ความทรงจำใต้ผืนทราย
หนึ่งรัก สองภพ คำสัญญา และการรอคอย
พระองค์-ฟาโรห์แห่งอียิปต์ และ นาง-สตรีผู้เสียความทรงจำ
สิ่งใดหนอนำทั้งสองมาพบกัน ...มันคือ โชคชะตา หรือ ความผูกพัน
พระองค์-ฟาโรห์แห่งอียิปต์ และ นาง-สตรีผู้เสียความทรงจำ
สิ่งใดหนอนำทั้งสองมาพบกัน ...มันคือ โชคชะตา หรือ ความผูกพัน
Tags: อียิปต์ ฟาโรห์ ย้อนยุค ทะเลทราย ความทรงจำ
ตอน: ตอนที่ 1 (3 - จบตอน)
กลิ่นควันไฟและไอแดดนั้นราวกับจะปลุกผู้ที่หลับใหลให้ตื่นคืนมา เมื่อฟาโรห์ทรงสังเกตเห็นว่าคิ้วของคนที่นอนสลบอยู่ข้างกายขมวดเกร็งก็ทรงพยุงองค์เองลุกนั่งให้ห่างออกไปอีกนิด ครั้นแล้วหญิงสาวก็ค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นสอดส่ายมองสิ่งรอบกาย คิ้วเรียวที่ขมวดอยู่แล้วก็ยิ่งขมวดเข้มยามพยายามยันกายให้ลุกขึ้น ทว่ายังดูอ่อนเพลียเกินกว่าจะทำได้ง่าย ๆ อย่างใจนึก
“ตื่นแล้วรึ”
องค์ฟาโรห์เอ่ยขึ้นทำให้ผู้ถูกทักถึงกับสะดุ้ง หันมาสบตาพระองค์ราวตื่นกลัว แต่ทว่า เมื่อตาประสานตา กลับเป็นพระองค์เสียอีกที่หวั่นไหว ความรู้สึกบางอย่างวูบเข้ามาราวกับแสงที่สว่างวาบก่อนจะถูก ‘เก็บ’ กลับไปอย่างรวดเร็ว ...กี่ครั้งแล้วหนอในชั่วระยะเวลาอันน้อยนิดตั้งแต่พบนาง ที่ทรงเกิดความรู้สึกเช่นนี้
“ข้า..เอ่อ”
นางพยายามจะตอบ ทว่าดูจะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“รู้สึกอย่างไรบ้าง” ทรงอ่อนเสียงลงยามเอ่ยถาม
“ปวดหัว ...ท่าน เอ่อ”
“ข้า ?”
“ท่าน เอ่อ ท่าน เป็นใคร” ในที่สุดนางถามที่ได้เสียที
องค์ฟาโรห์ทรงหันซ้ายหันขวา กวาดสายตาไปทั่วห้องเล็กน้อยเพื่อให้แน่ใจว่านางกียาไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ ก่อนตอบคำถามด้วยเสียงอันเบากว่าเดิม
“ข้ามีนามว่า นาเมส”
ทรงกอดอกและโน้มตัวเข้าใกล้ แทบจะต้องการ ‘กระซิบ’ มากกว่าจะพูดคุยธรรมดา
“เมื่อราวสองชั่วโมงที่แล้วข้าช่วยเจ้าขึ้นมาจากน้ำ เจ้ามีนามว่าอะไร มาจากไหนรึ”
คำถามนั้นง่าย ๆ แต่กลับทำให้คนถูกถามนิ่ง ตะลึง
หญิงสาวเงียบงันไปชั่วครู่ แววตานั้นสั่นระรัวเช่นคนที่กำลังพบบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ตื่นกลัวมากขึ้นทุกที
“ข้า” น้ำเสียงนั้นสั่นไหว “ข้าไม่รู้”
ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วกลับซีดหนักเข้าไปอีก
“ท่าน ท่านไม่รู้จักข้า แล้วท่านช่วยข้าไว้ได้อย่างไร” นางลนลานถามกลับ
“ไม่รู้สิ อยู่ ๆ เจ้าก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำตรงนั้น”
ตรัสพร้อมกับชี้มือประกอบไปทางแม่น้ำ ทรงตวัดพระเนตรมองนางที่เริ่มมีน้ำตาเอ่อที่ดวงตาคู่น้อย
“อย่าบอกนะ ว่าเจ้าจำอะไรไม่ได้เลย”
นางพยักหน้าแทนคำตอบ น้ำตาปริ่มจะไหลลงมาจากขอบตา ทรงทำอะไรไม่ถูกเช่นเดียวกัน ใครจะคาดคิดเล่าว่าเมื่อนางฟื้นขึ้นมาจะจำอะไรไม่ได้เลย
“เอาเถอะ เจ้าคงยังสับสน พรุ่งนี้อาจนึกออกก็ได้”
แม้ไม่รู้จะทำเช่นไรดี แต่ก็ทรงพยายามปลอบเท่าที่จะนึกได้ ทว่ามือน้อยคู่นั่นยังสั่นเทาอยู่ ดูก็รู้ว่านางกำลังสับสนอย่างหนักแต่มิพักจะฟูมฟาย ทรงรู้สึกอยากจะดึงนางมากอดเสียแทนคำปลอบประโลมทั้งหมด แต่นั่นคงเป็นการกระทำที่ร้ายกาจ
สำหรับชายหนุ่มหญิงสาวแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกัน โดยเฉพาะในเวลาที่อีกฝ่ายกำลังสับสนรุนแรง
“กินเสียสิ”
ที่สุดจึงทรงเลือกดึงความสนใจด้วยการยื่นขนมปังอบแผ่นใหญ่ให้นาง
หญิงสาวมองพระองค์ด้วยดวงตาเหม่อลอย เมื่อนางหลุบตามองขนมปังในพระหัตถ์ น้ำตาที่รื้นอยู่ขอบตาพลันไหลรินอาบแก้ม ฟาโรห์ทรงกำหัตถ์ข้างหนึ่งไว้ บังคับองค์ให้เข้าใกล้นางเพียงขอบขนมปังเท่านั้น
ในที่สุดนางก็รับอาหารไปด้วยท่าทางสับสน ดูว่าจะไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำอะไรอยู่ สมาธิและความกังวลทั้งหลายคงอยู่ที่ความทรงจำที่หายไปเสียแล้ว ทว่าเมื่อขนมปังคำแรกเข้าปาก หญิงสาวก็หันไปสนใจกับอาหารราวกับไม่ได้กินสิ่งใดมาเป็นแรมปี
ฟาโรห์ทรงมองนางอย่างสงบ โล่งพระทัยเล็กน้อยที่ขนมปังทำหน้าที่ดึงความสนใจนางได้ในตอนนี้ นางรีบกินแต่ไม่มูมมาม ทรงยื่นขนมปังอีกแผ่นให้ ทว่านางกลับส่ายหน้า
“หากไม่รบกวน ข้าขอน้ำจะได้หรือไม่”
นางถามอย่างสุภาพและเกรงใจ พระองค์ทรงพยักพระพักต์และยื่นแก้วน้ำให้ เมื่อดื่มเสร็จก็เอ่ยถาม
“ที่นี่บ้านของท่านหรือ”
“ไม่ใช่” ทรงตอบพร้อมกับหันไปสำรวจรอบกายอีกครั้ง “ข้าเองก็เป็นคนต่างถิ่น ช่วยเจ้าแล้วจึงพามาขอความช่วยเหลือจากเจ้าของบ้านหลังนี้”
ได้คำตอบแล้วก็เพียงพยักหน้ารับ กิริยาของนางดูสงบดี แต่พระองค์ไม่แน่ใจว่าหากได้ยินสิ่งที่กำลังจะบอก นางจะยังรักษากิริยาอยู่ได้หรือไม่
“กียา เจ้าของบ้านหลังนี้คิดว่า เจ้า กับ ข้า เป็นสามีภรรยากัน”
หญิงสาวเบิ่งตามองพระองค์
“ทำไม”
น้ำเสียงคล้ายจะงุนงงมากกว่าจะไม่พอใจ
“คงจะเห็นว่าข้าอุ้มเจ้ามา แต่ข้าขอแนะนำว่าเจ้าควรปล่อยให้เขามั่นใจเช่นนั้น เพื่อความปลอดภัย”
คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากัน นางคงสับสนไม่น้อย มือจึงขยุ้มกำเสื้อไว้อย่างไม่รู้ตัว
“หากเจ้าไม่สบายใจก็แล้วแต่เจ้าเถิด ข้าเองก็ไม่ได้คิดฉวยโอกาสกับเจ้า เพียงแค่เห็นแก่ความปลอดภัยเท่านั้น”
“ปลอดภัยเช่นไร”
นางเอ่ยถามซื่อ ๆ แต่องค์ฟาโรห์กลับนึกเอ็นดูขึ้นมา
“เจ้าเป็นภรรยาของข้า ดีกว่าเป็นหญิงที่ข้าไม่เคยรู้จักและไร้ความทรงจำ ผู้คนหาประโยชน์ได้มากมายจากหญิงงามตัวคนเดียว”
ใบหน้าของคนฟังปรากฏเป็นสีชมพูระเรื่อขึ้นมา หรือเพราะพระองค์เผลอหลุดปากเอ่ยคำว่า ‘หญิงงาม’ ตามที่พระองค์เห็นออกไป
แต่สุดท้ายแล้วนางก็พยักหน้ารับ
โล่งพระทัยในที่สุด เมื่อยามตื่นนางก็สงบเสงี่ยมไม่ต่างจากยามหลับได้อย่างที่หวัง
“อ้าว ฟื้นแล้วรึ”
เสียงของเจ้าของบ้านที่ทักขึ้นมาทำให้องค์ฟาโรห์ขยับองค์ห่างจากหญิงสาวอีกเล็กน้อย ทรงนึกโล่งพระทัยที่กียากลับมาหลังจากที่ตกลงกันได้
“ข้าเตรียมที่นอนให้พวกเจ้าไว้บนดาดฟ้าเรียบร้อยแล้ว ไปกันเถิด ประเดี๋ยวสามีข้ากลับมาจะไม่สะดวก”
เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว และพระองค์ไม่ต้องการเดินทางในขณะที่หญิงสาวยังไม่แข็งแรงดี จะให้ทิ้งนางไว้ก็คงทำไม่ได้ ทรงตัดสินพระทัยขอค้างคืนที่นี่ ซึ่งเจ้าของบ้านก็ทำท่ายินดีต้อนรับอย่างไม่อิดเอื้อน
กียาทำท่าเข้ามาจัดแจงอย่างกุลีกุจอ ของมีค่าที่ทรงมอบให้นางนั้นช่างทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม
ครั้นหันมองออกไปนอกบ้าน เห็นม้าของพระองค์ยืนสงบอยู่ที่เดิมก็เบาพระทัย ทรงนึกถึงองครักษ์คนสนิททั้งสองของพระองค์ จาฮาล และ เฮอร์-อูเบน ขึ้นมา มั่นพระทัยว่าหากทั้งสองไม่เห็นพระองค์ไปที่จุดนัดพบเสียที ก็คงออกตามหาพระองค์เองในไม่ช้า
คิดแล้วก็หันกลับไปมองหญิงสาวที่รับมาเป็นภาระซึ่งกำลังถูกกียาประคองให้ลุกขึ้น นางยังดูอ่อนเพลียอยู่มาก หากเจ้าสองคนนั่นตามมาเจอ ก็คงช่วยอะไรได้มากกว่านี้
ดาดฟ้าของบ้านเป็นพื้นที่โล่ง มีเพิงทำจากไม้และมุงหลังคาฟางอย่างง่าย ๆ อยู่มุมหนึ่ง กียาได้นำเสื่อมาวางไว้ให้พร้อมกับผ้าห่มผืนบางหนึ่งผืน มีไม้เตรียมไว้ให้ก่อไฟอีกจำนวนหนึ่งวางอยู่ใกล้ ๆ
“พวกเจ้าคงพอนอนได้กระมัง”
กียาหันมาถามพร้อมกับยิ้มจนดูคล้ายประจบ
“ขอรับ”
ทรงรับคำแค่นั้น หญิงสูงวัยก็ทำท่าจะมอบหญิงสาวที่นางประคองอยู่คืนสู่พระองค์ แต่แล้วก็หยุดไว้
“จริงสิ เจ้าชื่ออะไรล่ะ แม่หนู
”
คนถูกถามที่กำลังอ่อนเพลียจนจะยืนไม่อยู่ทำท่าชะงักเล็กน้อยอย่างแทบสังเกตไม่ได้ นางช่างเป็นหญิงที่มีกิริยาดูสบายตายิ่งนัก แม้ยามกำลังตระหนกเช่นนี้
“เฮเทอร์”
ฟาโรห์ทรงตอบเสียเอง
“อ้อ” กียาพยักหน้ารับ ก่อนหันไปยิ้มให้คนที่กำลังถูกประคอง “ตามสบายนะ เฮเทอร์”
พูดจบก็พาร่างของหญิงสาวส่งให้ ฟาโรห์ทรงใช้หัตถ์หนึ่งจับแขนของนางไว้ ส่วนหัตถ์อีกข้างรวบเอวไว้อย่างหลวม ๆ
อาจจะเป็นเพราะท่าทางที่ดูคล้ายเขินอายของทั้งสอง ทำให้หญิงสูงวัยทำท่าเหมือนจะหัวเราะก่อนเดินกลับลงเรือน
หญิงสาวในอ้อมแขนของพระองค์ยืนตัวแข็งทื่อ ก้มหน้างุดเหมือนพยายามจะไม่สบตา ฟาโรห์จึงค่อยประคองนางไปยังเสื่อใต้ชายคาของเพิงพัก ทรงรู้สึกว่าท่วงท่าของพระองค์เองก็ดูเงอะงะงุ่มง่ามไม่น้อย
“เจ้าคงไม่ถือ ที่ข้าตั้งชื่อให้เจ้าเมื่อครู่”
ทรงเอ่ยเมื่อได้นั่งลงบนเสื่อกับนาง
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพลางก้มมองมือตนเอง “อันที่จริง ท่านตั้งได้ไพเราะดี ข้า เอ่อ ข้าชอบเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ”
ทรงเผลอหันไปมองนางเต็มพระเนตร
“ท่านเป็นช่วยชีวิตข้าไว้ ก็ไม่ต่างจากเป็นผู้ให้ชีวิต ย่อมเป็นสิ่งสมควรที่ท่านจะมอบชื่อใหม่ให้ข้า”
ได้ยินคำตอบ ฟาโรห์ถึงกับยิ้มกว้าง นางช่างเอ่ยได้น่าเอ็นดูนัก
“ต่อไปนี้ข้าจะมีนามว่า เฮเทอร์”
“ใช่”
ทรงตรัสเต็มโอษฐ์ ครั้นเมื่อสองสายตาประสานกัน ต่างคนก็ต่างรีบหันออกไปอีกทาง บนเสื่อผืนเก่าใต้เพิงพักหลังจากนั้นจึงมีแต่ความเงียบงัน
กระนั้น องค์ฟาโรห์ยังได้ยินเสียงพระหทัยที่เต้นดังอยู่ภายใต้พระอุระอย่างชัดเจน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ตื่นแล้วรึ”
องค์ฟาโรห์เอ่ยขึ้นทำให้ผู้ถูกทักถึงกับสะดุ้ง หันมาสบตาพระองค์ราวตื่นกลัว แต่ทว่า เมื่อตาประสานตา กลับเป็นพระองค์เสียอีกที่หวั่นไหว ความรู้สึกบางอย่างวูบเข้ามาราวกับแสงที่สว่างวาบก่อนจะถูก ‘เก็บ’ กลับไปอย่างรวดเร็ว ...กี่ครั้งแล้วหนอในชั่วระยะเวลาอันน้อยนิดตั้งแต่พบนาง ที่ทรงเกิดความรู้สึกเช่นนี้
“ข้า..เอ่อ”
นางพยายามจะตอบ ทว่าดูจะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“รู้สึกอย่างไรบ้าง” ทรงอ่อนเสียงลงยามเอ่ยถาม
“ปวดหัว ...ท่าน เอ่อ”
“ข้า ?”
“ท่าน เอ่อ ท่าน เป็นใคร” ในที่สุดนางถามที่ได้เสียที
องค์ฟาโรห์ทรงหันซ้ายหันขวา กวาดสายตาไปทั่วห้องเล็กน้อยเพื่อให้แน่ใจว่านางกียาไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ ก่อนตอบคำถามด้วยเสียงอันเบากว่าเดิม
“ข้ามีนามว่า นาเมส”
ทรงกอดอกและโน้มตัวเข้าใกล้ แทบจะต้องการ ‘กระซิบ’ มากกว่าจะพูดคุยธรรมดา
“เมื่อราวสองชั่วโมงที่แล้วข้าช่วยเจ้าขึ้นมาจากน้ำ เจ้ามีนามว่าอะไร มาจากไหนรึ”
คำถามนั้นง่าย ๆ แต่กลับทำให้คนถูกถามนิ่ง ตะลึง
หญิงสาวเงียบงันไปชั่วครู่ แววตานั้นสั่นระรัวเช่นคนที่กำลังพบบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ตื่นกลัวมากขึ้นทุกที
“ข้า” น้ำเสียงนั้นสั่นไหว “ข้าไม่รู้”
ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วกลับซีดหนักเข้าไปอีก
“ท่าน ท่านไม่รู้จักข้า แล้วท่านช่วยข้าไว้ได้อย่างไร” นางลนลานถามกลับ
“ไม่รู้สิ อยู่ ๆ เจ้าก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำตรงนั้น”
ตรัสพร้อมกับชี้มือประกอบไปทางแม่น้ำ ทรงตวัดพระเนตรมองนางที่เริ่มมีน้ำตาเอ่อที่ดวงตาคู่น้อย
“อย่าบอกนะ ว่าเจ้าจำอะไรไม่ได้เลย”
นางพยักหน้าแทนคำตอบ น้ำตาปริ่มจะไหลลงมาจากขอบตา ทรงทำอะไรไม่ถูกเช่นเดียวกัน ใครจะคาดคิดเล่าว่าเมื่อนางฟื้นขึ้นมาจะจำอะไรไม่ได้เลย
“เอาเถอะ เจ้าคงยังสับสน พรุ่งนี้อาจนึกออกก็ได้”
แม้ไม่รู้จะทำเช่นไรดี แต่ก็ทรงพยายามปลอบเท่าที่จะนึกได้ ทว่ามือน้อยคู่นั่นยังสั่นเทาอยู่ ดูก็รู้ว่านางกำลังสับสนอย่างหนักแต่มิพักจะฟูมฟาย ทรงรู้สึกอยากจะดึงนางมากอดเสียแทนคำปลอบประโลมทั้งหมด แต่นั่นคงเป็นการกระทำที่ร้ายกาจ
สำหรับชายหนุ่มหญิงสาวแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกัน โดยเฉพาะในเวลาที่อีกฝ่ายกำลังสับสนรุนแรง
“กินเสียสิ”
ที่สุดจึงทรงเลือกดึงความสนใจด้วยการยื่นขนมปังอบแผ่นใหญ่ให้นาง
หญิงสาวมองพระองค์ด้วยดวงตาเหม่อลอย เมื่อนางหลุบตามองขนมปังในพระหัตถ์ น้ำตาที่รื้นอยู่ขอบตาพลันไหลรินอาบแก้ม ฟาโรห์ทรงกำหัตถ์ข้างหนึ่งไว้ บังคับองค์ให้เข้าใกล้นางเพียงขอบขนมปังเท่านั้น
ในที่สุดนางก็รับอาหารไปด้วยท่าทางสับสน ดูว่าจะไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำอะไรอยู่ สมาธิและความกังวลทั้งหลายคงอยู่ที่ความทรงจำที่หายไปเสียแล้ว ทว่าเมื่อขนมปังคำแรกเข้าปาก หญิงสาวก็หันไปสนใจกับอาหารราวกับไม่ได้กินสิ่งใดมาเป็นแรมปี
ฟาโรห์ทรงมองนางอย่างสงบ โล่งพระทัยเล็กน้อยที่ขนมปังทำหน้าที่ดึงความสนใจนางได้ในตอนนี้ นางรีบกินแต่ไม่มูมมาม ทรงยื่นขนมปังอีกแผ่นให้ ทว่านางกลับส่ายหน้า
“หากไม่รบกวน ข้าขอน้ำจะได้หรือไม่”
นางถามอย่างสุภาพและเกรงใจ พระองค์ทรงพยักพระพักต์และยื่นแก้วน้ำให้ เมื่อดื่มเสร็จก็เอ่ยถาม
“ที่นี่บ้านของท่านหรือ”
“ไม่ใช่” ทรงตอบพร้อมกับหันไปสำรวจรอบกายอีกครั้ง “ข้าเองก็เป็นคนต่างถิ่น ช่วยเจ้าแล้วจึงพามาขอความช่วยเหลือจากเจ้าของบ้านหลังนี้”
ได้คำตอบแล้วก็เพียงพยักหน้ารับ กิริยาของนางดูสงบดี แต่พระองค์ไม่แน่ใจว่าหากได้ยินสิ่งที่กำลังจะบอก นางจะยังรักษากิริยาอยู่ได้หรือไม่
“กียา เจ้าของบ้านหลังนี้คิดว่า เจ้า กับ ข้า เป็นสามีภรรยากัน”
หญิงสาวเบิ่งตามองพระองค์
“ทำไม”
น้ำเสียงคล้ายจะงุนงงมากกว่าจะไม่พอใจ
“คงจะเห็นว่าข้าอุ้มเจ้ามา แต่ข้าขอแนะนำว่าเจ้าควรปล่อยให้เขามั่นใจเช่นนั้น เพื่อความปลอดภัย”
คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากัน นางคงสับสนไม่น้อย มือจึงขยุ้มกำเสื้อไว้อย่างไม่รู้ตัว
“หากเจ้าไม่สบายใจก็แล้วแต่เจ้าเถิด ข้าเองก็ไม่ได้คิดฉวยโอกาสกับเจ้า เพียงแค่เห็นแก่ความปลอดภัยเท่านั้น”
“ปลอดภัยเช่นไร”
นางเอ่ยถามซื่อ ๆ แต่องค์ฟาโรห์กลับนึกเอ็นดูขึ้นมา
“เจ้าเป็นภรรยาของข้า ดีกว่าเป็นหญิงที่ข้าไม่เคยรู้จักและไร้ความทรงจำ ผู้คนหาประโยชน์ได้มากมายจากหญิงงามตัวคนเดียว”
ใบหน้าของคนฟังปรากฏเป็นสีชมพูระเรื่อขึ้นมา หรือเพราะพระองค์เผลอหลุดปากเอ่ยคำว่า ‘หญิงงาม’ ตามที่พระองค์เห็นออกไป
แต่สุดท้ายแล้วนางก็พยักหน้ารับ
โล่งพระทัยในที่สุด เมื่อยามตื่นนางก็สงบเสงี่ยมไม่ต่างจากยามหลับได้อย่างที่หวัง
“อ้าว ฟื้นแล้วรึ”
เสียงของเจ้าของบ้านที่ทักขึ้นมาทำให้องค์ฟาโรห์ขยับองค์ห่างจากหญิงสาวอีกเล็กน้อย ทรงนึกโล่งพระทัยที่กียากลับมาหลังจากที่ตกลงกันได้
“ข้าเตรียมที่นอนให้พวกเจ้าไว้บนดาดฟ้าเรียบร้อยแล้ว ไปกันเถิด ประเดี๋ยวสามีข้ากลับมาจะไม่สะดวก”
เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว และพระองค์ไม่ต้องการเดินทางในขณะที่หญิงสาวยังไม่แข็งแรงดี จะให้ทิ้งนางไว้ก็คงทำไม่ได้ ทรงตัดสินพระทัยขอค้างคืนที่นี่ ซึ่งเจ้าของบ้านก็ทำท่ายินดีต้อนรับอย่างไม่อิดเอื้อน
กียาทำท่าเข้ามาจัดแจงอย่างกุลีกุจอ ของมีค่าที่ทรงมอบให้นางนั้นช่างทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม
ครั้นหันมองออกไปนอกบ้าน เห็นม้าของพระองค์ยืนสงบอยู่ที่เดิมก็เบาพระทัย ทรงนึกถึงองครักษ์คนสนิททั้งสองของพระองค์ จาฮาล และ เฮอร์-อูเบน ขึ้นมา มั่นพระทัยว่าหากทั้งสองไม่เห็นพระองค์ไปที่จุดนัดพบเสียที ก็คงออกตามหาพระองค์เองในไม่ช้า
คิดแล้วก็หันกลับไปมองหญิงสาวที่รับมาเป็นภาระซึ่งกำลังถูกกียาประคองให้ลุกขึ้น นางยังดูอ่อนเพลียอยู่มาก หากเจ้าสองคนนั่นตามมาเจอ ก็คงช่วยอะไรได้มากกว่านี้
ดาดฟ้าของบ้านเป็นพื้นที่โล่ง มีเพิงทำจากไม้และมุงหลังคาฟางอย่างง่าย ๆ อยู่มุมหนึ่ง กียาได้นำเสื่อมาวางไว้ให้พร้อมกับผ้าห่มผืนบางหนึ่งผืน มีไม้เตรียมไว้ให้ก่อไฟอีกจำนวนหนึ่งวางอยู่ใกล้ ๆ
“พวกเจ้าคงพอนอนได้กระมัง”
กียาหันมาถามพร้อมกับยิ้มจนดูคล้ายประจบ
“ขอรับ”
ทรงรับคำแค่นั้น หญิงสูงวัยก็ทำท่าจะมอบหญิงสาวที่นางประคองอยู่คืนสู่พระองค์ แต่แล้วก็หยุดไว้
“จริงสิ เจ้าชื่ออะไรล่ะ แม่หนู
”
คนถูกถามที่กำลังอ่อนเพลียจนจะยืนไม่อยู่ทำท่าชะงักเล็กน้อยอย่างแทบสังเกตไม่ได้ นางช่างเป็นหญิงที่มีกิริยาดูสบายตายิ่งนัก แม้ยามกำลังตระหนกเช่นนี้
“เฮเทอร์”
ฟาโรห์ทรงตอบเสียเอง
“อ้อ” กียาพยักหน้ารับ ก่อนหันไปยิ้มให้คนที่กำลังถูกประคอง “ตามสบายนะ เฮเทอร์”
พูดจบก็พาร่างของหญิงสาวส่งให้ ฟาโรห์ทรงใช้หัตถ์หนึ่งจับแขนของนางไว้ ส่วนหัตถ์อีกข้างรวบเอวไว้อย่างหลวม ๆ
อาจจะเป็นเพราะท่าทางที่ดูคล้ายเขินอายของทั้งสอง ทำให้หญิงสูงวัยทำท่าเหมือนจะหัวเราะก่อนเดินกลับลงเรือน
หญิงสาวในอ้อมแขนของพระองค์ยืนตัวแข็งทื่อ ก้มหน้างุดเหมือนพยายามจะไม่สบตา ฟาโรห์จึงค่อยประคองนางไปยังเสื่อใต้ชายคาของเพิงพัก ทรงรู้สึกว่าท่วงท่าของพระองค์เองก็ดูเงอะงะงุ่มง่ามไม่น้อย
“เจ้าคงไม่ถือ ที่ข้าตั้งชื่อให้เจ้าเมื่อครู่”
ทรงเอ่ยเมื่อได้นั่งลงบนเสื่อกับนาง
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพลางก้มมองมือตนเอง “อันที่จริง ท่านตั้งได้ไพเราะดี ข้า เอ่อ ข้าชอบเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ”
ทรงเผลอหันไปมองนางเต็มพระเนตร
“ท่านเป็นช่วยชีวิตข้าไว้ ก็ไม่ต่างจากเป็นผู้ให้ชีวิต ย่อมเป็นสิ่งสมควรที่ท่านจะมอบชื่อใหม่ให้ข้า”
ได้ยินคำตอบ ฟาโรห์ถึงกับยิ้มกว้าง นางช่างเอ่ยได้น่าเอ็นดูนัก
“ต่อไปนี้ข้าจะมีนามว่า เฮเทอร์”
“ใช่”
ทรงตรัสเต็มโอษฐ์ ครั้นเมื่อสองสายตาประสานกัน ต่างคนก็ต่างรีบหันออกไปอีกทาง บนเสื่อผืนเก่าใต้เพิงพักหลังจากนั้นจึงมีแต่ความเงียบงัน
กระนั้น องค์ฟาโรห์ยังได้ยินเสียงพระหทัยที่เต้นดังอยู่ภายใต้พระอุระอย่างชัดเจน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วินตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.ค. 2560, 14:03:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.ค. 2560, 14:03:36 น.
จำนวนการเข้าชม : 915
<< ตอนที่ 1 (2) | ตอนที่ 2 (1) >> |
วินตา 13 ก.ค. 2560, 14:04:45 น.
ทางไป ebook ฟิ้วววว >>> https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=59566
ทางไป ebook ฟิ้วววว >>> https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=59566
แว่นใส 13 ก.ค. 2560, 17:41:59 น.
กว่าจะจำได้เนอะ
กว่าจะจำได้เนอะ