Crazy Love Song เพลงรักลวงใจ
เธอ ฝันอยากจะเป็นนักร้อง เลือกเดินหนีจากทุกสิ่งเพื่อไขว่คว้าหาอิสระ
เขา นักดนตรีผู้ไร้ความฝัน เลือกเดินหนีจากทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าหาที่พักของหัวใจ


พวกเขาจะพากันหนีไปจนสุดขอบฟ้า... หรือว่าจะดิ่งลงเหวไปด้วยกัน


Tags: วัยรุ่น,ดราม่า,ดนตรี,วง,รัก,ดาร์ก

ตอน: บทเพลงที่ 11

บทเพลงที่ 11
Off stage




เสียง ไม่ใช่ตัวแปรสำคัญเพียงอย่างเดียวในการการร้องเพลงให้ได้ดี แต่มีเรื่องของจังหวะ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะปล่อยละเลยไปไม่ได้เด็ดขาด แม้ว่าฉันจะเสียงดีขนาดไหน แต่ถ้าฉันเร่งจังหวะของเพลงอยู่เรื่อยๆ แบบนี้ก็คงไม่ถือว่าฉันร้องเพลงได้ดีแน่นอน เพราะฉะนั้นฉันจึงตัดสินใจเขียนตารางฝึกซ้อมร้องเพลงของตัวเองขึ้นมา โดยที่ฉันจะฝึกซ้อมทุกวันก่อนที่จะออกไปหาไนท์



ฉันสังเกตเห็นว่าช่วงนี้เขาไม่ค่อยมีอาการเฉื่อยชาเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว หลายวันที่ผ่านมานี้ชายหนุ่มดูเป็นปกติ เหมือนกลับไปเป็นไนท์คนเดิมเมื่อตอนที่ฉันเจอเขาครั้งแรกๆ ซึ่งมันทำให้ฉันอดที่จะรู้สึกดีใจไม่ได้



หลังจากที่ไนท์มักจะตื่นนอนตอนช่วงสาย เขาก็จะชวนฉันออกไปถ่ายรูปด้วยกันเกือบทุกวัน แต่จริงๆ แล้วน่าจะเรียกว่าเป็นการถ่ายวิดีโอฉันมากกว่า เขาแทบไม่ให้ฉันจับกล้องเลยด้วยซ้ำ เอาแต่ถ่ายวิดีโอฉันอยู่นั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นบนเรือด่วนเจ้าพระยา หรือที่วัดต่างๆ หรือแม้แต่ที่ห้องของเขาเอง เขายังคงรับหน้าที่เป็นตากล้องอยู่คนเดียว ไม่ยอมให้ฉันถ่ายบ้างเลย และพอฉันทำหน้างอนเพราะอยากจะเป็นคนถ่ายวิดีโอบ้าง ไนท์ก็จะหัวเราะ เดินเข้ามาโอ๋ฉันพร้อมกับอมยิ้มน่ารักเหมือนทุกที ซึ่งมันทำให้ฉันต้องใจอ่อนและอดที่จะเผยรอยยิ้มกว้างออกมาด้วยไม่ได้ ให้ตายสิ ทำไมฉันถึงแพ้ทางรอยยิ้มของเขาได้ถึงขนาดนี้กันนะ



อย่างในวันนี้ เขาก็ไม่ยอมให้ฉันแตะกล้องอีกเช่นเคย



ฉันกับไนท์มาเที่ยวสวนสัตว์กันตั้งแต่เช้าเพราะว่าเขาตื่นเร็วมาก ทั้งๆ ที่พวกเราออกจากเดอะมิราเคิลตอนตีสามพร้อมกันทั้งคู่ แต่เพียงแค่สี่ชั่วโมงครึ่งถัดมา ไนท์กลับส่งข้อความชวนไปเที่ยวสวนสัตว์มาในไลน์เสียแล้ว ตื่นเช้าเสียจนฉันต้องตกใจ ต่างจากก่อนหน้านี้ที่เขามักจะตื่นเกือบบ่าย หรือเลยบ่ายโมงไปแล้วด้วยซ้ำ แถมยังไม่มีอาการง่วงนอนอีกต่างหาก จนฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาแอบใช้ยาวิเศษโดยที่ไม่ได้ชวนฉันหรือเปล่า เพราะว่าฉันเองก็อยากจะใช้มันบ้าง พอไม่มียานั่นแล้ว มันทำให้ฉันรู้สึกกระวนกระวายใจ ไม่ค่อยมีอารมณ์อยากจะทำอะไรอย่างบอกไม่ถูก แต่พอฉันเอ่ยถามถึงยาวิเศษ เขาก็บอกว่าของยังไม่มา เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปได้แค่อย่างเดียวว่าไนท์ปรับตัวเข้ากับยาจิตเวชได้แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่สุดเลย



“อย่าทำแบบนั้นสิ” ฉันร้องตำหนิเขาพร้อมด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ ขณะมองชายหนุ่มกำลังส่งเสียงแหย่เจ้าลิงน้อยที่กำลังพยายามจะหลับอยู่ข้างในกรง ซึ่งอยู่ห่างจากม้านั่งที่ฉันกำลังนั่งอยู่ไปประมาณสองเมตร



“มันคงเบื่อนะ” ไนท์พูดด้วยรอยยิ้มจางๆ ก่อนจะเดินกลับมานั่งลงข้างๆ ฉัน



“ฉันคิดว่าบางทีมันอาจจะอยากนอนมากกว่านะ” ฉันหัวเราะเบาๆ พร้อมกับหันไปเจ้าลิงน้อยอย่างรู้สึกสงสารที่ต้องมาถูกกวนการนอนหลับ แต่ที่น่าเห็นใจมากกว่านั้นก็คือ การที่จะต้องมาถูกขังอยู่ในกรงแบบนี้ ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน บางทีฉันก็ว่าคิดตัวเองพอจะเข้าใจความรู้สึกนั้นอยู่เหมือนกัน



ความรู้สึกที่ต้องถูกตัดขาดจากอิสระ...



“เอาแต่นอนอยู่ในกรงทั้งวัน เจ้าแสงเทียนมันคงเบื่ออยู่แล้วล่ะ” เสียงเรียบๆ ของไนท์เรียกให้ฉันต้องหันไปมองเขา



“แสงเทียน?” ฉันเอ่ยทวนอย่างสงสัย ก่อนจะหันไปมองที่กรงอีกที แล้วก็ต้องร้องอ๋ออยู่ในใจ เพราะเห็นมีป้ายชื่อแปะอยู่หน้ากรงเอาไว้ว่า ‘แสงเทียน' “ชื่อเพราะจัง ต้องมีความหมายอะไรพิเศษแน่ๆ เลยเนอะ”



“คนตั้งชื่อเขาคงไม่ได้คิดอะไรหรอกมั้ง” ไนท์แย้งกลับมา พร้อมกับยักไหล่น้อยๆ เหมือนไม่ใส่ใจ



“แต่เวลาตั้งชื่อก็ต้องคิดถึงความหมายด้วยนี่นา อย่างชื่อแสงเทียน ก็น่าจะหมายความว่าเป็นแสงสว่างให้ใครสักคน” ฉันเริ่มจินตนาการถึงภาพเจ้าลิงน้อยแสนน่ารัก ห้อมล้อมไปด้วยเทียนไขจำนวนมากซึ่งกำลังส่องแสงสีนวลสว่างไสว “หรืออาจจะหมายถึงการเป็นแสงสว่างให้กับสวนสัตว์แห่งนี้ก็ได้นะ”



“เธอคิดเยอะเกินไปรึเปล่าเนี่ย” ไนท์ตอบกลับมาด้วยเสียงหัวเราะขำขันเบาๆ พร้อมกับหันมามองฉันด้วยรอยยิ้มน้อยๆ เช่นเคย



“ทำไมล่ะ อย่างชื่อวง May-B ก็คงต้องมีความหมายด้วยเหมือนกันนั่นแหละ” ฉันยิ้มร่าอย่างมั่นใจว่าต้องเป็นไปตามนั้นแน่นอน ชื่อวงดนตรีของพวกเขาคงต้องมีความหมายอะไรสักอย่าง แต่พอเห็นรอยยิ้มน้อยๆ ของไนท์แล้ว ฉันก็ชักจะรู้สึกลังเลขึ้นมานิดๆ หรือว่ามันจะไม่มีความหมายอะไรเลยกันนะ



“ทำไมยิ้มแหยๆ อย่างนั้นล่ะ” เสียงนุ่มเอ่ยถามเมื่อเห็นฉันค่อยๆ หุบยิ้มลงด้วยความรู้สึกไม่แน่ใจ ฉันจึงต้องรีบยิ้มกว้างใหม่อีกหน ทำให้เขาหลุดขำออกมาเบาๆ ก่อนจะหลุบสายตาลงต่ำเล็กน้อย เหมือนกับว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แล้วค่อยๆ เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา “จะว่าไป เรื่องความหมายมันก็มีอยู่นะ May-B…”



“อะไรเหรอ” ฉันร้องถามอย่างตื่นเต้นด้วยความดีใจที่ตัวเองคิดถูก แต่จริงๆ แล้วฉันอยากจะรู้ความหมายของชื่อวงพวกเขามากกว่า จะเป็นความหมายแบบไหนกันนะ อาจจะตั้งชื่อเพื่อให้ความรู้สึกเท่ก็ได้ล่ะมั้ง มีหลายวงที่ตั้งชื่อวงของตัวเองเพราะว่าชื่อนั้นๆ มันฟังดูเท่ดีอยู่เหมือนกัน



“May มาจากเดือนพฤษภาคม ส่วน B เป็นตัวอักษรลำดับที่สองในภาษาอังกฤษ ก็เลยหมายถึงเลขสอง หรือก็คือวันที่สอง เดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นวันที่พวกบอยตั้งวงขึ้นมา และเป็นวันที่โน้ตเลิกกับแฟนเก่า แล้วมันก็พ้องกับคำว่า Maybe ที่แปลว่าบางที สำหรับโน้ต เขาคงอยากจะให้แฟนเก่ากลับมา บางทีพวกเขาสองคนอาจจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีกก็ได้ ส่วนโจ้...เธอเคยได้ฟังเรื่องที่โจ้เล่าก่อนหน้านี้แล้ว เรื่องที่ว่ามันอยากตั้งวงกับเพื่อนมานานแล้วแต่ก็โดนพ่อแม่คัดค้านอยู่เรื่อย เพราะฉะนั้นชื่อวงสำหรับโจ้คงจะมีความหมายว่า สักวันหนึ่งวงของเขาอาจจะได้รับการยอมรับจากพ่อแม่ก็ได้ล่ะนะ”



ฉันนั่งฟังความหมายของชื่อวง May-B ด้วยความรู้สึกอึ้งน้อยๆ ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชื่อวงของพวกเขาจะมีความหมายมากมายแฝงอยู่ได้ถึงขนาดนี้ เหมือนกับว่าเป็นการเอาความรู้สึกของพวกเขามารวมกันจนเกิดเป็นชื่อวงขึ้นมาเลย คิดๆ แล้วฉันก็อดที่จะรู้สึกประทับใจขึ้นมาไม่ได้ ช่างเป็นชื่อที่ไพเราะทั้งเสียงและความหมายเหลือเกิน



“แล้วนายล่ะ” ฉันยิ้มสดใส เอียงคอน้อยๆ หันไปมองคนข้างกาย “ชื่อวงมีความหมายกับนายยังไงเหรอ”



“ไม่มีหรอก ฉันมาทีหลังน่ะ” เสียงเรียบเอ่ยตอบกลับมา ซึ่งเป็นคำตอบที่ทำให้ฉันรู้สึกผิดหวังขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ฉันนึกว่าชื่อวงอาจจะมีความหมายอะไรสักอย่างกับไนท์บ้างเหมือนอย่างคนอื่นๆ เสียอีก



นอกจากเรื่องตื่นเช้าแล้วฉันก็เพิ่งได้รู้ว่าเขามีความสามารถพิเศษในการทนความร้อนสูงได้อีกด้วย เพราะเขาเป็นคนที่คงสไตล์การแต่งตัวของตัวเองเอาไว้ได้ตลอดทุกสภาพอากาศเลยทีเดียว อย่างเช่นในวันที่แดดร้อนจัดถึงขนาดนี้ เขาก็ยังคงสวมปลอกแขนยาวสีดำเหมือนทุกๆ วัน พอฉันถามว่าไม่ร้อนเหรอ เขาก็ยิ้มกว้าง พร้อมกับบอกว่ามันเป็นสไตล์เฉพาะตัว จากนั้นก็ท้าให้ฉันใส่บูทส้นตึกตลอดเวลาดูบ้าง แต่ฉันก็ต้องรีบสั่นหน้าปฏิเสธ เพราะว่าไม่อยากคิดสั้นด้วยการใส่ส้นตึกมาเดินเยอะๆ อย่างในสถานที่แบบนี้



จะว่าไปแล้วไนท์คงชอบปลอกแขนมากจริงๆ เพราะแม้กระทั่งเวลานอนเขายังใส่ปลอกแขนด้วย เรียกได้ว่าใส่ตลอดเวลาเลยจริงๆ



หลังจากที่พวกเราเดินไปเรื่อยๆ ได้พักใหญ่จนมาถึงหน้าร้านขายของที่ระลึก ไนท์ก็ก้มดูเวลาที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือของตัวเองแล้วหันมาบอกฉันว่าจวนจะถึงเวลาที่เขาต้องไปซ้อมดนตรีกับพวกบอยแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงรีบเดินไปยังประตูทางออกอีกด้านซึ่งอยู่ใกล้กับจุดที่พวกเรายืนอยู่ในตอนนี้ที่สุด



เมื่อออกมาจากสวนสัตว์ พวกเราก็เรียกแท็กซี่ไปยังเดอะมิราเคิลต่อทันที



แต่สุดท้ายก็มาสายเกินเวลานัดไปสิบห้านาทีจนได้ ทำให้โดนบอยทำสายตาไม่พอใจใส่เล็กน้อย แต่แทนที่พวกเราจะรู้สึกแย่ มันกลับทำให้ฉันและไนท์หลุดขำพรืดกันออกมาคนละที พอเห็นว่าบอยยังคงทำหน้าบูดอยู่เหมือนเดิม ไนท์ก็ต้องรีบวางกระเป๋ากล้องของเขาลง แล้วรีบเดินเข้ายืนประจำที่ของตัวเองเพื่อเริ่มฝึกซ้อม ก่อนจะหันมาขยิบตาให้ฉันหนึ่งที ซึ่งทำให้ฉันต้องกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ให้เผยรอยยิ้มกว้างออกมาอีกรอบขณะมองไปที่พวกเขาทั้งสี่คน



การซ้อมดำเนินไปตามปกติเหมือนอย่างวันที่ผ่านๆ มา จนกระทั่งมาถึงช่วงเวลาพักของทุกคน ไนท์ก็เดินเข้ามาหาฉันที่โซฟา แล้วก้มลงมาจูบฉันเบาๆ ที่ริมฝีปากอย่างอ่อนโยน



“วันนี้เป็นไงบ้าง” เสียงนุ่มเอ่ยถามก่อนที่จะนั่งลงข้างๆ ฉันนึกถึงการซ้อมเมื่อครู่แล้วก็คงบอกได้คำเดียวว่าสุดยอดเหมือนเคย ซึ่งคงจะทำให้ไนท์เบื่อไม่น้อย เพราะว่าฉันเอาแต่ชมเขาตลอดเลย แต่จะให้ทำยังไงล่ะ ในเมื่อฉันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ นี่นา



“ไม่ว่าจะยังไงเพลงของนายก็เพราะที่สุดสำหรับฉันแล้วล่ะ” ฉันยิ้มแฉ่ง ก่อนจะหลับตาปี๋ด้วยความเขินจากคำพูดแสนเลี่ยนของตัวเอง ซึ่งคงจะน่าตลกพอสมควร เพราะว่าฉันได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากคนข้างกาย



“ถ้าฉันว่าดี ฉันจะลองบอกไอ้บอยให้เล่นเพลงใหม่นี่ตอนขึ้นเวทีคืนนี้ดู”



“คืนนี้วง May-B ขึ้นเล่นเหรอ” ฉันหันไปถามอย่างรู้สึกตื่นเต้น แล้วก็ต้องยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจสุดขีดทันที เมื่อเห็นไนท์อมยิ้มน้อยๆ เป็นคำตอบกลับมา



ฉันเหลือบสายตาไปทางบอย หวังว่าเขาจะตอบตกลงให้เล่นเพลงใหม่ได้นะ เพราะว่าฉันชอบเพลงเมื่อครู่นี้มากเลย และก็อยากฟังพวกเขาตอนขึ้นไปเล่นบนเวทีด้วย คงจะมันมากทีเดียวเลยล่ะ



ในระหว่างที่ฉันกำลังมองบอยอยู่นั้นเอง โจ้ก็บังเอิญหันมาสบสายตากับฉันพอดี ทำให้ฉันต้องรีบหันขวับกลับมาทางเดิม เพราะว่ามันทำให้ฉันนึกย้อนกลับไปยังคืนก่อนเมื่อตอนที่เขาสารภาพรักกับฉัน ตอนนั้นฉันเมาอยู่จึงไม่ได้คิดอะไรมากมาย แต่พอมาตอนนี้แล้วฉันก็อดที่จะรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ มันเหมือนกับว่าจู่ๆ ฉันก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกเมื่ออยู่ต่อหน้าโจ้



“เธอเป็นอะไรรึเปล่า” เสียงของไนท์เอ่ยถามขึ้น น้ำเสียงของเขาฟังดูเป็นห่วงอย่างชัดเจน



“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร”



ไนท์หรี่ตาน้อยๆ ราวกับกำลังมองฉันอย่างวิเคราะห์ แล้วหันไปมองโจ้สลับกับฉัน



“เธอทะเลาะอะไรกับไอ้โจ้รึเปล่า”



ฉันทำตาโตด้วยความตกใจทันที เขาความรู้สึกไวเกินไปแล้ว



“บอกมาเดย์ มันทำอะไรให้เธอโกรธ”



สายตาคาดคั้นของไนท์ทำให้ฉันต้องกลอกตาไปมาด้วยความลำบากใจ ฉันไม่อยากให้พวกเขาต้องผิดใจกัน แต่อีกใจหนึ่งก็ต้องรู้สึกลังเล เพราะว่าฉันไม่อยากโกหกหรือมีความลับกับไนท์



จะว่าไปแล้ว โจ้เองก็ดูเหมือนจะสารภาพรักเล่นๆ กับฉันด้วยซ้ำ เมื่อกี้นี้เขาก็ยังหันมายิ้มกว้างร่าเริงให้ฉันตามปกติได้อยู่เลย มีแต่ฉันต่างหากที่ทำตัวไม่ถูกอยู่คนเดียว เพราะฉะนั้นฉันคงบอกไนท์ได้ล่ะมั้ง แล้วก็บอกว่ามันเป็นแค่การพูดเล่นเท่านั้น



“เอ่อ...โจ้ไม่ได้ทำอะไรหรอก” ฉันเกริ่นเสียงเรียบ แต่น้ำเสียงคงจะฟังดูเครียดเกินไปไนท์ถึงได้ตีหน้าเครียดไปด้วยแล้วหันมามองที่ฉันอย่างตั้งใจ เขายังคงความเป็นผู้ฟังที่ดีเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งที่ฉันแสดงท่าทีลังเล อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ตั้งนาน แต่เขาก็ยังคงนั่งมองฉันอย่างจริงจัง รอให้ฉันรวบรวมคำพูดโดยที่ไม่เอ่ยพูดแทรกอะไรขึ้นมาก่อนเลยแม้แต่คำเดียว



“คือ...เขาแค่พูดเล่นนิดหน่อยน่ะ ในคืนที่มีข่าวดีเรื่องวงเข้ารอบยี่สิบวง โจ้เรียกฉันออกไป...” ฉันหลุบสายตาลงต่ำ รู้สึกอายที่จะต้องมาบอกเรื่องถูกสารภาพรักกับไนท์ “...แล้วเขาก็บอกว่าเขาชอบฉัน”



ไนท์รับฟังเงียบๆ โดยที่ไม่ได้เอ่ยพูดหรือแสดงสีหน้าใดๆ ออกมาทั้งสิ้น ฉันจึงคิดว่าเขาคงไม่คิดอะไร และเขาก็เป็นเพื่อนกับโจ้ เขาคงจะรู้นิสัยขี้เล่นของเพื่อนดี



แต่เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวถัดมา ฉันก็ได้รู้ว่าตัวเองคิดผิด



ฉันสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มขบกรามแน่นทั้งที่ยังคงสีหน้าเรียบเฉย พลางเหลือบสายตาไปมองทางโจ้ซึ่งกำลังยืนหัวเราะร่วนอยู่กับโน้ต ฉันรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาอย่างฉับพลัน เมื่อเห็นว่าไนท์กำลังจ้องไปที่โจ้ด้วยสายตาน่ากลัว ดังนั้นฉันจึงยื่นมือเข้าไปจับมือของเขาเพื่อเป็นการบอกให้เขาใจเย็นๆ



ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ไนท์ก็ลุกพรวด พร้อมกับพุ่งตรงไปที่โจ้อย่างรวดเร็ว แล้วปล่อยหมัดใส่หน้าเขาทันทีอย่างแรงท่ามกลางความตะลึงงันของทุกคน โจ้เดินถอยหลังเซไปสองสามก้าว แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยพูดอะไร ไนท์ก็ปล่อยหมัดใส่เขาเต็มแรงอีกหนจนทำให้โจ้เกือบล้มลงไป



ไนท์เงื้อแขนขึ้นสูงเพื่อที่จะชกคนตรงหน้าเป็นครั้งที่สาม แต่แล้วก็ถูกบอยรวบตัวเอาไว้ได้ ส่วนโจ้ก็ถูกโน้ตจับตัวเอาไว้เช่นกัน



ฉันยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าโซฟาอย่างคนทำอะไรไม่ถูก พร้อมกับเบิกตากว้างมองไปที่ไนท์อย่างตกตะลึง ความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นมาอัดรวมกันแน่นอยู่ในอกจนทำให้ฉันรู้สึกหนักอึ้งไปทั่วทั้งร่าง เป็นเพราะฉัน พวกเขาทั้งสองคนถึงมาทะเลาะกันแบบนี้ แล้วโจ้ก็ต้องมาเจ็บตัว เป็นเพราะฉันคนเดียวแท้ๆ เลย



“นี่มันเรื่องอะไรกันวะไอ้ไนท์ จู่ๆ มึงไปต่อยไอ้โจ้ทำไม” บอยร้องโวยขณะจับแขนของไนท์เอาไว้แน่น ซึ่งคนถูกจับตัวอยู่นั้นพยายามสะบัดแขนหนี แต่พอดิ้นเท่าไหร่ก็ดิ้นไม่หลุด เขาจึงยอมแพ้ แล้วหันไปถลึงตาน่ากลัวใส่โจ้แทน โดยที่ยังคงไม่ยอมตอบอะไรอยู่เหมือนเดิม



“นี่มึงมาต่อยกูทำไมวะ!” โจ้พยายามสะบัดแขนออกจากมือของโน้ตด้วยอีกคน พร้อมกับทำท่าว่าจะมาต่อยไนท์กลับเพื่อเอาคืน จนโน้ตต้องล็อกแขนทั้งสองข้างของเขาเอาไว้



แต่ไนท์กลับเอาแต่ยืนเงียบ ถลึงตาจ้องไปที่อีกฝ่าย พลางขบกรามแน่นโดยที่ไม่พูดตอบอะไรทั้งสิ้น ซึ่งคงจะยิ่งเป็นการทำให้โจ้ฉุนหนักมากกว่าเดิม ฉันเห็นว่าโจ้กำลังกัดฟันกรอดอย่างโกรธแค้น ถลึงตาใส่ไนท์กลับไปอย่างไม่ยอมแพ้



“ไว้พวกมึงค่อยไปกัดกันทีหลัง มาซ้อมต่อกันได้แล้ว” บอยพูดเสียงเครียด พร้อมกับพะเยิดหน้าไปที่เครื่องดนตรีของพวกเขา



“ไม่ซ้งไม่ซ้อมต่อแล้วโว้ย ไม่มีอารมณ์” โจ้สะบัดแขนของโน้ตสุดแรง แต่ก็ยังคงไม่หลุดอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงหันกลับไปทำท่าว่าจะต่อยอีกฝ่ายด้วยอีกคน พอเห็นดังนั้นโน้ตจึงรีบปล่อยตัวโจ้ให้เป็นอิสระทันที



“มึงจะบ้าเหรอไอ้โจ้ วันนี้ขึ้นเวทีด้วยนะเว่ย” บอยตะโกนแย้งเสียงดัง แต่นักร้องนำของวงกลับมองไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ เขาเอามือนวดๆ ตรงบริเวณริมฝีปากล่าง และที่หัวคิ้วข้างซ้าย ซึ่งกำลังมีเลือดไหลซิบออกมาจากทั้งสองจุดหลังจากที่ถูกไนท์ต่อย ดูจากท่าทางและสีหน้าเคร่งเครียดของเขาแล้ว โจ้คงจะกังวลแผลที่ปากและคิ้วของตัวเองไม่น้อย



“กูไม่ขึ้นเวทีทั้งๆ อย่างนี้แน่” โจ้หันมายื่นคำขาดเป็นคำสุดท้าย ก่อนย่ำเท้าจะไปที่ประตู แล้วเดินหนีออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว



บอยปล่อยให้ไนท์เป็นอิสระ แล้วเดินไปนั่งที่โซฟา พร้อมกับยกสองมือขึ้นมากุมขมับ แล้วนั่งเงียบอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมามองใครทั้งนั้น ส่วนไนท์ก็ยังคงยืนเงียบอยู่เช่นกัน พลางหายใจแรง และกำหมัดแน่นเหมือนกับว่าเขากำลังพยายามข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถ



บรรยากาศอึมครึมภายในห้องทำให้ฉันอึดอัดจนรู้สึกหายใจไม่ค่อยสะดวก แล้วยิ่งเรื่องบานปลายมาถึงขั้นนี้ ฉันก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก ในหัวกลายเป็นสีขาวโพลนคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น อาการเหน็บชากำลังกัดกินไปทั่วทั้งขาทั้งสอง ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังยึดขาของฉันเอาไว้กับพื้นจนขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้



“แล้วเอายังไงต่อล่ะทีนี้” โน้ตโพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงวิตกกังวล พร้อมกับหันไปมองที่บอยและไนท์สลับกันไปมา



“คงจะต้องยกเลิก ไอ้โจ้มันคงไม่ยอมขึ้นเวทีในสภาพนั้นแน่ แล้วอารมณ์เดือดแบบนั้น ขึ้นไปร้องเพลงไม่ไหวหรอก” บอยตอบเสียงเครียดกลับมาโดยที่ยังคงก้มหน้ามองไปที่พื้น



“แต่วงเราไม่เคยยกเลิกมาก่อนเลยนะเว่ย”



“แล้วมึงจะให้ทำไงวะ” เสียงแข็งสวนกลับไปหาโน้ตทันควัน พร้อมกับที่บอยหันหน้าไปมองอีกฝ่าย ทั้งสองคนจ้องหน้ากันอยู่พักหนึ่งโดยที่ไม่มีใครพูดอะไร ก่อนจะหันไปมองทางอื่นด้วยกันทั้งคู่ ส่วนสาเหตุที่โน้ตเงียบไปโดยที่ไม่เอ่ยแย้งอะไรออกมาอีกนั้น ก็คงจะเป็นเพราะว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงเหมือนกัน



ฉันก้มหน้าลงมองพื้น พร้อมกับพยายามคิดหาทางออกอย่างเอาเป็นเอาตาย เนื่องจากฉันเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายครั้งนี้ ถ้ามัวแต่รู้สึกผิดอยู่อย่างนี้ มันก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา เพราะฉะนั้นฉันจะต้องแสดงความรับผิดชอบ



และสิ่งที่ฉันพอจะทำได้ก็คือ...



“ฉันขอร้องแทนโจ้เอง” ฉันโพล่งออกมาเสียงดัง เรียกให้สมาชิกวงทั้งสามคนหันมามองที่ฉันกันเป็นสายตาเดียว แต่ความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจกลับทำให้ฉันไม่กล้าสู้หน้าพวกเขา ดังนั้นฉันจึงค่อยๆ หลุบสายตาลงต่ำ แล้วเอ่ยพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงกลัวๆ เล็กน้อย “ให้ฉันร้องแทนโจ้...จะได้มั้ยน่ะ”



บอยกับโน้ตหันไปมองหน้ากันเองอยู่ครู่หนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาแสนลุ้นระทึกว่าพวกเขาจะว่ายังไง ฉันอาจจะไม่ได้ร้องดีเท่าโจ้ แต่ฉันก็จำเพลงของพวกเขาได้ทุกเพลง มีแค่เพลงใหม่ที่เพิ่งเล่นกันไปเมื่อสักครู่นี้เท่านั้นที่ฉันยังไม่เคยร้องมาก่อน เพลงอื่นๆ นอกเหนือจากนั้น ฉันก็เคยเอามาร้องเล่นในคืนปาร์ตี้จนหมดแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าไม่ต้องร้องเพลงใหม่นี้ล่ะก็ ฉันค่อนข้างมั่นใจในความสามารถของตัวเองพอสมควรว่าฉันน่าจะทำได้



“เอางั้นก็ได้” ในที่สุดบอยก็ถอนหายใจยาวออกมา แล้วลุกเดินไปที่กลองชุด ก่อนจะเงยหน้าหันมามองทางฉัน “เรามาเริ่มซ้อมกันเลยดีกว่า”



ฉันรีบวิ่งไปประจำที่ไมค์ พร้อมกับที่ไนท์และโน้ตได้เดินไปประจำเครื่องดนตรีของตนเอง ฉันเหลือบไปมองทางไนท์น้อยๆ แล้วก็เห็นว่าเขามีสีหน้าและท่าทีเย็นลงไปมาก เหมือนกับว่าอารมณ์โกรธของไนท์ลดลงได้เพราะว่าโจ้ไม่ได้อยู่ในห้องนี้แล้ว



หลายชั่วโมงผ่านไปจนเข้าใกล้เวลาที่จะต้องลงไปเตรียมสแตนบายที่ข้างเวที บอยก็สั่งให้ทุกคนเลิกซ้อมได้ พวกเราจึงรีบลงไปยังชั้นล่างเพื่อรอขึ้นเวทีแสดงเป็นวงถัดไป ฉันไม่รู้ว่าพวกไนท์หายไปจัดการอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเครื่องดนตรีของพวกเขา ทำให้ฉันรู้สึกเปล่าเปลี่ยวที่จะต้องยืนคนเดียวอยู่ไม่น้อย แต่หลังจากที่เพลงเล่นจบไปอีกหนึ่งเพลง พวกเขาทั้งสามคนก็เดินมายืนอยู่ข้างๆ ฉัน



เสียงรัวกลองจากบนเวทีกลายเป็นแรงกระตุ้นทำให้ฉันรู้สึกถึงหัวใจที่กำลังเต้นระรัวของตัวเองได้อย่างชัดเจน



และแล้วเสียงกลองก็เงียบลงไปในพริบตา พร้อมกับตามมาด้วยเสียงเฮลั่นและเสียงปรบมือของเหล่าผู้ชม ก่อนที่สมาขิกในวงทั้งห้าคนบนเวทีจะทยอยเดินกันลงมา เป็นสัญญาณให้พวกเราต้องเดินขึ้นไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อจากนี้



ฉันค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดไปด้วยความรู้สึกประหม่าและตื่นเต้น ยิ่งฉันก้าวต่อจากขั้นก่อนมามากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกกดดันมากขึ้นเท่านั้น จนในที่สุดฉันก็ขึ้นมายืนอยู่บนเวที และถูกห้อมล้อมไปด้วยเหล่านักท่องเที่ยวยามราตรีที่อยู่เบื้องล่างทั้งหลาย



พอได้ขึ้นมาอยู่บนนี้แล้ว ฉันก็มองเห็นว่าสายตาหลายคู่กำลังจับจ้องมาที่ฉัน แต่ก็ยังมีหลายคนนอกจากนั้นที่กำลังหันไปมองทางอื่น หรือกำลังพูดคุยอะไรกันอยู่อย่างไม่สนใจ



ฉันรู้สึกได้ถึงอาการเหน็บชาที่กำลังกัดกินฉันอยู่นั้นลุกลามไปทั่วทั้งร่างอย่างรวดเร็ว มันไม่เหมือนกับตอนที่ฉันร้องเพลงคนเดียว หรือร้องเพลงต่อหน้าเพื่อนๆ ในห้องซ้อมดนตรีเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีสายตาเป็นสิบๆ คู่กำลังจับจ้องมาที่ฉันราวกับว่ากำลังจ้องจับผิดอะไรสักอย่างอยู่แบบนี้ อีกทั้งยังมีแต่คนไม่รู้จัก ซึ่งมันทำให้ฉันอดคิดกังวลไม่ได้ว่าฉันยืนอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องแล้วหรือเปล่า ฉันแสดงท่าทางประหลาดๆ อะไรออกไปบ้างหรือเปล่า ฉันขึ้นมาร้องแทนโจ้ แล้วฉันต้องแสดงนิสัยเฮฮาขี้เล่นแบบโจ้ด้วยมั้ย แล้วสีหน้าของฉันล่ะ ฉันควรจะยิ้มกว้าง หรือฉันควรจะทำหน้าเฉยๆ แบบนี้ต่อไปดีล่ะ



ฉันมั่นใจในเสียงของตัวเอง แต่ก็แค่เรื่องเสียงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จริงๆ แล้วฉันยังร้องเพลงผิดจังหวะอยู่เลยด้วยซ้ำ แล้วแบบนี้ฉันจะมีความสามารถพอจนถึงขนาดขึ้นมาร้องเพลงแทนโจ้ได้เชียวเหรอ ฉันอาจจะทำให้วง May-B ของพวกเขาต้องเสียชื่อก็ได้ ถ้ามันเป็นแบบนั้นขึ้นมาล่ะ ฉันก็จะถูกพวกบอยเกลียดแน่ๆ แล้วไนท์ก็อาจจะเกลียดฉันด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้



ไม่นะ นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่ กำลังจะทำลายชื่อเสียงของพวกเขาหรือไง



เสียงเคาะไม้กลองให้จังหวะก่อนเริ่มเพลงดังมาจากทางข้างหลัง ยิ่งเป็นเสียงกระตุ้นที่ทำให้ฉันรู้สึกตัวแข็งชาจนทำอะไรไม่ถูก พร้อมกับมีเหงื่อผุดพรายขึ้นตามร่างกายและใบหน้า ในหัวขาวโพลนคิดอะไรไม่ออก ลืมเนื้อเพลงทั้งหมดโดยพลัน ลืมแม้กระทั่งว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่เสียด้วยซ้ำ



พอกวาดสายตามองไปยังผู้ชมเบื้องล่าง ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้ ฉันพยายามออกคำสั่งให้มืออันสั่นเทาเอื้อมไปจับไมค์มา แต่มือกลับแข็งชาเหลือเกิน ไม่ยอมทำตามคำสั่งของฉันเลยสักนิด การหายใจเริ่มติดขัดจนฉันรู้สึกแน่นหน้าอกมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับว่ากำลังมีอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ที่คอ จนฉันอยากจะขย้อนมันออกมา ฉันกำลังหายใจไม่ออก เสียงเพลงรอบด้านกลายเป็นเสียงอื้ออึงอยู่ในหัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พอฉันไม่ขยับเขยื้อนอะไรอยู่นาน สายตาของผู้คนเบื้องล่างก็ยิ่งทวีความน่าหวาดหวั่นขึ้นอย่างรุนแรง พวกเขากำลังมองฉันอยู่ กำลังตัดสินฉันอยู่ กำลังคาดหวังให้ฉันต้องเป็น ‘ตัวแทน’ สำหรับโจ้ ฉันรู้สึกกดดันและอึดอัด อีกทั้งยังหวาดกลัว ฉันทำไม่ได้ ไม่มีทางทำได้ ไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้อีกแล้ว



ฉันอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้!



ฉันค่อยๆ ขยับขาทั้งสองก้าวถอยไปข้างหลังสองสามก้าวทีละนิด ก่อนจะรีบหมุนตัววิ่งหนีลงไปจากเวทีทันทีท่ามกลางเสียงอื้ออึงของดนตรีและเหล่าผู้ชม



##########
//โปรดติดตามตอนต่อไป//





LazyMe
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ก.ค. 2560, 00:01:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ก.ค. 2560, 00:01:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 745





<< บทเพลงที่ 10   บทเพลงที่ 12 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account