ในรอยกาล / เพิ่มตอนพิเศษ
“พี่พริษฐ์หยิบหีบใบนั้นให้ชมพู่หน่อย”

ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที

หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้

“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว

เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ

“ครับ”

เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย

ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น

“มองพี่ได้ไหม”

นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง

ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา

ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม

“พี่จูบได้ไหม”

แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน

เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย

ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก

เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม


- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -

Tags: ในรอยกาล, เนตรนภัส, พริษฐ์, ชมพู่, แก้มแหม่ม,

ตอน: บทที่ 10

...๑๐...



ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่มองมาเต็มไปด้วยความท้าทาย ดูท่าทางแก้มแหม่มจะมั่นใจนักหนาว่าสิ่งที่ตนเก็บเอาไว้สามารถทำให้เขาหงายหลังได้ นั่นยิ่งเพิ่มความสงสัยให้เขามากขึ้น

“อย่ามาล้อเล่น” พริษฐ์ขึงตามองแก้มแหม่มดุๆ แต่หญิงสาวก็เพียงไหวไหล่เบาๆ

เธอไม่ใช่ลูกน้อง ไม่ใช่ลูกไล่เขานี่ ถึงจะได้กลัวจนหงอ

“คุณจะคิดว่าฉันล้อเล่นก็เชิญ แต่ฉันยังยืนยันคำเดิม บ้านคุณต้องมีผีสิงแน่ๆ”

ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ เขาคงบังคับความคิดใครไม่ได้ เพราะพูดไปพูดมาก็ไม่ต่างจากการพายเรือในอ่าง วนไปวนมาไม่มีที่สิ้นสุด

“คุณนี่ไร้สาระจริงๆ”

“เอ๊ะ! ฉันไม่ได้ไร้สาระนะ” หญิงสาวขึงตามองมาอย่างเคืองๆ เขากล้าดีอย่างไรมาพูดใส่หน้าเธอแบบนี้ “ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้เลยคุณ”

นอกจากไม่ถอนคำพูดแล้ว พริษฐ์ยังไหวไหล่กวนๆ เพราะท่าทางเช่นนั้นตัวเดียวเลยที่ทำให้ปรอทอารมณ์ของแก้มแหม่มพุ่งจนติดเพดาน หญิงสาวออกแรงผลักชายหนุ่มอย่างแรง อารามไม่ทันตั้งตัวทำให้ร่างสูงเสียการทรงตัว

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากนับตั้งแต่ถูกผลักจนตกลงมายืนกับพื้น แล้วหญิงสาวก็ปิดกระบะหลังปิ๊กอัพอย่างกระแทกกระทั้น พริษฐ์มัวแต่ยืนงง รู้ตัวอีกทีแก้มแหม่มก็กระโดดขึ้นรถขับออกไปเสียแล้ว

“เฮ้ย!” เจอแบบนี้เข้าไปความงงก็หายเป็นปลิดทิ้ง พริษฐ์เกือบแล่นตามรถออกไปแล้วถ้าไม่เห็นว่าหญิงสาวหักพวงมาลัยแล้วเลี้ยวกลับมา

ใจชายหนุ่มชื้นขึ้นมาหน่อย พอรถชะลอเทียบข้างๆ เขาก็ดึงประตูเปิดออก ปรากฏว่ามันติดล็อกจากภายใน จึงทุบกระจกเป็นสัญญาณบอก

“คุณ เปิดประตูหน่อย”

สิ้นเสียงทุบ กระจกด้านข้างคนขับก็ถูกลดลง พร้อมๆ กับเสียงขุ่นๆ สำทับมา

“ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้”

พริษฐ์ถือว่าตัวเองเป็นหนึ่งเช่นเดียวกัน ในเมื่อเขาเชื่อเช่นนั้นทำไมต้องถอนคำพูด ดังนั้นคำตอบที่แก้มแหม่มได้รับก็คืออาการนิ่งเฉย

ถ้าพริษฐ์เป็นหนึ่ง แก้มแหม่มก็ถือเป็นเจ้าถิ่น เรื่องอะไรจะต้องยอม

“ถ้างั้นคุณก็เชิญรอญาติอยู่ที่นี่แล้วกัน” คำพูดสิ้นสุดลงพร้อมๆ กับปิ๊กอัพคันใหญ่เคลื่อนออกจากที่ด้วยความเร็วจนเหมือนกระชากจนฝุ่นดินลูกรังตลบ

รถคันใหญ่แล่นฉิวออกไปแล้ว ทิ้งพริษฐ์ไว้กับอาการนิ่งอึ้งและคาดไม่ถึงว่าหญิงสาวจะกล้าทำถึงขนาดนี้ เขาไม่เคยถูกใครลูบคมอย่างนี้มาก่อน

“บ้าเอ๊ย!” ชายหนุ่มสบถ ควงกุญแจรถอีกดอกที่ยังอยู่ในมืออย่างหัวเสีย เขาเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าแก้มแหม่มพกกุญแจสำรองมาด้วย การกระทำของหญิงสาวส่อเจตนาไม่บริสุทธิ์

หรือว่าจริงๆ แล้วเจ้าหล่อนตั้งใจพาเขามาทิ้งที่นี่ตั้งแต่แรก...ยิ่งคิดอารมณ์ก็ยิ่งขุ่นมัว

“แล้วจะทำยังไงล่ะทีนี้” คนถูกลอยแพหันรีหันขวาง แล้วก้อนหินแถวนั้นก็กลายเป็นเครื่องระบายอารมณ์ไปโดยปริยาย

ผ่านไปแค่ชั่วครู่ พออารมณ์ของพริษฐ์เริ่มเย็นลง เขาเห็นว่ามัวมายืนเตะฝุ่นอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็เปล่าประโยชน์ ท่าทางแก้มแหม่มจะโกรธมาก และคนอย่างเธอคงไม่ยอมวนรถกลับมารับหรอก เขาต้องหาทางกลับเองเสียแล้ว

สายตาคมปลาบมองไปรอบๆ อย่างมีความหวัง เผื่อใครสักคนขับรถผ่านมาจะได้ไหว้วานให้ไปส่ง คนแถวนี้คงไม่แล้งน้ำใจเหมือนใครบางคนที่ตอนนี้คงมุ่งหน้ากลับบ้านไปแล้ว ถ้าเขาหาทางเข้าอำเภอได้คงมีรถเดินทางกลับไปโรงแรม

ดูเหมือนความหวังของหนุ่มกรุงจะริบหรี่เต็มทน สองข้างทางมีแต่ความเงียบ มองไปทางไหนก็ไร้ผู้คน...

พริษฐ์มองถนนเบื้องหน้าที่ทอดไกลแล้วกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ เขาพอจำได้ว่าเส้นทางตั้งแต่ตัวอำเภอมาถึงที่นี่ต้องผ่านถนนหลายสาย จากเส้นหลักเข้าเส้นรองแล้วเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆ ถนนยังเป็นดินลูกรัง นับว่าไกลพอสมควร กว่าจะเดินไปถึงคงใช้เวลาหลายชั่วโมง จึงได้แต่ภาวนาว่าขอให้มีใครสักคนขับรถผ่านมาให้ได้อาศัยไหว้วานไปส่ง

เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา พริษฐ์จึงเริ่มออกเดิน เนื่องจากไม่คุ้นเคยกับความร้อน ชีวิตวันๆ ผูกติดอยู่กับเครื่องปรับอากาศ เพียงไม่นานชายหนุ่มก็มีสภาพไม่ต่างกับคนเพิ่งอาบน้ำมาใหม่ๆ คือเหงื่อโซมกาย เสื้อที่สวมอยู่เปียกชื้นแนบติดไปกับลำตัว นั่นยิ่งทำให้รู้สึกอบอ้าวและเหนียวตัวมากยิ่งขึ้น

ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเดินมานานเท่าไร รู้เพียงตอนนี้ขาเริ่มล้า แต่ละย่างก้าวจึงช้าลงเรื่อยๆ ในขณะพริษฐ์ใกล้หมดหวัง สายตาก็เห็นบ้านคนอยู่ลิบๆ เขากระโจนแทบเป็นวิ่ง เรี่ยวแรงที่หดหายไปเมื่อครู่กลับมาจากไหนไม่รู้ ครู่เดียวเขาก็พาตัวเองมาหยุดยืนหอบฮัก แล้วพบว่าบ้านหลังที่เห็นไกลๆ เมื่อครู่ แท้จริงแล้วคือร้านขายของชำ

เปิดร้านแบบนี้แสดงว่ามีคนอยู่ ถ้าไหว้วานหรือจ้างให้ไปส่งในตัวอำเภอ จะมีใครเต็มใจช่วยไหมนะ เขารีบเดินเข้าไปทันทีเมื่อเห็นเงาคนเคลื่อนไหวไปมา แต่ก้าวได้เพียงสองก้าวเท่านั้นก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นว่านั่นไม่ใช่เงาของเจ้าของร้านหรือคนในพื้นที่ แต่เป็นแก้มแหม่ม!

ภาพนั้นไม่ทำให้เขาหงุดหงิดเท่าสีหน้าของเจ้าหล่อน เธอดูอารมณ์ดี ผิดกับเขาที่เหงื่อท่วมตัว ตอนนี้เขาอยากแล่นเข้าไปจับแม่ตัวดีเขย่าให้หัวสั่นหัวคลอน แล้วตะโกนดังๆ ว่าคนที่ป้าตาบควรห่วงน่าจะเป็นเขา ไม่ใช่เธอ

ในขณะเขาต้องทนร้อน ทนเหนื่อยเดินขอความช่วยเหลือ เจ้าหล่อนกลับมากินไอศกรีมสบายๆ อยู่ตรงนี้เนี่ยนะ...แสบจริงนะแม่คุณ

“เอาสักแท่งไหมคุณ”

พริษฐ์จ้องไอศกรีมแท่งเล็กที่หญิงสาวส่งมาให้แวบหนึ่ง แล้วตวัดสายตาไปมองเจ้าของมืออย่างขุ่นเคือง หวังว่าจะได้เห็นรอยสำนึกผิดหรือสลดสักนิด ทว่าเจ้าหล่อนกลับส่งยิ้มดวงตาใสแจ๋วมาให้ ทำราวก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ไม่ละ”

“อืม...” หญิงสาวยู่ปาก พยักหน้าหงึกหงัก แล้วเดินลอยชายขึ้นรถไป

ให้ตายสิ เขาไม่เข้าใจเธอจริงๆ แก้มแหม่มเป็นผู้หญิงประเภทไหนกันแน่ ดีหรือร้าย ตอนนี้เขาตามไม่ทันแล้ว

“อ้าว คุณ ไม่กลับหรือ หรือจะอยู่ที่นี่รอให้ญาติมารับ” เธอชะโงกหน้าตะโกนเรียกผ่านช่องหน้าต่าง

ถึงอยากทำอะไรสักอย่างเป็นการสั่งสอนให้เจ้าหล่อนหลาบจำและอย่าบังอาจมาลูบคมเขาอีก แต่พริษฐ์ก็ไม่โง่พอ เวลานี้แก้มแหม่มเป็นต่อเขาอยู่มาก เกิดทำอะไรลงไปแล้วเจ้าหล่อนหนีไปจริงๆ เขานี่ละที่จะเป็นฝ่ายลำบาก ดังนั้นจึงเดินไปขึ้นรถเงียบๆ

“ฉันว่าคุณคงหิวน้ำ เลยซื้อนี่มาฝาก”

ถุงน้ำอัดลมใส่น้ำแข็งที่หญิงสาวยื่นมาให้เล่นเอาพริษฐ์ถึงกับเหลืออด จึงหมุนตัวไปประจันหน้ากับคนข้างๆ เห็นหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ของแก้มแหม่มแล้วเขาก็ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาต่อว่าหญิงสาวดี

“คุณนี่มัน...”

“ใจเย็นๆ สิคุณ อากาศก็ร้อนอยู่แล้ว อย่าทำตัวร้อนตาม”

เขาอยากตะคอกใส่หน้าใสๆ นี้ให้หายเคืองว่า แล้วเจ้าหล่อนใจเย็นนักหรือไง พูดผิดหูเข้าหน่อยถึงกับขับรถหนี แต่ก็ยังไม่อยากได้ชื่อว่ารังแกผู้หญิง จึงได้แต่กำมือแน่นอย่างสะกดอารมณ์

“เอ้า ดื่มน้ำเย็นๆ จะได้อารมณ์ดี”

พริษฐ์ถอนหายใจหนักๆ เพื่อระบายอารมณ์ รับน้ำอัดลมที่หญิงสาวซื้อมาให้ดื่มโดยดี ต้องยอมรับว่าพอมีอะไรหวานๆ เย็นๆ เข้าปากก็ทำให้ปรอทอารมณ์ที่พุ่งติดเพดานค่อยๆ ลดระดับลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ กระนั้นชายหนุ่มก็รู้ว่ามันยังไม่เย็นพอ ตอนนี้หากโดนหญิงสาวกวนเอาอีก ถึงตอนนั้นคงยากจะห้ามตัวเองให้อยู่เฉยได้

ทั้งห้องโดยสารตกอยู่ในความเงียบ ต่างคนต่างไม่พูดจา มีเพียงเสียงพัดลมปรับอากาศที่ถูกเร่งให้แรงเอาไว้ตั้งแต่แรกเท่านั้นที่ยังคงดังอยู่อย่างสม่ำเสมอ ยิ่งนานเข้าความอึดอัดก็ปกคลุมไปทั่ว จนคนพยายามทำเฉยขับรถไปเรื่อยๆ ทำเป็นไม่สนใจผู้โดยสารทั้งที่บ่อยครั้งแก้มแหม่มคอยลอบสังเกตพริษฐ์จากหางตาเริ่มทนไม่ไม่ไหวเสียเอง

“คุณจะไม่พูดอะไรหน่อยหรือ”

พริษฐ์เหลือบมองคนขับรถแวบหนึ่ง อยากรู้ว่าขณะพูดหญิงสาวมีสีหน้าอย่างไร พอไม่เห็นอาการหาเรื่องที่เสี่ยงต่อการมีเรื่องกัน เขาจึงยอมเปิดปากพูด

“คุณอยากให้ผมพูดอะไรล่ะ”

“นี่คุณไม่คิดถอนคำพูดจริงๆ หรือ” หญิงสาวอึ้ง “คุณไม่คิดขอโทษฉันสักคำหรือไง”

“ขอโทษเรื่องอะไร ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ ถ้าใครสักคนจะพูดคำนั้น ผมว่าควรเป็นคุณมากกว่านะ” เขาตำหนิตรงๆ

“ฉันไม่ผิดนี่ คุณมาหาเรื่องฉันก่อน แล้วทำไมฉันต้องขอโทษด้วย”

“ผมจำไม่ได้ว่าไปหาเรื่องคุณตรงไหน ลองนึกดีๆ ว่าคุณเป็นฝ่ายกล่าวหาผมเสียๆ หายๆ ด้วยซ้ำ” พริษฐ์ทวนความจำให้

“คนพูดความจริงผิดตรงไหน” หญิงสาวยังเถียงไม่ลดละ

“คำพูดลอยๆ ใครเขาจะเชื่อ” พริษฐ์แย้งทันที แล้วก็ต้องรีบหาหลักยึดเมื่อรถที่แล่นมาด้วยความเร็วสูงหยุดกะทันหัน เขาตวัดสายตาดุๆ ไปทางคนขับ

“ฉันไม่ได้พูดลอยๆ”

สายตาคู่ที่มองมาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นจนพริษฐ์ต้องหยุดคิด อะไรทำให้หญิงสาวเชื่อถึงขนาดนั้น หรือเขาควรฟังคำอธิบายของเธอสักนิด

“เอาละๆ ผมว่าเรามาคุยกันดีๆ ดีกว่านะ”

“แล้วใครเริ่มก่อน” หญิงสาวเถียงทันที แต่พอถูกปรามด้วยสายตาดุๆ เธอก็ยอมสงบปากสงบคำ

ท่าทีอ่อนลงของแก้มแหม่มทำให้พริษฐ์โล่งอกจนเผลอถอนหายใจออกมาอีกคำรบ พยายามเรียบเรียงคำพูดที่ไม่ทำให้ต่อมโมโหของหญิงสาวทำงาน แล้วเขาจะพานหงุดหงิดไปด้วย

“ทำไมคุณถึงมั่นใจนักว่าที่บ้านมีผีสิง ผมบอกคุณไปแล้วว่าสาเหตุที่ต้องย้ายบ้านไม่ใช่เพราะมีคนตายหรือผีอย่างที่ใครๆ พูดกัน”

“ก็...” แก้มแหม่มขยับจะโต้ แล้วชักลังเลว่าควรพูดออกไปดีหรือเปล่า ท่าทางของพริษฐ์บอกชัดว่าไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ พูดไปจะโดนหาว่าไร้สาระอีกไหม

“อะไรคุณ ทำไมไม่พูดออกมา” ชายหนุ่มคาดคั้น สายตาบอกชัดว่าวันนี้ต้องรู้คำตอบให้ได้

แก้มแหม่มผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ไม่แน่ใจว่าการตัดสินใจของตนครั้งนี้ถูกหรือผิด แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอได้แต่หวังว่าเขาคงเชื่อเรื่องที่เธอกำลังจะพูดไม่มากก็น้อย มิเช่นนั้นแล้วปัญหาเหมือนวันนี้ต้องตามมาอีกแน่

“คุณเคยคิดไหมว่าคนอย่างฉันจะเป็นลมง่ายๆ”

“คิดไม่คิดไม่รู้ ผมก็เคยเห็นมากับตาแล้วเมื่อวาน” แม้จะแปลกใจอยู่บ้างกับคำถามของหญิงสาว แต่พริษฐ์ก็ตอบทันที

“ถ้าฉันบอกว่ามันเป็นเรื่องแปลกล่ะ คุณจะเชื่อไหม”

“แดดร้อน ทำงานเหนื่อย จะเป็นลมบ้างก็คงไม่แปลกหรอกคุณ”

“แต่ไม่น่าจะใช่กับคนที่ต้องทำงานกลางแจ้งบ่อยๆ อย่างฉัน” เธอยังยืนยัน

“ร่างกายคนเรามีขีดจำกัด เมื่อก่อนคุณไม่เคยเป็น ใช่ว่าต่อมาจะเป็นลมไม่ได้นี่” และพริษฐ์ก็มีเหตุผลมาโต้แย้ง

“ฉันมั่นใจว่าไม่ได้เป็นลม” ก่อนหน้านั้นเธอไม่มีอาการอะไรเป็นสัญญาณบ่งชี้เลย “เมื่อวานถึงแม้ในบ้านจะร้อนอบอ้าว แต่ก็ไม่ถึงขนาดทนไม่ได้ และฉันก็มั่นใจในความแข็งแรงของตัวเอง ไม่มีทางที่เดินอยู่ดีๆ แล้วจะวูบไปเฉยๆ แบบนั้นได้หรอก” และถ้าหากพริษฐ์ไม่หันมาเห็นแล้วถลันเข้ามาช่วย เชื่อว่าเธอคงล้มหัวกระแทกพื้นไปแล้วแน่ๆ

“คุณมีเหตุผลอะไรถึงคิดแบบนั้น”

“ฉันไม่แน่ใจว่าถ้าพูดออกมาแล้วคุณจะเชื่อหรือเปล่า”

“เรื่องนี้เดี๋ยวผมตัดสินใจเองว่าเชื่อหรือไม่ คุณพูดมาเถอะ”

พอได้ยินคำยืนยัน แก้มแหม่มก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย เธอเรียบเรียงความคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเริ่มพูด

“ตั้งแต่วันแรกที่ฉันก้าวเข้ามาในรั้วบ้านคุณ ฉันก็เจอเรื่องแปลกๆ ตลอด เริ่มจากฝันประหลาดๆ” หญิงสาวนิ่งไปนิด คิดหาคำจำกัดความสิ่งที่เกิดกับตัวเอง “ตอนนี้ฉันขอเรียกมันว่าฝันประหลาดก่อนแล้วกันนะ เพราะนอกจากคำนี้ฉันก็ยังนึกคำอื่นไม่ออก”

พริษฐ์พยักหน้าเบาๆ ตั้งใจฟัง เปิดโอกาสให้หญิงสาวเล่าโดยไม่แย้งสักคำ

“คุณยังจำได้ไหมว่าเราเจอกันยังไง”

ชายหนุ่มพยักหน้าทันที...เขาไม่มีทางลืมวันที่พบแก้มแหม่มครั้งแรกได้แน่ๆ

“นั่นละ วันนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันเหยียบเข้าไปในรั้วบ้านคุณ แล้วจู่ๆ ก็ผล็อยหลับไป ไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งคุณมาปลุก คุณว่ามันไม่แปลกหรือ”

แปลกสิ...เขายังคิดเลยว่าเป็นการเจอกันที่แปลกมาก ยังคิดเลยว่าเธอโดนทำร้าย สภาพพื้นที่แบบนี้ย่อมไม่มีคนเข้าออก ถือว่าเงียบสงัด จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะมากหากจะเอาศพมาทิ้งเพื่ออำพรางคดีมากกว่าหลบใครมานอนเล่นเหมือนอาการของแก้มแหม่มในตอนนั้น

“แปลกมาก สภาพบ้านผมตอนนี้ไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะคิดมาเอนหลังนอนเล่นเลยนะ”

“ฉันเองก็แปลกใจ ต่อให้เป็นคนหลับง่ายแค่ไหน บ้านคุณคงเป็นที่สุดท้ายที่ฉันจะหลบป้าตาบไปนอนเล่น แต่นั่นแหละวันแรกฉันก็ยังไม่เอะใจอะไร อาจเพราะลมเย็น ต้นไม้ร่มๆ เลยเผลอหลับไปจนคุณมาเจอเข้า ถ้าไม่เพราะฉันไม่ใช่แค่หลับไปเฉยๆ ยังฝันอีกด้วย...ฉันฝันถึงคนชื่อเดือน”

“เดือน” พริษฐ์ทวนคำ “แล้วมันแปลกตรงไหน”

“แปลกสิ ว่ากันว่าจริงๆ แล้วความฝันคือจิตลึกๆ ของเรา ถ้าฉันไม่เคยรู้จักคนคนนี้มาก่อน บ่อยแค่ไหนในชีวิตที่เราจะฝันถึงคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักมักจี่” หญิงสาวนิ่งไปนิด “ที่สำคัญ ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ฉันฝันถึงคนชื่อเดือนถึงสองครั้งในสองวันติดกัน ก็ตอนที่คุณไปเจอฉันนอนหลับฝันกลางวันอยู่ใต้ต้นไม้นั่นละ คุณว่ามันไม่แปลกหรือ”

ฟังหญิงสาวแล้วพริษฐ์ชักเริ่มคล้อยตาม แต่นั่นมันคนละประเด็นกับเรื่องบ้านเขามีผีสิงนี่นา

“แปลก...แต่มันไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องบ้านผีสิง”

“ถ้ามาเป็นฉันแล้วคุณจะเปลี่ยนความคิด คุณรู้ไหมวันแรกที่ฉันฝันเห็นคนชื่อเดือน ตอนนั้นฉันมีอาการยังไง”

ชายหนุ่มส่ายหน้าทันที เขาไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติพวกนี้และไม่ค่อยสนใจ ดังนั้นจึงนึกไม่ออกว่าในสถานการณ์อย่างนั้นคนเจอจะมีอาการเช่นไร

“ฉัน...” แล้วแก้มแหม่มก็เล่าเหตุการณ์ในฝันทั้งหมดตั้งแต่ต้นให้ชายหนุ่มฟังอีกครั้ง น่าแปลกที่ผ่านไปหลายวันแล้ว ทว่าเธอยังจำได้ทุกเหตุการณ์และคำพูด รวมถึงอาการควบคุมตัวเองไม่ได้ด้วย “ฉันก็อยากคิดว่าไม่มีอะไร อาจเหมือนคนโบราณไม่ให้เรานอนตอนผีตากผ้าอ้อมก็เลยฟุ้งซ่านฝันไปเรื่อย ความฝันของเรา เราต้องเป็นนายสิคุณ ไม่ใช่ถูกครอบงำไม่เป็นตัวของตัวเองจนถูกบังคับชักจูงแบบนั้น ขนาดจะขยับตัวตามใจยังไม่ได้เลย”

ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าไม่เคยมีคนฝันแล้วถูกครอบงำ...

“แล้วแค่ข้ามคืนฉันก็ต้องเจอเหตุการณ์แบบเดิมๆ อีก ผล็อยหลับไปใต้ร่มไม้ในบ้านคุณแล้วฝันถึงคนชื่อเดือน ไม่เท่านั้น ยังฝันถึงเหตุการณ์ต่อจากนั้น ฉันว่ามันไม่ธรรมดาแล้วนะ”

“แต่ก็ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ว่าบ้านผมมีผีสิงอยู่ดี” แม้เรื่องที่แก้มแหม่มเล่ามาฟังดูน่าคิด แต่เขายังไม่เห็นข้อบ่งชี้ว่าบ้านเขามีผี

“แล้วเมื่อวานตอนฉันเป็นลม ฉันเชื่อว่าถ้าคุณไม่มาช่วยไว้แล้วปลุกให้ตื่น หลังจากนั้นฉันต้องฝันถึงคนชื่อเดือนอีกแน่ๆ” หญิงสาวบอกน้ำเสียงหนักแน่น มองชายหนุ่มอย่างมีความหวังว่าเขาจะคล้อยตาม แต่หน้าตาของพริษฐ์ก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่เชื่อถือ บางทีเขาอาจมองเป็นเรื่องตลกด้วยซ้ำ

“คุณไม่เชื่อฉัน?” นั่นเล่นเอาแก้มแหม่มถึงกับเซ็ง

“ต้องพูดว่าเชื่อยากมากกว่า”

แน่อยู่หรอก เธอไม่มีอะไรมายืนยันนอกจากคำพูดลอยๆ พริษฐ์บอกชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาเชื่อวิทยาศาสตร์ ถ้าหาอะไรมาพิสูจน์ไม่ได้ เขาก็มองว่าเป็นแค่เรื่องเหลวไหลงมงายเท่านั้น

“ทีนี้ฉันเลยกลายเป็นพวกบ้า ไร้สาระ หลงงมงายในสายตาคุณเต็มตัว”

พริษฐ์มองท่าทางไถลตัวลงไปกองอยู่กับเบาะอย่างอ่อนแรงด้วยสายตาครุ่นคิด เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหากเจอเรื่องนี้เอง จะยังเชื่อวิทยาศาสตร์หรือใจโอนเอนไปทางเรื่องผีสางแบบแก้มแหม่มหรือเปล่า...



ถึงปากบอกไม่เชื่อ แต่พริษฐ์ก็เริ่มลังเล ณ ตอนนี้หากใครสามารถให้ความกระจ่างกับเขาได้ดีที่สุด ก็คงเป็นคนในตระกูลเศรษฐสิทธ์ ดังนั้นพอแยกจากแก้มแหม่ม ชายหนุ่มก็ต่อโทรศัพท์หามารดาทันที สองแม่ลูกไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันอยู่ครู่หนึ่ง พริษฐ์ก็เข้าเรื่อง

“แม่ครับ ในบ้านเรามีใครชื่อเดือนหรือเปล่า ผมหมายถึงรุ่นราวคราวเดียวกับปู่โชติน่ะครับ”

เขาประเมินอายุคนชื่อเดือนจากการแต่งกายที่แก้มแหม่มเล่าน่าจะเป็นช่วงคุณยายยังสาวคุณแม่ยังเด็ก ถ้าเป็นเช่นนั้นเดือนก็ต้องอายุประมาณปู่โชตินี่ละ

“ลูกหมายถึงทางฝ่ายแม่หรือพ่อล่ะจ๊ะ เพราะถ้าเป็นญาติทางฝ่ายแม่ อายุประมาณที่พริษฐ์บอก ก็ไม่มีคนไหนชื่อเดือนนะ ส่วนด้านคุณพ่อก็ไม่น่าจะมี เพราะเท่าที่แม่รู้ ปู่โชติเป็นลูกคนเดียวของคุณทวด”

สิ่งที่เขารู้มาก็ไม่ต่างจากคำมารดา ผู้ชายในตระกูลเศรษฐสิทธ์นับว่ามีลูกยากพอสมควร ทำให้มีทายาทน้อย ถ้ามองจากแผนภูมิต้นไม้จะเห็นว่าต้นค่อนข้างชะลูด ไม่แตกกิ่งก้านไปทางไหนมากนัก อีกอย่างเขามั่นใจว่าไม่เคยเห็นชื่อ ‘เดือน’ ปรากฎอยู่ในสาแหรกตระกูลแน่นอน

“แม่แน่ใจนะครับ”

“จ้ะ แน่ใจ แต่ถ้าลูกไม่มั่นใจลองถามคุณพ่อก็ได้นะ เดี๋ยวแม่ไปถามให้”

“ไม่ต้องหรอกครับ” พริษฐ์ห้ามทันที ถ้าเรื่องถึงหูพ่อ เรื่องนี้คงยาว บิดาเขาไม่ใช่คนที่จะเชื่อข้อแก้ตัวของเขาง่ายๆ ต่างกับมารดา ถ้าท่านรู้จะตอบทันทีโดยไม่ซักไซ้อะไรมาก หรือหากมีใครสักคนตอบคำถามนี้ได้ก็คงเป็นอานัน “ผมก็ว่าไม่น่ามี แต่ถามแม่เพื่อความมั่นใจอีกครั้งเท่านั้น”

“มีอะไรหรือเปล่าพริษฐ์ เกิดอะไรขึ้นที่นั่นหรือเปล่า”

น้ำเสียงของมารดาเต็มไปด้วยความห่วงใย จนพริษฐ์ยิ้มกับโทรศัพท์

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่ได้ยินอะไรมาเท่านั้นเลยถามดู แต่ถ้าไม่มีก็ดีแล้ว คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันมากกว่า เดี๋ยวผมอธิบายให้เขาฟังเอง ยังไงก็ขอบคุณแม่มากนะครับ”

“จ้ะ ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยนะลูก แม่เป็นห่วง”

“ครับแม่”

คำยืนยันจากปากมารดาทำให้พริษฐ์ยิ้มออก แก้มแหม่มแค่คิดมากไปเอง บ้านเขาไม่มีผีแต่อย่างใด...






เนตรนภัส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ก.ค. 2560, 11:07:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ก.ค. 2560, 11:07:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 964





<< บทที่ 9   บทที่ 11 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account