Crazy Love Song เพลงรักลวงใจ
เธอ ฝันอยากจะเป็นนักร้อง เลือกเดินหนีจากทุกสิ่งเพื่อไขว่คว้าหาอิสระ
เขา นักดนตรีผู้ไร้ความฝัน เลือกเดินหนีจากทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าหาที่พักของหัวใจ
พวกเขาจะพากันหนีไปจนสุดขอบฟ้า... หรือว่าจะดิ่งลงเหวไปด้วยกัน
เขา นักดนตรีผู้ไร้ความฝัน เลือกเดินหนีจากทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าหาที่พักของหัวใจ
พวกเขาจะพากันหนีไปจนสุดขอบฟ้า... หรือว่าจะดิ่งลงเหวไปด้วยกัน
Tags: วัยรุ่น,ดราม่า,ดนตรี,วง,รัก,ดาร์ก
ตอน: บทเพลงที่ 12
บทเพลงที่ 12
Get stronger
เสียงดนตรีดังขึ้นอีกครั้งมาจากทางเวทีพร้อมด้วยเสียงร้องเฮลั่นของเหล่าผู้ชม บ่งบอกว่าวงถัดไปได้ขึ้นมาทำหน้าที่ของตัวเองแล้วเรียบร้อย ในระหว่างที่ผู้คนรอบข้างกำลังปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงเพลง ฉันกลับเร่งฝีเท้าอย่างไม่คิดชีวิต แทรกผ่านคนอื่นๆ ไปเรื่อยๆ ก้มหน้ามองพื้นเบื้องล่างที่ถูกบดบังด้วยรองเท้าหลากคู่ของคนรอบข้าง ฉันไม่อยากพบเจอหน้าใครทั้งนั้น โดยเฉพาะเหล่าสมาชิกของวง May-B ฉันคงถูกถูกพวกไนท์เกลียดแล้วแน่นอน พวกเขาอาจจะเลิกคบฉันเลยก็ได้ แล้วฉันก็จะต้องกลับไปอยู่ตัวคนเดียวอีกครั้ง
“เดย์ เดย์!” มีเสียงตะโกนเรียกชื่อของฉันดังมาจากข้างหลัง แต่ฉันไม่กล้าหันไป ไม่กล้าไปเผชิญหน้ากับใครก็ตามที่กำลังวิ่งตามฉันมา
มือหนึ่งคว้าฉุดแขนฉันเอาไว้ได้ ทำให้แรงกระชากดึงตัวฉันกลับเข้าไปหาอีกฝ่ายจนเกือบจะปะทะกับอกของเขา
“ไม่เป็นไรนะเดย์ ไม่เป็นไร” คำปลอบประโลมของคนตรงหน้าทำให้น้ำตาที่ถูกกลั้นอยู่เริ่มไหลพรั่งพรูออกมาจากดวงตาของฉันไม่ยอมหยุด
“ฉันขอโทษ... ฉันขอโทษ” เสียงสั่นเครือพร่ำกล่าวคำขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ไม่สามารถลบล้างความรู้สึกผิดมหาศาลที่กำลังอัดแน่นอยู่ภายในใจไปได้เลย
ไนท์ดึงตัวฉันเข้าไปซบกับอกของเขา พร้อมกับใช้มือลูบผมของฉันอย่างอ่อนโยน ปลอบโยนให้ฉันได้ระบายความโศกเศร้าทั้งหมดออกมาอยู่ภายในอ้อมกอดของเขา ท่ามกลางเสียงดนตรีและเหล่าผู้คนที่กำลังเต้นกันอย่างสนุกสนานภายใต้แสงไฟสีแดงสลัว
“พวกบอยต้องเกลียดฉันแล้วแน่ๆ” เสียงพึมพำเอ่ยขึ้นขณะก้มมองไปที่พื้นอย่างคนเหม่อลอย
หลังจากเหตุการณ์เมื่อไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ ไนท์ก็พาฉันออกมาจากเดอะมิราเคิล เรียกแท็กซี่ให้กลับมายังห้องของเขา เมื่อพวกเรามาถึง ชายหนุ่มก็พาฉันมานั่งที่โซฟา ก่อนที่จะลุกเดินเข้าไปในครัวเพื่อชงชาอุ่นๆ มาให้
ฉันยกถ้วยชาในมือขึ้นจิบทีละนิด โดยที่ยังคงอยู่ในอาการเหม่อลอยไม่อยากจะพูดอะไรทั้งนั้น ในหัวมีแต่ภาพความทรงจำอันแสนน่าอับอายในคืนนี้ฉายซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด ตอนนั้นฉันไม่ได้หันกลับไปมองพวกเขาเลย จึงไม่รู้ว่าทั้งสามคนมีสีหน้าแบบไหน คงจะตกใจไม่น้อยที่เห็นฉันวิ่งหนีลงจากเวทีไปแบบนั้น
“พวกเขาไม่เกลียดเธอหรอก มันเป็นความผิดของฉันต่างหาก” ไนท์เอ่ยแย้งขึ้นเบาๆ ซึ่งสิ่งที่เขาพูดมาก็ถูกอยู่ส่วนหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะฉันต่างหาก
“แล้วฉันก็ทำให้มันแย่ลง” ฉันตอบกลับไป ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง
นากจากเรื่องวง May-B แล้ว ฉันก็อดที่จะนึกไปถึงความฝันการเป็นนักร้องของตัวเองไม่ได้ ถ้าเป็นนักร้อง ฉันก็ต้องร้องเพลงต่อหน้าคนเยอะๆ อาจจะต้องขึ้นเวที แล้วฉันก็คงจะหนีเหมือนอย่างคืนนี้อีกแน่ๆ เพราะฉันจำความรู้สึกหวาดหวั่นตอนอยู่บนเวทีได้ดี มันอาจจะติดตรึงอยู่ในใจของฉันไปตลอดชีวิตเลย ถ้าแค่ขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีในผับ ฉันยังทำไม่ได้ แล้วฉันจะเนนักร้องได้ยังไง อีกทั้งยังมีเรื่องของการเร่งจังหวะอีก การร้องเพลงของฉันก็ไม่ได้ดีเด่อะไรขนาดนั้น แถมยังหวาดกลัวการแสดงต่อหน้าคนอื่นอีกต่างหาก
...ความฝันคงฉันมันช่างริบหรี่เหลือเกิน ฉันคงจะไม่มีวันได้เป็นนักร้องแล้วแน่นอน
บางที...เลิกร้องเพลงไปเลยคงจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องมารู้สึกปวดใจอยู่แบบนี้
“ฉันอยากเลิกร้องเพลงแล้ว” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
พ่อพูดถูก สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพียงแค่ฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น
“อย่าเพิ่งยอมแพ้สิ เธอก็แค่ตื่นเวทีเท่านั้นเอง” ไนท์พยายามพูดโน้มน้าวให้ฉันเปลี่ยนใจ แต่ฉันตัดสินใจแล้ว เพราะว่าฉันคงฝ่าอุปสรรคนี่ไม่ไหวแน่ๆ ฉันขาดความกล้า รวมทั้งความเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง การร้องเพลงไม่ได้วัดกันที่เสียงร้องเพียงอย่างเดียว จะต้องมีปัจจัยอย่างอื่นประกอบด้วย ขนาดปัจจัยพื้นฐานอย่างเรื่องจังหวะการร้องและความกล้าแสดงออกบนเวทีนั้น ฉันยังไม่มีเลย เพราะฉะนั้นฉันควรจะยอมแพ้ไปตั้งแต่ต้นแบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว
“มันน่าจะมียาแก้อาการตื่นเวทีนะ...” ฉันพูดขึ้นลอยๆ โดยที่ไม่ได้คิดอะไรจริงจัง อยู่ๆ ฉันก็คิดขึ้นมาว่าถ้ามียาแบบนั้นก็คงจะดี อุปสรรคเรื่องนี้ก็จะได้หมดไป แล้วทุกอย่างก็คงจะง่ายขึ้นอีกเยอะเลยทีเดียว
จะว่าไปแล้ว ‘ของดี’ และ ‘ยาวิเศษ’ ของไนท์นั้น น่าจะมีคุณสมบัติยอดเยี่ยมพอที่จะช่วบลบความรู้สึกหวาดกลัวเวทีของฉันไปได้อยู่นะ
ใช่แล้ว! ฉันก็แค่ต้องกินยาก่อนขึ้นแสดงเท่านั้นเอง แล้วทุกอย่างก็จะเป็นไปด้วยดี อาการหวาดกลัวก็จะหมดไป แล้วฉันก็จะสามารถยืนร้องเพลงอยู่บนเวทีได้อย่างมีชีวิตชีวาแบบโจ้ด้วย เพียงเท่านี้ ปัญหาทุกอย่างก็จะหายวับไปราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น
“ไนท์ ยาวิเศษยังไม่มาอีกเหรอ” ฉันหันไปถามคนข้างกายอย่างคาดหวัง ฉันไม่ได้กินยาของเขามาเป็นอาทิตย์แล้ว ตอนนี้ฉันอยากจะรู้สึกกินมันเหลือเกิน เพื่อจะได้มาช่วยคลายความรู้สึกหมองเศร้าในตอนนี้ให้มันหมดไปเสียที
แต่แล้วความหวังก็ต้องพังทลายลงไปเมื่อไนท์ส่ายหน้ากลับมาเป็นคำตอบ ยิ่งทำให้ฉันจมปลักอยู่กับอารมณ์ขุ่นมัวของตัวเอง จนไม่อยากที่จะคิดอะไรอีกต่อไปแล้ว
“ถ้าเธอกินยา เธอก็ต้องกินมันต่อไปเรื่อยๆ ทุกๆ ครั้งที่จะขึ้นเวที ซึ่งหมายความว่าเธอจะไม่ได้ทำความฝันให้เป็นจริงด้วยตัวเธอเอง” ชายหนุ่มพูดเสียงเครียด เหมือนกับว่าต้องการที่จะเตือนสติของฉัน “แล้วฉันก็ไม่ได้มียานั่นอยู่ตลอดเวลาด้วย ถ้ายาหมดพอดีก่อนที่เธอจะขึ้นแสดงขึ้นมาล่ะ เธอจะทำยังไง”
“แต่ฉันคิดวิธีอื่นไม่ออกเลย... นอกจากยาวิเศษแล้ว ก็ไม่มีวิธีไหนที่จะทำให้ฉันหายตื่นกลัวตอนร้องเพลงต่อหน้าคนเยอะๆ ได้หรอก”
ใช่ ถ้าไม่มียา ฉันก็คงหมดหวังที่จะเป็นนักร้องอย่างสิ้นเชิง
“...มีสิ” เสียงเบาเอ่ยพึมพำออกมา เรียกให้ฉันหันไปมองเขาด้วยสายตาเนือยๆ อย่างไม่อยากที่จะคิดอะไรทั้งนั้น ไนท์หลุบสายตาลงต่ำเล็กน้อยเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่เพียงชั่วแวบหนึ่งถัดมา เขาก็ตวัดสายตากลับขึ้นมามองฉันอีกครั้ง พร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ ราวกับว่าคิดวิธีอะไรบางอย่างออก “เดี๋ยวฉันจะพาฉันไปเอง”
ฉันขมวดคิ้วอย่างรู้สึกฉงน เขาจะพาฉันไปที่ไหนกัน
“จะไปที่ไหนเหรอ”
“เธอเชื่อใจฉันหรือเปล่าล่ะ”
ฉันพยักหน้ากลับไปอย่างมั่นใจทันทีโดยที่ไม่เสียเวลาคิดเลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว
เมื่อได้รับคำตอบจากฉัน คนตรงหน้าก็เผยรอยยิ้มกว้างขึ้นอีก ก่อนจะค่อยๆ โน้มตัวเข้ามาจูบฉันอย่างอ่อนโยน แล้ววางหน้าผากของเขาพิงกับหน้าผากของฉันอย่างนิ่มนวล
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรทั้งนั้น” เสียงกระซิบกล่าวอย่างแผ่วเบา ซึ่งเป็นการเสริมกำลังใจ และช่วยพัดเอาความรู้สึกหม่นหมองที่กำลังก่อตัวอยู่ภายในใจของฉันให้ค่อยๆ จางหายไป รวมทั้งยังทำให้ฉันรู้สึกได้ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาก็จะคอยช่วยสนับสนุนและอยู่เคียงข้างฉันเอง
#########
เก้าโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น ไนท์พาฉันมาที่ทางเชื่อมระหว่างสถานีรถไฟฟ้ากับสถานีรถโดยสารประจำทางในย่านใจกลางเมืองแห่งหนึ่ง ตอนแรกฉันก็นึกสงสัยว่าเขาพาฉันมาที่นี่ทำไม แล้วยังเอากีตาร์คู่ใจของเขามาด้วยอีกต่างหาก แต่พอเห็นเขาเลือกหยุดยืนตรงเสาต้นหนึ่ง แล้ววางกระเป๋ากีตาร์เอาไว้ด้านหน้า ฉันก็ต้องร้องอ๋ออยู่ในใจทันที
“ไม่มีทาง” เสียงเด็ดขาดกล่าวปฏิเสธ พร้อมกับทำท่าจะเดินหนีทั้งๆ ที่คนตรงหน้ายังไม่ทันได้บอกอะไรฉันด้วยซ้ำ
“อย่าเพิ่งไปสิ” ไนท์หัวเราะเบาๆ พร้อมกับยื่นมือเข้ามาคว้าแขนฉันเอาไว้
เขาพาฉันมาเปิดหมวก ซึ่งเป็นการทำให้ฉันยิ่งตื่นตระหนกเข้าไปใหญ่ เพราะว่าฉันจะต้องยืนร้องเพลงในที่สาธารณะ โดยที่มีใครต่อใครก็ไม่รู้เดินผ่านไปผ่านมาเยอะแยะเต็มไปหมด ดีไม่ดีอาจจะทำให้ฉันกลัวการร้องเพลงหนักกว่าเดิมเลยก็ได้
ฉันทำหน้ามุ่ยขณะยืนมองกระเป๋ากีตาร์ตรงหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ฉันไม่เห็นว่าการทำแบบนี้จะช่วยทำให้ฉันกล้าร้องเพลงบนเวทีขึ้นมาได้ยังไงเลย
“เธอเพิ่งจะเคยขึ้นเวทีครั้งแรก ก็เลยตื่นกลัว เพราะว่าไม่ชินกับการที่จะต้องถูกสายตาของคนเยอะๆ จ้องมาใช่มั้ย ที่แบบนี้แหละคือเวทีชั้นยอดให้เธอได้ฝึกพัฒนาตัวเอง ทั้งเรื่องพลังเสียง อีกทั้งยังสามารถช่วยทำให้รู้สึกคุ้นชินกับคนเยอะๆ ได้ด้วยนะ”
“แต่...” ฉันพยายามจะเอ่ยแย้ง แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะแย้งอีกฝ่ายว่าอะไร เพราะว่าฉันเองก็รู้สึกเห็นด้วยกับเขา
“ฉันเข้าใจดีว่าเธอยังคงตกใจกลัวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอยู่” ไนท์อมยิ้มน้อยๆ ขณะพูดปลอบโยนฉันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จากนั้นเขาก็พะเยิดหน้าไปยังผู้คนมากมายที่กำลังเดินผ่านพวกเราไปมา โดยที่มีบางคนเหลือบสายตามองมาทางนี้บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วแทบจะไม่ได้ชายตามาที่พวกเราเลยแม้แต่นิดเดียว “เธอคงจะกลัวว่าคนอื่นจะเอาเธอไปเปรียบเทียบกับโจ้ ก็เลยกังวลว่าฉันจะทำได้ไม่ดีเท่าเขา แล้วก็อาจจะทำให้ตัวเองขายหน้า หรือทำให้วงเราต้องเสียชื่อหรือเปล่า พวกเขาจะมองว่าไม่ดีมั้ย มีแต่คนที่ไม่รู้จักอยู่เต็มไปหมด...
เธอไม่รู้จักพวกเขา เขาก็ไม่รู้จักเรา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเอาเธอไปเปรียบกับโจ้สักแค่ไหน หรือเธอจะเผลอทำท่าทางน่าอายขนาดไหนออกไป พวกเขาก็จะแค่คิดขำขันอยู่ในใจเพียงชั่ววูบเดียวเท่านั้น แล้วก็จะเลิกสนใจกันไปเอง สุดท้ายแล้วพวกเราทุกคนก็ต้องแยกย้าย อาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลยก็ได้ เพราะว่าเราไม่รู้จักกัน
แล้วเธอคิดว่า ความรู้สึก หรือความคิดเพียงแค่ชั่ววูบเดียวของคนพวกนั้น มันมีค่ามากถึงขนาดที่เธอจะต้องมาทนทุกข์ทรมานอยู่แบบนี้เลยเหรอ”
ฉันเม้มปากแน่น ขณะยืนฟังและมองสบสายตากับคนตรงหน้าอยู่เงียบๆ ภาพใบหน้าของชายหนุ่มเริ่มรางเลือนจากการถูกบดบังด้วยน้ำใสๆ ซึ่งกำลังเอ่อล้นอยู่ภายในดวงตา เมื่อคิดตามเขาไปเรื่อยๆ ความรู้สึกมากมายที่กำลังอัดแน่นอยู่ในอกก็เริ่มไหลทะลักออกมาไม่หยุด จนทำให้ฉันกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป สิ่งที่เขาพูดมานั้นถูกต้องทุกอย่าง ฉันกลัวการถูกเปรียบเทียบมากที่สุด เพราะว่าทั้งพ่อและแม่ต่างก็นำฉันไปเปรียบกับพี่แดน พี่ชายของฉันเกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรพี่ก็จะทำได้ดีกว่าอยู่เสมอ โดยเฉพาะเรื่องเรียน ซึ่งทำให้ฉันต้องถูกพ่อกับแม่พูดเสียดสี เปรียบเทียบระหว่างพวกเราสองคนอยู่เกือบตลอดเวลา
“ส่วนที่เธอกังวลเรื่องวง...” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ โดยที่ยังคงรอยยิ้มน้อยๆ เอาไว้ “ขนาดพวกเรายังไม่สนใจเลยว่าใครจะคิดยังไง เพราะฉะนั้นเธอก็ไม่ต้องไปคิดมากหรอก ไม่ว่าจะยังไง สุดท้ายแล้วมันก็จะผ่านไป แล้วกลายเป็นแค่อดีตไปเท่านั้นเอง”
ฉันค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ตอบกลับไปอย่างเข้าใจ ฉันคิดตามเขาไปด้วยทุกประโยค ทุกคำพูด ไนท์พูดถูกทุกอย่าง เขาเข้าใจฉัน และเป็นคนแรกที่เข้าใจฉันได้มากถึงขนาดนี้ คำพูดของเขาเป็นกำลังใจให้ฉันมากเหลือเกิน ในเมื่อไนท์พยายามช่วยฉันถึงขนาดนี้ เพราะฉะนั้นฉันจะต้องไม่ทำให้ความหวังดีของเขาสูญเปล่า ฉันจะต้องพยายามให้มากขึ้นกว่าเดิม ถึงแม้ว่าอุปสรรคตรงหน้าจะยากสักเพียงใด ฉันก็จะผ่านพ้นมันไปให้ได้
เพราะว่าฉันยังมีเขาอยู่ทั้งคน...ผู้เป็นทั้งเพื่อนคอยรับฟังปัญหา คนที่คอยอยู่เคียงข้างอยู่เสมอ และยังเป็นคนที่ฉันรักจนหมดหัวใจ
“ขอบคุณนะ” เสียงแผ่วเบากล่าวพร้อมรอยยิ้มด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ
ไนท์ค่อยๆ โน้มตัวเข้ามาประทับรอยจูบลงตรงหน้าผากของฉันอย่างอ่อนโยน ก่อนจะลืมตาปรือมองตรงมา พลางอมยิ้มน้อยๆ อย่างน่ารักเช่นเคย
ฉันหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับใช้มือเช็ดคราบน้ำตาที่อยู่บนใบหน้าของตัวเองออก จากนั้นฉันก็ผละตัวออกจากเขา หันไปยังเหล่าผู้คนแปลกหน้าที่เดินผ่านไปมา ไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียน นักศึกษา วัยทำงาน หรือคุณลุงคุณป้า ฉันพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับคิดถึงคำพูดของไนท์เมื่อครู่นี้เอาไว้ แม้ว่าจะถูกมองสักแค่ไหนก็อย่าไปสนใจ ตอนนี้ไม่มีใครมาเอาฉันไปเปรียบเทียบกับใครแล้ว
ไม่สิ ถึงแม้ว่าจะถูกนำไปเปรียบกับคนอื่น ฉันก็ต้องทำใจยอมรับมันให้ได้ต่างหาก ฉันจะต้องไม่รู้สึกหดหู่เพราะเรื่องแค่นี้ และจะต้องไม่ยอมให้การถูกพ่อแม่นำไปเปรียบเทียบกับพี่แดนอยู่ตลอดเวลานั้นมามีผลกับสภาพจิตใจของฉันได้อีกต่อไป
ฉันจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้
...แต่มันช่างทำได้ยากลำบากเหลือเกิน
“นายทำได้ยังไงเหรอ...” ฉันเอ่ยถามเสียงเบา ขณะหลุบสายตาลงต่ำไปที่พื้น “นายเอาชนะการตื่นกลัวเวทีได้ยังไง...”
เพียงแค่ฉันกำลังจะอ้าปากเพื่อลองเปล่งเสียงร้องออกมา ภาพความทรงจำ รวมทั้งความรู้สึกแย่ๆ ทั้งหลายเมื่อคืนนี้ก็ได้ไหลทะลักกลับเข้ามาในจิตใจ จนทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดและต้องยอมแพ้ไปอีกครั้งแล้ว
“ฉันทำได้ยังไงน่ะเหรอ...” ชายหนุ่มพูดทวนคำถามของฉัน
แต่แทนที่ไนท์จะตอบอธิบายกลับมา เขากลับเงียบไป แล้วค่อยๆ หลุบสายตาลงต่ำน้อยๆ ดูเหมือนคนเหม่อลอยที่กำลังจมอยู่ภวังค์ความคิดของตัวเอง “...ฉันรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของฉัน ฉันไม่ได้อยู่ที่นี่... ก็เลยไม่ได้รู้สึกประหม่าหรือกลัวอะไร...เพราะว่าฉันไม่ได้อยู่ตรงนี้”
ฉันขมวดคิ้วน้อยๆ ด้วยความรู้สึกฉงน ไม่เข้าใจว่าเขากำลังหมายถึงอะไร เขากำลังจะบอกว่าเขาไม่ได้อยู่บนเวทีตอนที่ขึ้นไปแสดงอย่างนั้นเหรอ แต่ความเป็นจริงแล้วเขาอยู่นี่นา
“ถ้างั้น...นายอยู่ที่ไหนกันล่ะ” ฉันถามกลับไป พร้อมกับคิดถึงเรื่องที่เขาอาจจะแอบเล่นกีตาร์อยู่หลังเวที บางทีในตอนที่เขาขึ้นแสดงบนเวทีครั้งแรกนั้น เขาอาจจะไม่ได้ขึ้นไปเล่น ‘บนเวที’ แต่เล่นอยู่หลังเวทีก็ได้
แต่คนถูกถามกลับไม่ยอมพูดตอบอะไร เขาหันมามองฉัน พลางยิ้มน้อยๆ เหมือนปกติโดยที่ไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหลุบสายตาลงต่ำ พร้อมกับหันกลับไปมองที่พื้นตรงหน้าอย่างเหม่อลอยเหมือนเดิม
“...ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” เสียงพึมพำเอ่ยตอบกลับมา โดยที่คงรอยยิ้มจางๆ เอาไว้อยู่อย่างนั้น
ไนท์บอกกับฉันว่าเขาเปิดหมวกครั้งแรกเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว ตอนที่เขาอายุสิบสี่ แต่อยู่ที่เดิมไปได้แค่ไม่กี่เดือน เขาก็ถูกไล่ ทำให้ต้องย้ายหาที่ใหม่ เปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ จนหลายปีต่อมาก็มีคนมาชวนให้ไปเล่นที่เดอะมิราเคิล เขาจึงเล่นอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงทุกวันนี้
“ไม่มีอะไรดีไปกว่าการฝึกฝนแล้วล่ะ” เป็นคำพูดให้กำลังที่ฉันได้รับจากเขาก่อนที่จะเริ่มร้องเพลงทุกครั้ง
สองสามวันแรกที่ฉันมาเปิดหมวกกับไนท์นั้น ฉันเอาแต่ร้องเสียงงึมงำอยู่กับตัวเอง พร้อมกับก้มหน้าอยู่ตลอดเวลา รู้สึกขายหน้าไม่น้อยที่ต้องมายืนร้องเพลงอยู่ที่สาธารณะ แต่ฉันก็พยายามฝืนร้องจนจบ
บางคนหันมามองฉันแล้วก็ยิ้มเหยียดๆ อย่างขำขัน ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกแย่จนไม่กล้าร้องเพลงต่อ แต่พอหันไปเห็นว่าไนท์ยังคงอมยิ้มน้อยๆ เล่นกีตาร์ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อให้ฉันร้องเพลงต่อ ฉันก็รู้สึกมีแรงฮึดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จึงพยายามไม่สนใจคนพวกนั้น
ใช่แล้ว ไนท์พูดถูก พวกเขาไม่ใช่คนรู้จักเสียหน่อย ทำไมฉันจะต้องไปแคร์ด้วยว่าเขาจะคิดยังไงกับการร้องเพลงของฉัน ฉันร้องเพลงเพราะอยากจะร้อง แม้ว่าจะไม่มีไมค์ ฉันก็จะร้อง ไม่ว่าใครหรือสิ่งใดก็มาขวางฉันไม่ได้ แม้แต่จะเป็นอุปสรรคอย่างความหวาดกลัวเวที ซึ่งอยู่ในจิตใจของฉันเองก็ตาม
ฉันร้องเพลงต่อไปเรื่อยๆ อีกหลายเพลง จนในที่สุดฉันก็เริ่มรู้สึกชิน และกล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมามองเหล่าคนแปลกหน้าทั้งหลาย
แต่วันรุ่งขึ้นฉันก็กลับไปมีอาการแบบเดิมอีกก่อนที่จะเริ่มร้องเพลง และพอเริ่มร้องไปหลายๆ เพลง ฉันถึงค่อยมีความกล้าขึ้นเรื่อยๆ แล้ววันต่อๆ มาฉันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่ค่อยกล้าเปล่งเสียงร้องสองสามเพลงแรกของวัน ต้องผ่านไปหลายๆ เพลงแล้วถึงจะค่อยมีความกล้ามากขึ้น
จากตอนแรกที่ฉันต้องร้องถึงหกเพลง แล้วถึงจะค่อยเริ่มรู้สึกคุ้นชิน หลายวันหลังจากนั้นจนเข้าสู่สัปดาห์ที่สอง ระยะเวลาในการปรับตัวก็ค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ จนในที่สุดฉันก็สามารถร้องเพลงได้ โดยที่ไม่ต้องก้มหน้ามองพื้นอีกต่อไป จนกระทั่งเริ่มมีคนมายืนฟังเพลงของพวกเราอยู่สองสามคน
แม้ว่าฉันจะยังคงรู้สึกประหม่าอยู่ไม่น้อย แต่มันก็ทำให้ฉันรู้สึกภูมิใจมากๆ ที่สามารถเอาชนะความรู้สึกหวาดกลัวของตัวเองได้ เป็นเพราะว่าฉันมีไนท์อยู่เคียงข้าง คอยเป็นกำลังใจมาโดยตลอด ฉันถึงได้มีกำลังใจที่จะพัฒนาตัวเองให้ได้แบบนี้
ถึงแม้ว่าเรื่องร้องเพลงในที่สาธารณะจะไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับฉันอีกต่อไป แต่ฉันก็อดที่จะคิดกังวลถึงสมาชิกคนอื่นๆ ของวง May-B ขึ้นมาไม่ได้ ตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมาฉันก็ยังไม่ได้กลับไปที่เดอะมิราเคิลเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ได้คุยไลน์กับพวกเขาด้วย มีแต่ไนท์ที่ไปซ้อมกับพวกบอยตอนช่วงเย็นทุกวัน ฉันไม่กล้าถามถึงสมาชิกวงคนอื่นๆ เพราะกลัวคำตอบที่จะได้รับ
ยิ่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าอยากจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตเหลือเกิน แต่ช่างน่าเสียดาย ที่คนเราไม่สามารถย้อนกลับไปในอดีตเพื่อแก้ไขสิ่งผิดพลาดของตัวเองได้
หลายวันที่ผ่านมานั้นพวกเราทำเงินได้เยอะพอสมควรอย่างไม่น่าเชื่อ ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการเปิดหมวกจะมีรายได้ค่อนข้างดีถึงขนาดนี้ แต่พอไนท์เห็นฉันทำตาโตตอนที่นับจำนวนเงิน เขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับบอกว่ามันขึ้นอยู่กับสถานที่ด้วย ต้องเลือกทำเลดีๆ
วันนี้ฉันก็ยังคงมาเปิดหมวกกับไนท์ตั้งแต่เก้าโมงเช้าอีกเช่นเคย ระหว่างร้องเพลงไปเรื่อยๆ ฉันก็กวาดสายตามองไปรอบๆ ตัวอย่างไม่คิดอะไร แล้วก็ไปหยุดสายตาลงที่ไนท์ จึงเห็นว่าวันนี้เขาก็ยังคงใส่แปลกแขนยาวสีดำสนิทตามสไตล์ของตัวเองเหมือนทุกวัน ทั้งๆ ที่อากาศร้อนอบอ้าวถึงขนาดนี้ แต่ไนท์กลับแทบไม่มีเหงื่อออกเลยด้วยซ้ำ ผิดกับฉันที่รู้สึกร้อนมากเสียจนอยากวิ่งไปอาบน้ำเสียเดี๋ยวนี้เลย
สงสัยคงจะร้องต่อได้อีกแค่สองสามเพลง เพราะว่าวันนี้ร้อนมากกว่าวันอื่นๆ แล้วฉันก็ทนอากาศร้อนได้ไม่ค่อยเก่งสักเท่าไหร่
ทันใดนั้นเอง อยู่ๆ ฉันก็นึกสนุกอยากจะลองทำอะไรบางอย่างขึ้นมา จึงหันไปหาคนข้างกายทันทีที่ร้องจบเพลง พร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างไปให้
“ขอยืมปลอกแขนของนายหน่อยสิ” เสียงสดใสพูดขึ้น พร้อมกับแบมือขอปลอกแขนสีดำของเขา “ขอข้างหนึ่ง”
“จะเอาไปทำอะไรล่ะเนี่ย” ไนท์หัวเราะออกมาเบาๆ
“เอามาใส่คู่กัน” ฉันยิ้มแฉ่งอย่างรู้สึกเขินน้อยๆ ไหนๆ ก็จะร้องต่ออีกแค่ไม่กี่เพลงแล้ว ฉันอยากจะลองใส่ปลอกแขนคู่กับเขาตอนร้องเพลงดูบ้าง จริงสิ วันพรุ่งนี้ฉันจะลองแต่งตัวคู่กับเขาด้วยดีกว่า
“มันร้อนนะ” ไนท์ตอบกลับมาพร้อมด้วยเสียงหัวเราะขำขันน้อยๆ คงเป็นเพราะว่าตอนนี้ฉันเหงื่อออกเยอะมาก จนปรากฏเม็ดเหงื่อผุดพรายให้เห็นเด่นชัดอยู่บนใบ้หน้าแน่ๆ เขาถึงได้เอาแต่หัวเราะน้อยๆ อยู่อย่างนั้น
ฉันลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกเสียดาย พอนึกถึงสภาพอากาศในตอนนี้แล้วฉันก็ต้องเห็นด้วยกับไนท์ เพราะว่าฉันคงทนอากาศร้อนได้ไม่ไหวจริงๆ นั่นแหละ
ฉันเริ่มร้องเพลงถัดไปหลังจากที่ไนท์ไล่นิ้วดีดสายกีตาร์ สร้างเสียงดนตรีแสนไพเราะออกมาอีกครั้ง ฉันร้องเพลงไปเรื่อยๆ อย่างรู้สึกสนุกสนาน จนเริ่มมีชายหนุ่มในชุดนักศึกษาคนหนึ่งมายืนฟัง เขายืนอยู่พักหนึ่งจนกระทั่งฉันร้องเกือบจะจบเพลง แต่อยู่ๆ ชายหนุ่มตรงหน้าก็เดินยิ้มๆ เข้ามาใกล้
“เธอชื่ออะไรเหรอ ขอไลน์หน่อยดิ” เสียงสดใสเอ่ยขัดจังหวะฉันร้องเพลง ทำให้ฉันชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมา อย่างไม่คิดมาก่อนว่าจะมาถูกจีบในที่แบบนี้
“ฉันมีแฟนแล...” ฉันไม่ได้สังเกตเลยว่าเสียงกีตาร์เงียบไปแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ ยังไม่ทันที่ฉันจะได้พูดจนจบประโยค อยู่ๆ คนข้างกายก็พูดเสียงเย็นชาขัดขึ้นมาทันควัน
“ไปให้พ้น” ไนท์ถลึงตาน่ากลัวมองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง ฉันเห็นว่าเขากำลังขบกรามแน่นด้วยอารมณ์เดือดที่กำลังพุ่งขึ้นสูงจนฉันต้องรู้สึกหวาดหวั่น
“ไนท์...” ฉันยิ้มเจื่อนๆ พร้อมกับมองไปที่เขาอย่างกลัวๆ “ใจเย็นก่อนนะ...”
หนุ่มนักศึกษาเองก็มีสีหน้าอึ้งๆ ไปไม่น้อย แต่ก็ยังคงยืนอยู่กับที่ มองสบสายตากับไนท์อย่างงงๆ ก่อนจะค่อยๆ เดินถอยหลังไปทีละนิด แล้วทำท่าว่าจะเดินจากไปด้วยความที่ไม่อยากจะมีเรื่อง...
“นี่แฟนกู มึงอย่าเสือก” ไนท์ตะคอกเสียงลั่น ก่อนจะพุ่งตัวเข้าใส่หนุ่มแปลกหน้า พร้อมกับปล่อยหมัดใส่เขาสุดแรงทันที
ฉันสะดุ้งเฮือก อ้าปากค้างขณะเบิกตากว้างมองไนท์ด้วยความตกใจสุดขีด เขาลงไปนั่งคร่อมหนุ่มนักศึกษาที่ถูกต่อยจนล้มลงไปกับพื้น แล้วปล่อยหมัดใส่อีกฝ่ายซ้ำอีกหน
แล้วหมัดที่สามหมัดที่สี่ก็ตามมา โดยมีเหล่าฝูงไทยมุงเริ่มปฏิบัติหน้าที่ของการเป็นผู้ชมด้วยการวิ่งเข้ามายืนล้อมวงพวกเราทั้งสามคนเอาไว้ ไนท์พูดถูกว่าที่นี่คือเวทีชั้นยอดเลยทีเดียว
...เวทีการใช้ความรุนแรง
##########
//โปรดติดตามตอนต่อไป//
Get stronger
เสียงดนตรีดังขึ้นอีกครั้งมาจากทางเวทีพร้อมด้วยเสียงร้องเฮลั่นของเหล่าผู้ชม บ่งบอกว่าวงถัดไปได้ขึ้นมาทำหน้าที่ของตัวเองแล้วเรียบร้อย ในระหว่างที่ผู้คนรอบข้างกำลังปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงเพลง ฉันกลับเร่งฝีเท้าอย่างไม่คิดชีวิต แทรกผ่านคนอื่นๆ ไปเรื่อยๆ ก้มหน้ามองพื้นเบื้องล่างที่ถูกบดบังด้วยรองเท้าหลากคู่ของคนรอบข้าง ฉันไม่อยากพบเจอหน้าใครทั้งนั้น โดยเฉพาะเหล่าสมาชิกของวง May-B ฉันคงถูกถูกพวกไนท์เกลียดแล้วแน่นอน พวกเขาอาจจะเลิกคบฉันเลยก็ได้ แล้วฉันก็จะต้องกลับไปอยู่ตัวคนเดียวอีกครั้ง
“เดย์ เดย์!” มีเสียงตะโกนเรียกชื่อของฉันดังมาจากข้างหลัง แต่ฉันไม่กล้าหันไป ไม่กล้าไปเผชิญหน้ากับใครก็ตามที่กำลังวิ่งตามฉันมา
มือหนึ่งคว้าฉุดแขนฉันเอาไว้ได้ ทำให้แรงกระชากดึงตัวฉันกลับเข้าไปหาอีกฝ่ายจนเกือบจะปะทะกับอกของเขา
“ไม่เป็นไรนะเดย์ ไม่เป็นไร” คำปลอบประโลมของคนตรงหน้าทำให้น้ำตาที่ถูกกลั้นอยู่เริ่มไหลพรั่งพรูออกมาจากดวงตาของฉันไม่ยอมหยุด
“ฉันขอโทษ... ฉันขอโทษ” เสียงสั่นเครือพร่ำกล่าวคำขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ไม่สามารถลบล้างความรู้สึกผิดมหาศาลที่กำลังอัดแน่นอยู่ภายในใจไปได้เลย
ไนท์ดึงตัวฉันเข้าไปซบกับอกของเขา พร้อมกับใช้มือลูบผมของฉันอย่างอ่อนโยน ปลอบโยนให้ฉันได้ระบายความโศกเศร้าทั้งหมดออกมาอยู่ภายในอ้อมกอดของเขา ท่ามกลางเสียงดนตรีและเหล่าผู้คนที่กำลังเต้นกันอย่างสนุกสนานภายใต้แสงไฟสีแดงสลัว
“พวกบอยต้องเกลียดฉันแล้วแน่ๆ” เสียงพึมพำเอ่ยขึ้นขณะก้มมองไปที่พื้นอย่างคนเหม่อลอย
หลังจากเหตุการณ์เมื่อไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ ไนท์ก็พาฉันออกมาจากเดอะมิราเคิล เรียกแท็กซี่ให้กลับมายังห้องของเขา เมื่อพวกเรามาถึง ชายหนุ่มก็พาฉันมานั่งที่โซฟา ก่อนที่จะลุกเดินเข้าไปในครัวเพื่อชงชาอุ่นๆ มาให้
ฉันยกถ้วยชาในมือขึ้นจิบทีละนิด โดยที่ยังคงอยู่ในอาการเหม่อลอยไม่อยากจะพูดอะไรทั้งนั้น ในหัวมีแต่ภาพความทรงจำอันแสนน่าอับอายในคืนนี้ฉายซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด ตอนนั้นฉันไม่ได้หันกลับไปมองพวกเขาเลย จึงไม่รู้ว่าทั้งสามคนมีสีหน้าแบบไหน คงจะตกใจไม่น้อยที่เห็นฉันวิ่งหนีลงจากเวทีไปแบบนั้น
“พวกเขาไม่เกลียดเธอหรอก มันเป็นความผิดของฉันต่างหาก” ไนท์เอ่ยแย้งขึ้นเบาๆ ซึ่งสิ่งที่เขาพูดมาก็ถูกอยู่ส่วนหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะฉันต่างหาก
“แล้วฉันก็ทำให้มันแย่ลง” ฉันตอบกลับไป ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง
นากจากเรื่องวง May-B แล้ว ฉันก็อดที่จะนึกไปถึงความฝันการเป็นนักร้องของตัวเองไม่ได้ ถ้าเป็นนักร้อง ฉันก็ต้องร้องเพลงต่อหน้าคนเยอะๆ อาจจะต้องขึ้นเวที แล้วฉันก็คงจะหนีเหมือนอย่างคืนนี้อีกแน่ๆ เพราะฉันจำความรู้สึกหวาดหวั่นตอนอยู่บนเวทีได้ดี มันอาจจะติดตรึงอยู่ในใจของฉันไปตลอดชีวิตเลย ถ้าแค่ขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีในผับ ฉันยังทำไม่ได้ แล้วฉันจะเนนักร้องได้ยังไง อีกทั้งยังมีเรื่องของการเร่งจังหวะอีก การร้องเพลงของฉันก็ไม่ได้ดีเด่อะไรขนาดนั้น แถมยังหวาดกลัวการแสดงต่อหน้าคนอื่นอีกต่างหาก
...ความฝันคงฉันมันช่างริบหรี่เหลือเกิน ฉันคงจะไม่มีวันได้เป็นนักร้องแล้วแน่นอน
บางที...เลิกร้องเพลงไปเลยคงจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องมารู้สึกปวดใจอยู่แบบนี้
“ฉันอยากเลิกร้องเพลงแล้ว” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
พ่อพูดถูก สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพียงแค่ฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น
“อย่าเพิ่งยอมแพ้สิ เธอก็แค่ตื่นเวทีเท่านั้นเอง” ไนท์พยายามพูดโน้มน้าวให้ฉันเปลี่ยนใจ แต่ฉันตัดสินใจแล้ว เพราะว่าฉันคงฝ่าอุปสรรคนี่ไม่ไหวแน่ๆ ฉันขาดความกล้า รวมทั้งความเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง การร้องเพลงไม่ได้วัดกันที่เสียงร้องเพียงอย่างเดียว จะต้องมีปัจจัยอย่างอื่นประกอบด้วย ขนาดปัจจัยพื้นฐานอย่างเรื่องจังหวะการร้องและความกล้าแสดงออกบนเวทีนั้น ฉันยังไม่มีเลย เพราะฉะนั้นฉันควรจะยอมแพ้ไปตั้งแต่ต้นแบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว
“มันน่าจะมียาแก้อาการตื่นเวทีนะ...” ฉันพูดขึ้นลอยๆ โดยที่ไม่ได้คิดอะไรจริงจัง อยู่ๆ ฉันก็คิดขึ้นมาว่าถ้ามียาแบบนั้นก็คงจะดี อุปสรรคเรื่องนี้ก็จะได้หมดไป แล้วทุกอย่างก็คงจะง่ายขึ้นอีกเยอะเลยทีเดียว
จะว่าไปแล้ว ‘ของดี’ และ ‘ยาวิเศษ’ ของไนท์นั้น น่าจะมีคุณสมบัติยอดเยี่ยมพอที่จะช่วบลบความรู้สึกหวาดกลัวเวทีของฉันไปได้อยู่นะ
ใช่แล้ว! ฉันก็แค่ต้องกินยาก่อนขึ้นแสดงเท่านั้นเอง แล้วทุกอย่างก็จะเป็นไปด้วยดี อาการหวาดกลัวก็จะหมดไป แล้วฉันก็จะสามารถยืนร้องเพลงอยู่บนเวทีได้อย่างมีชีวิตชีวาแบบโจ้ด้วย เพียงเท่านี้ ปัญหาทุกอย่างก็จะหายวับไปราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น
“ไนท์ ยาวิเศษยังไม่มาอีกเหรอ” ฉันหันไปถามคนข้างกายอย่างคาดหวัง ฉันไม่ได้กินยาของเขามาเป็นอาทิตย์แล้ว ตอนนี้ฉันอยากจะรู้สึกกินมันเหลือเกิน เพื่อจะได้มาช่วยคลายความรู้สึกหมองเศร้าในตอนนี้ให้มันหมดไปเสียที
แต่แล้วความหวังก็ต้องพังทลายลงไปเมื่อไนท์ส่ายหน้ากลับมาเป็นคำตอบ ยิ่งทำให้ฉันจมปลักอยู่กับอารมณ์ขุ่นมัวของตัวเอง จนไม่อยากที่จะคิดอะไรอีกต่อไปแล้ว
“ถ้าเธอกินยา เธอก็ต้องกินมันต่อไปเรื่อยๆ ทุกๆ ครั้งที่จะขึ้นเวที ซึ่งหมายความว่าเธอจะไม่ได้ทำความฝันให้เป็นจริงด้วยตัวเธอเอง” ชายหนุ่มพูดเสียงเครียด เหมือนกับว่าต้องการที่จะเตือนสติของฉัน “แล้วฉันก็ไม่ได้มียานั่นอยู่ตลอดเวลาด้วย ถ้ายาหมดพอดีก่อนที่เธอจะขึ้นแสดงขึ้นมาล่ะ เธอจะทำยังไง”
“แต่ฉันคิดวิธีอื่นไม่ออกเลย... นอกจากยาวิเศษแล้ว ก็ไม่มีวิธีไหนที่จะทำให้ฉันหายตื่นกลัวตอนร้องเพลงต่อหน้าคนเยอะๆ ได้หรอก”
ใช่ ถ้าไม่มียา ฉันก็คงหมดหวังที่จะเป็นนักร้องอย่างสิ้นเชิง
“...มีสิ” เสียงเบาเอ่ยพึมพำออกมา เรียกให้ฉันหันไปมองเขาด้วยสายตาเนือยๆ อย่างไม่อยากที่จะคิดอะไรทั้งนั้น ไนท์หลุบสายตาลงต่ำเล็กน้อยเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่เพียงชั่วแวบหนึ่งถัดมา เขาก็ตวัดสายตากลับขึ้นมามองฉันอีกครั้ง พร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ ราวกับว่าคิดวิธีอะไรบางอย่างออก “เดี๋ยวฉันจะพาฉันไปเอง”
ฉันขมวดคิ้วอย่างรู้สึกฉงน เขาจะพาฉันไปที่ไหนกัน
“จะไปที่ไหนเหรอ”
“เธอเชื่อใจฉันหรือเปล่าล่ะ”
ฉันพยักหน้ากลับไปอย่างมั่นใจทันทีโดยที่ไม่เสียเวลาคิดเลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว
เมื่อได้รับคำตอบจากฉัน คนตรงหน้าก็เผยรอยยิ้มกว้างขึ้นอีก ก่อนจะค่อยๆ โน้มตัวเข้ามาจูบฉันอย่างอ่อนโยน แล้ววางหน้าผากของเขาพิงกับหน้าผากของฉันอย่างนิ่มนวล
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรทั้งนั้น” เสียงกระซิบกล่าวอย่างแผ่วเบา ซึ่งเป็นการเสริมกำลังใจ และช่วยพัดเอาความรู้สึกหม่นหมองที่กำลังก่อตัวอยู่ภายในใจของฉันให้ค่อยๆ จางหายไป รวมทั้งยังทำให้ฉันรู้สึกได้ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาก็จะคอยช่วยสนับสนุนและอยู่เคียงข้างฉันเอง
#########
เก้าโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น ไนท์พาฉันมาที่ทางเชื่อมระหว่างสถานีรถไฟฟ้ากับสถานีรถโดยสารประจำทางในย่านใจกลางเมืองแห่งหนึ่ง ตอนแรกฉันก็นึกสงสัยว่าเขาพาฉันมาที่นี่ทำไม แล้วยังเอากีตาร์คู่ใจของเขามาด้วยอีกต่างหาก แต่พอเห็นเขาเลือกหยุดยืนตรงเสาต้นหนึ่ง แล้ววางกระเป๋ากีตาร์เอาไว้ด้านหน้า ฉันก็ต้องร้องอ๋ออยู่ในใจทันที
“ไม่มีทาง” เสียงเด็ดขาดกล่าวปฏิเสธ พร้อมกับทำท่าจะเดินหนีทั้งๆ ที่คนตรงหน้ายังไม่ทันได้บอกอะไรฉันด้วยซ้ำ
“อย่าเพิ่งไปสิ” ไนท์หัวเราะเบาๆ พร้อมกับยื่นมือเข้ามาคว้าแขนฉันเอาไว้
เขาพาฉันมาเปิดหมวก ซึ่งเป็นการทำให้ฉันยิ่งตื่นตระหนกเข้าไปใหญ่ เพราะว่าฉันจะต้องยืนร้องเพลงในที่สาธารณะ โดยที่มีใครต่อใครก็ไม่รู้เดินผ่านไปผ่านมาเยอะแยะเต็มไปหมด ดีไม่ดีอาจจะทำให้ฉันกลัวการร้องเพลงหนักกว่าเดิมเลยก็ได้
ฉันทำหน้ามุ่ยขณะยืนมองกระเป๋ากีตาร์ตรงหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ฉันไม่เห็นว่าการทำแบบนี้จะช่วยทำให้ฉันกล้าร้องเพลงบนเวทีขึ้นมาได้ยังไงเลย
“เธอเพิ่งจะเคยขึ้นเวทีครั้งแรก ก็เลยตื่นกลัว เพราะว่าไม่ชินกับการที่จะต้องถูกสายตาของคนเยอะๆ จ้องมาใช่มั้ย ที่แบบนี้แหละคือเวทีชั้นยอดให้เธอได้ฝึกพัฒนาตัวเอง ทั้งเรื่องพลังเสียง อีกทั้งยังสามารถช่วยทำให้รู้สึกคุ้นชินกับคนเยอะๆ ได้ด้วยนะ”
“แต่...” ฉันพยายามจะเอ่ยแย้ง แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะแย้งอีกฝ่ายว่าอะไร เพราะว่าฉันเองก็รู้สึกเห็นด้วยกับเขา
“ฉันเข้าใจดีว่าเธอยังคงตกใจกลัวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอยู่” ไนท์อมยิ้มน้อยๆ ขณะพูดปลอบโยนฉันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จากนั้นเขาก็พะเยิดหน้าไปยังผู้คนมากมายที่กำลังเดินผ่านพวกเราไปมา โดยที่มีบางคนเหลือบสายตามองมาทางนี้บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วแทบจะไม่ได้ชายตามาที่พวกเราเลยแม้แต่นิดเดียว “เธอคงจะกลัวว่าคนอื่นจะเอาเธอไปเปรียบเทียบกับโจ้ ก็เลยกังวลว่าฉันจะทำได้ไม่ดีเท่าเขา แล้วก็อาจจะทำให้ตัวเองขายหน้า หรือทำให้วงเราต้องเสียชื่อหรือเปล่า พวกเขาจะมองว่าไม่ดีมั้ย มีแต่คนที่ไม่รู้จักอยู่เต็มไปหมด...
เธอไม่รู้จักพวกเขา เขาก็ไม่รู้จักเรา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเอาเธอไปเปรียบกับโจ้สักแค่ไหน หรือเธอจะเผลอทำท่าทางน่าอายขนาดไหนออกไป พวกเขาก็จะแค่คิดขำขันอยู่ในใจเพียงชั่ววูบเดียวเท่านั้น แล้วก็จะเลิกสนใจกันไปเอง สุดท้ายแล้วพวกเราทุกคนก็ต้องแยกย้าย อาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลยก็ได้ เพราะว่าเราไม่รู้จักกัน
แล้วเธอคิดว่า ความรู้สึก หรือความคิดเพียงแค่ชั่ววูบเดียวของคนพวกนั้น มันมีค่ามากถึงขนาดที่เธอจะต้องมาทนทุกข์ทรมานอยู่แบบนี้เลยเหรอ”
ฉันเม้มปากแน่น ขณะยืนฟังและมองสบสายตากับคนตรงหน้าอยู่เงียบๆ ภาพใบหน้าของชายหนุ่มเริ่มรางเลือนจากการถูกบดบังด้วยน้ำใสๆ ซึ่งกำลังเอ่อล้นอยู่ภายในดวงตา เมื่อคิดตามเขาไปเรื่อยๆ ความรู้สึกมากมายที่กำลังอัดแน่นอยู่ในอกก็เริ่มไหลทะลักออกมาไม่หยุด จนทำให้ฉันกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป สิ่งที่เขาพูดมานั้นถูกต้องทุกอย่าง ฉันกลัวการถูกเปรียบเทียบมากที่สุด เพราะว่าทั้งพ่อและแม่ต่างก็นำฉันไปเปรียบกับพี่แดน พี่ชายของฉันเกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรพี่ก็จะทำได้ดีกว่าอยู่เสมอ โดยเฉพาะเรื่องเรียน ซึ่งทำให้ฉันต้องถูกพ่อกับแม่พูดเสียดสี เปรียบเทียบระหว่างพวกเราสองคนอยู่เกือบตลอดเวลา
“ส่วนที่เธอกังวลเรื่องวง...” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ โดยที่ยังคงรอยยิ้มน้อยๆ เอาไว้ “ขนาดพวกเรายังไม่สนใจเลยว่าใครจะคิดยังไง เพราะฉะนั้นเธอก็ไม่ต้องไปคิดมากหรอก ไม่ว่าจะยังไง สุดท้ายแล้วมันก็จะผ่านไป แล้วกลายเป็นแค่อดีตไปเท่านั้นเอง”
ฉันค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ตอบกลับไปอย่างเข้าใจ ฉันคิดตามเขาไปด้วยทุกประโยค ทุกคำพูด ไนท์พูดถูกทุกอย่าง เขาเข้าใจฉัน และเป็นคนแรกที่เข้าใจฉันได้มากถึงขนาดนี้ คำพูดของเขาเป็นกำลังใจให้ฉันมากเหลือเกิน ในเมื่อไนท์พยายามช่วยฉันถึงขนาดนี้ เพราะฉะนั้นฉันจะต้องไม่ทำให้ความหวังดีของเขาสูญเปล่า ฉันจะต้องพยายามให้มากขึ้นกว่าเดิม ถึงแม้ว่าอุปสรรคตรงหน้าจะยากสักเพียงใด ฉันก็จะผ่านพ้นมันไปให้ได้
เพราะว่าฉันยังมีเขาอยู่ทั้งคน...ผู้เป็นทั้งเพื่อนคอยรับฟังปัญหา คนที่คอยอยู่เคียงข้างอยู่เสมอ และยังเป็นคนที่ฉันรักจนหมดหัวใจ
“ขอบคุณนะ” เสียงแผ่วเบากล่าวพร้อมรอยยิ้มด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ
ไนท์ค่อยๆ โน้มตัวเข้ามาประทับรอยจูบลงตรงหน้าผากของฉันอย่างอ่อนโยน ก่อนจะลืมตาปรือมองตรงมา พลางอมยิ้มน้อยๆ อย่างน่ารักเช่นเคย
ฉันหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับใช้มือเช็ดคราบน้ำตาที่อยู่บนใบหน้าของตัวเองออก จากนั้นฉันก็ผละตัวออกจากเขา หันไปยังเหล่าผู้คนแปลกหน้าที่เดินผ่านไปมา ไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียน นักศึกษา วัยทำงาน หรือคุณลุงคุณป้า ฉันพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับคิดถึงคำพูดของไนท์เมื่อครู่นี้เอาไว้ แม้ว่าจะถูกมองสักแค่ไหนก็อย่าไปสนใจ ตอนนี้ไม่มีใครมาเอาฉันไปเปรียบเทียบกับใครแล้ว
ไม่สิ ถึงแม้ว่าจะถูกนำไปเปรียบกับคนอื่น ฉันก็ต้องทำใจยอมรับมันให้ได้ต่างหาก ฉันจะต้องไม่รู้สึกหดหู่เพราะเรื่องแค่นี้ และจะต้องไม่ยอมให้การถูกพ่อแม่นำไปเปรียบเทียบกับพี่แดนอยู่ตลอดเวลานั้นมามีผลกับสภาพจิตใจของฉันได้อีกต่อไป
ฉันจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้
...แต่มันช่างทำได้ยากลำบากเหลือเกิน
“นายทำได้ยังไงเหรอ...” ฉันเอ่ยถามเสียงเบา ขณะหลุบสายตาลงต่ำไปที่พื้น “นายเอาชนะการตื่นกลัวเวทีได้ยังไง...”
เพียงแค่ฉันกำลังจะอ้าปากเพื่อลองเปล่งเสียงร้องออกมา ภาพความทรงจำ รวมทั้งความรู้สึกแย่ๆ ทั้งหลายเมื่อคืนนี้ก็ได้ไหลทะลักกลับเข้ามาในจิตใจ จนทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดและต้องยอมแพ้ไปอีกครั้งแล้ว
“ฉันทำได้ยังไงน่ะเหรอ...” ชายหนุ่มพูดทวนคำถามของฉัน
แต่แทนที่ไนท์จะตอบอธิบายกลับมา เขากลับเงียบไป แล้วค่อยๆ หลุบสายตาลงต่ำน้อยๆ ดูเหมือนคนเหม่อลอยที่กำลังจมอยู่ภวังค์ความคิดของตัวเอง “...ฉันรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของฉัน ฉันไม่ได้อยู่ที่นี่... ก็เลยไม่ได้รู้สึกประหม่าหรือกลัวอะไร...เพราะว่าฉันไม่ได้อยู่ตรงนี้”
ฉันขมวดคิ้วน้อยๆ ด้วยความรู้สึกฉงน ไม่เข้าใจว่าเขากำลังหมายถึงอะไร เขากำลังจะบอกว่าเขาไม่ได้อยู่บนเวทีตอนที่ขึ้นไปแสดงอย่างนั้นเหรอ แต่ความเป็นจริงแล้วเขาอยู่นี่นา
“ถ้างั้น...นายอยู่ที่ไหนกันล่ะ” ฉันถามกลับไป พร้อมกับคิดถึงเรื่องที่เขาอาจจะแอบเล่นกีตาร์อยู่หลังเวที บางทีในตอนที่เขาขึ้นแสดงบนเวทีครั้งแรกนั้น เขาอาจจะไม่ได้ขึ้นไปเล่น ‘บนเวที’ แต่เล่นอยู่หลังเวทีก็ได้
แต่คนถูกถามกลับไม่ยอมพูดตอบอะไร เขาหันมามองฉัน พลางยิ้มน้อยๆ เหมือนปกติโดยที่ไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหลุบสายตาลงต่ำ พร้อมกับหันกลับไปมองที่พื้นตรงหน้าอย่างเหม่อลอยเหมือนเดิม
“...ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” เสียงพึมพำเอ่ยตอบกลับมา โดยที่คงรอยยิ้มจางๆ เอาไว้อยู่อย่างนั้น
ไนท์บอกกับฉันว่าเขาเปิดหมวกครั้งแรกเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว ตอนที่เขาอายุสิบสี่ แต่อยู่ที่เดิมไปได้แค่ไม่กี่เดือน เขาก็ถูกไล่ ทำให้ต้องย้ายหาที่ใหม่ เปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ จนหลายปีต่อมาก็มีคนมาชวนให้ไปเล่นที่เดอะมิราเคิล เขาจึงเล่นอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงทุกวันนี้
“ไม่มีอะไรดีไปกว่าการฝึกฝนแล้วล่ะ” เป็นคำพูดให้กำลังที่ฉันได้รับจากเขาก่อนที่จะเริ่มร้องเพลงทุกครั้ง
สองสามวันแรกที่ฉันมาเปิดหมวกกับไนท์นั้น ฉันเอาแต่ร้องเสียงงึมงำอยู่กับตัวเอง พร้อมกับก้มหน้าอยู่ตลอดเวลา รู้สึกขายหน้าไม่น้อยที่ต้องมายืนร้องเพลงอยู่ที่สาธารณะ แต่ฉันก็พยายามฝืนร้องจนจบ
บางคนหันมามองฉันแล้วก็ยิ้มเหยียดๆ อย่างขำขัน ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกแย่จนไม่กล้าร้องเพลงต่อ แต่พอหันไปเห็นว่าไนท์ยังคงอมยิ้มน้อยๆ เล่นกีตาร์ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อให้ฉันร้องเพลงต่อ ฉันก็รู้สึกมีแรงฮึดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จึงพยายามไม่สนใจคนพวกนั้น
ใช่แล้ว ไนท์พูดถูก พวกเขาไม่ใช่คนรู้จักเสียหน่อย ทำไมฉันจะต้องไปแคร์ด้วยว่าเขาจะคิดยังไงกับการร้องเพลงของฉัน ฉันร้องเพลงเพราะอยากจะร้อง แม้ว่าจะไม่มีไมค์ ฉันก็จะร้อง ไม่ว่าใครหรือสิ่งใดก็มาขวางฉันไม่ได้ แม้แต่จะเป็นอุปสรรคอย่างความหวาดกลัวเวที ซึ่งอยู่ในจิตใจของฉันเองก็ตาม
ฉันร้องเพลงต่อไปเรื่อยๆ อีกหลายเพลง จนในที่สุดฉันก็เริ่มรู้สึกชิน และกล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมามองเหล่าคนแปลกหน้าทั้งหลาย
แต่วันรุ่งขึ้นฉันก็กลับไปมีอาการแบบเดิมอีกก่อนที่จะเริ่มร้องเพลง และพอเริ่มร้องไปหลายๆ เพลง ฉันถึงค่อยมีความกล้าขึ้นเรื่อยๆ แล้ววันต่อๆ มาฉันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่ค่อยกล้าเปล่งเสียงร้องสองสามเพลงแรกของวัน ต้องผ่านไปหลายๆ เพลงแล้วถึงจะค่อยมีความกล้ามากขึ้น
จากตอนแรกที่ฉันต้องร้องถึงหกเพลง แล้วถึงจะค่อยเริ่มรู้สึกคุ้นชิน หลายวันหลังจากนั้นจนเข้าสู่สัปดาห์ที่สอง ระยะเวลาในการปรับตัวก็ค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ จนในที่สุดฉันก็สามารถร้องเพลงได้ โดยที่ไม่ต้องก้มหน้ามองพื้นอีกต่อไป จนกระทั่งเริ่มมีคนมายืนฟังเพลงของพวกเราอยู่สองสามคน
แม้ว่าฉันจะยังคงรู้สึกประหม่าอยู่ไม่น้อย แต่มันก็ทำให้ฉันรู้สึกภูมิใจมากๆ ที่สามารถเอาชนะความรู้สึกหวาดกลัวของตัวเองได้ เป็นเพราะว่าฉันมีไนท์อยู่เคียงข้าง คอยเป็นกำลังใจมาโดยตลอด ฉันถึงได้มีกำลังใจที่จะพัฒนาตัวเองให้ได้แบบนี้
ถึงแม้ว่าเรื่องร้องเพลงในที่สาธารณะจะไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับฉันอีกต่อไป แต่ฉันก็อดที่จะคิดกังวลถึงสมาชิกคนอื่นๆ ของวง May-B ขึ้นมาไม่ได้ ตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมาฉันก็ยังไม่ได้กลับไปที่เดอะมิราเคิลเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ได้คุยไลน์กับพวกเขาด้วย มีแต่ไนท์ที่ไปซ้อมกับพวกบอยตอนช่วงเย็นทุกวัน ฉันไม่กล้าถามถึงสมาชิกวงคนอื่นๆ เพราะกลัวคำตอบที่จะได้รับ
ยิ่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าอยากจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตเหลือเกิน แต่ช่างน่าเสียดาย ที่คนเราไม่สามารถย้อนกลับไปในอดีตเพื่อแก้ไขสิ่งผิดพลาดของตัวเองได้
หลายวันที่ผ่านมานั้นพวกเราทำเงินได้เยอะพอสมควรอย่างไม่น่าเชื่อ ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการเปิดหมวกจะมีรายได้ค่อนข้างดีถึงขนาดนี้ แต่พอไนท์เห็นฉันทำตาโตตอนที่นับจำนวนเงิน เขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับบอกว่ามันขึ้นอยู่กับสถานที่ด้วย ต้องเลือกทำเลดีๆ
วันนี้ฉันก็ยังคงมาเปิดหมวกกับไนท์ตั้งแต่เก้าโมงเช้าอีกเช่นเคย ระหว่างร้องเพลงไปเรื่อยๆ ฉันก็กวาดสายตามองไปรอบๆ ตัวอย่างไม่คิดอะไร แล้วก็ไปหยุดสายตาลงที่ไนท์ จึงเห็นว่าวันนี้เขาก็ยังคงใส่แปลกแขนยาวสีดำสนิทตามสไตล์ของตัวเองเหมือนทุกวัน ทั้งๆ ที่อากาศร้อนอบอ้าวถึงขนาดนี้ แต่ไนท์กลับแทบไม่มีเหงื่อออกเลยด้วยซ้ำ ผิดกับฉันที่รู้สึกร้อนมากเสียจนอยากวิ่งไปอาบน้ำเสียเดี๋ยวนี้เลย
สงสัยคงจะร้องต่อได้อีกแค่สองสามเพลง เพราะว่าวันนี้ร้อนมากกว่าวันอื่นๆ แล้วฉันก็ทนอากาศร้อนได้ไม่ค่อยเก่งสักเท่าไหร่
ทันใดนั้นเอง อยู่ๆ ฉันก็นึกสนุกอยากจะลองทำอะไรบางอย่างขึ้นมา จึงหันไปหาคนข้างกายทันทีที่ร้องจบเพลง พร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างไปให้
“ขอยืมปลอกแขนของนายหน่อยสิ” เสียงสดใสพูดขึ้น พร้อมกับแบมือขอปลอกแขนสีดำของเขา “ขอข้างหนึ่ง”
“จะเอาไปทำอะไรล่ะเนี่ย” ไนท์หัวเราะออกมาเบาๆ
“เอามาใส่คู่กัน” ฉันยิ้มแฉ่งอย่างรู้สึกเขินน้อยๆ ไหนๆ ก็จะร้องต่ออีกแค่ไม่กี่เพลงแล้ว ฉันอยากจะลองใส่ปลอกแขนคู่กับเขาตอนร้องเพลงดูบ้าง จริงสิ วันพรุ่งนี้ฉันจะลองแต่งตัวคู่กับเขาด้วยดีกว่า
“มันร้อนนะ” ไนท์ตอบกลับมาพร้อมด้วยเสียงหัวเราะขำขันน้อยๆ คงเป็นเพราะว่าตอนนี้ฉันเหงื่อออกเยอะมาก จนปรากฏเม็ดเหงื่อผุดพรายให้เห็นเด่นชัดอยู่บนใบ้หน้าแน่ๆ เขาถึงได้เอาแต่หัวเราะน้อยๆ อยู่อย่างนั้น
ฉันลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกเสียดาย พอนึกถึงสภาพอากาศในตอนนี้แล้วฉันก็ต้องเห็นด้วยกับไนท์ เพราะว่าฉันคงทนอากาศร้อนได้ไม่ไหวจริงๆ นั่นแหละ
ฉันเริ่มร้องเพลงถัดไปหลังจากที่ไนท์ไล่นิ้วดีดสายกีตาร์ สร้างเสียงดนตรีแสนไพเราะออกมาอีกครั้ง ฉันร้องเพลงไปเรื่อยๆ อย่างรู้สึกสนุกสนาน จนเริ่มมีชายหนุ่มในชุดนักศึกษาคนหนึ่งมายืนฟัง เขายืนอยู่พักหนึ่งจนกระทั่งฉันร้องเกือบจะจบเพลง แต่อยู่ๆ ชายหนุ่มตรงหน้าก็เดินยิ้มๆ เข้ามาใกล้
“เธอชื่ออะไรเหรอ ขอไลน์หน่อยดิ” เสียงสดใสเอ่ยขัดจังหวะฉันร้องเพลง ทำให้ฉันชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมา อย่างไม่คิดมาก่อนว่าจะมาถูกจีบในที่แบบนี้
“ฉันมีแฟนแล...” ฉันไม่ได้สังเกตเลยว่าเสียงกีตาร์เงียบไปแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ ยังไม่ทันที่ฉันจะได้พูดจนจบประโยค อยู่ๆ คนข้างกายก็พูดเสียงเย็นชาขัดขึ้นมาทันควัน
“ไปให้พ้น” ไนท์ถลึงตาน่ากลัวมองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง ฉันเห็นว่าเขากำลังขบกรามแน่นด้วยอารมณ์เดือดที่กำลังพุ่งขึ้นสูงจนฉันต้องรู้สึกหวาดหวั่น
“ไนท์...” ฉันยิ้มเจื่อนๆ พร้อมกับมองไปที่เขาอย่างกลัวๆ “ใจเย็นก่อนนะ...”
หนุ่มนักศึกษาเองก็มีสีหน้าอึ้งๆ ไปไม่น้อย แต่ก็ยังคงยืนอยู่กับที่ มองสบสายตากับไนท์อย่างงงๆ ก่อนจะค่อยๆ เดินถอยหลังไปทีละนิด แล้วทำท่าว่าจะเดินจากไปด้วยความที่ไม่อยากจะมีเรื่อง...
“นี่แฟนกู มึงอย่าเสือก” ไนท์ตะคอกเสียงลั่น ก่อนจะพุ่งตัวเข้าใส่หนุ่มแปลกหน้า พร้อมกับปล่อยหมัดใส่เขาสุดแรงทันที
ฉันสะดุ้งเฮือก อ้าปากค้างขณะเบิกตากว้างมองไนท์ด้วยความตกใจสุดขีด เขาลงไปนั่งคร่อมหนุ่มนักศึกษาที่ถูกต่อยจนล้มลงไปกับพื้น แล้วปล่อยหมัดใส่อีกฝ่ายซ้ำอีกหน
แล้วหมัดที่สามหมัดที่สี่ก็ตามมา โดยมีเหล่าฝูงไทยมุงเริ่มปฏิบัติหน้าที่ของการเป็นผู้ชมด้วยการวิ่งเข้ามายืนล้อมวงพวกเราทั้งสามคนเอาไว้ ไนท์พูดถูกว่าที่นี่คือเวทีชั้นยอดเลยทีเดียว
...เวทีการใช้ความรุนแรง
##########
//โปรดติดตามตอนต่อไป//
LazyMe
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.ค. 2560, 00:00:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ก.ค. 2560, 00:00:48 น.
จำนวนการเข้าชม : 773
<< บทเพลงที่ 11 | บทเพลงที่ 13 >> |