จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 12

---- แวะคุยกันก่อน ----

สวัสดีค่ะเมื่อวานนี้จะเอามาลงแล้วนะคะ แต่ติดไหว้สารทจีนเจ้าคะ
หมูเห็ดเป็ดไก่เต็มบ้าน พอตกเย็นไปเยี่ยมคนอีกเลยไม่ได้เอามาลง
เลทอีกจนได้ แหะๆ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เดี๋ยวจะเริ่มเข้มข้นเรื่อยๆ
หลายเรื่องจะประดังใส่ทุกตัวละคร เรียกว่าซวยกันถ้วนหน้า
ไว้พบกันตอนหน้านะคะ ขอบคุณที่แก้คำผิดมาให้ด้วยนะคะ

ปล.http://youtu.be/W9gIdo44Agg
ฝากเพลงเธออยู่ไหนให้ฟังคลอไปกับช่วงหวานนะคะ

----------

บทที่ ๑๒

นิตยสารซุบซิบดาราและไฮโซยอดขายอันดับหนึ่งของประเทศกระแทกลงบนโต๊ะทำงานตรงหน้าสตรีวัยกลางคนพร้อมกับนิ้วเรียวสวยก็ชี้ภาพถ่ายของชายหนุ่มผิวขาวหน้าตาดีกำลังจับแขนของหญิงสาวผมม้าที่ถูกเบลอตรงใบหน้าไว้ปรากฏหราอยู่ในหน้าคอลัมน์ ‘วงในไฮโซ ’

...ข่าวการหมั้นสะท้านวงการธุรกิจระหว่างไฮโซหนุ่มหล่อสาวสวยเพิ่งผ่านไปหมาดๆ ใครก็ว่าเหมาะสมกันเหมือนกิ่งใบทองหยก แต่ฝ่ายชายกลับทำเรื่องฉาวดอดไปมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสาวหน้ามนคนใหม่ งานนี้ฝ่ายคู่หมั้นสาวเห็นเข้าคงมีหวังอกแตก...

มลธิกาเงยหน้าจากการอ่านเนื้อหาข่าว แลอารมณ์โกรธขึ้งของคู่หมั้นหลานชายนิ่งก่อนจะถอดแว่นสายตาวางลงข้างถ้วยกาแฟกระเบื้องสีน้ำตาล

“ ป้าคิดว่า เรื่องนี้น่าจะเป็นการเข้าใจผิดกันเสียมากกว่า ”

“ เข้าใจผิด ” คนตรงข้ามขึ้นเสียงสูง “ ขนาดมีหลักฐานยืนยันชัดขนาดนี้ คุณป้ายังบอกว่า เข้าใจผิดอีกหรือคะ ”

“ แต่ไหนแต่ไรมาตาใหญ่ไม่ใช่คนเหลวไหลเรื่องผู้หญิง คนที่หนูวิเห็นในรูปเองถ้าป้าจำไม่ผิดก็เป็นเพื่อนของหลานสาวป้าเอง รสากับตาใหญ่นะรู้จักกันก็จริงแต่เรื่องชู้สาวอะไรแบบนี้ไม่มีแน่ ป้ายืนยันได้ ” หลังจากพินิจพิเคราะห์สองหนุ่มสาวในรูปก็พยายามอธิบายเรื่องราวตามความเข้าใจและมั่นใจของตน

วิกานดาพยายามเก็บความรู้สึกด้วยการสูดลมหายใจยาวเป็นพักๆ เมื่อรับฟังคำชี้แจ้งที่ไม่สามารถไขข้อสงสัยจนจบก็ถึงกับส่ายหน้าพร้อมกับเท้าแขนลงบนขอบโต๊ะ

“ คุณป้าคะ ตัววิเองปกติก็ไม่ใช่ผู้หญิงเรื่องมาก ช่างระแวงหรอกนะคะ แต่ภาพนี้มันกลายเป็นข่าวฉาวไปทั่วแล้ว คุณพ่อคุณแม่วิเองเห็นข่าวนี้แล้ว ท่านเองก็ไม่พอใจมาก แค่คำพูดของคุณป้ามันไม่พอทำให้วิกับคนในครอบครัววิสบายใจได้หรอกค่ะ ”

ผู้มากวัยกว่ายกมือนวดขมับพลางถอนหายใจหนักหน่วงก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน

“ ป้ารู้จ๊ะว่าแค่คำพูดมันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ตอนนี้ใจป้าอยากเรียกตาใหญ่มาชี้แจ้งกับหนูวิเหมือนกัน แต่ตอนนี้ตาใหญ่ติดประชุมอยู่คงจะเรียกมาเลยไม่ได้ เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวป้าจะเรียกรสาให้มายืนยันต่อหน้าหนูวิ ว่าเขาสองคนไม่มีอะไรกันจริงๆ ดีไหมจ๊ะ ” นางเสนอแนวทางการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยใช้วิธีเรียกตัวต้นเหตุมายืนยันความบริสุทธิ์

ฝ่ายหญิงสาวหุ่นเพรียวระหงฟังแล้วก็เบือนหน้าไปทางอื่นใช้เวลาใคร่ครวญอยู่นานหันกลับมาสบตาเจ้าของห้องทำงานซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“ เอาอย่างนั้นก็ดีเหมือนกันคะ จะได้รู้ไปเลยว่า เรื่องนี้แค่เข้าใจผิด หรือเป็นเรื่องจริงกันแน่ ”

เมื่อได้รับคำตอบคนที่ร้อนใจก็ไม่รอช้าบอกให้วิกานดารอในห้องทำงานแล้วรีบรุดออกจากคฤหาสน์ตรงไปพบกับหลานสาวที่บ้านของเพื่อนสนิท ทันทีที่เห็นสีหน้า อรพิณที่นอนฟังลูกสะใภ้สีซอกล่อมนอนก็ถึงกับขยับลุกขึ้นนั่ง เช่นเดียวกับศศิวิมลที่หยุดลงวางซอลงบนถุงผ้า

“ แม่ใหญ่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมดูหน้าเครียดๆ ” หญิงสาวคนเดียวในห้องเอ่ยถามอย่างห่วงใย

“ ก็ไม่มีอะไรหรอกลูก...ช่วงนี้มีเรื่องยุ่งเยอะแยะไปหมด แม่ก็เลยเครียด ”

“ คราวก่อนเล็กไปหาแม่ใหญ่ทำขนมชั้นไปให้ เสียดายเล็กซุ่มซ่ามทำหกหมด แม่ใหญ่เลยอดทาน แต่ไมเป็นไรค่ะ วันนี้เล็กทำฝอยทองไว้ แม่ใหญ่ลองชิมสิคะ ถ้าใช้ได้เล็กจะได้ตักไปให้แม่ใหญ่เก็บไว้กินกับพี่ใหญ่ ” หล่อนว่ารีบกุลีกุจอหยิบขนมจานใหญ่ที่วางอยู่ใกล้ตัวให้ชิม ผู้เป็นป้าก็ไม่ขัดศรัทธาหยิบส้อมม้วนฝอยทองลิ้มรส มองหน้าแย้มยิ้มของหลานแล้วทำตาปรอย

ยามใดไร้เรื่องทุกข์กังวลนางแทบไม่เคยเยี่ยมหน้ามาหา แทนที่หลานจะโกรธเคืองกลับคิดถึงกันตลอดเวลา เมื่อมาหาก็ต้อนรับขับสู้เต็มกำลังมิเคยทำให้ผิดหวัง

“ แม่ขอโทษนะที่ไม่ได้มาหาเล็กที่นี่เลย ”

“ ไม่เป็นไรหรอกคะ เล็กรู้ว่าแม่ใหญ่ไม่ค่อยมีเวลา ”

“ ขอบใจนะลูกที่เข้าใจ ” นางเอื้อมมือลูบผมนุ่มของหลานสาว คราใดที่ได้เห็นรอยยิ้มความสบายใจก็บังเกิดเสมอ ก่อนจะวกเข้าประเด็นสำคัญที่ทำให้ต้องรีบมาหา “ วันนี้แม่มีเรื่องด่วนต้องจัดการหลายอย่าง ที่แม่มาที่นี่ก็อยากขอให้เล็กช่วยอะไรแม่หน่อยจะได้ไหมจ๊ะ ”

“ ช่วย ” ทวนคำซ้ำ

“ จ๊ะ พอดีแม่มีธุระอยากปรึกษากับเพื่อนของหนูหน่อยเขา แม่เลยอยากวานให้เล็กช่วยติดต่อรสาให้มาหาแม่ที่บ้านอังคพิมานวันนี้หน่อยจะได้ไหมจ๊ะ ”

คนตัวเล็กฟังความประสงค์ของผู้เป็นป้าซึ่งตลอดมานอกจากถามไถ่สารทุกข์สุกดิบทั่วไปก็ไม่เคยสนใจอะไรกับเพื่อนหล่อนมากนัก มาครั้งนี้กลับเรียกให้เข้าพบเป็นการส่วนตัวก็อดประหลาดใจไม่ได้ หากด้วยถูกสอนมาไม่ให้ตั้งคำถามกับคนในครอบครัวทำให้ได้แต่เก็บงำความรู้สึกไว้ภายใน

“ เล็กติดต่อให้ได้ค่ะ แต่สาเป็นคนนอนตื่นไม่เป็นเวล่ำเวลา ไม่รู้ว่าถ้าโทรไปตอนนี้จะรับสายหรือเปล่า แต่ยังไงเล็กจะติดต่อให้นะคะ ” หล่อนบอก ค่อยๆคลานเข่าหมายจะลงไปใช้โทรศัพท์ข้างล่าง คนมาขอความช่วยเหลือจึงยื่นโทรศัพท์มือถืออกไปให้โทรไปต่อหน้า

หญิงสาวกดหมายเลขที่ท่องจำจนขึ้นใจ รอสักครู่ก็ได้ยินเสียงจากปลายสายทักทายด้วยน้ำเสียงงัวเงียเหมือนสติยังไม่อยู่กับร่องกับรอย ทว่าเมื่อพูดถึงจุดประสงค์ที่โทรมาหา รสาก็ตื่นเต็มตาได้ในทันที

“ พูดผิดหรือเปล่าเล็ก...แม่ใหญ่ของเล็กเนี่ยนะอยากพบเรา อย่ามาอำกันดีกว่า ”

“ เล็กไม่ได้อำนะสา แม่ใหญ่มีเรื่องอยากปรึกษากับสาจริงๆ นะ ”

“ แม่ใหญ่ของเล็กเป็นถึงผู้บริหารระดับสูง จะเอาอะไรมาปรึกษาเจ้าของร้านอาหารกิ๊กก๊อกอย่างเรา แถมอยากเจอให้ได้ด่วนอีก จะรีบร้อนอะไรกันหนักหนา ”

“ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีเรื่องอะไร แต่เล็กรบกวนสามาหาตอนนี้เลยได้ไหม แล้วถ้าเกิดง่วงขึ้นมาเดี๋ยวเล็กให้กุญแจไปเปิดเรือนเล็กนอนพัก ก่อนกลับจะเอาขนมกำนัลให้ด้วย ” ที่ต่อรองมิใช่เพียงอยากช่วยผู้เป็นป้า แต่หล่อนก็อยากพบหน้าด้วยเหมือนกัน

“ เออ...ก็ได้ สาอาบน้ำแล้วจะขับไอ้แก่ไปหา เล็กก็เตรียมขนมชุดใหญ่รอไว้เลยนะ ถ้าสาไปแล้วได้กินขนมไม่คุ้มนะ เล็กโดนเราจั๊กกะจี้ตัวงอแน่ ” ขู่เสร็จก็วางสายไป

หลังจากรอถึงหนึ่งชั่วโมงเต็ม รสาก็ขับจักรยานยนต์มาจอดหน้ารั้วบ้านอังคพิมาน แจ้งกับยามที่นั่งตรงป้อมว่ามาขอเข้าพบมลธิกา ยามวัยกลางคนก็จัดแจงวอไปรายงานกับนายหญิงเรียบร้อย สักพักก็เห็นสมพรวิ่งตาลีตาเหลือกมารับพาเข้าไปในคฤหาสน์จนถึงหน้าห้องทำงานก็เคาะประตูเรียกให้จากนั้นก็รีบลงบันไดกลับไป

เสียงจากในห้องร้องอนุญาตเป็นสัญญาณให้เปิดประตูเข้าไป ภายในห้องนั้นนอกจากผู้เป็นป้าของเพื่อนแล้วยังมีหญิงสาวสวยสวมเดรสแขนกุดสีดำสลับขาว สร้อยและต่างหูที่สวมเป็นเครื่องประดับทำจากทองคำขาวที่ดูก็รู้ว่ามีราคา บ่งบอกรสนิยมของเจ้าของได้ดี

“ สวัสดีค่ะคุณป้า ” สาวผมม้ายกมือไหว้ เหลือบมองอีกคนที่ยืนกอดอกเชิดลำคอระหงแล้วจึงเริ่มถาม “ ที่เรียกสามามีอะไรอยากปรึกษาหรือคะ ”

นายหญิงแห่งอังคพิมานยิ้มอ่อนแทนคำตอบ ลุกจากเก้าอี้หยิบนิตยสารกอซซิปดาราฉบับหนึ่งมาเปิดแล้วยื่นให้...พออีกฝ่ายรับมาถือไว้จึงมีโอกาสเห็นรูปถ่ายของตนเองกับหลานชายเจ้าของบ้าน ไล้สายตาอ่านเนื้อข่าวแทนที่จะตกใจกลับหลุดหัวเราะเสียงดังให้กับสิ่งที่เพิ่งรับทราบราวกับเป็นเรื่องขบขัน

“ อย่าบอกนะคะว่าที่เรียกสามากะทันหัน เพราะอยากถามเรื่องนี้ ” หล่อนว่า ส่ายหน้าเบาทั้งที่ยังยิ้ม “ คุณป้าคิดว่าสากับคุณศิระมีอะไรกันตามข่าวหรือคะ ”

“ ป้าไม่ได้เชื่อหรอกจ๊ะ แต่หนูวิเขาเห็นข่าวนี้แล้ว เขาไม่สบายใจ ป้าก็เลยอยากให้สาช่วยยืนยันกับหนูวิเขาหน่อย ว่า ข่าวนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด ”

รสาพยักหน้าเหล่มองวิกานดาที่ยืนกอดอกวางท่าสวยอยู่ตรงตู้หนังสือไม้สักรู้สึกตงิดในใจอย่างบอกไม่ถูก คิดอยากจะหักหน้าแกล้งโกหกเสียทีก็เกรงใจผู้ใหญ่เลยบอกไปตามความจริง

“ สากับคุณศิระไม่มีอะไรกันหรอกคะ คุณป้าสบายใจได้ ”

“ ถ้าไม่มีอะไร แล้วทำไมต้องไปแอบพบกันด้วย ” เสียงสูงแทรกถาม คนที่พูดยังไม่ทันจบประโยคดีเลยหันหน้าไปส่งสายตาตำหนิใส่ในความไร้มารยาทแล้วกลับหันกลับมาพูดต่อ

“ เรื่องของเรื่องก็คือ รถที่จะมาส่งของที่ร้านสามันเสีย สาเห็นว่าอยู่ไม่ไกลก็เลยไปขนของเอง ทีนี้สาตาดีไปหน่อยก็เลยเห็นคุณศิระนั่งคุยกับลูกค้าอยู่ในร้านกาแฟ ก็เลยอยากไปทักทายสักหน่อย แต่ใครจะคิดล่ะคะว่าคุณศิระจะเดินไว พอไปปะหน้ากันคุณศิระนึกว่าสาตามเขา เราก็เลยเคลียร์กันเท่านั้นเอง ”

“ สรุปแล้วสากับตาใหญ่ไม่ได้มีอะไรกันตามที่ข่าวเขียนใช่ไหมจ๊ะ ” นางย้ำ

“ โอ๊ยไม่มีหรอกค่ะคุณป้า ใครซื้อไอ้หนังสือไร้สาระมาอ่านแล้วยังเชื่อ ก็คงสติปัญญาถดถอยเต็มที นี่สาไม่ได้จะว่าคุณป้านะคะ แต่คนอ่านหนังสือนี้ได้ก็มีแต่พวกว่างจัด ไม่มีอะไรทำเลยนั่งสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน พวกไม่มีวิจารณญาณแยกแยะข่าวจริงข่าวหลอก ไม่น่าจะเป็นหนังสือแบบที่คุณป้าอ่านเลยนะคะ ” แม้จะรู้เต็มอกว่า หนังสือประเภทนี้ไม่เคยอยู่ในความสนใจของคนตรงหน้า แต่หญิงสาวก็ใช้เรื่องนี้หวังตีวัวกระทบคราดไปยังคนที่ฟุ้งซ่านกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

“ ป้าไม่ได้สนใจหนังสือพวกนี้หรอกจ๊ะ แต่คนอื่นเห็นข่าวเขาไม่สบายใจก็เอามาถาม ” นางทราบอยู่ว่าเพื่อนหลานจงใจกระทบกระเทียบใครจึงหาเรื่องพูดตัดบท

“ ความจริงเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องด่วนอะไรเลย รอให้คุณใหญ่มาเล่าหน่อยก็จบ ไม่ต้องลำบากคุณป้าให้เล็กโทรตามสามาถึงที่นี่หรอกนะคะ ” พูดเพราะรู้ดีถึงความเกลียดชังระหว่างกัน ขี้คร้านเห็นข่าวนี้อาจถึงขั้นแถลงข่าวแก้ต่างให้ตัวเองอย่างเป็นทางการเลยก็ได้

“ ขอโทษนะจ๊ะที่ป้าต้องตามสามากะทันหัน แล้วก็ขอบคุณด้วยที่มายืนยัน ป้ากับหนูวิจะได้สบายใจว่า สากับตาใหญ่ไม่ได้เป็นอะไรกัน ”

วิกานดาที่เชิดลำคอระหงปิดปากเงียบสงวนท่าทีอยู่เป็นนาน ถึงจะรู้ว่าโดนระแหนะระแหนอยู่หลายที แต่ก็ฉลาดพอจะรู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเอง

“ วิเองก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ใจร้อนอยากเคลียร์ให้รู้เรื่องเลยต้องลำบากคุณให้มาถึงที่นี่ ” เจ้าหล่อนเอ่ยปาก รีบเข้าไปจับมือแสดงอาการสำนึกผิดที่ทำให้เดือดร้อน

“ โอ๊ยไม่ต้องขอโทษอะไรหรอกคะ ปกติคนธรรมดาเขาไม่มีโอกาสได้ลงหนังสือให้คนทั่วประเทศอ่าน นี่สามีโอกาสก็ควรจะดีใจถูกไหมคะ ” คนโดนสัมผัสชักมือออกทีละน้อยพลางยิ้มกว้าง แล้วหันไปยกมือไหว้ลาผู้ใหญ่ “ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว สาก็ขอคุณป้าลาไปหาเล็กก่อนแล้วกันนะคะ ”

ถือคติไปมาหาไหว้ตั้งท่าจะไปจากห้องกลับถูกหญิงสาวอีกคนรั้งไว้ขออนุญาตเจ้าของบ้านเดินไปส่งที่รถ รสาเองก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรยอมให้อีกฝ่ายตามมาส่งอย่างว่าง่าย

“ ยังไงวิก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่เข้าใจผิด ” เปิดบทสนทนานั้นขึ้นระหว่างทาง

“ ไม่เป็นไรหรอกคะคุณวิ คนเรานะบางทีมันก็เข้าใจผิดกันได้...แต่จะว่าไปเรื่องนี้มันก็แปลกดีนะคะ ตอนสาเดินไปทักทายคุณศิระนะ แม้แต่หมายังไม่เห็นสักตัวเลยนะคะ แต่พอถึงจังหวะนั้นนักข่าวบ้าที่ไหนก็ไม่รู้ดันโผล่มาถ่ายรูปชวนเข้าใจผิดพอดี ”

“ พวกปาปารัซซี่ก็ตามติดไปทุกที่แหละคะ สมัยนี้ไม่ต้องเป็นนักข่าวแค่มีโทรศัพท์ถ่ายรูปได้ก็พอแล้วล่ะคะ”

“ เท่าที่สารู้ ไอ้ปาปารัซซี่ประจำกองนิตยสารบ้าบอพวกนี้มันสนใจเก็บแต่ภาพฉาวของดารามากกว่า เพราะมันขายง่าย ไฮโซนะคนทั่วไปมันไม่ค่อยรู้จักจะขายได้กี่ตังค์ อย่างมากก็เอามาลงเป็นเนื้อข่าวนิดหน่อย นี่เล่นลงเป็นภาพใหญ่ สาก็เลยสงสัยขึ้นมานะคะ ”

“ คุณสาสงสัยอะไรหรือคะ ”

“ สงสัยว่าน่าจะมีผู้ไม่หวังดี ส่งคนมาคอยสะกดรอยตามคุณศิระ...พอสบโอกาสเหมาะก็หาเรื่องไปเป็นประเด็นให้คุณศิระกับอังคพิมานเสียหาย ”

อีกฝ่ายได้ยินข้อมูลนั้นก็มีท่าทีตกใจเป็นอันมาก คว้าแขนของหญิงสาวผมม้ามาจับไว้

“ ถ้าอย่างนั้นก็แย่นะสิคะ ทำไมเมื่อกี้คุณสาไม่บอกคุณป้าไปล่ะคะ ”

“ ก็แค่สงสัยไม่ได้มีหลักฐานอะไรมายืนยันนี่คะ บางทีสาอาจจะดูหนังมากไปเลยขี้ระแวงไปหน่อย อีกอย่างถ้ามีการจ้างจริง คนจ้างก็ต้องเป็นคนที่ได้ผลประโยชน์จากข่าวฉาวของคุณศิระ สาเองก็ไม่รู้จักอะไรคุณศิระมากนัก ในฐานะที่คุณวิเป็นคู่หมั้น คุณวิคิดว่ามีใครได้ประโยชน์จากเรื่องนี้บ้างไหมคะ ” ถามพร้อมกับประสานสายตากับคนตรงหน้านิ่งจริงจัง เสี้ยวนาทีนั้นในดวงตาของคู่สนทนาเกิดประกายวาว

สำหรับคนที่รู้ทันกันหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเผลอแสดงสิ่งที่ซ่อนเร้นไว้ในใจ แม้นจะเล็กน้อยปานใดก็ถือว่าเพลี่ยงพล้ำเหมือนก้าวเท้าข้างหนึ่งไว้บนกับระเบิด

“ โอ๊ะ ถึงหน้าบ้านพอดีเลย...เดี๋ยวสาต้องขอตัวก่อนนะคะ ไว้พบกันใหม่นะคะ ” เมื่อเดินมาสุดทางรสาก็เอ่ยลา เปิดประตูเล็กข้างรั้วออกไปขึ้นคร่อมจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ข้างหน้าขับหายเข้าไปในบ้านอีกหลังหนึ่ง...

เจ้าของบ้านอังคพิมานแหวกม่านลูกไม้ลอบสังเกตการณ์สองหญิงสาวอยู่จากด้านบน จนกระทั่งวิกานดากลับเข้ามาในห้องทำงานก็เอ่ยถามถึงความสบายใจหลังเจ้าตัวคนก่อเรื่องออกมายืนยันหนักแน่น

“ วิก็สบายใจขึ้นในระดับหนึ่งค่ะ แต่ก็อย่างที่วิบอกคุณป้าไว้ เรื่องนี้ทำให้คุณแม่กับคุณพ่อของวิไม่พอใจ ท่านบอกว่าอาจจะยกเรื่องถอนหมั้นมาพิจารณา ” คนอ่อนวัยบอกเช่นนั้น นายหญิงแห่งอังคพิมานถึงกับหน้าซีดยกมือทาบอก...ผลประโยชน์หลายเรื่องที่ตกลง ไหนจะหนทางที่จะตัดปัญหาในอนาคต รวมทั้งหญิงสาวตรงหน้าอาจมีอันสูญสลายหายไปจากเรื่องไม่เป็นเรื่องเทียวหรือ

“ หนูวิจ๊ะ ป้าคิดว่าอย่าเอาเรื่องเข้าใจผิดมาเป็นประเด็นสำคัญถึงขั้นถอนหมั้นเลยนะ ”

“ มันยากที่จะไม่คิดนะคะ...ข่าวฉาวมันออกมาแล้ว ฝ่ายวิเป็นผู้หญิงยังไงก็เสียหายทั้งขึ้นทั้งล่อง แถมคุณใหญ่เองก็ดูเหมือนไม่มีใจให้วิอยู่แล้ว ในเมื่อเขาไม่ต้องการวิก็ไม่หน้าด้าน สู้วิตัดใจไปหมั้นกับคนอื่นไม่ดีกว่าหรือคะ ” นางรีบปราดเข้าไปกุมมือของหญิงสาวไว้ ปรายตามองอย่างขอความเห็นใจ

“ อย่าคิดอย่างนั้นสิจ๊ะหนูวิ ใครบอกหนูว่าตาใหญ่เขาไม่ต้องการหนู ”

“ คุณป้าไม่รู้หรอกคะว่าคุณใหญ่เย็นชากับวิขนาดไหน ไม่ว่าทำอะไรคุณใหญ่ก็ไม่เห็นค่า วิรู้สึกว่าตัวเองไม่มี
ความหมายสำหรับเขาเลย แล้วอย่างนี้วิจะทนไปทำไมถูกไหมคะ ” น้ำเสียงของหล่อนสั่นเครือ ครู่หนึ่งนางก็เห็นคู่หมั้นสาวใช้นิ้วเรียวกรีดน้ำอุ่นออกจากขอบตา

ความเป็นผู้หญิงและเคยผ่านประสบการณ์นี้มาก่อน มีหรือจะไม่เข้าใจถึงความทุกข์ทรมานยามหลงรักใครสักคนข้างเดียว ไม่ว่าจะพยายามทำดีเอาชนะอย่างไรก็ไร้ความหมาย ทว่านางไม่อาจยอมสูญเสียหญิงสาวที่นางเชื่อมั่นว่าจะสามารถเป็นคู่ครอง คู่คิดให้ศิระได้ดีกว่าคนอื่น

สุดท้ายนางก็ตัดสินใจบางอย่างเพื่อเหนี่ยวรั้งให้วิกานดามั่นใจว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตระกูลอังคพิมานจะอ้าแขนรับหญิงสาวเป็นสะใภ้แต่เพียงผู้เดียว

“ ป้าไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้หนูวิเชื่อว่า ป้ากับตาใหญ่ต้องการให้หนูวิเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวเรา เพราะหนูบอกป้าว่าคำพูดมันยืนยันอะไรไม่ได้ใช่ไหม ” นางผละจากบานหน้าต่างกลับมายังโต๊ะทำงาน หยิบเอกสารฉบับหนึ่งออกมาจากในลิ้นชักแล้วส่งให้ผู้ที่นั่งร้องไห้เงียบๆอยู่ตรงหน้า

หญิงสาวอ่านรายละเอียดในเอกสารฉบับนั้นเนิ่นนานก่อนเงยหน้าขึ้นมองหญิงวัยกลางคนด้วยตาแดงก่ำ เผยอปากเล็กน้อยอย่างคาดไม่ถึงกับสิ่งที่ได้รับ

...แทนการยืนยันด้วยคำพูด หุ้นสองเปอร์เซ็นต์ของอังคพิมานในส่วนของมลธิกาได้ตกเป็นของวิกานดานับแต่วันนั้น

*************************

หลังเสร็จสิ้นการเจรจาขอเช่าพื้นที่กับทางห้างเพื่อใช้วางจำหน่ายสินค้าของโชเนนฟาวได้ในราคาสมเหตุสมผลสำเร็จ ภาควัฒน์แวะซื้อข้าวของส่วนตัวเล็กน้อยก็ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบนสุด เดินผ่านประตูอัตโนมัติไปยังอาคารจอดรถที่เชื่อมต่อกัน ด้วยความที่เป็นช่วงค่ำกลางเดือนและใกล้เวลาปิดทำการของห้างบวกกับการเลือกจอดในชั้นสูงจึงมีรถและคนค่อนข้างน้อย

ชายหนุ่มล้วงกุญแจรถออกจากกระเป๋าตรงไปยังรถเก๋งสีดำที่จอดอยู่ระหว่างรถอีกสองคันในมุมลับตา กดปุ่มปลดล็อกใช้มือรวบข้าวของทั้งหมดวางไว้ที่เบาะหลังก็สัมผัสได้ว่ามีใครคนหนึ่งจับตามองการเคลื่อนไหวของตนเองอยู่ จึงแกล้งบิดตัวไปมาเพื่อสอดสายตาหาความผิดปกติก่อนจะเหลือบเห็นเงาตรงเสาใหญ่ห่างออกไปไม่ถึงเมตร ตรงกลางของเงาดำนั้นมีความเข้มผิดจากส่วนอื่น คะเนจากสายตาคร่าวๆก็รู้ได้ว่าเป็นผู้ชาย

...ท่าทางจะมีหมาส่งหมาด้วยกันมาลอบกัด...

สัญชาตญาณนักสู้ในกายพุ่งพล่านคล้ายกับคนกำลังจะได้ออกกำลังกายในแบบที่ตนเองถนัด...เขาทำทีเป็นกุญแจตกแล้วก้มลงเก็บ เมื่อมองลอดช่องว่างใต้ท้องรถก็เห็นรองเท้าผ้าใบคู่หนึ่งกำลังย่องไปตามข้างรถจึงขยับไปยังรถอีกคันใช้กำบังตนชั่วคราว

คนร้ายอ้อมรถมาทางฝั่งประตูที่เปิดคาอยู่ ทันทีที่ไม่พบเป้าหมายอยู่นอกรถก็เดินเข้าไปชำเลืองมองภายในรถ ก่อนที่แขนแข็งแรงจะรัดเข้าที่ลำคอ

“ ใครส่งแกมา ” เสียงเย็นเยือกไร้แววปรารถนาดีกระซิบแผ่วข้างหู ทว่าคนร้ายกลับปิดปากสนิทปล่อยให้เป้าหมายใช้กำลังรัดคอแน่นขึ้นเรื่อยหวังเค้นให้อีกฝ่ายคลายชื่อผู้ว่าจ้างออกมา เพราะศัตรูของเขามีรอบด้านเกินกว่าจะสามารถคาดคะเนได้ด้วยตัวเอง

ระหว่างรอฟังคำตอบ พลันก็เหลือบเห็นชายอีกคนถือปืนเล็งมาจากอีกทางจึงตัดสินใจทิ้งก้มหลบกระสุนที่ทะลวงอากาศไปกะเทาะเอาเศษหินจากอาคารจนหลุดร่วงสู่พื้น คนร้ายคนแรกอาศัยจังหวะนั้นชกเข้าหน้า แต่เป้าหมายตั้งการ์ดป้องแล้วสวนหมัดใส่ตรงดวงตา ชกซ้ำเข้าที่ใต้คางตามด้วยเตะก้านคอจนอีกฝ่ายถึงขั้นสลบเหมือด หันไปหมายจะเล่นงานผู้ร้ายอีกคนก็พอดีกับที่มีปลายกระบอกปืนกดตรงศีรษะด้านหลัง

“ ยกมือขึ้นเหนือหัว อย่าขัดขืน ไม่งั้นกูยิงหัวมึงกระจุยแน่ ” ชายชุดดำข่มขู่เสียงเหี้ยมเกรียม จ้องมองมือทั้งสองข้างของชายหนุ่มที่ขยับมาประสานกันที่ศีรษะ วินาทีนั้นปลายเท้าของคนเป็นรองกว่ากลับเหวี่ยงไปด้านหลังกระแทกเอาจุดสำคัญของบุรุษเพศอย่างแรง หันมาศอกสั้นใส่กรามคู่ต่อสู้สุดแรง ปืนกระบอกนั้นจึงหลุดไถลไปตามพื้น

ภาควัฒน์ใช้เท้าเหยียบคว้าปืนสวมกระบอกเก็บเสียงขึ้นมาแล้วดึงร่างคนร้ายที่กำลังจุกขึ้นมาล็อกคอไว้พร้อมกับยกปืนจ่อที่ขมับ ปืนแม็กกาซีนขึ้นลำกล้องแถมปลดเซฟตี้เสร็จสรรพจะยิงก็เพียงเหนี่ยวไกเท่านั้น

“ ใครส่งแกมา ” ใช้คำถามเดิมถามอีก ทว่าผู้ร้ายแม้จะร่างกายปวกเปียกจากความเจ็บปวดแต่ก็ไม่ยอมคลายรายชื่อผู้ว่าจ้างออกมาโดยง่าย อารมณ์แค้นเคืองจึงถึงขีดปะทุลดปืนลงจากขมับ ทันใดนั้นเลือดก็กระเซ็นไปยังเสาซีเมนต์ตามด้วยเสียงร้องโหยหวนเจ็บปวดจากกระสุนที่เจาะคาอยู่ที่ปลายเท้า

“ ถ้าอยากตายนักจะช่วยสงเคราะห์ให้ ” เขาเน้นทีละคำชัด เปลี่ยนจากเล็งปลายเท้าขึ้นสูงขึ้นตรงข้อเท้าเตรียมลั่นกระสุนใส่ในนัยน์ตาคมไม่ปรากฏความรู้สึกใดเหมือนซาตานจากขุมนรกที่มองการพรากผลาญชีวิตลงสู่ขุมนรกเป็นเรื่องปกติธรรมดา

ชายชุดดำในฐานะมือปืนย่อมรู้ได้ว่าใครสมควรสู้ ใครสมควรยอม หมดสมัยจะสูญเสียชีวิตแลกกับการปกปิดชื่อผู้ว่าจ้าง เพียงเพื่อจะคงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของนักฆ่าไว้

“ ผู้ชายชื่อ สุธีส่งผมมาฆ่าคุณ ” ในสุดก็คลายความลับออกมา ทว่ารายชื่อที่กล่าวถึงนั้นไม่ว่าชายหนุ่มจะทบทวนอย่างไรก็จำได้ว่าไม่เคยมีชื่อนี้อยู่ในรายชื่อศัตรู ฉะนั้นถ้ามือปืนไม่โกหกก็ต้องฝ่ายผู้ว่าจ้างที่ปลอมชื่อ

...เปล่าประโยชน์จะถามชื่อจึงเปลี่ยนให้บรรยายลักษณะของผู้ว่าจ้างเสียจะเข้าท่ากว่า...

“ เขาตัวสูงค่อนข้างผอม ผิวขาว ขาวมาก หน้าตาออกลูกครึ่งแต่พูดภาษาไทยชัด ผมสีน้ำตาลเข้ม ตาสีน้ำตาล หน้าตาหล่อ ท่าทางการพูดจาดี ดูเป็นลูกผู้ดีมีเงิน ” ละล่ำละลักบรรยายทุกอย่างตามที่ถูกสั่ง ความเจ็บปวดแล่นเวียนทั่วร่าง กระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่ปราณีไล่ถามต่ออีก แม้จะเข้าใจได้ในทันทีว่า หมาตัวไหนส่งคนมาลอบทำร้ายเขา

“ เขาจ้างแกมาเท่าไหร่ ”

“ สี่หมื่น... ” ฟังเท่านั้นชายหนุ่มก็หัวเราะเสียงดังออกมา...ค่าชีวิตของเขาในประเทศไทยมูลค่าน้อยนิดเหลือเกิน

“ เอาอย่างนี้ ฉันจะให้พวกแกสองคนหกหมื่น สองหมื่นเป็นค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดของพวกแก เดี๋ยวฉันจะให้นามบัตรโรงพยาบาลที่รับรักษาพวกคนบาปอย่างพวกแกให้ ส่วนอีกสี่หมื่นฉันให้เป็นค่าจ้าง ”

ชายชุดดำเหลือบตามองกลับมาทางด้านหลัง ไม่เข้าใจในคำพูดของเป้าหมายการสังหารของตนเองนักจนกระทั่งได้รับการแถลงไขจึงเข้าใจกระจ่างชัด

“ ใครส่งมาฆ่าฉัน ก็ตามไปเอาคืนกับคนนั้น ไม่ต้องให้ถึงตายหรอก ขอแค่ปางตายก็พอ ”

...ประโยคนั้นรวบคำสั่งและความแค้นในใจไว้ในคราวเดียว...
**********************

เสียงซออู้บรรเลงเพลงลูกกรุงแว่วหวานคอยขับกล่อมคนป่วยให้เคลิ้มหลับฝันอย่างสบายในทุกคืนค่ำ ศศิวิมลหยุดมือเลิกเล่นทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะประตูพร้อมการปรากฏตัวของภาควัฒน์...เขาหอบแฟ้มเอกสารเดินมาทรุดลงนั่งข้างศรีภรรยาซึ่งสวมชุดนอนที่เขาซื้อมาทับด้วยเสื้อคลุมเนื้อหนาอีกชั้น

อรพิณแลดวงหน้าลูกชายที่แวะมาเยี่ยมเหมือนทุกวัน กวักมือเรียกให้ขยับเข้ามาใกล้เพราะมีเรื่องอยากจะคุยด้วย

“ ทำไมพักนี้กลับดึกจังลูก ”

“ ช่วงนี้สินค้าโชเนนฟาวกำลังรุ่งครับ เลยต้องขยันกันหน่อย บริษัทของเราจะได้ก้าวหน้าไงครับ ”

“ อย่าหักโหมมากนะลูก งานนะมันสำคัญก็จริง แต่สุขภาพของเราสำคัญกว่า อย่าให้เหมือนแม่ที่ปล่อยปละละเลยจนกลายเป็นมะเร็งไปแบบนี้ ” นางบอกทั้งที่ยังระบายยิ้มบนใบหน้าแทบไม่มีความเศร้าสร้อยหลงเหลืออยู่ พูดคุยกันเพียงเล็กน้อยก็ไล่ให้คู่สามีภรรยากลับห้องเพราะตนเองจะพักผ่อน

ศศิวิมลเก็บซอเข้าถุงผ้าเดินตามหลังผู้เป็นสามีเข้าไปในอาณาเขตส่วนตัว...ชายหนุ่มถอดสูทกับเสื้อเชิ้ตกองไว้บนพื้นแล้วหายเข้าห้องแต่งตัวไปอาบน้ำต่อเหมือนทุกวัน คนตัวเล็กเห็นเขาไม่เก็บเสื้อผ้าเลยช่วยหยิบไปใส่ตะกร้าจึงสังเกตเห็นรอยฝุ่น และสารพัดคราวเปื้อนเปรอะไปทั่วเสื้อเหล่านั้น

สำหรับคู่อื่นอาจจะมีปัญหาได้กลิ่นน้ำหอมหรือรอยลิปสติกบนเสื้อของสามี ทว่าในกรณีนี้กลับมีแต่สิ่งสกปรก

...ไปทำงานหรือไปตกท่อ เสื้อผ้าถึงเยินขนาดนี้...

คนตัวเล็กย่นหน้าเล็กน้อยกับกลิ่นแปลกที่โชยมา โยนผ้าลงตะกร้าได้ก็คว้าถุงซอนำไปเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าแล้วเลื่อนเก้าอี้ตรงส่วนทำงานของตนเองมานั่งลงถักส่วนผมของตุ๊กตานางฟ้า คนตัวใหญ่เดินออกจากห้องน้ำเช็ดเนื้อเช็ดตัวจนแห้งดีก็หายไปในส่วนพักผ่อนแบกแฟ้มเอกสารหลายเล่มมาวางลงตรงที่ว่างบนโต๊ะ

หญิงสาวแหงนหน้ามองคนที่ยืนเปลือยอกมีผ้าเช็ดตัวพันผืนเดียว ความเก้อเขินเริ่มจางหายกลายเป็นความเคยชินทำให้บัดนี้แม้จะเห็นเขาเปลือยช่วงบนก็ไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือนแต่อย่างใด

“ นี่อะไรหรือคะ ” ร้องถาม จิ้มนิ้วลงบนแฟ้มหนาเหล่านั้น

“ สำเนาเอกสารฝ่ายการผลิตของโชเนนฟาว...ต่อไปนี้เธอจะจะต้องอ่านเอกสารพวกนี้แล้วจำขึ้นใจให้หมด เมื่อไหร่ที่ฉันถามขึ้นมาเธอต้องตอบได้ เข้าใจไหม ” ออกคำสั่งใส่อย่างเย็นชา จ้องดวงตาหวานอมโศกที่หรี่เล็กเพราะไม่เข้าใจสาเหตุที่เขานำเอกสารสำคัญในองค์กรมาให้อ่าน แต่ไม่อยากเปิดปากถามอะไรเดี๋ยวจะมากความ อีกทั้งเรื่องที่ได้รับมอบหมายก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงเลยพยักหน้ารับ ปล่อยให้คนสั่งไปหากางเกงสวมแทนผ้าเช็ดตัว

เขากอดอกมองคนที่นั่งหลังคดหลังแข็งเย็บตุ๊กตา งานคงรุดหน้าไปมากกว่านี้หากเจ้าตัวไม่ต้องคอยไปพยาบาลมารดาของเขาตลอด ไม่เคยได้ออกไปไหน เปรียบไปแล้วการอยู่ที่นี่ก็ไม่ต่างอะไรจากบ้านนั้น แม่นกน้อยขนสวยยังคงถูกจองจำไว้ในกรงทองจะเปลี่ยนก็เพียงบรรยากาศและสถานะ

คิดได้ดังนั้นก็ย่างเท้าเข้าไปใกล้ใช้ศอกยันตัวเองไว้กับผนังห้อง แลนิ้วที่ขยับถักเป็นระวิง จากนั้นจึงเปิดปาก

“ พรุ่งนี้ว่างหรือเปล่า ”

“ ตอนนี้เล็กมีแต่งานถักตุ๊กตาตัวนี้ กำหนดส่งก็อีกนาน คิดว่าพรุ่งนี้น่าจะว่างค่ะ ” ตอบสักพักก็ว่างเข็มถักลงเหลือบมองเจ้าของคำถามที่ยืนใกล้ตัว “ ทำไมถึงถามขึ้นมาล่ะคะ ”

“ พักนี้ฉันเห็นอาการแม่ดีขึ้นมาก เลยคิดว่าพรุ่งนี้วันหยุด จะพาแม่ไปค้างหัวหินสักคืน เธอจะไปด้วยหรือเปล่า ”

การเชิญชวนไปเที่ยวข้างนอกบ้านก็ทำให้ดีใจมากอยู่แล้ว ยิ่งได้ไปไกลจากกรุงเทพ ศศิวิมลก็รู้สึกลิงโลดคว้าแขนภาควัฒน์มาจับแน่นพลางเขย่าดีใจจนออกนอกหน้า

“ ไปหัวหินจริงหรือคะ ”

“ ไม่ต้องทำท่าดีใจขนาดนั้นหรอก ที่ฉันชวนเพราะรู้ว่า ถ้าเธอไม่ไป แม่ก็คงไม่ไป ” เขายุติความสุขอย่างไม่มีเยื่อใย ถึงจะรู้ว่าการไปเที่ยวข้างนอกบ้านมีอานิสงส์มาจากอรพิณ กระนั้นหล่อนก็ไม่อาจหยุดยิ้มแย้มมีความสุข เพราะการได้ไปไกลจากกรุงเทพเป็นสิ่งที่เฝ้ารอคอยมาเนิ่นนาน

“ เล็กรู้ค่ะว่าพี่ภาคคงไม่พาเล็กไปเที่ยวหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะจะพาผ้าพิณไป...แต่ยังไงเล็กก็ดีใจอยู่ดีแหละคะ พี่ภาครู้ไหมคะว่า เล็กไปทะเลล่าสุดก็ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมนู้นแน่ะ จำได้ว่าตอนนั้นแม่ใหญ่พาไปเที่ยวชะอำ เล็กกับพี่ใหญ่ไม่เคยเห็นน้ำทะเลมาก่อนก็เลยรีบวิ่งไปที่หาดทราย แต่เล็กดันถูกเศษแก้วบาดที่เท้าก็เลยอดเล่นน้ำ พี่ใหญ่เห็นเล็กเจ็บเท้าก็เลยอุ้มเล็กไว้แล้วเดินลงทะเลไปด้วยนะคะ พี่ใหญ่บอกว่า ถึงไม่ได้เล่นแต่ได้สัมผัสไอทะเลก็ยัง... ” ยังทบทวนความทรงจำไม่ทันจบประโยคก็มีอันต้องสะดุ้งโหย่งเมื่อเห็นมือใหญ่ทุบโต๊ะไม้ดังสนั่นห้อง

วินาทีนั้นคนตัวเล็กยกมือขึ้นลูบริมฝีปากไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะนัยน์ตาของอีกฝ่ายไม่มีสิ่งใดให้เข้าใจในการกระทำของผู้เป็นสามีกำมะลอเลยแม้แต่น้อย

“ พี่ชายเธอไม่ได้แสนดีขนาดนั้นหรอก ศศิวิมล ” สุ้มเสียงเรียบเย็นเรียกขานชื่อเต็มยศนั้น ราวกับจะประกาศเตือนให้หญิงสาวเฉลียวถึงแง่มุมด้านมืดของมนุษย์ทีได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายของตัวเอง แล้วผละจากห้องแต่งตัวกลับไปขึ้นเตียงเงยหน้ามองเพดาน

สายตายามจ้องเบื้องบนวาวโรจน์เคียดขึ้งความรู้สึกระหว่างคิดถึงชายหนุ่มคู่แค้นเกินกว่าจะใช้คำว่าชิงชัง จะเรียกอย่างไรก็ไม่สมกับความเกลียดในใจที่คงอยู่ตลอดมา...เล่นถึงขั้นจะฆ่าดันส่งพวกกระจอกมา ก็เอาพวกกระจอกของมึงกลับไปกินแล้วกัน

ศศิวิมลใจหายวาบในนาทีที่เห็นเขาทำท่าเหมือนจะโกรธกันจึงวางงานทุกอย่างในมือลงบนโต๊ะ เลื่อนเก็บเก้าอี้แล้วดับไฟตรงห้องแต่งตัว จากนั้นจึงตามไปสมทบนั่งลงบนขอบเตียง ชะเง้อชะแง้แลดู พอเขาก้มต่ำมาเห็นก็ล้มตัวลงนอนหันหลังให้ในขณะนั้นเอง

“ พี่ภาคโกรธเหรอคะที่เล็กพูดถึงพี่ใหญ่ ” หยั่งเชิงถามแต่ไม่อาจทำให้คนตัวใหญ่ตอบกลับ

“ เล็กรู้นะคะว่าพี่ภาคไม่ชอบพี่ใหญ่ แต่พี่ใหญ่เป็นพี่ชายเล็ก เวลาเล็กเล่าอะไรขึ้นมาก็ต้องมีติดเรื่องพี่ใหญ่มาด้วยเหมือนกัน ถ้าพี่ภาคไม่ชอบให้เล็กพูดถึงพี่ใหญ่ ไว้คราวหน้าเล็กสัญญาคะว่าจะไม่พูดถึงพี่ใหญ่อีก ” หล่อนยังไม่ยอมลดละ ยิ่งเห็นเขาเงียบเฉย ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ พยายามพูดง้ออยู่หลายนาทีก็ไม่มีทีท่าเขาจะสนใจ เลยเริ่มไม่แน่ใจว่าเขาหลับแล้วหรือยังโกรธอยู่เลยลงจากเตียงค่อยๆย่องเบาอ้อมไปดูเสียหน่อยก็ได้เห็นเขานอนหลับตาพริ้ม

“ หลับก็ไม่บอก ปล่อยเราพูดอยู่ตั้งนาน ” ทั้งที่ตำหนิ หากริมฝีปากอิ่มกลับแย้มกว้าง

ตั้งแต่แต่งงานเข้ามาใช้นามสกุลวิสุทธิ์สุนทรมาเกือบสองเดือน สิ่งที่ค้นพบนอกจากความอาทรของคนในบ้าน คือความห่วงใยของชายหนุ่มผู้เย็นชาตรงหน้า แม้นเขาจะเป็นสามีเพียงในนามและช่างแตกต่างจากภาพความทรงจำในวัยเด็กของหล่อนไปสิ้นเชิง แม้จะกลัวระคนเจ็บปวดกับการกระทำห่างเหินในตอนแรก มาบัดนี้ยามอยู่ใกล้หรือไกลกันนับวันหัวใจมีแต่จะคำนึงถึงเขาอยู่ตลอดเวลา

ความอบอุ่นอ่อนโยนจากสัมผัสแผ่วเบาของเขาถักทอสายใยอันเปราะบางใกล้ขาดสะบั้นให้แน่นเหนียว...ทั้งที่บอกตัวเองให้ห้ามใจมิให้ถลำก็มิอาจต้านทานความสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนซึ่งจารลึกในความทรงจำชัดเจนยิ่งกว่ารูปถ่าย

“ เล็กขอโทษนะคะ ” พร่ำไปเช่นนั้นทั้งที่รู้ว่าคงไม่ได้ยิน ทอดสายตายังใบหน้าคมคายยามนิทรารมย์แล้วอดไม่ได้ที่ยิ้มละไม ใจกล้าพอจะยื่นปลายนิ้วเรียวออกตั้งใจจะปัดปอยผมที่ตกลงปรกหน้าผากให้กลับไปที่เก่า

กลิ่นหอมดอกมะลิอันเป็นเอกลักษณะเฉพาะของหญิงสาวโชยอ่อนเข้าจมูกให้สูดดมปลุกคนหลับให้ลืมตาตื่นทันเห็นและสัมผัสความนุ่มนวลบนหน้าผากของตนเองได้ดี ก่อนที่มือขาวจะชักกลับก็ถูกมืออุ่นใหญ่คว้าหมับเข้าให้

“ พี่ภาคยังไม่หลับหรือคะ ” พอเห็นเขาตื่นเต็มตาหญิงสาวก็มีสีหน้าเหลอหลา ความอาจหาญเมื่อครู่ดังกับถูกพัดหายไปยังดินแดนโพ้นทะเล

“ หลับ...แต่เธอทำให้ฉันตื่น ” เขาตอบ ในที่สุดก็ใจอ่อนพูดคุยด้วยอีกจนได้ “ ไม่หลับไม่นอนมานั่งทำอะไรตรงนี้ ”

“ เล็ก...เล็ก...เล็กกลัวพี่ภาคโกรธ พูดด้วยตั้งหลายคำก็ไม่หันกลับมาก็เลยไม่แน่ใจว่าหลับหรือยังโกรธเล็กอยู่ ” คนตัวเล็กทำเสียงอ่อย ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าสู้หน้าด้วยกลัวเขาจะไม่พอใจหนักจะแย่ไปกว่าเก่า

ภาควัฒน์ ทอดถอนลมหายใจยาว ความรู้สึกในอกเต็มกลั้นหากก็ยังคงเก็บงำไว้มิปริปากบอก เพียงดึงข้อมือของหญิงสาวให้ลุกจากพื้นขึ้นมานั่งบนเตียง พาดแขนข้างหนึ่งไปบนหมอนเปล่าใช้มืออีกข้างกระตุกร่างบอบบางให้ล้มลงมานอนหนุนแล้วโอบประคองไว้หลวมๆ

“ นอนได้แล้ว พรุ่งนี้ฉันกับเธอต้องตื่นมาจัดกระเป๋าแต่เช้า ” ทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก็ปิดเปลือกตาหลับไม่รีรอให้อีกฝ่ายอิดออดประท้วง

หญิงสาวนอนเหลือบตาจ้องใบหน้ากับแนวไรหนวดเขียวครึ้มของผู้เป็นสามี ซุกซบดวงหน้าค้นหาไออุ่นจากเรือนกายใหญ่โตที่คอยแต่จะโอบกระชับร่างในวงแขนไว้มั่น

...หากรักอันหอมหวานต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดทรมาน มันคุ้มค่าจะเสี่ยงดูหรือไม่...เป็นคำถามที่คั่งค้างวนเวียนในใจของศศิวิมล มิใช่เพียงคืนเดียว ทว่ามันได้ติดตรึงตามไปทุกหนแห่งเสมือนเงาในยามมีแสงสว่างทอดผ่านอย่างไรอย่างนั้น...




ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ส.ค. 2554, 03:36:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ส.ค. 2554, 03:36:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 2349





<< บทที่ 11   บทที่ 13 >>
violette 15 ส.ค. 2554, 03:58:37 น.
ลุ้นกันต่อไปค่า เหนื่อยแทนหนูเล็กจังเลยลูกหลานคนรวยขนาดนี้ทำไมยังต้องนั่งทำงานขายของแบบนี้หนอ


Pat 15 ส.ค. 2554, 08:36:42 น.
อิอิ สนุกแต่เครียดจัง


anOO 15 ส.ค. 2554, 13:41:09 น.
เล็กนี่น่าสงสารนะ ไม่รู้เรื่องอะไรกับเค้าเอาซะเลย


Edelweiss 15 ส.ค. 2554, 18:57:20 น.
ไม่ชอบคุณป้าเลยอ่ะ


crossbear 15 ส.ค. 2554, 19:06:48 น.
นกน้อยในกรงทอง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account