ในรอยกาล / เพิ่มตอนพิเศษ
“พี่พริษฐ์หยิบหีบใบนั้นให้ชมพู่หน่อย”

ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที

หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้

“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว

เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ

“ครับ”

เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย

ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น

“มองพี่ได้ไหม”

นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง

ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา

ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม

“พี่จูบได้ไหม”

แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน

เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย

ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก

เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม


- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -

Tags: ในรอยกาล, เนตรนภัส, พริษฐ์, ชมพู่, แก้มแหม่ม,

ตอน: บทที่ 11

...๑๑...



ไม่กี่วันต่อมาพริษฐ์ก็ย้ายออกจากโรงแรมไปพักในเรือนไทยหลังเก่าของครอบครัว เพื่อความสะดวกในการดูแลความเรียบร้อย ทั้งเรื่องซ่อมแซมส่วนที่ทรุดโทรมและพัง รวมทั้งการปรับปรุงภูมิทัศน์รอบๆ บ้าน ในระหว่างนั้นเขาต้องจัดการงานที่บริษัทควบคู่กันไปด้วย สิ่งหนึ่งที่จำเป็นมากในการทำงานลักษณะนี้ก็คืออินเตอร์เน็ตความเร็วสูง

แม้เขามีโทรศัพท์มือถือซึ่งสามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดหลายๆ อย่างโดยเฉพาะความเร็วที่ไม่มากนักอย่างใจต้องการ แค่เขาเอาเรื่องนี้ไปเปรยกับแก้มแหม่มเท่านั้น อีกสองวันต่อมาเขาก็มีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงใช้งาน

พริษฐ์ยกโต๊ะญี่ปุ่นมาวางตรงเฉลียงบ้าน จุดนี้เป็นจุดที่ร่มรื่นและสามารถรับลมธรรมชาติได้ดีทำให้ไม่ต้องพึ่งพัดลม อีกทั้งยังไม่เกะกะการทำงานของเหล่าช่าง รวมไปถึงสามารถมองเห็นการทำงานของแก้มแหม่มได้อีกด้วย

พอตกลงให้แก้มแหม่มเป็นผู้ปรับปรุงภูมิทัศน์ หญิงสาวก็ลงมือถางพงและพืชที่ไม่ต้องการไปบ้างแล้ว แต่เนื่องจากไร้การบำรุงรักษามาเป็นเวลานาน จึงกินเวลาไปหลายวัน

สายตาคมมองไปยังด้านที่เห็นคนงานง่วนอยู่กับงานของตน เขารู้มาจากปากยอดที่ติดสอยห้อยตามมาช่วยแก้มแหม่มว่า คนเหล่านี้เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านซึ่งสนิทกัน ส่วนใหญ่ทำนาบ้าง ทำสวนบ้าง หากใครว่างตรงกับตอนมีงานจัดสวนแก้มแหม่มก็จ้างให้มาทำงาน โดยจ่ายค่าจ้างเป็นรายวัน ถือว่าเป็นรายได้เสริมอีกทาง

หลังจากได้เห็นการทำงานของหญิงสาวมาระยะหนึ่ง เขาต้องยอมรับว่าเธอเป็นคนทำงานเก่ง ผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่สามารถคุมคนงานทั้งชายและหญิงจำนวนมากได้โดยไม่มีอะไรติดขัด พวกคนงานดูเชื่อฟังเธออยู่มาก ทั้งที่บางคนอายุอาจเท่าพ่อหรือแม่ของหญิงสาวด้วยซ้ำ

งานจัดสวนนับว่ารุดหน้าไปมาก ไม้ใหญ่ได้รับการตัดแต่งรานกิ่งที่เกะกะออกไปตั้งแต่วันแรกๆ พวกพืชเถาและกาฝากก็ไม่เหลือให้เห็น ส่วนต้นไม้เล็กๆ ซึ่งขึ้นเองถูกตัดทิ้งและถอนรากออกเพื่อป้องกันการขึ้นใหม่ในภายหลัง หญ้าถูกถางออกไปจนเกือบเกลี้ยง นับว่าเป็นการปรับปรุงขนานใหญ่เลยทีเดียว

เขาเบือนสายตาจากภาพคนงานหาร่างคุ้นตาซึ่งไม่ใช่แค่ยืนคุมงาน เจ้าตัวคงกำลังลงมือทำอะไรสักอย่างอยู่แน่ๆ

กลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว คราใดที่ละสายตาจากกองงานตรงหน้า เขาต้องกวาดตาหาร่างบอบบางก่อนทุกครั้ง มีครั้งหนึ่งเขาเห็นเธอจับพร้าฟันต้นไม้ด้วยท่าทางทะมัดทะแมง ไม่รู้เอาแรงจากไหนมาฟันกิ่งไม้จนขาด ตัวก็เท่านั้นเอง วันนี้คงทำงานงกๆ อยู่ไม่มุมใดก็มุมหนึ่งในบริเวณบ้านหลังนี้

แล้วก็ไม่ผิดจากที่คิด ท่ามกลางคนงานมากมายที่สวมเสื้อแขนยาวมิดชิดป้องกันแดดเผา ใส่หมวกปีกกว้างและถุงมือผ้าเหมือนกันเกือบทุกคน ทว่าเขาสามารถแยกเธอออกจากคนอื่นๆ ได้ทันที

คิดแล้วก็ได้แต่แปลกใจตัวเอง เพียงแค่ไม่กี่วันที่รู้จักกัน เขากลับจำเธอได้แม่นยำเพียงแค่เห็นจากข้างหลังไกลๆ เท่านั้น...

แล้วจู่ๆ คนที่โกยเศษใบไม้ขึ้นรถเข็นเมื่อครู่ก็ทิ้งไม้กวาดก้านมะพร้าวแล้วเดินไปอีกทาง ทิ้งงานของตนไปดื้อๆ ทำให้พริษฐ์หรี่ตาเพ่งฝ่าเปลวแดดร้อนตามหลังหญิงสาวไป พอเห็นเธอเหลียวซ้ายแลขวาออกอาการแปลกๆ ชายหนุ่มก็นึกรู้ทันทีว่าเจ้าหล่อนกำลังคิดทำอะไร

พริษฐ์ผุดลุกขึ้น วิ่งลงบันไดไปตามทางที่เห็นแก้มแหม่มหายไปทันที

“ผมว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ”

เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้เจ้าของร่างบอบบางซึ่งทำตัวลับๆ ล่อๆ ถึงกับสะดุ้งโหยง หันไปมองชายหนุ่มอย่างกล้าๆ กลัวๆ พอเห็นดวงตามองมาดุๆ ริมฝีปากอิ่มก็ยิ้มแหย

“ก็...” การถูกจับได้คาหนังคาเขาทำให้แก้มแหม่มหาข้อแก้ตัวไม่ทัน

“เราคุยกันแล้วนี่ว่าบ้านหลังนี้ไม่มีผี ครอบครัวของผมไม่มีใครชื่อเดือน คุณน่าจะเชื่อกันบ้าง”

หลังจากคุยกับมารดา พริษฐ์ก็ต่อโทรศัพท์หานันทิยาอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าในตระกูลเศรษฐสิทธ์ไม่มีใครชื่อเดือนจริงๆ พอได้รับการยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ เขาจึงนำเรื่องนี้มาบอกแก้มแหม่ม หวังลบล้างความคิดเรื่อง ‘ผีชื่อเดือน’ ออกจากหัวทุยๆ นั่น แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แก้มแหม่มเที่ยวเดินไปรอบบ้าน หาจุดเหมาะๆ แล้วพยายามนอนหลับเพื่อให้ผีชื่อเดือนมาเข้าฝัน

“ฉันก็แค่อยากพิสูจน์” สายตาร้อนแรงที่มองมาราวกับผู้ใหญ่ดุเด็ก ทำให้แก้มแหม่มตอบไม่เต็มเสียงนัก

“แล้วมันเคยสำเร็จไหม”

แม้เสียหน้าอยู่มาก แต่ศีรษะทุยก็ส่ายเบาๆ อย่างยอมรับ ความพยายามของเธอตลอดหลายวันที่ผ่านมาล้มเหลวโดยตลอด แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ชายหนุ่มจะมาซ้ำเติมนี่ ในเมื่อเขามีแค่ลมปากลอยๆ เช่นเดียวกัน

“บางทีเพราะคนเยอะก็ได้ คุณเดือนก็เลยเกิดกลัว ไม่กล้ามาเข้าฝัน”

สิ้นประโยคพริษฐ์ถึงกับส่ายศีรษะอย่างระอา เอ่ยเสียงเยาะ

“ผีที่ไหนเขากลัวคนกันบ้างคุณ เคยได้ยินแต่คนกลัวผี”

“ก็ไม่แน่หรอก คุณเคยเป็นผีหรือไงถึงรู้ใจผีน่ะ” หญิงสาวโต้อย่างไม่ลดละ

“หรือคุณเคย”

นั่นทำให้แก้มแหม่มจนด้วยคำพูดอีกครั้ง จะมีครั้งไหนที่เธอเถียงชนะเขาบ้างไหมนะ

พริษฐ์มองอาการฮึดฮัดขัดใจของหญิงสาวนิ่ง และนั่นยิ่งทำให้แก้มแหม่มออกอาการฟึดฟัดหนักเข้าไปอีก

“แล้วต้องทำยังไง คุณถึงจะเชื่อฉัน”

“ผมบอกคุณไปแล้ว ผมเชื่อวิทยาศาสตร์เท่านั้น”

แก้มแหม่มถึงกับถอนหายใจดังเฮือก สุดท้ายก็ไม่ต่างจากพายเรือในอ่าง

“ฉันไม่น่าเล่าให้คุณฟังเลยจริงๆ ให้ตายสิ” หญิงสาวหงุดหงิดตัวเอง วันก่อนไม่น่าหลุดปากไปเลยจริง ตอนนี้เธอเลยกลายเป็นตัวตลกให้เขาหัวเราะเยาะได้สนุกปาก “โอ๊ย! อยากจะบ้า”

พริษฐ์อยากบอกเหมือนกัน ในสายตาคนนอก ตอนนี้เธอเหมือนคนบ้าเข้าไปทุกทีแล้ว แต่ไม่กล้าพูดออกมา เกิดแม่ตัวดีคิดอะไรแผลงๆ ขึ้นมาอีก เขานี่ละจะซวย

“อย่าหัวเราะเยาะฉันนะ”

แล้วจู่ๆ คนที่ออกอาการฮึดฮัดอยู่ก็หันมาตวาดแหวใส่กัน ชนิดที่พริษฐ์ถึงกับออกอาการเหวอ

“ผมไปหัวเราะตอนไหน”

“ปากไม่ได้หัวเราะ แต่ลูกกะตาคุณมันหัวเราะ” พร้อมๆ กับประโยคนั้นนิ้วเรียวก็จิ้มไม่ห่างจากนัยน์ตาคมซึ่งพราวระยับ

“เล่นอะไรน่ะคุณ เกิดผมตาบอดไปจะทำยังไง” พริษฐ์เชื่อว่าถ้าเขาไม่เร็วพอ ดวงตาของเขาคงได้ลิ้มรสดัชนีนางแน่ๆ

“แต่ก็ไม่ถูกไม่ใช่หรือไง”

“เอ๊ะ คุณนี่ ผู้ใหญ่เตือนก็เชื่อฟังกันบ้าง ไม่ใช่เอะอะก็เถียง” เขาเริ่มหมดความอดทนกับหญิงสาวเต็มที “ถ้าเป็นน้องเป็นนุ่ง คุณไม่ได้มายืนเถียงผมอยู่ฉอดๆ แบบนี้หรอก”

“โชคดีที่ฉันไม่ได้เป็นน้องสาวคุณ”

ท่าทางพออกพอใจของแก้มแหม่มกวนใจเขายิ่งนัก

“ทำไม การเป็นน้องสาวผมมันเสียหายตรงไหน คุณถึงไม่อยากเป็นนัก”

“เยอะไป” หญิงสาวลอยหน้าลอยตาตอบ รู้สึกสนุกที่ได้เห็นชายหนุ่มควบคุมตัวเองไม่ได้บ้าง ทุกทีมีแต่เธอที่สติหลุดต่อหน้าเขาตลอดเวลา โดนยั่วนิดยั่วหน่อยก็ของขึ้น คุมตัวเองไม่ได้ทุกที

“อะไรบ้าง ไหนว่ามาซิ”

“โอ๊ย! เยอะแยะไป” หญิงสาวโวยวายเสียงดัง จริงๆ เธอพยายามถ่วงเวลาเพราะคิดหาเหตุผลไม่ออก มีเพียงความรู้สึกล้วนๆ ว่าไม่อยากเป็นน้องของชายหนุ่มเท่านั้นเอง “อย่างเช่นไม่ ‘ชอบ’ รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น”

ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเจ้าตัวจงใจเน้นบางคำเป็นพิเศษ อะไรไม่ร้ายเท่าดวงตาคู่นั้นมองมาอย่างกล่าวหา นั่นทำเอาพริษฐ์ถึงกับถอนหายใจดังเฮือก

สุดท้ายแล้วก็ไม่พ้นเรื่องเดิม ดูเหมือนแก้มแหม่มเชื่อฝังหัวไปแล้วว่าบ้านเขามีผีคนชื่อเดือนสิงอยู่ ตอนนี้พูดอะไรไปก็รังแต่จะทะเลาะกันเปล่าๆ อีกอย่างเขามีเรื่องต้องทำมากมาย ทั้งงานที่บริษัท ทั้งการปรับปรุงซ่อมแซมเรือนไทย ไหนยังต้องตามหาคนชื่ออัญชันที่ตอนนี้ความหวังดูมืดมนเหลือเกิน ขนาดนักสืบมือดีอย่างทิวไผ่ยังไม่สามารถค้นหาข้อมูลของผู้หญิงคนนี้ได้ เขาไม่มีเวลามารับมือเรื่องบ้าๆ นี้มากนัก

“พูดไปพูดมาก็เข้าเรื่องเดิม ผมว่าคุณไปกับผมดีกว่า”

“ไปไหนคะ” หญิงสาวถาม แก้มแหม่มยังปรับอารมณ์ไม่ทัน ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มยังชวนทะเลาะและพร้อมเอาไม้เรียวฟาดเธออยู่เลย

“ไปเถอะ คุยเรื่องงานกัน”

คำว่า ‘งาน’ คำเดียวทำให้หญิงสาวไม่ขัดขืน เมื่อมือใหญ่เอื้อมมาจับข้อมือของเธอเอาไว้หลวมๆ แล้วดึงให้ออกเดินไปด้วยกัน ลืมเรื่องที่ทุ่มเถียงกันอยู่เมื่อสักครู่ไปเสียสนิท



“เหนื่อยไหมคะคุณชมพู่” ป้าตาบถามทันทีเมื่อเห็นนายสาวเดินเข้าบ้านมาพร้อมยอด พอขึ้นมาบนบ้าน เด็กชายก็วิ่งจู๊ดไปผลัดผ้าเพื่ออาบน้ำทันทีโดยไม่รอให้โดนดุ

“นิดหน่อยค่ะป้า คิดว่าตั้งแต่ตาใบแกตาย น้าเขียวคงไม่ทำอะไรเลย คอยรับเงินเดือนอย่างเดียว ทางคนจ้างเองก็ไม่เคยลงมาดู คงวางใจว่าเป็นลูกของคนดูแลคนเก่า ที่ไหนได้น้าเขียวแกรับเงิน แต่งานไม่ทำ บ้านเลยเละเทะไปหมด สวนก็รกอย่างกับป่าดงดิบ งานหนักเลยละค่ะ” หญิงสาวอธิบายยืดยาว ยกเว้นเรื่องกวนใจบางเรื่องเอาไว้

นอกจากงานสวนซึ่งค่อนข้างหนักหนาสาหัส การรับมือกับความคลุมเครือเป็นเรื่องที่เธอไม่ชอบเอาเสียเลย หลายวันที่ต้องทุ่มเถียงกับพริษฐ์ด้วยเรื่องเดิมๆ ถึงแม้สิ่งที่เธอเจอไม่มีวิทยาศาสตร์แขนงไหนพิสูจน์ได้ ทว่าเธอมั่นใจว่าคนชื่อเดือนต้องมีส่วนเกี่ยวพันกับบ้านหลังนั้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มิเช่นนั้นทำไมต้องจำเพาะให้เธอฝันเห็นภาพต่างๆ เฉพาะตอนอยู่ในบ้านหลังนั้นด้วย

อีกสิ่งที่ทำให้เธอมั่นใจว่าต้องเกี่ยวข้องกันแน่ๆ คือเหตุการณ์ในฝันครั้งแรก บ้านที่เดือนและแก้วเดินลงมานั้นเป็นเรือนไทยหลังเดียวกับของพริษฐ์ ไม่ผิดแน่นอน แต่ทำไมหลังจากวันที่ไปตามหาญาติของชายหนุ่ม เธอกลับไม่เคยเห็นอะไรอีกนะ

หรือคุณเดือนเธอจะไม่อยู่ในบ้านหลังนั้นแล้ว แปลกจัง...

แก้มแหม่มสลัดศีรษะขับไล่ความคิดวกวนออกจากหัว คิดมากก็ปวดหัว เลิกคิดดีกว่า...

“แล้วที่ร้านเป็นยังไงบ้างคะ”

ยามเธอรับงานจัดสวน ยอดมักติดสอยห้อยตามไปช่วยงานเล็กๆน้อยๆ ก็ได้ป้าตาบนี่ละคอยดูแลร้านขายต้นไม้ให้

“จริงสิ พูดถึงร้าน ป้าก็เพิ่งนึกได้ วันนี้ขวดไปที่ร้าน บอกว่ายายแก้วอยากได้พวงแก้วมณี” ป้าตาบเรียกยายแก้วตามที่แก้มแหม่มเรียกจนติดปาก “เห็นที่ร้านไม่มี ป้าไม่แน่ใจว่าที่คุณชมพู่เพาะเอาไว้จะมีหรือเปล่า เลยรับปากขวดเอาไว้ว่าจะถามให้ ถ้ามีจะเอาไปให้ที่บ้าน”

ในบริเวณบ้าน แก้มแหม่มกันพื้นที่ส่วนหนึ่งขึ้นเสาแล้วขึงสแลน ใช้เป็นพื้นที่ในการเพาะและขยายพันธุ์ต้นไม้ ดังนั้นต้นไม้ในร้านส่วนใหญ่จึงมาจากฝีมือของเธอ มีรับมาจากเกษตรกรอีกต่อหนึ่งบ้าง แต่ไม่มากนัก เพื่อเป็นการควบคุมราคาไม่ให้สูงเกินไป ยกเว้นเวลาต้องจัดสวนและใช้กล้าไม้ชนิดเดียวกันคราวละมากๆ จึงไปสั่งมาอีกต่อหนึ่ง

แก้มแหม่มพยายามนึกว่าใต้ผืนสแลนนั้นมีไม้เลื้อย กลีบดอกยาวสีขาว เกสรกลางดอกเป็นเส้นสีเหลืองเล็กๆ อยู่ด้วยหรือเปล่า

“น่าจะเหลืออยู่อีกสองสามต้นนอกจากที่ขายได้แล้ว แต่ยังไงชมพู่ไปดูให้แน่ใจอีกทีดีกว่าค่ะ แล้วน้าขวดบอกหรือเปล่าคะว่ายายแก้วอยากได้กี่ต้น”

“สองจ้ะ แกอยากได้สักสองต้น ได้ยินขวดบอกว่ากระเทียมเถาที่เคยปลูกเอาไว้น่ะมันเหี่ยวๆ ทำท่าจะตาย ยายแก้วเห็นเข้าเลยบอกให้ตัดทิ้งแล้วเอาพวงแก้วมณีมาลงแทน เห็นบ่นว่าเบื่อ”

“หรือคะ ดีเหมือนกัน ชมพู่ก็ไม่ค่อยชอบกระเทียมเถาที่บ้านยายแก้วเท่าไหร่ เผลอหยิบดอกมันติดมือมาทีไร กลิ่นไม่พึงประสงค์ติดมือตลอดเลย” หญิงสาวหัวเราะเสียงใส เธอลืมทุกครั้งว่ากระเทียมเถานั้นกลิ่นเหมือนกระเทียมดีๆ นี่เอง “งั้นเดี๋ยวชมพู่ไปดูก่อนนะคะป้าตาบ ถ้ามีจะเอาไปให้ยายแก้วเลย แกจะได้ไม่ต้องรอ”

“ค่ะ แล้วจะไปยังไง ห้ามเดินไปอีกนะคะ”

แก้มแหม่มหัวเราะเสียงใสทันทีเมื่อถูกห้าม ป้าตาบคงกลัวเธอเดินไปแล้วกลับบ้านค่ำมืด จนต้องให้ยอดไปรับเหมือนคราวก่อนให้ต้องเป็นห่วงอีกแน่ๆ

“เดี๋ยวชมพู่เอามอเตอร์ไซค์ไปค่ะ ป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ไม่เถลไถลแน่นอน”

“คราวที่แล้วคุณก็พูดแบบนี้” ป้าตาบบ่นเบาๆ “ให้ยอดไปเป็นเพื่อนดีไหมคะ”

“อย่าเลยค่ะป้า ยอดคงอาบน้ำแล้ว ชมพู่สัญญาว่าไปเดี๋ยวเดียวจริงๆ ส่งของ รับเงินแล้วจะรีบกลับมานะคะ ป้าไม่ต้องเป็นห่วง ชมพู่ดูแลตัวเองได้ เอางี้ ป้าเตรียมข้าวเย็นรอเลยดีกว่าค่ะ ชมพู่คิดว่ากลับมาถึงต้องหิวแน่ๆ ถ้าได้กับข้าวฝีมือป้านะ เจ๋งสุดๆ ไปเลย” หญิงสาวตบท้ายด้วยคำพูดออดอ้อนแบบที่ป้าตาบแพ้ทาง ไม่เคยขัดใจกันได้สักที และก็ได้ผล เมื่อป้าตาบฉีกยิ้มกว้าง เอามือดุนหลังนายสาวให้ออกเดิน

“ค่ะๆ ป้าจะทำของอร่อยไว้รอ คุณรีบไปเถอะค่ะ จะได้ไม่เสียเวลามากนัก”

“ขอบคุณค่ะป้า เดี๋ยวชมพู่มานะคะ” พูดจบก็วิ่งเหยาะๆ ลงบันไดไปทันที

ไม่นานหลังจากนั้นป้าตาบก็ได้ยินเสียงจักรยานยนต์แล่นออกจากบ้านไป



ไม่กี่นาทีต่อมาแก้มแหม่มก็มาถึงบ้านยายแก้ว เธอจอดจักรยานยนต์เอาไว้นอกรั้ว หอบต้นกล้าพวงแก้วมณีเอาไว้แนบอกเดินเข้าไปในบริเวณบ้านอย่างคุ้นเคย ดวงตาสีน้ำตาลภายใต้ขนตางอนกวาดไปทางใต้ถุนบ้านเป็นอันดับแรก ร่างหญิงชราซึ่งเห็นอยู่ไกลๆ ทำให้ยิ้มออก รีบสาวเท้าไปยังจุดนั้นทันที

“สวัสดีจ้ะยาย” หญิงสาวทักทายเสียงใส วางกล้าพวงแก้วมณีไว้บนพื้นใกล้แคร่แล้วยกมือไหว้หญิงชราทันที “ชมพู่เอาต้นไม้ที่ยายอยากได้มาส่ง”

“กวนชมพู่ตลอดเลย ต้องเอามาให้ยายเองทุกที” ยายแก้วละมือจากงานซึ่งทำอยู่ เงยหน้ามองด้วยรอยยิ้มอย่างผู้ใหญ่ใจดี

“รบกวนอะไรกันล่ะจ๊ะ ชมพู่เต็มใจจะตาย แล้วนี่ยายทำอะไรอยู่” ดวงตากลมจดจ้องอะไรฝอยๆ ในกระด้งตรงหน้ายายแก้ว

“มะพร้าวตากแห้ง ยายเพิ่งเก็บมาเมื่อกี้เอง กำลังจะคั่วให้แห้ง” พูดจบมะพร้าวหั่นฝอยๆ ตากแห้งก็ถูกเทลงในกระทะ นั่นละแก้มแหม่มถึงได้สังเกตเห็นว่ามีเตาถ่านวางอยู่ใกล้ๆ แคร่ด้วย

“ยายจะทำอะไรจ๊ะ”

“เมี่ยงคำน่ะลูก ยอดเขาบ่นอยากกินมาหลายวันแล้ว”

“เมี่ยงคำ!” หญิงสาวทวนคำหูผึ่ง

“อยากกินหรือจ๊ะ”

“อยากมากเลยจ้ะ” ศีรษะทุยพยักหงึกๆ จนหัวสั่นหัวคลอน ตาเป็นประกายจนยายแก้วอดยิ้มไม่ได้

“งั้นรออีกแป๊บหนึ่งนะจ๊ะ ขอยายคั่วมะพร้าวให้สุกก่อน แล้วยายจะแบ่งให้”

“ขอบคุณจ้ะยาย แหม...เวลาชมพู่มาบ้านยายทีไร ได้กินของอร่อยๆ ตลอดเลย” บ่อยครั้งเวลาเอาต้นไม้มาส่งให้ เธอมักได้ของกินที่หาซื้อไม่ค่อยได้ตามท้องตลาดติดไม้ติดมือกลับไปบ้านบ่อยๆ แบบนี้ละเธอถึงชอบมาส่งต้นไม้ให้ยายแก้วด้วยตัวเอง “งั้นเดี๋ยวชมพู่เอาต้นไม้ไปลงให้ยายดีกว่า ยายจะปลูกแทนกระเทียมเถาใช่ไหมจ๊ะ”

“ยอดคงเล่าให้ฟังแล้วละสิ”

“จ้ะ ชมพู่ก็ว่าดีเหมือนกัน ดอกกระเทียมเถาก็สวยอยู่หรอก แต่บอกตรงๆ ชมพู่ไม่ค่อยชอบกลิ่นมันเท่าไหร่” เจ้าตัวบอกตามจริง ถึงเธอเปิดร้านขายต้นไม้เพราะรักในพืชพันธุ์ต่างๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องชอบทุกต้น บางชนิดไม่ชอบ แต่ลูกค้าชอบ ก็ควรมีติดร้านไว้เช่นเดียวกัน

“ก็ชมพู่น่ะมือซน”

หญิงสาวหัวเราะแหะๆ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธคำตำหนินั้น เธอเป็นอย่างยายแก้วพูดจริงๆ เสียด้วยสิ

“เดี๋ยวชมพู่เอาต้นไม้ไปลงให้ยายดีกว่า”

“ไม่ต้องหรอกจ้ะ เดี๋ยวให้ขวดจัดการให้วันหลังก็ได้ ยายได้ยินมาว่าช่วงนี้ชมพู่มีจัดสวนไม่ใช่หรือลูก ที่เรือนไทยหลังนั้นน่ะ ทำงานมาทั้งวันคงเหนื่อยน่าดู อย่าให้ยายรู้สึกว่ากวนหนูเอาต้นไม้มาส่งให้แล้วต้องปลูกให้อีกเลย”

“ยายก็พูดเกินไป” ชมพู่ปฏิเสธน้ำเสียงรื่นเริง

“ยายไม่น่าเดาผิดนะ บ้านหลังนั้นใหญ่น่าดู”

“ก็เหนื่อยละจ้ะ” หญิงสาวตอบตามจริง “บ้านหลังนั้นใหญ่จะตาย พื้นที่กี่ไร่ก็ไม่รู้ ทำมาตั้งหลายวันแล้วงานยังไม่ขยับไปไหนเท่าไหร่เลย”

“สิบไร่จ้ะ”

“หือ...ยายว่าสิบไร่หรือจ๊ะ ยายรู้ได้ยังไงน่ะ” แก้มแหม่มถามด้วยความสงสัย ประเมินด้วยสายตาแล้วเธอยังกะไม่ถูกเลยว่าที่ดินผืนนั้นมีพื้นที่เท่าไร

“ก็กะๆ เอาน่ะ คิดจากหน้ากว้างหน้ายาวก็คงราวๆ สิบไร่”

แก้มแหม่มพยักหน้าหงึกๆ ไม่ได้ติดใจอะไร ยายแก้วอยู่ที่นี่มาตั้งนานคงพอเดาเอาได้ว่าที่ดินผืนใหญ่และยาวผืนนั้นมีพื้นที่เท่าไร แต่เดี๋ยวค่อยถามพริษฐ์อีกที

“ใหญ่เนอะยาย เมื่อก่อนตอนขับรถผ่านชมพู่ไม่คิดเลยว่ามันจะเยอะขนาดนี้ สงสัยเพราะส่วนริมๆ ที่ปลูกผลไม้ไว้ทำให้ไม่คิดว่าเป็นที่ผืนเดียวกัน ที่ไหนได้ โอ๊ย! พอได้เดินดูรอบๆ จริงๆ เล่นเอาหอบฮัก” หญิงสาวเล่าน้ำเสียงสนุกสนาน “อยากรู้จริง ที่ผืนใหญ่ขนาดนี้ ขายจะได้กี่ตังค์”

“เจ้าของเขาจะขายหรือลูก” มือที่จับตะหลิวคั่วมะพร้าวในกระทะอยู่ชะงัก

“ไม่รู้สิจ๊ะ ชมพู่ก็ไม่แน่ใจ แต่ลองปรับปรุงกันขนานใหญ่ขนาดนี้ อาจปรับปรุงเพื่อเก็งกำไรก็ได้ จะได้ขายได้ราคาดีๆ หน่อย” แก้มแหม่มพูดออกไปอย่างใจคิด ร้อยวันพันปีเจ้าของไม่เคยมาดูดำดูดี จู่ๆ มาถึงก็ปรับปรุงเสียขนานใหญ่ ถ้าไม่ขายเอากำไร พริษฐ์จะมาอาศัยอยู่ที่นี่หรือ

ริมฝีปากอิ่มยู่เข้าเหมือนคิ้วที่ขมวดเป็นปม...คงไม่ใช่แน่ เท่าที่รู้ครอบครัวของชายหนุ่มทุกคนอาศัยอยู่เมืองหลวงกันหมด เขาเองก็มีบริษัทส่งออกหนังสัตว์ใหญ่โตให้ต้องดูแล ไม่มีทางย้ายจากเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจมายังจังหวัดเล็กๆ แน่

“เขาบอกอย่างนั้นหรือลูก”

“เปล่าหรอกจ้ะ ชมพู่ก็แค่เดาเอา” เจ้าตัวตอบกลั้วเสียงหัวเราะ พอเห็นท่าทางถอนหายใจของยายแก้วก็อดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ “ยายเป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”

“เปล่าหรอก ยายแค่รู้สึกเสียดาย ถ้าเจ้าของเขาจะขายบ้านจริงๆ”

เห็นใบหน้าของหญิงชรามีแววสลด แก้มแหม่มก็พอเข้าใจ ขนาดเธอเองก็ไม่อยากให้บ้านหลังนั้นถูกขายเหมือนกัน นับประสาอะไรกับคนโบราณซึ่งหวงของเก่าเอาไว้ให้ลูกหลานรุ่นต่อๆ มาได้เห็น

“นั่นสิจ๊ะ เรือนไทยเก่าๆ เดี๋ยวนี้หายากเต็มที หลังใหม่ก็สร้างเลียนแบบ ไม่ใช่เรือนไทยจริงๆ แถมหลังนี้ท่าทางจะทำจากไม้สักนะยาย ขนาดถูกทิ้งร้างมาตั้งหลายปียังแข็งแรงอยู่เลย มีต้องซ่อมบ้างก็เล็กน้อย หนักหน่อยก็สวนนี่ละจ้ะ”

“งานเยอะก็ดีแล้วนี่ลูก ชมพูจะได้มีรายได้เยอะๆ คนงานก็ได้มีงานทำ”

“จ้ะ มันดีตรงนี้แหละ ชมพู่คงมีงานทำไปสักระยะ” เจ้าตัวยิ้มร่า พอพูดถึงเรื่องเงินชักอารมณ์ดี ความเหนื่อยล้าทั้งหมดหายไปในบัดดล มือก็จับมะพร้าวฝอยที่ยายแก้วซอยตากแห้งแล้วในกระด้งเล่นอย่างซุกซน

เงียบไปสักพัก มีแค่เสียงตะหลิวกระทบกระทะ แก้มแหม่มก็โพล่งถามขึ้นอย่างสงสัย

“อ้อ ยายจ๊ะ ชมพู่ถามอะไรหน่อยสิ”

ยายแก้วเพียงเหลือบตาจากกระทะขึ้นมองแก้มแหม่มเป็นเชิงถามเท่านั้น

“ยายก็อยู่แถวนี้มานาน เมื่อก่อนเคยมีคนชื่อเดือนอยู่แถวนี้บ้างหรือเปล่าจ๊ะ อุ๊ย!” หญิงสาวอุทานเสียงหลงจนยายแก้วที่คั่วมะพร้าวอยู่เพลินๆ สะดุ้ง

มือเล็กตบลงไปบนข้อพับขาของตัวเองเต็มแรง คว้าได้ตัวต้นเหตุซึ่งบังอาจมากัดกันขยี้จนตายคามือด้วยความโกรธ

“มียาหม่องไหมจ๊ะยาย” ไม่ถามเปล่า เจ้าตัวยังค้นเชี่ยนหมากของยายแก้วกุกกัก ยาหม่องกับคนแก่เป็นของคู่กันพอๆ กับยาดมนั่นแหละ พอเจอก็เปิดกระปุกควักยาป้ายทันที

“หนูชมพู่ถามอะไรยายนะ คนแก่ก็แบบนี้ เลอะๆ เลือนๆ”

“แก่อะไรกัน ยายแก้วยังแข็งแรงอยู่เลย” หญิงสาวเย้าพลางเข้าเรื่องซึ่งตนอยากรู้อีกครั้ง “คนชื่อเดือนจ้ะ เมื่อก่อนมีคนชื่อเดือนอยู่แถวนี้บ้างหรือเปล่า”

“ก็มีเดือนลูกของสุขนั่นละจ้ะ” ยายแก้วตอบทันที ตักมะพร้าวคั่วได้ที่แล้วลงถาด เกลี่ยให้บางๆ เพื่อผึ่งให้หายร้อน

“ไม่ใช่อย่างนั้นสิจ๊ะ คนนี้ชมพู่ก็รู้จัก อึม...เอาแบบคนเก่าๆ แก่ๆ หน่อยน่ะจ้ะ” หญิงสาวไม่รู้จะอธิบายให้เจ้าของบ้านฟังอย่างไรดี ถ้าอธิบายรูปลักษณ์ของเดือนให้ยายแก้วฟัง ท่านจะพอนึกออกหรือเปล่านะ ไม่เอาดีกว่า มันยากไป ถ้าลองประมาณอายุน่าจะนึกง่ายกว่าไหมนะ

“มีเก่าแก่กว่ายายอีกหรือจ๊ะ”

“ยายก็ว่าตัวเองแก่ตลอดเลย” หญิงสาวหัวเราะกับคำเย้านั้น พยายามนึกถึงเสื้อผ้าที่เห็นเดือนใส่ในฝัน เธอไม่มีความรู้ด้านแฟชั่นมากนัก แต่พอเดาได้จากละครที่เคยดูในจอโทรทัศน์ ประเมินแล้วน่าจะช่วงอายุคนรุ่นย่าหรือยาย “เก่ากว่านั้นสิจ๊ะ น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับยายนี่ละ หรือไม่ก็คงแก่กว่าไม่กี่ปี”

ยายแก้วนิ่งไปเป็นครู่ ใบหน้าเต็มไปด้วยอาการครุ่นคิด แก้มแหม่มก็ไม่คิดรบกวน เธอปล่อยให้ยายแก้วใช้เวลาได้เต็มที่ เผื่อจะนึกอะไรที่เป็นประโยชน์กับเธอออกบ้าง ทว่าศีรษะที่เต็มไปด้วยผมสีดอกเลาส่ายเบาๆ ความหวังของหญิงสาวก็ดับวูบ ใบหน้านวลสลดลงทันที

“ไม่เป็นไรจ้ะ แต่ถ้ายายนึกออกยังไงก็บอกชมพูด้วยแล้วกันนะจ๊ะ” กระนั้นแก้มแหม่มยังหวัง เผื่อว่าไม่วันใดวันหนึ่งยายแก้วอาจนึกอะไรออกบ้าง ซึ่งยายแก้วก็พยักหน้ารับเบาๆ










เนตรนภัส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ก.ค. 2560, 19:23:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ก.ค. 2560, 19:23:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 935





<< บทที่ 10   ตอนที่ 12 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account