Crazy Love Song เพลงรักลวงใจ
เธอ ฝันอยากจะเป็นนักร้อง เลือกเดินหนีจากทุกสิ่งเพื่อไขว่คว้าหาอิสระ
เขา นักดนตรีผู้ไร้ความฝัน เลือกเดินหนีจากทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าหาที่พักของหัวใจ


พวกเขาจะพากันหนีไปจนสุดขอบฟ้า... หรือว่าจะดิ่งลงเหวไปด้วยกัน


Tags: วัยรุ่น,ดราม่า,ดนตรี,วง,รัก,ดาร์ก

ตอน: บทเพลงที่ 10


บทเพลงที่ 10

​Magic TOKE



วง May-B ยังคงสถานะเป็นวงที่ฉันชอบที่สุดเอาไว้ได้ ภายใต้การแสดงดนตรีในค่ำคืนนี้ที่แสนยอดเยี่ยมอีกเช่นเคย ฉันสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนยามจังหวะเสียงกลองที่ดังรัว ขับสู้กับเสียงเบสและคีย์บอร์ด ราวกับว่าเวทีคือสนามประลองของเหล่านักดนตรีที่ทุ่มเทแรงใจและแรงกายทั้งหมดให้กับการสร้างสรรค์เสียงเพลงอันแสนงดงาม โดยมีเสียงของนักร้องนำที่ช่วยถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกของบทเพลงผ่านเนื้อร้องออกมา ซึ่งสามารถเร้าความรู้สึกของผู้ชมได้อย่างยอดเยี่ยม ท่ามกลางแสงไฟสีน้ำเงินขยับวูบวาบที่กำลังสาดส่องลงมาบนเวที



เป็นการแสดงระดับสูงที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาเป็นศิลปินมืออาชีพอย่างแท้จริง



เสียงร้องเชียร์ของผู้ชมดังลั่นเมื่อวง May-B เล่นเพลงสุดท้ายของค่ำคืนนี้จบลง โจ้กล่าวคำขอบคุณสั้นๆ ก่อนจะหันไปยิ้มร่าให้กับเพื่อนร่วมวง พวกเขาพูดคุยอะไรบางอย่าง บางทีอาจจะเป็นความคิดเห็นเกี่ยวกับการแสดงเมื่อครู่ที่คงจะน่าพึงพอใจสำหรับโจ้ไม่น้อย โดยดูได้จากสีหน้ายิ้มแย้มของเขา



หลังจากที่สมาชิกวง May-B ทุกคนลงมาจากเวที พวกเขาก็เดินเลี้ยวไปทางด้านหลังซึ่งมีบันไดทางขึ้นไปยังชั้นบน ฉันพยายามแทรกตัวผ่านคนอื่นๆ บนฟลอร์เต้นรำไปที่บันไดด้วยอีกคน แต่ยังไม่ทันที่จะวิ่งไปถึงบันไดขั้นแรก จู่ๆ ก็มีมือของใครบางคนเข้ามาฉุดแขนฉันเอาไว้



“ไนท์!”



เขายืนหลบอยู่ในมุมมืดหลังเวทีพลางอมยิ้มน้อยๆ เหมือนอย่างเคย



“มาทำอะไรตรงนี้เหรอ” ฉันตะโกนถามสู้กับเสียงดนตรีของวงอื่นซึ่งดังกึกก้องมาจากบนเวที พร้อมกับทำตาโต มองคนตรงหน้าอย่างงงๆ ฉันนึกว่าเขากลับขึ้นไปที่ห้องซ้อมดนตรีพร้อมๆ กับทุกคนแล้วเสียอีก



“คอยเธอไง” ไนท์ตะโกนตอบกลับมาพร้อมด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพเยิดหน้าไปทางทิศห้องน้ำ “ออกไปจากที่นี่กันเถอะ”



“แล้วพวกบอยล่ะ” ฉันชี้มือไปทางบันได สงสัยว่าเขาไม่ต้องกลับไปหาคนอื่นๆ เหรอ แต่ไนท์กลับส่ายหน้าน้อยๆ เหมือนจะบอกกับฉันว่าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้น



จะว่าไปแล้วก็คงจะเหลืออยู่แค่งานปาร์ตี้เหมือนทุกๆ คืน ซึ่งพวกเราไม่จำเป็นต้องอยู่ก็ได้



ฉันตัดสินใจเดินตามเขาออกไปจากที่นี่โดยใช้ประตูทางออกด้านหลัง พวกเราเดินผ่านลานจอดรถไปที่ถนนใหญ่เพื่อเรียกรถแท็กซี่ให้ไปที่หอพักของไนท์



เวลากลางดึกช่างเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเดินทางบนท้องถนนเหลือเกิน สะดวกรวดเร็ว เคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ อีกทั้งวิวข้างทางยังเต็มไปด้วยแสงสีจากหลอดไฟ ซึ่งให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับแสงไฟในผับ เพราะเหตุนี้ฉันถึงได้ชื่นชอบเวลากลางคืนมากที่สุด



ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงทั้งสองคนก็มาถึงห้องของไนท์ ผู้เป็นเจ้าของห้องเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าของตัวเองทันทีที่พวกเราเข้ามาข้างใน ฉันวางกระเป๋าสะพายของตัวเองลงบนเตียง พร้อมกับหันไปมองไนท์หยิบกระเป๋ากล้องกับขาตั้งกล้องออกมาจากตู้เสื้อผ้า



“นายเล่นกล้องด้วยเหรอเนี่ย” ฉันเดินเข้าไปหาไนท์ด้วยความสนใจพร้อมกับมองสำรวจกล้อง DSLR ของเขาอย่างตื่นเต้น



“เพิ่งซื้อมาน่ะ” ไนท์จัดเตรียมขาตั้งวางกับพื้น แล้วหันไปหยิบกล้องออกมาจากกระเป๋า “ฉันเห็นว่ามีบางคนใช้มือถือถ่ายพวกเราตอนกำลังเล่นอยู่บนเวที ก็เลยคิดอยากจะซื้อขึ้นมา”



“ตามกระแสเหรอไนท์ จะว่าไปตอนนี้งานอดิเรกถ่ายรูปก็กำลังฮิตอยู่เนอะ” ฉันนั่งยองๆ ลงข้างๆ เขาบ้าง พร้อมกับเอียงคอน้อยๆ มองคนข้างกายด้วยรอยยิ้มแป้น



“ฉันซื้อมาถ่ายวิดีโอน่ะ” ไนท์เหลือบสายตามามองฉันแวบหนึ่ง พลางอมยิ้มน้อยๆ อยู่เช่นเคย ก่อนจะหันกลับไปประกอบเลนส์เข้ากับตัวกล้อง “จริงๆ แล้วใช้มือถือถ่ายก็คงได้ แต่ฉันอยากให้มันเป็นจริงเป็นจังมากกว่านั้น ก็เลยตัดสินใจซื้อมา”



“ถ่ายวิดีโอเหรอ” ฉันเอ่ยทวนขณะนั่งมองเขาใส่แบตเตอรี่เข้าไปในกล้อง แล้วฉันก็ต้องอมยิ้มตรงมุมปากอย่างรู้ทัน พร้อมกับหัวเราะคิกคักออกมาเบาๆ “จะให้ฉันถ่ายพวกนายตอนอยู่บนเวทีให้ใช่มั้ยล่ะ”



“เปล่าหรอก...” เสียงนุ่มเอ่ยตอบ ก่อนจะหันมามองฉันพร้อมด้วยรอยยิ้มน้อยๆ อย่างอ่อนโยน “ถ่ายเธอตอนร้องเพลงต่างหาก”



คำพูดของไนท์ทำให้ฉันรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วทั้งใบหน้า พร้อมกับเม้มปากแน่นโดยพลันด้วยความรู้สึกเขินจัด ทั้งเสียง ทั้งคำพูด ทั้งรอยยิ้มนั่น ช่างทำให้ฉันรู้สึกหลงใหลราวกับว่าถูกต้องมนตร์อะไรสักอย่างเลย



“ฉันอยากลองถ่ายวิดีโอตอนที่เธอร้องเพลงเก็บเอาไว้ แล้วเราก็มาเปิดดูกันเอง คิดว่าคงน่าสนุกดี” ไนท์อมยิ้มน้อยๆ พร้อมกับหลุบสายตามองพื้นเหมือนกำลังเขินอยู่ ทำให้ฉันต้องหลุดขำออกมาเบาๆ ให้กับท่าทางเก้อเขินของเขาซึ่งดูน่ารักเอามากๆ



“ฟังดูก็น่าสนุกดีนะ” ฉันยิ้มกว้างพร้อมกับพยักหน้าไปให้เขาอย่างตื่นเต้น



ไนท์หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน



ฉันลุกขึ้นตามบ้างแล้วยืนมองเขาแกะแผ่นสี่เหลี่ยมบนขาตั้งออกมาขันน็อตติดเข้ากับตัวกล้อง จากนั้นเขาก็ง้างสลักบนขาตั้งออกอีกที ก่อนจะเอากล้องที่มีแผ่นสี่เหลี่ยมยึดอยู่ไปวาง



“มันคืออะไรเหรอ” ฉันเอ่ยถามพร้อมกับชี้นิ้วไปยังแผ่นสี่เหลี่ยมที่อยู่ใต้กล้องอย่างสงสัย



“เพลทน่ะ เอาไว้ยึดกล้องติดกับขาตั้ง” ไนท์ตอบขณะขับขาตั้งวางตามที่เขาต้องการ แล้วจับก้านแพนเลื่อนปรับระดับขึ้นลงเล็กน้อย “พร้อมแล้วล่ะ ลองเลยมั้ย”



“อื้อ” ฉันพยักหน้าแข็งขัน ก่อนจะวิ่งไปยืนที่หน้ากล้องอย่างตื่นเต้น แต่แล้วก็ชักจะรู้สึกประหม่าขึ้นมาเพราะว่าทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะทำท่าทางและสีหน้าอย่างไรดี คนที่เป็นนักแสดงนี่สุดยอดจริงๆ ที่รู้ว่าตัวละครของพวกเขาต้องทำท่าทางยังไง แสดงสีหน้าและอารมณ์แบบไหนในแต่ละฉาก ทั้งที่บทบาทนั้นๆ ไม่ใช่ตัวพวกเขาเองแท้ๆ



ขนาดฉันกำลังจะเล่นเป็นตัวเองด้วยซ้ำ ฉันยังรู้สึกว่าทำตัวไม่ถูกเลย



“ทำตัวให้เป็นธรรมชาติสิ” ไนท์หัวเราะเบาๆ อย่างขำขันขณะก้มมองภาพวิดีโอผ่านหน้าจอของกล้อง คงเป็นเพราะว่าเขาเห็นท่ายืนเก้ๆ กังๆ ของฉันแหงๆ



แหม พูดง่าย แต่มันทำยากอยู่นะ



จากนั้นไนท์ก็หันหลังเดินไปนั่งที่เตียงแล้วคว้าหยิบกีตาร์มาวางไว้บนตัก ซึ่งทำให้ฉันต้องขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างสงสัย เพราะว่าแทนที่เขานจะมานั่งตรงโซฟาด้านหลังฉัน เขากลับไปนั่งที่เตียงซึ่งอยู่หลังกล้องแทน



“ฉันเป็นตากล้องไง” ไนท์พูดยิ้มกวนๆ เมื่อหันมาเห็นสีหน้างุนงงของฉัน



“แล้วไปนั่งอยู่บนเตียงเนี่ยนะ” ฉันเอ่ยถามกลับไปพร้อมด้วยเสียงหัวเราะขำขัน “มีเสียงกีตาร์ แต่ไม่มีภาพคนเล่นได้ไง เพราะฉะนั้นนายมานั่งที่โซฟาเลย”



แต่คนถูกสั่งกลับสั่นหน้าเบาๆ ด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเหมือนเคย แล้วเขาก็เริ่มไล่นิ้วดีดกีตาร์ทันที เป็นการบีบบังคับให้ฉันต้องยอมแพ้ไปโดยปริยาย ในเมื่อเป็นแบบนี้ฉันจึงปล่อยเลยตามเลย แล้วลองหลับตาลง พลางจินตนาการถึงคลื่นทะเลซึ่งให้ความรู้สึกผ่อนคลายเพื่อไล่อาการประหม่าของตัวเองออกไป



...ก็แค่ร้องเพลงตามปกติ เหมือนอย่างที่ผ่านมาเท่านั้นเอง



จากนั้นฉันก็เริ่มเปล่งเสียงร้องเพลงออกมา ลองปรับคีย์เสียงของบางช่วงให้แตกต่างไปจากเดิมบ้างตามอารมณ์ของฉันในตอนนี้ เหมือนอย่างที่ไนท์ชอบทำอยู่บ่อยๆ ซึ่งมันทำให้ฉันต้องรู้สึกสนุกกับการร้องเพลงมากขึ้นไปอีก และพอฉันมองไปที่เขา ฉันก็เห็นว่าเขากำลังมองฉันอยู่ มุมปากขยับขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ อย่างพึงพอใจ แสดงว่าไนท์เองก็คงจะรู้สึกชอบใจไม่น้อยที่ฉันลองใส่ลูกเล่น เปลี่ยนอะไรนิดหน่อย



เมื่อเพลงแรกจบลงไนท์ก็เล่นเพลงอื่นต่อทันที พอฉันร้องขอว่าอยากจะเป็นฝ่ายถ่ายวิดีโอเขาบ้าง ไนท์ก็เอาแต่ส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน แถมยังคว้ากล้องของตัวเองไปเสียบต่อเข้ากับคอมโดยที่ไม่ยอมให้ฉันแตะต้องเลย ในที่สุดฉันก็ต้องยอมแพ้ แล้วเดินไปนั่งลงข้างๆ เขา



ฉันนั่งมองคนข้างกายตัดต่อวิดีโอที่เพิ่งถ่ายมาเมื่อครู่ พอได้เห็นตัวเองในหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วก็ต้องเอามือปิดหน้า ร้องกรี๊ดอยู่ในใจด้วยความเขินจัด พอตั้งสติได้แล้วก็ค่อยๆ เอามือออก จ้องตัวเองที่อยู่ในหน้าจอด้วยความรู้สึกแปลกๆ แต่หลังจากที่ดูไปเรื่อยๆ แล้วมันก็ไม่ได้แย่เท่าที่คิดมากนัก แต่สิ่งที่ทำให้ฉันอายจนแทบอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้ก็คือการที่ไนท์เพ่งสมาธิใส่หูฟังฟังเสียงขณะดูภาพฉันไปทีละเฟรมเลยเนี่ยสิ



หมดกัน หมดกัน หมดกัน เขารู้หมดแล้วว่าฉันชอบแอบหันไปมองเขาอยู่เรื่อยๆ เวลาร้องเพลง



เมื่อกี้นี้ฉันสนใจเรื่องการเปลี่ยนคีย์เสียงของตัวเองมากเกินไปหน่อย จนลืมไปว่ากำลังถูกถ่ายวิดีโออยู่ เลยเผลอลอบมองเขาอย่างที่ชอบทำอยู่เป็นประจำ



“เสียงของเธอเพราะมากเลย” จู่ๆ ไนท์ก็พูดพึมพำออกมาเบาๆ ระหว่างที่กดเล่นวิดีโอเพื่อฟังเสียงร้องของฉัน ซึ่งมันทำให้ฉันเลิกสนใจตัวเองที่อยู่ในหน้าจอ แล้วหันไปมองเขาพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างทันที ก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมาด้วยความเขินอายที่ได้รับคำชมจากเขา



“นี่นายพูดเอาใจฉันใช่มั้ยเนี่ย” ฉันเอียงตัวไปชนไหล่ของเขาเบาๆ



ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ โดยที่ไม่พูดอะไร แล้วถอดหูฟังออกพร้อมกับเปลี่ยนมาใช้ลำโพงแทน จึงทำให้ฉันได้ยินของตัวเองไปด้วย พอฟังไปเรื่อยๆ ได้สักพักหนึ่ง ฉันก็จับจุดที่ตัวเองเผลอเร่งจังหวะได้ แต่ก็เพียงแต่แวบเดียวเท่านั้น แม้ว่าโดยรวมแล้วจะค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ แต่ฉันก็ยังคิดว่ามันยังไม่ดีพอ ยังไงก็ต้องฝึกซ้อมมากกว่านี้ ทั้งเรื่องของการแสดงออกทางสีหน้าท่าทาง รวมทั้งเทคนิคการร้องเพลงด้วย



ไนท์กดเล่นวิดีโอซ้ำอีกครั้ง แล้วนั่งมองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างเงียบๆ สายตานิ่งๆ มองค้างอยู่นาน จนดูเหมือนกับว่าเขากำลังเหม่อลอยอยู่ แต่พอฉันกำลังจะเอ่ยถาม อยู่ๆ ไนท์ก็พูดพึมพำเสียงเบาออกมาอีก



“...ฉันเองก็อยากเป็นผู้ใหญ่ดูบ้าง...”



ฉันหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างไม่คิดว่าเขาจะย้อนกลับมาคิดเรื่องนี้



“นายบรรลุนิติภาวะแล้วนา เป็นผู้ใหญ่แล้ว”



“ฉันไม่เคยมีความฝัน เพราะฉะนั้นยังไม่โตหรอก” เสียงนุ่มแย้งกลับมาพร้อมด้วยรอยยิ้มจางๆ โดยที่ไม่ได้เหลือบสายตามาทางฉัน “...แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันหาความฝันเจอแล้วล่ะ”



“ซึ่งก็คือ...อะไรเอ่ย” ฉันยิ้มแป้น พร้อมกับเอียงคอมองเขา



ไนท์หันมายิ้มให้น้อยๆ ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนมือมาแตะปลายคางฉันเบาๆ แล้วโน้มตัวเข้ามาจูบฉันอย่างอ่อนโยน



“ตอนที่เธอเป็นนักร้อง ฉันจะเป็นคนแต่งเพลงให้เธอร้องเอง”



ฉันทำตาลุกวาวทันทีที่ได้ยินดังนั้น เพราะว่าฉันเองก็อยากร้องเพลงของเขาตลอดไปเช่นกัน ดังนั้นฉันจึงหลับตาปี๋ แล้วยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มเขาเบาๆ ด้วยความเขินและดีใจสุดขีด



เวลาผ่านไปโดยที่ฉันยังคงไปทำงานตามปกติทุกวันเสาร์อาทิตย์ และไม่พูดคุยกับใครอยู่เหมือนเดิมเพราะว่าฉันไม่มีเรื่องจะคุย ส่วนกิจวัตรประจำวันธรรมดาฉันคือแอบออกจากบ้านตอนใกล้ๆ เที่ยงเพื่อมาหาไนท์ที่ห้องของเขา หลังจากนั้นพวกเราก็ออกไปซ้อมดนตรีกับพวกบอยตอนสี่โมงเย็น



ช่วงเวลาที่อยู่ในห้องของไนท์คือวันแห่งความสุขของฉัน พวกเรานั่งดูหนังด้วยกันบ้าง หรือไม่ก็ถ่ายวิดีโอฉันร้องเพลงบ้าง โดยที่ไนท์ก็ยังคงดูซึมๆ ง่วงๆ เหมือนจะหลับตลอดเวลาอยู่เช่นเคย เป็นเหตุให้เขาต้องหันไปใช้ ‘ยาวิเศษ’ เป็นพักๆ



แล้วตอนนั้นฉันก็จะขอเขาด้วยเช่นกัน



แต่ยากลับออกฤทธิ์เพียงแค่ชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น ดังนั้นพวกเราจึงเริ่มสูดยาวิเศษถี่มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนอยู่ด้วยกันในห้องของเขา หรือตอนอยู่ที่เดอะมิราเคิล และก่อนที่ไนท์จะขึ้นโซโล่กีตาร์บนเวที



พวกเรามักจะแอบสูดยาในตอนช่วงพักซ้อมดนตรีจนกระทั่งหมดถุงภายในระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน



เมื่อไม่มียาวิเศษ ฉันจึงรู้สึกกระสับส่ายและนึกถึงมันแทบจะตลอดเวลา อีกทั้งยังรู้สึกคัดจมูกเป็นพักๆ อยากหาอะไรมาสูดเข้าปอด แต่ก็ต้องทนอดใจรอไว้ เพราะไนท์บอกว่ากว่าของจะมาใหม่ก็ต้องรออีกตั้งหลายวัน



ฉันเคยถามเขาว่าไปเอายามาจากไหน เขาบอกแค่ว่าได้มาจากคนรู้จักโดยที่ไม่ยอมบอกอะไรเพิ่มเติมอีก ซึ่งฉันก็ไม่อยากจะไปเซ้าซี้หรือคาดคั้นเอาคำตอบจากเขา เพราะว่าฉันไม่อยากเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองถึงขนาดนั้น



หลังจากที่ยาวิเศษหมดลงไนท์ก็กลับไปมีอาการง่วงซึมอีกครั้ง คงเป็นผลข้างเคียงของยาจิตเวชที่เขากินอยู่ แม้ว่าฉันจะรู้สึกเบื่อบ้างเหมือนกันที่ไนท์ดูเฉื่อยชาอยู่เกือบตลอดเวลา แต่ขอแค่ได้ใช้เวลาอยู่กับเขาฉันก็รู้สึกมีความสุขที่สุดแล้ว



วันนี้เป็นอีกวันที่ฉันยังคงมาที่เดอะมิราเคิลเพื่อดูพวกเขาซ้อมดนตรีอีกเช่นเคย บอยกับโน้ตมาถึงหลังฉันกับไนท์เพียงไม่กี่นาที ในระหว่างที่พวกเรากำลังรอสมาชิกวงคนสุดท้ายอยู่นั่นเอง เสียงประตูเปิดรุนแรงก็ทำให้ทุกคนต้องสะดุ้งตกใจ



“เข้ารอบแล้วเว่ย!!” โจ้พรวดพราดเข้ามาด้วยเสียงตะโกนดังลั่น



“เฮ้ย มึงพูดจริง?” โน้ตถามกลับทันทีด้วยสีหน้าเบิกบานเช่นเดียวกับสีหน้าของฉัน รู้สึกรอลุ้นคำตอบไปพร้อมๆ กับพวกโน้ตด้วยความตื่นเต้น



“จริง ผลเพิ่งประกาศออกมาเมื่อกี้นี้เลย ต้องฉลองกันแล้วเว่ย” โจ้เดินตรงเข้ามาตบบ่าของเพื่อนทั้งสามคน แต่ละคนมีรอยยิ้มกว้างประดับอยู่บนใบหน้าด้วยความดีใจสุดขีด แม้แต่ไนท์ที่ดูง่วงๆ ในตอนแรกนั้นก็ยังดูสดใสมากขึ้นจนเห็นได้ชัด



โน้ตส่งเสียงร้องเฮลั่น ก่อนจะหันไปคว้าขวดน้ำเปล่าที่วางอยู่บนโต๊ะมาราดลงบนศีรษะของตัวเอง เรียกความสนใจจากคนอื่นๆ รวมทั้งฉันให้หันไปมองเขากันเป็นสายตาเดียว จากนั้นพวกเราก็พากันหัวเราะร่วนออกมา



“มึงทำแบบนั้นทำไมวะ” โจ้พูดไปขำไป พร้อมกับชี้ไปที่ใบหน้าเปียกแฉะของเพื่อนผู้ชอบปล่อยผมยาวสยาย แต่การกระทำของเขาทำให้ฉันคิดว่าโน้ตดูเหมือนผีมากมากกว่าเดิมเข้าไปใหญ่



“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ” โน้ตหัวเราะเสียงดังพร้อมกับวางแก้วในมือกลับคืนที่เดิม



“แล้วจะต้องส่งเพลงที่สองเมื่อไหร่น่ะ” บอยเป็นคนแรกที่หยุดหัวเราะแล้วหันไปถามโจ้ด้วยน้ำเสียงจรังจัง คำถามของเขาทำให้ฉันต้องหันไปมองโจ้ด้วยอีกคนอย่างสนใจ เพราะว่าฉันเองก็อยากจะรู้คำตอบเหมือนกัน



“อีกสองอาทิตย์ ต้องส่งเพลงไปให้พวกเขาก่อน แล้วทางนั้นก็จะเป็นคนอัพลงเน็ตให้เอง”



บอยพยักหน้ารับก่อนที่จะเดินไปประจำที่กลองเพื่อเตรียมพร้อมฝึกซ้อมด้วยสีหน้าเครียดๆ ท่าทางของเขาดูเอาจริงเอาจังไม่น้อย



ไนท์เคยบอกกับฉันว่าบอยทุ่มเทให้กับการประกวดครั้งนี้มาก เมื่อได้มาเห็นเขาดูตั้งใจและมุ่งมั่นแบบนี้แล้ว ฉันจึงอดที่จะรู้สึกชื่นชมบอยขึ้นมาไม่ได้ สมแล้วที่เขาเป็นหัวหน้าวง หากไม่มีบอยอยู่ก็คงไม่มีใครคอยกระตุ้นสมาชิกคนอื่นๆ ให้มาซ้อมดนตรีแน่ๆ ไนท์เคยบอกกับฉันว่าตัวเขานั้นไม่สนใจเรื่องการประกวด ทางด้านโน้ตก็ดูท่าทางจะไหลตามน้ำไปกับคนอื่น ใครว่ายังไงเขาก็ว่าตามนั้น ส่วนโจ้ก็ดูเหมือนจะทำเพื่อความสนุกอย่างเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นบอยจึงเป็นแรงกระตุ้นสำคัญให้กับวงเลยทีเดียว



แต่ฉันก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าโจ้กำลังทำหน้ามุ่ยอยู่ ไม่แน่ว่าบางทีโจ้คงอยากจะฉลองความสำเร็จก้าวแรกก่อนที่จะซ้อมมากกว่า



“สงสัยคงจะต้องไปรอฉลองตอนงานปาร์ตี้คืนนี้แล้วล่ะว่ะ” โน้ตยักไหล่เหมือนไม่ยี่หระก่อนจะหันไปยิ้มกวนประสาทให้กับโจ้ที่กำลังทำหน้าบูดอย่างงอนๆ จากนั้นเขาก็เดินไปประจำที่เบสโดยมีไนท์ลุกตามไปด้วยอีกคน



เมื่อสมาชิกวงคนอื่นประจำที่กันแล้วเรียบร้อย โจ้จึงถอนหายใจออกมาเบาๆ เขายังคงทำหน้าไม่สบอารมณ์อยู่เหมือนเดิม แต่ก็ยอมเดินไปที่ไมค์เป็นคนสุดท้ายเพื่อเริ่มฝึกซ้อมเพลงที่สองซึ่งจะส่งประกวดในรอบถัดไป



ฉันนั่งดูพวกเขาซ้อมยาวไปจนถึงเย็น ระหว่างนั้นฉันก็จะคอยศึกษาการใช้จังหวะในการร้องเพลงของโจ้ไปด้วย เพราะว่าหลังจากที่ฉันได้ลองฟังเพลงที่ตัวเองร้องในวิดีโอดูแล้ว ฉันก็เห็นว่าตัวเองมักจะเร่งจังหวะก่อนที่จะเข้าท่อนบริดจ์อยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นฉันจะต้องฝึกซ้อมให้มากกว่านี้



ในที่สุดเวลากลางคืนแห่งปาร์ตี้และเสียงดนตรีก็มาถึง ในเมื่อคืนนี้มีเรื่องน่ายินดีให้ต้องเฉลิมฉลอง เวลาแห่งความสุขคงจะยาวนานเป็นพิเศษในค่ำคืนนี้



เหล่าคนที่ได้รู้ข่าวดีของวง May-B นั้น ต่างก็เข้ามาแสดงความยินดีแล้วร่วมดื่มฉลองให้กับก้าวแรกสู่ความสำเร็จของพวกไนท์ แม้แต่สมาชิกวงอื่นที่ส่งเพลงเข้าประกวดเหมือนกันแต่ไม่ผ่านเข้ารอบก็ยังมาร่วมแสดงความยินดีด้วยเช่นกัน



“พร้อมนะ...” มือกีตาร์ประจำวง Paranormal ยกแขนขวาขึ้นก่อนจะไล่สายตามองคนอื่นๆ ไปทีละคน ทั้งหมดกำลังอยู่ในท่าเตรียมพร้อม ในมือถือแก้วช็อตเอาไว้กันคนละใบ



ฉันเป็นหนึ่งในยี่สิบหกคนนั้นที่กำลังมองผู้รับบทเป็นกรรมการตัดสินการแข่งขันหาผู้คอแข็งที่สุดอย่างใจจดใจจ่อ ทันใดนั้นเองเขาก็ตะโกนเสียงลั่นพร้อมกับลดมือลงโดยพลัน



“เอาเลย!”



ฉันยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด แต่แล้วก็ต้องหลับตาปี๋ด้วยความรู้สึกแสบร้อนไปทั้งคอจากรสแสบซ่านของวอดกา แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็หันไปยิ้มส่งเสียงหัวเราะไปพร้อมๆ กับคนอื่นๆ ด้วยความสนุก การดื่มวอดกาเพียวๆ นี่ไม่เรื่องเล่นๆ เลย เพียงแค่ช็อตแรกฉันก็รู้สึกว่าร่างกายเริ่มร้อนขึ้นมาทันใด



“รอบสองพร้อม...” กรรมการหนุ่มกล่าวเรียกผู้เข้าแข่งขันทั้งสิบกว่าคนให้หยิบแก้วช็อตของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง “ลุย!”



ฉันยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวเป็นครั้งที่สอง แล้วก็ต้องหลับตาปี๋อีกเหมือนเคยพร้อมกับรีบวางแก้วกระแทกกับโต๊ะ ฉันชูแขนสองข้างขึ้นตบมือเหนือศีรษะดังป้าบ ยิ้มร่าอย่างผู้ชนะที่ดื่มเร็วที่สุดในรอบนี้



“เดย์ ขอคุยอะไรด้วยหน่อยดิ” โจ้เดินแยกตัวออกจากแข่งขันเข้ามาหาฉัน เขาพเยิดหน้าไปทางประตู ทำให้ฉันต้องรู้สึกแปลกใจน้อยๆ ว่าทำไมต้องออกไปข้างนอก แต่ก็ช่างเถอะ ฉันกำลังอารมณ์ดี ติดเพียงแค่ว่าตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในระหว่างการแข่งขันนี่สิ แล้วก็อุตส่าห์ชนะรอบสองได้เชียวนะ ถ้าหยุดแข่งกลางคันแบบนั้นจะถือว่าเป็นการโกงคนอื่นหรือเปล่า



“เดี๋ยวค่อยกลับมาก็ได้น่า” โจ้ขำเบาๆ เมื่อเห็นฉันเหลือบสายตาไปมองที่แก้วอย่างรู้สึกเสียดาย



ดูท่าทางโจ้มีเรื่องอะไรอยากจะด้วยจริงๆ บางทีเขาคงมีเรื่องด่วนอะไรสักอย่าง ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจลุกเดินตามเขาไปอย่างช่วยไม่ได้



หลังจากที่พวกเราออกมายืนข้างนอก โจ้ก็หันไปปิดประตู ทำให้เสียงหัวเราะและเสียงดนตรีเงียบหายไปในพริบตา



“คือว่า...อาจจะฟังดูแปลกๆ นะ...” เขาดูลังเลที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา ท่าทีแบบนั้นทำให้ฉันยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่ว่าเขาอยากจะพูดอะไร



“คือ...ฉันชอบเดย์น่ะ”



ฉันกระพริบตาปริบๆ อย่างไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะรู้สึกยังไง ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวคือสงสัยว่าตัวเองหูฝาดไปหรือเปล่า



“เอ่อ...” ฉันรู้สึกงุนงงรวมทั้งอึดอัดใจขึ้นมาโดยพลันเพราะไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปว่าอย่างไร ฉันไม่คิดว่าโจ้จะมาสารภาพรักกับฉัน ไม่สิ ฉันไม่คิดเลยว่าเขาจะรู้สึกอย่างนั้นเสียด้วยซ้ำ ฉันกำลังคบกับไนท์อยู่ แล้วโจ้ก็รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วนี่นา แถมเขาเองก็มีแฟนอยู่แล้วด้วยไม่ใช่เหรอ



ฉันอ้าปากเพื่อจะบอกย้ำอีกฝ่ายเรื่องที่ฉันกำลังคบกับไนท์ แต่แล้วก็ถูกโจ้สวนกลับมาก่อนที่ฉันจะทันได้เปล่งเสียงออกไป



“ฉันรู้ว่าเดย์กำลังคบกับไนท์” เสียงเรียบกล่าวขณะหลุบสายตาลงต่ำ ยิ่งเป็นการทำให้ฉันรู้สึกสับสนหนักกว่าเดิม แถมยังเครียดมากขึ้นไปอีก ในเมื่อเขารู้ดีอยู่แล้ว แล้วทำไม...



ทันใดนั้นเองโจ้ก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะยิ้มยิงฟันอย่างขี้เล่นเช่นเคย ซึ่งทำให้ฉันต้องมองคนตรงหน้าอย่างงงๆ เพราะว่าปรับอารมณ์ตามอีกฝ่ายไม่ทัน



“แล้วก็รู้ด้วยว่าคงไม่มีหวัง... แต่เรื่องชอบน่ะชอบจริงนะ แต่ขอตัดใจตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า จะได้ไม่เจ็บลึก” โจ้พูดด้วยเสียงสดใส พร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างมาให้



พอเห็นเขาดูร่าเริงแบบนี้แล้ว ความรู้สึกอึดอัดภายในใจฉันก็เริ่มคลายตัวออก ฉันจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความโล่งอก



“ขอโทษด้วยนะ...”



“ไม่ต้องขอโทษหรอกน่า ยังไงฉันก็แพ้มันอยู่ดี เห็นเดย์ติดไอ้ไนท์ซะขนาดนั้น แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มแข่งเลยเนี่ย” โจ้พูดขำๆ ทำให้ความรู้สึกอึดอัดก่อนหน้านี้หายไปในพริบตา ฉันรู้สึกผ่อนคลายขึ้นทั้งที่โจ้กำลังพูดเรื่องเครียดอยู่แท้ๆ แต่เขากลับสามารถทำให้บรรยากาศดูสดใสขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย



“ฉันไม่ได้ติดเขาถึงขนาดนั้นนะ” ฉันเอ่ยแก้ตัวด้วยรอยยิ้มแหยๆ แต่จริงๆ แล้วฉันก็ค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองติดไนท์จริงๆ นั่นแหละ



“ดีแล้วน่า ต้องขอบคุณฉันที่ช่วยดูแลเขาได้ดี ตอนนี้อาการเมาเละของมันทุเลาลงไปเยอะมาก” โจ้ลากเสียงยาวตรงคำว่า ‘มาก’ อย่างพึงพอใจ ฉันเองก็เห็นด้วยกับเขาเช่นกัน แม้ว่าจะไม่ได้อยากย้อนกลับไปคิดถึงตอนที่ไนท์มีอาการคลุ้มคลั่งแบบนั้น แต่พอนำมาเปรียบเทียบกับตอนนี้ดูแล้วฉันก็ต้องรู้สึกหัวใจพองโตอย่างยินดี



ฉันอมยิ้มด้วยความรู้สึกภูมิใจในตัวเอง รวมทั้งรู้สึกดีใจที่ความรักของฉันช่วยเขาได้ ความรักคือพลัง ความรักคือยาวิเศษ เพราะฉะนั้นฉันจึงมั่นใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี เขาจะดีขึ้นจนกลับเป็นไนท์ผู้แสนเพอร์เฟ็กต์ของฉันได้อย่างแน่นอน



##########

//โปรดติดตามตอนต่อไป//




LazyMe
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ก.ค. 2560, 00:02:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ก.ค. 2560, 00:02:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 728





<< บทเพลงที่ 9   บทเพลงที่ 11 >>
สิรินดา 15 ก.ค. 2560, 07:51:21 น.
แวะมาให้กำลังใจค่าาส


LazyMe 17 ก.ค. 2560, 00:47:18 น.
ขอบคุณค่าาาา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account