั่งใจ บางทีอาจไม่ใช่หลังนี้ก็ได้ คงเป็นหลังใดหลังหนึ่งถัดจากนี้

ขณะเขากำลังชั่งใจว่าทำอย่างไร ควรขับรถต่อไปอีกหน่อยหรือถอยหลังกลับ ประตูรถด้านข้างคนขับก็เปิดผลัวะ แก้มแหม่มกระโดดลงจากรถ เดินตรงไปยังประตูเล็กหน้าบ้านเรียบร้อยแล้ว ทำให้เขาต้องก้าวตามลงไปยืนอยู่ข้างๆ

“เรามาผิดบ้านหรือเปล่าคุณ”

“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” เขาบอกตามตรง มองที่อยู่ในมือสลับกับกำแพงต้นไม้ตรงหน้า “มันมีจุดไหนบอกหรือเปล่าว่าบ้านเลขที่เท่าไหร่”

“อืม...ลองหาดูไหมคุณ ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ขยับตัวตามหญิงสาวที่หยิบได้เศษไม้แถวนั้นก็เอามาแหวกเถาตำลึงตามกำแพง

“ทางนี้คุณ นี่มีบ้านเลขที่อยู่ด้วย”

พริษฐ์ทิ้งไม้ในมือแล้วเดินไปหาหญิงสาวทันที ตรงรอยแหวกมีป้ายไม้เก่าคร่ำคร่า แต่ยังสามารถมองเห็นตัวเลขที่ถูกแซะเป็นร่องเอาไว้ได้

“ตรงกับที่คุณจดมาหรือเปล่า”

“ตรงครับ” ไม่ต้องมองกระดาษอีกครั้งเขาก็จำได้ขึ้นใจว่าถูกต้อง

“แต่นี่มันบ้านร้างนะคุณ คุณจดมาถูกแน่หรือเปล่า” หญิงสาวถามย้ำ มองอย่างไรบ้านหลังนี้ก็ไม่น่ามีใครอาศัยอยู่ได้ สภาพมันแย่ยิ่งกว่าเรือนไทยของพริษฐ์เสียอีก

“ถูก” เขามั่นใจว่าตอนทิวไผ่โทร.มา เขาจดตามคำบอกถูกต้องแน่นอน ดังนั้นหากมีอะไรผิดพลาดก็คงเป็นที่คนบอก “คุณรอตรงนี้แป๊บนึงนะ”

“อือ”

พริษฐ์ปลีกตัวออกมาอีกทาง เมื่อมั่นใจแล้วว่าแก้มแหม่มไม่สามารถได้ยินบทสนทนาระหว่างเขากับคู่สายได้ จึงต่อโทรศัพท์หาทิวไผ่ทันที ครู่เดียวเท่านั้นอีกฝ่ายก็รับสาย

“ว่าไงวะพริษฐ์ มีอะไรอีกหรือเปล่า ถ้าเรื่องที่ให้สืบตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้านะ”

“ฉันไม่ได้โทร.มาถามความคืบหน้า แต่ก็เกี่ยวกับเรื่องนี้แหละ นายแน่ใจนะว่าให้ที่อยู่มาถูก”

“ถ้าเป็นที่อยู่ของคนชื่ออัญชันที่ให้นายไป ฉันคัดมาจากทะเบียนราษฎร์ รับรองถูกต้องแน่นอน”

“ตอนนี้ฉันยืนอยู่หน้าบ้านหลังที่ว่า แต่เป็นบ้านร้าง ไม่มีคนอยู่ นายแน่ใจนะว่าถูกต้องจริงๆ” พริษฐ์ถามย้ำ

“เดี๋ยวรอแป๊บนึงนะ ขอฉันดูที่จดมาก่อน” ปลายสายหายไปเพียงครู่เดียวเท่านั้นก็กลับมาอีกครั้งพร้อมบ้านเลขที่

“ตรงกันนี่หว่า แล้วมันผิดพลาดตรงไหน” พริษฐ์รำพึงเสียงแผ่ว มองที่อยู่ตรงหน้าสลับกับบ้านร้างแล้วได้แต่ถอนใจ เรื่องตายคงเป็นไปไม่ได้ ก็คงมีเหตุผลเดียว “สงสัยย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วว่ะ แต่ไม่ได้ย้ายทะเบียนบ้านตาม ที่อยู่เลยยังเป็นบ้านเลขที่เดิม”

“เออ คงต้องเป็นอย่างนั้น เพราะพ่อแกคงไม่ยกเรือนไทยทั้งหลังให้คนตายแน่ๆ”

“อืม...ขอบใจมากนะทิว ไว้มีอะไรคืบหน้าโทร.บอกฉันด้วยแล้วกัน เดี๋ยวขอฉันจัดการเรื่องทางนี้ก่อน”

“เออๆ ได้เรื่องเมื่อไหร่จะรีบโทร.หา”

“ขอบใจมากว่ะ” พริษฐ์เอ่ยตบท้ายแล้ววางสายไป

ตอนเขาเดินกลับมาทางเดิมอีกครั้งนั้นปรากฎว่าแก้มแหม่มเปิดท้ายปิ๊กอัพแล้วนั่งห้อยขามองบ้านร้างตรงหน้าอยู่ก่อนแล้ว สายตาของหญิงสาวเหมือนคนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง และเจ้าตัวคงยังคิดไม่ตกจึงจมจ่อมอยู่กับมัน ขนาดเขาเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ หญิงสาวยังไม่มีท่าทางจะรู้ตัว เขาจึงขยับขึ้นไปนั่งข้างๆ เมื่อทิ้งน้ำหนักลงไปรถก็ยุบยวบ ทำให้แก้มแหม่มรู้สึกตัว หันมามองเขาอย่างตำหนิที่ทำให้เธอตกใจ แต่เขาก็ไม่สนใจเมื่อตั้งใจดึงเธอออกมาจากภวังค์อยู่แล้ว

“ได้เรื่องอะไรหรือเปล่าคุณ”

พริษฐ์พยักหน้าเบาๆ พลางตอบ

“ที่นี่ละ ไม่ผิดแน่”

“คุณไม่รู้หรือว่าญาติเขาย้ายบ้านไปแล้ว” หญิงสาวถามอย่างสงสัย ญาติพี่น้องประสาอะไรย้ายบ้านแล้วไม่มีบอกกล่าวกันเลย และมองจากสภาพบ้านคงไม่ใช่ย้ายไปเดือนสองเดือนแน่ น่าจะเป็นปี แต่กี่ปีนี่สุดรู้

ชายหนุ่มไหวไหล่เบาๆ ไม่ตอบอะไร รู้ว่าในเวลานี้เขาพูดอะไรไม่ได้ เพราะไม่ว่าพูดอะไรออกไปล้วนเป็นคำโกหกแทบทั้งสิ้น เขาไม่อยากให้แก้มแหม่มรู้สึกไม่ดีเพราะห่วงความรู้สึกของหญิงสาวที่พยายามช่วยเหลือเขาอย่างสุดความสามารถ

“แปลกนะพวกคุณเนี่ย ทั้งครอบครัวและญาติเลย มีบ้านแต่ชอบทิ้งมันไว้เฉยๆ แถมไม่มาดูดำดูดีจนกลายเป็นบ้านร้าง...มีผีสิงเหมือนกันหรือเปล่าก็ไม่รู้” น้ำเสียงตอนท้ายแผ่วเบาราวกับกลัว ‘ใคร’ ได้ยิน และถึงแม้เจ้าตัวจะพูดเบา แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นหูของคนนั่งอยู่ข้างๆ จนไหล่แทบชนไหล่ได้

“บ้านผมไม่มีผีสิง” เขาแก้ข้อเข้าใจผิดของหญิงสาวเสียงแข็ง

“คุณรู้ได้ยังไง ในเมื่อวิทยาศาสตร์ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าผีไม่มีในโลก”

“รู้ก็แล้วกัน” เขายังยืนยันคำเดิม ไม่อยากให้บ้านที่ปู่โชติรักมากแปดเปื้อนเสียชื่อเสียง แม้แต่เรื่องเลื่อนเปื้อนงมงายเขาก็ไม่ยอม

“งั้นคุณก็พิสูจน์ให้ฉันเห็นสิว่าสิ่งที่ฉันคิดมันผิด” เธอท้า เพราะตอนนี้ใจเกินครึ่งเริ่มเชื่อแล้วว่าเรือนไทยของพริษฐ์ต้องมีสิ่งลี้ลับอยู่แน่ๆ มิเช่นนั้นแล้วเมื่อวานคงไม่เกิดเรื่องแปลกๆ กับเธออีกหรอก

ครั้งแรกเธออาจคิดว่ามันเหลวไหล ครั้งที่สองอาจเป็นบังเอิญ แต่เกิดซ้ำๆ จนเกือบมีครั้งที่สามนี่จะไม่ให้คิดว่าเป็นเรื่องลี้ลับแล้วควรคิดว่าเป็นเรื่องอะไร

“คุณคิดอะไรแก้มแหม่ม”

จากน้ำเสียงและสายตาที่ทอดมาเล่นเอาเจ้าของชื่อถึงกับลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างหวาดๆ แต่ความดื้อรั้นความเชื่อมั่นในตัวเองบอกว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่มีใครห้ามความคิดใครได้ ดังนั้นเขาก็ไม่ควรเอาความคิดของตัวเองมายัดเยียดใส่หัวคนอื่น

“ก็คิดว่าบ้านคุณมีผีสิงน่ะสิ” หญิงสาวเชิดหน้า ยืนยันคำตอบเดิม

“มากไปแล้วนะคุณ ถ้าอยากกล่าวหาใครต้องมีหลักฐาน ไม่ใช่มาพูดลอยๆ แบบนี้”

“ใครว่าฉันไม่มีหลักฐาน”

“ไหนล่ะ เอามาพิสูจน์สิ” ชายหนุ่มท้า อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าหล่อนจะมาไม้ไหน

“ก็ฉันนี่ไงหลักฐาน”







เนตรนภัส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ก.ค. 2560, 11:22:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ก.ค. 2560, 11:22:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 868





<< บทที่ 8   บทที่ 10 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account