Crazy Love Song เพลงรักลวงใจ
เธอ ฝันอยากจะเป็นนักร้อง เลือกเดินหนีจากทุกสิ่งเพื่อไขว่คว้าหาอิสระ
เขา นักดนตรีผู้ไร้ความฝัน เลือกเดินหนีจากทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าหาที่พักของหัวใจ
พวกเขาจะพากันหนีไปจนสุดขอบฟ้า... หรือว่าจะดิ่งลงเหวไปด้วยกัน
เขา นักดนตรีผู้ไร้ความฝัน เลือกเดินหนีจากทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าหาที่พักของหัวใจ
พวกเขาจะพากันหนีไปจนสุดขอบฟ้า... หรือว่าจะดิ่งลงเหวไปด้วยกัน
Tags: วัยรุ่น,ดราม่า,ดนตรี,วง,รัก,ดาร์ก
ตอน: บทเพลงที่ 13
บทเพลงที่ 13
The awakening
“ไนท์ หยุดนะ” ฉันพยายามส่งเสียงเรียกเขา แต่ผู้เป็นเจ้าของชื่อกลับยังคงชกหน้าหนุ่มนักศึกษาไม่หยุด จนในที่สุดฉันจึงต้องเพิ่มระดับเสียง ตะโกนดังลั่น “ไนท์!”
ไนท์หันขวับมาจ้องฉันเขม็งด้วยสายตาน่ากลัว จนฉันต้องสะดุ้งเฮือกด้วยความหวาดกลัว เขามองฉันพร้อมกับหายใจแรงจากอารมณ์โทสะอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ลุกจากหนุ่มนักศึกษาที่ใบหน้าบอบช้ำเสียจนมีเลือดเปรอะอยู่เต็มไหมด ก่อนจะเดินเข้ามาคว้ากีตาร์ แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ยังคงทิ้งกระเป๋ากีตาร์ซึ่งมีเงินค่าชมเอาไว้อยู่กับพื้นอยู่อย่างนั้น
ฉันรีบวิ่งตามชายหนุ่มไปโดยไม่สนใจของของพวกเราที่วางทิ้งเอาไว้ ไนท์เดินเร็วมากเสียจนฉันเกือบวิ่งตามเขาไม่ทัน แม้ว่าฉันจะพยายามตะโกนเรียกเขาสักกี่ครั้ง แต่คนตรงหน้าก็ไม่หยุดรอฉันหรือชะลอฝีเท้าลงเลยแม้แต่นิดเดียว
ชายหนุ่มเลี้ยวเดินเข้าไปในห้าง ซึ่งฉันก็วิ่งตามเขาเข้าไปข้างใน แต่แล้วก็เห็นว่าเขาเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ทำให้ฉันต้องยืนรอเขาอยู่ข้างนอกอย่างไม่มีทางเลือกอื่น ระหว่างที่ยืนพิงกำแพงรอไนท์ ฉันก็หวนย้อนกลับไปนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้อย่างไม่เข้าใจว่าเขาเป็นอะไรไป ทำไมถึงต้องชกหนุ่มนักศึกษาคนนั้นถึงขนาดนั้น แถมยังตามลงไปชกต่อทั้งๆ ที่อีกฝ่ายหมดทางสู้แล้วอีกต่างหาก ฉันเข้าใจว่าเขาคงหึง แต่พูดจากันดีๆ ก็ได้นี่
ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกปวดหัว ไม่อยากอยู่กับความเครียดอยู่แบบนี้ อีกทั้งยังรู้สึกกระวนกระวาย ย้อนกลับมาคิดถึงยาวิเศษของไนท์อีกจนได้ ฉันไม่รู้ว่าเขาได้ยาชุดใหม่มาหรือยัง เพราะว่าฉันอยากจะหาอะไรเข้าปอดมาช่วยดูดซับความรู้สึกแย่ๆ ทั้งหลายนี่ให้หายไปเสียที
เวลาผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดไนท์ก็เดินออกมาจากห้องน้ำ แต่พอหันไปมองเขาแล้วฉันก็ต้องรู้สึกงุนงงขึ้นมาทันที เพราะว่าคนตรงหน้าที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำนั้นกำลังยิ้มแฉ่ง ดูร่าเริงมีความสุข ผิดกับไนท์คนก่อนหน้านี้ลิ่บลิ่วราวกับว่าเป็นคนละคน
“เมื่อกี้นายเป็นอะไรไป” เสียงห้วนเอ่ยถามพร้อมกับทำหน้าบึ้งอย่างไม่พอใจ แต่คนถูกถามกลับยังคงยิ้มแย้มดูอารมณ์ดี เอาแขนมาคล้องคอฉันโดยที่ไม่สนใจคำถามนั้น
“เราจะกลับไปเล่นกันต่อ” ไนท์พูดเสียงสดใส พาฉันเดินกลับไปยังทางเดิมก่อนหน้านี้
“วันนี้ฉันเหนื่อยแล้ว” ฉันส่ายหน้าปฏิเสธ พร้อมกับหยุดเดินทันควัน ทำให้ไนท์ต้องหยุดชะงักไปด้วยอีกคน “ฉันไม่มีอารมณ์อยากจะร้องเพลงแล้ว”
เขาหันมามองฉัน ก่อนจะเบือนสายตาไปทางอื่นโดยที่ยังคงยิ้มแย้มเหมือนไม่รู้สึกอะไร
“แล้วเมื่อกี้นี้มันอะไรกัน นายไปต่อยเขาทำไม” ฉันพูดเสียงเครียด พร้อมกับมองเขาอย่างจริงจัง แต่ไนท์กลับยังคงมองไปรอบๆ พร้อมกับยิ้มแย้มอย่างร่าเริงอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่ยอมหันมามองสบสายตากับฉันเลย ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังฟังฉันพูดอยู่หรือเปล่า
แต่จู่ๆ เขาก็ก้มหน้าลงมาพูดกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู
“วันนี้ฉันพกของดีมาด้วยล่ะ” ยังไม่ทันที่ไนท์จะพูดจบประโยคดีฉันก็รู้สึกว่าเขายัดอะไรบางอย่างใส่ในมือขวามาให้
ฉันขมวดคิ้วอย่างงงๆ ก้มมองสิ่งที่อยู่ในมือว่ามันคืออะไร
แต่แล้วฉันก็ต้องเผยรอยยิ้มกว้างออกมาด้วยความยินดี ไม่สนใจเรื่องชกต่อยเมื่อครู่อีกต่อไป พร้อมกับเงยหน้ามองไนท์ ซึ่งกำลังทำตาปรือมองตรงมาพร้อมด้วยรอยยิ้มอบอุ่นอยู่เช่นเคย แล้วเขาก็พเยิดหน้าไปทางห้องน้ำ เมื่อเห็นดังนั้นฉันจึงรีบวิ่งแยกไปเข้าห้องน้ำหญิงตามที่เขาบอกทันที
ฉันค่อยๆ คลายมือขวาออกทีละนิด เผยให้เห็นซองพลาสติกขนาดเล็กซึ่งถูกบรรจุด้วยผงสีขาวแสนคุ้นตา รวมทั้งยังมีหลอดเล็กๆ ให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างสะดวกอีกด้วย ต้องกล่าวชมไนท์จริงๆ ที่เขาเตรียมพร้อมมาให้ฉันถึงขนาดนี้
ฉันสูดยาวิเศษเข้าทางโพรงจมูก หลังจากนั้นโลกก็กลับมาสดใสอีกครั้ง รวมทั้งรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันตา ความรู้สึกแย่ๆ ทั้งหมดหายไปเป็นปลิดทิ้ง จะให้ฉันร้องเพลงติดต่อกันทั้งวันทั้งคืนเลยก็ยังได้
หลังจากที่ออกมาจากห้องน้ำ ฉันก็เดินยิ้มร่าเข้าไปหาไนท์ ซึ่งกำลังยิ้มน้อยๆ อย่างพึงพอใจขณะมองตรงมาที่ฉัน ฉันจินตนาการว่าตัวเองเป็นฉันผู้สูงศักดิ์ ยื่นมือออกไปด้านหน้า รอให้ชายหนุ่มมารับมือของฉันไป ไนท์กุมมือฉันเอาไว้ ก่อนจะดึงให้ฉันหมุนตัวเข้าไปหาเขา พร้อมกับปล่อยมือออก ซึ่งเป็นจังหวะที่ฉันโน้มตัวไปกอดเขาพอดี แล้วพวกเราก็หลุดขำออกมาเบาๆ พลางส่งเสียงหัวเราะคิกคักให้กันอย่างมีความสุข
#########
ไม่กี่วันต่อมา ฉันก็กลับไปที่เดอะมิราเคิลเพื่อขอโทษสมาชิกวง May-B ทุกคนอย่างจริงจัง ซึ่งทุกคนดีกับฉันมาก บอยบอกว่าเขาโกรธทั้งฉันและไนท์ในตอนแรกๆ แต่เรื่องมันเกิดไปแล้วโดยที่ฉันไม่ได้ตั้งใจ และฉันก็มาขอโทษพวกเขาแล้ว เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงให้อภัย และไม่นึกโทษฉันอีก ซึ่งมันให้ฉันต้องรู้สึกตื้นตันใจ รวมทั้งยังคิดว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ได้มาพบกับเพื่อนดีๆ แบบนี้
ส่วนไนท์กับโจ้นั้น แม้ว่าโจ้จะกลับมาเฮฮาร่าเริงเหมือนปกติแล้วก็ตาม แต่ฉันก็ยังเห็นว่าพวกเขาทำเย็นชาใส่กันโดยที่ไม่มีใครเอ่ยพูดกับใครก่อนเลย ซึ่งมันทำให้บรรยากาศตอนซ้อมดูอึมครึมไปมากพอสมควร จนบอยกับโน้ตต้องเรียกพวกเขาทั้งคู่ออกไปคุยแยกทีละคน แต่สุดท้ายแล้วทั้งสองคนก็ยังคงทำเมินใส่กันอยู่ดี
ฉันรู้สึกอึดอัดที่เห็นพวกเขาเป็นแบบนั้น เพราะว่าฉันยังคงมั่นใจว่าฉันเป็นคนผิด แล้วก็รู้สึกผิดมากด้วย แต่ฉันไม่รู้ว่าควรจะต้องทำยังไง กลัวว่าถ้าพูดอะไรออกไปอาจจะยิ่งเป็นการทำให้สถานการณ์หรือความสัมพันธ์ของทั้งสองคนแย่ลงไปกว่าเดิม เพราะคนเราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอดีตที่ผ่านมาได้ ฉันจึงไม่ได้ทำอะไรเลย ซึ่งมันทำให้ฉันเครียดมาก แต่ก็พยายามไม่แสดงออกมาให้พวกไนท์รู้ ดังนั้นเมื่อใดที่ฉันรู้สึกเครียด ฉันจึงหันไปใช้ ‘ตัวช่วย’ ช่วยลบความรู้แย่ๆ ทั้งหลายให้หมดไป
ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีที่เหลือเกินไนท์ได้ยาวิเศษมาแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงไม่ต้องอดทนอยู่กับความรู้สึกหดหู่ เฉื่อยๆ ไปตลอด เมื่อใดที่อยากจะรู้สึกครึกครื้น พวกเราก็จะแอบใช้ยาสักเล็กน้อย ทั้งตอนที่อยู่ด้วยกัน ออกมาเปิดหมวกข้างทาง หรือแม้แต่ที่เดอะมิราเคิล
ฉันขอแบ่งบางส่วนมาจากไนท์เพื่อเอาไปใช้ที่ทำงานของฉันเองด้วย สมแล้วที่ถูกเรียกว่าเป็น ‘ตัวช่วย’ เพียงแค่สูดมันเข้าปอดไม่กี่ที ฉันก็ไม่รู้สึกเหนื่อยจากการทำงานเลยแม้แต่น้อย แต่กลับกระตือร้นอยากที่จะทำงานหนักมากกว่าเดิมอีกต่างหาก จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องเป็นงานก็ได้ ขอให้มีอะไรสักอย่างมาให้ฉันทำก็พอ นอกจากนี้ฉันยังสามารถเข้าร่วมวงสนทนากับกลุ่มของหนุ่มตุ้งติ้งที่ชื่อมิน หรือมินนี่ได้อย่างสบาย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้รู้สึกอยากจะเข้าไปพูดคุยกับใครเลยสักนิดเดียว แต่ฉันในตอนนี้กลับสามารถคุยเฮฮากับพวกเขาได้อย่างสนุกสนาน ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกลายเป็นคนละคนที่อยู่ๆ ก็ชื่นชอบการเข้าสงคมขึ้นมา
อาทิตย์ต่อมา ฉันก็ยังคงตื่นเช้าไปหาไนท์ทุกวัน แล้วก็ออกไปร้องเพลงเปิดหมวกบ้างเป็นบางวัน ต่อจากนั้นก็จะไปที่เดอะมิราเคิลพร้อมๆ กับเขา ส่วนวันไหนที่ไม่ได้ออกไปเปิดหมวก พวกเราก็ออกไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ โดยที่ไนท์ก็ยังคงเอาแต่ถ่ายวิดีโอฉันอยู่เช่นเดิม หรือแม้แต่ตอนไปเปิดหมวก เขาก็ยังเอากล้องมาตั้งถ่ายวิดีโอฉันด้วยอีกต่างหาก ส่วนตัวเองก็เล่นกีตาร์แอบหลบอยู่ด้านหลังกล้องอีกเหมือนเคย
“ทำอะไรอยู่เหรอ” ฉันเอ่ยทักชายหนุ่มอย่างสงสัยที่เห็นเขานั่งทำอะไรสักอย่างอยู่กับคอมพิวเตอร์มาเป็นชั่วโมงๆ แต่พอฉันเดินเข้าไปใกล้ เขาก็พับหน้าจอลงมาปิดเสียอย่างนั้น แล้วหันมายิ้มๆ พร้อมกับลุกขึ้นมาจุ๊บปากฉันเบาๆ
“ความลับ” เสียงนุ่มพูด พลางอมยิ้มน้อยๆ อย่างขี้เล่น ซึ่งเป็นรอยยิ้มแสนน่ารักที่ทำให้ฉันเกือบจะเผลอยิ้มตามเขาไปด้วยอีกคน แต่ฉันต้องรีบหุบยิ้มของตัวเองโดยพลัน แล้วทำมุ่ยอย่างงอนๆ
แต่แทนที่ไนท์จะยอมตอบคำถามของฉัน เขากลับหัวเราะขำขันออกมา แล้วเอื้อมมือมาดึงตัวฉันเข้าไปกอด
“เอาไว้ให้เป็นของขวัญวันเกิดปีหน้า”
ฉันทำตาโตอย่างแปลกใจน้อยๆ อีกทั้งยังหัวใจพองโตด้วยความรู้สึกตื่นเต้น นี่เขาคิดของขวัญวันเกิดให้ฉันก่อนถึงเวลาตั้งครึ่งค่อนปีเชียวเหรอ แต่ในขณะเดียวกัน แบบนี้ก็แสดงว่า ฉันจะต้องรอลุ้นไปอีกตั้งครึ่งปีกว่าจะได้รู้ว่ามันคืออะไรน่ะสิ
รอลุ้นอีกครึ่งปี... ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า พวกเราสองคนจะอยู่ด้วยกันไปจนถึงวันเกิดปีหน้าของฉันสินะ
ฉันหันไปยิ้มกว้างให้กับเขาด้วยความรู้สึกดีใจสุดๆ ก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมาเบาๆ
หลังจากนั้นอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงถัดมา ไนท์ก็ชวนฉันออกไปกินข้าวกลางวันข้างนอก ฉันจึงตัดสินใจเลือกไปที่ห้าง เพราะว่าจะได้เดินเล่นฆ่าเวลาก่อนที่เขาจะต้องไปซ้อมดนตรีกับพวกบอยต่อ ในระหว่างนั้นพวกเราก็คุยกันถึงเรื่องอาหารที่ตัวเองไม่ชอบ เนื่องจากมื้ออาหารกลางวันก่อนหน้านี้ฉันเอาแต่ปฏิเสธเมนูอาหารที่มีของทอดทั้งหลาย แล้วฉันก็ได้รู้ว่าเขาเป็นคนกินง่ายคนหนึ่งเลยทีเดียว เพราะไม่ว่าฉันจะเสนอชื่ออาหารอะไรออกไป ไนท์ก็จะตอบว่ากินได้หมดทุกอย่างเลย มีแต่ฉันที่จำกัดของกิน โดยเฉพาะไก่ทอด ซึ่งเป็นเมนูอาหารที่ฉันไม่ชอบเอามากๆ
“จริงสิ พวกเรายังไม่ได้บอกเธอเลย” ไนท์พูดขึ้น ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังยืนอยู่ตรงบันไดเลื่อนขึ้นไปชั้นสอง “เพลงที่สองของ May-B ยอดวิวกำลังจะแตะแสนแล้วล่ะ”
“จริงเหรอ!” ฉันยิ้มกว้าง พร้อมกับหันไปมองคนข้างกายอย่างตื่นเต้น อีกทั้งยังภูมิใจในตัวพวกเขาทั้งสี่คนด้วย ฉันรู้สึกดีใจมากที่คนอื่นๆ ได้เห็นความสามารถของพวกเขา ว่าแล้วเชียวว่าวง May-B นั้นสุดยอดจริงๆ
ไนท์หลุดขำออกมาเบาๆ เมื่อได้เห็นปฏิกิริยาตื่นเต้นดีใจสุดขีดของฉัน พอฉันแสดงท่าทางดีใจทีไร เขาก็ชอบหัวเราะอยู่เรื่อยเลย มันแปลกตรงไหนกัน ก็ฉันดีใจมากนี่นา
“เดย์?” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านขวามือเมื่อพวกเราขึ้นมาถึงชั้นสอง เรียกให้ฉันหันไปมองยังที่มาของเสียง โดยที่ยังคงรอยยิ้มกว้างอยู่บนใบหน้าเอาไว้
แต่แล้วรอยยิ้มนั้นก็ต้องหายวับไปในทันใดทันทีที่ฉันเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
พลอย
“ไปกันเถอะ” ฉันหันกลับมาดึงแขนไนท์ให้เดินไปอีกทาง พร้อมกับรีบก้าวเท้าเดินหนีอดีตเพื่อนรัก โดยทำเป็นว่าพลอยไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น ฉันบังเอิญเจอพลอยเป็นครั้งที่สองแล้ว นี่มันอะไรกัน โชคชะตาจะเล่นตลกด้วยการให้พลอยตามมาคอยหลอกหลอนฉันอยู่แบบนี้ตลอดไปเลยหรือยังไง
“เดย์!” คนข้างหลังยังคงตะโกนเรียกชื่อของฉัน พร้อมกับรีบเดินตามพวกเราทั้งสองมาติดๆ แม้ว่าฉันเร่งฝีเท้ามากขึ้นอีก แต่พลอยก็เร่งฝีเท้าตามมาด้วยเช่นกัน จนในที่สุดฉันก็ตัดสินใจว่าจะทำเป็นไม่ได้ยิน มองไม่เห็น ทำให้เหมือนกับว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตน อยากจะวิ่งตามมาก็เชิญ หรืออยากจะพูดอะไรก็ได้ ฉันจะไม่สนใจเด็ดขาด
“เดย์ ที่มหาลัยสนุกมากเลยนะ” พลอยเร่งฝีเท้าขึ้นมาตีเสมอ แล้วเดินขนาบข้างไปพร้อมๆ กับพวกเรา “กิจกรรมห้องเชียร์สนุกมาก
ฉันชักสีหน้าอย่างรู้สึกฉุน พร้อมกับหยุดเดินทันควัน ซึ่งทำให้ทั้งไนท์และพลอยหยุดยืนอยู่กับที่ด้วยเช่นกัน
พลอยตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ จะมาพูดกรอกหูฉันเรื่องมหาวิทยาลัยทำไม
แต่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน ฉันก็จะไม่มีวันสนใจ
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉันจึงเริ่มก้าวเดินต่อโดยที่ไม่ยอมหันไปมองอดีตเพื่อนสนิทแม้แต่น้อย แต่ก้าวเดินต่อไปได้เพียงแค่ไม่กี่ก้าว อยู่ๆ พลอยก็วิ่งมาขวางฉันกับไนท์ ตีสีหน้าเคร่งเครียดราวกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากเหลือเกิน
ฉันจ้องเขม็งไปที่คนตรงหน้าอย่างเย็นชา ฉันไม่รู้ว่าพลอยคิดจะทำอะไร แล้วก็ไม่ได้อยากที่จะรู้ด้วย ดังนั้นฉันจึงดึงแขนไนท์ให้เดินเลี้ยวกลับไปยังทางเดิม ก่อนที่จะถูกพลอยวิ่งเข้ามาขวางทางเอาไว้อีกจนได้
แต่คราวนี้พลอยกลับเพ่งสายตาเคร่งเครียดจ้องไปที่ไนท์แทน
“คุณเป็นแฟนของเดย์สินะคะ” เสียงห้วนพูดขึ้น “พ่อแม่ฉันบอกฉันมาว่าเดย์ไปอยู่กับแฟน”
ฉันเม้มปากแน่นด้วยความรู้สึกโกรธ นอกจากพลอยจะขายฉันแล้ว นี่ยังจะมายุ่งเรื่องฉันกับไนท์อีกเหรอ
“แทนที่เดย์จะได้ใช้ชีวิตนักศึกษาในรั้วมหาลัยเหมือนคนอื่นๆ ได้พบกับความสนุก แต่คุณกลับฉุดเดย์ออกจากสังคมภายนอก คุณกำลังทำลายชีวิตของเธออยู่” พลอยพูดเสียงแข็งอย่างก้าวร้าว พร้อมทำสีหน้าดูแคลนราวกับว่าไนท์เป็นคนเลวทรามอย่างนั้นแหละ แล้วพลอยก็แค่นหัวเราะออกมา ก่อนที่จะหรี่ตาลงเล็กน้อย พร้อมกับย้อนถามเขาด้วยสีหน้าเหมือนกับว่าไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง “...นี่คุณรักเดย์จริงหรือเปล่าน่ะ”
“มันไม่เกี่ยวกับเขา” ฉันสวนกลับไปอย่างโมโห พร้อมกับก้าวขาออกไปยืนประจัญหน้ากับอีกฝ่าย “ฉันไม่อยากเข้ามหาลัยเอง แล้วฉันก็พบเขาหลังจากที่หมดเขตสมัครแอดมิชชั่นไปตั้งนานแล้วด้วย”
ทันทีที่พูดจบ ฉันก็ดึงแขนไนท์ให้ตามฉันมา พร้อมกับเดินหนีจากพลอยไปอีกทาง พอเดินไปได้พักหนึ่ง ฉันก็หันไปมองทางด้านหลัง แล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก พร้อมกับปล่อยแขนของไนท์ หยุดเดินด้วยความรู้สึกสบายใจ ในที่สุดยัยตัวน่ารำคาญนั่นก็เลิกเดินตามตื๊อพวกเรามาเสียที
“ไปกันเถอะ” ฉันกลับมามีสีหน้ายิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดีเหมือนเดิม แล้วก้าวขาเดินต่อไปเรื่อยๆ พลางพูดยิ้มๆ ไปด้วยอย่างร่าเริง “ฉันอยากลองกินเค้กส้มที่ร้านนั้นมานานแล้วล่ะ เดี๋ยวระ...”
ฉันหันไปมองคนข้างหลังด้วยความแปลกใจเพราะว่าเขาไม่ได้เดินตามมา ไนท์ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อนใดๆ ทั้งสิ้น เพ่งสายตามองไปที่พื้น ดูเหมือนว่ากำลังจมอยู่ภวังค์ของตัวเอง
“ไนท์?” ฉันเอ่ยเรียกชื่อเขา แต่ชายหนุ่มกลับยังคงยืนนิ่ง เหมือนกับว่าไม่ได้ยินเสียงของฉัน ดังนั้นฉันจึงเพิ่งระดับเสียงขึ้นอีก “ไนท์”
แต่คนถูกเรียกก็ยังคงยืนเหม่อลอย ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบกลับมา ทำให้ฉันต้องเรียกชื่อเขาอีกรอบเป็นครั้งที่สาม
“ไนท์”
ชายหนุ่มสะดุ้งน้อยๆ เหมือนเพิ่งรู้สึกตัว พร้อมกับเหลือบสายตาขึ้นมามองฉัน
“อย่าไปสนใจเลย น่ารำคาญ” ฉันยิ้มกว้างเมื่อเห็นเขาหันมาสนใจฉันแล้ว จากนั้นก็วิ่งเข้าไปหาเขา พร้อมกับทำท่าแบมือขอขนมจากอีกฝ่าย ซึ่งฉันมั่นใจว่า ไนท์รู้ดีว่าฉันอยากได้อะไร เพราะว่ามันมีอยู่แค่อย่างเดียวเท่านั้น
คนตรงหน้ามองสบสายตากับฉันด้วยสีหน้านิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุบสายตาลง พร้อมกับเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา
“อือ” ไนท์หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเขา แล้วยัดมันใส่มือของฉันทันที ฉันเคยชินกับการยื่นยาให้แบบเปิดเผยของชายหนุ่ม เขาเคยบอกกับฉันว่าถ้าทำตัวมีพิรุธ มันก็จะยิ่งกลายเป็นเป้าสายตา เพราะฉะนั้นจึงควรทำเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องปกติทั่วไป แล้วคนรอบข้างก็จะไม่ทันได้สังเกตอะไร
ฉันยิ้มร่าด้วยความดีใจทันทีหลังจากที่แอบดูสิ่งที่อยู่ในมือขวาของตัวเองเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็เดินตรงไปที่ห้องน้ำด้วยกัน
########
ช่วงนี้พ่อมีงานยุ่ง ฉันจึงไม่ได้เห็นหน้าพ่อมาเป็นอาทิตย์แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นโชคดีของฉันที่จะได้ไม่ต้องมาทนฟังคำด่าของพ่อเรื่องโน้นเรื่องนี้
ส่วนแม่กับพี่ก็ไม่พูดอะไรกับฉันเลย บางทีพวกเขาอาจจะเอือมระอากับฉันเต็มทน หรืออาจจะกำลังโกรธฉันจัดจึงทำเย็นชาใส่ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนฉันก็ไม่สนใจหรอก ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อยที่พวกเขาทำเหมือนกับว่าฉันไม่ใช่สมาชิกในครอบครัว
วันนี้ฉันกลับมาถึงบ้านตอนเกือบจะรุ่งสางอีกเช่นเคย แต่แทนที่ไฟในห้องนั่งเล่นจะปิดสนิทเหมือนอย่างวันที่ผ่านๆ มา วันนี้ไฟกลับเปิดสว่างจ้า คงจะเป็นพี่หรือไม่ก็แม่ที่ลืมเปิดไฟทิ้งเอาไว้ ดังนั้นฉันจึงเดินไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อจะปิดไฟ
แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักทันควันอย่างงุนงง เมื่อเห็นว่าแม่กับพี่ยังคงนั่งกันอยู่ที่โซฟา ตอนนี้เกือบจะตีห้าแล้ว ทั้งคู่มานั่งทำอะไรกันอยู่ตรงนี้ ฉันเห็นแม่กำลังนั่งสัปหงกอยู่ตรงโซฟา ส่วนพี่ก็กำลังอ่านหนังสืออะไรสักอย่าง
ฉันสะดุ้งน้อยๆ เมื่ออยู่ๆ พี่ก็เงยหน้าขึ้นมามองฉัน
“เดย์ กลับมาแล้วเหรอ” พี่แดนวางหนังสือในมือลง แล้วลุกเดินเข้ามายืนข้างๆ ซึ่งเสียงของเขาเมื่อครู่นี้นั้นทำให้แม่สะดุ้งตื่น ก่อนที่จะหันมามองฉันด้วยอีกคน
“แม่อยากจะคุยอะไรด้วยหน่อยน่ะลูก” แม่เอ่ยบอกด้วยเสียงงัวเงีย พร้อมกับกวักมือเรียกให้ฉันเดินเข้าไปหา “มานั่งตรงนี้มา”
“มีอะไรเหรอคะ” ฉันขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วยืนกอดอกพิงอยู่กับผนัง ไม่ยอมเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายตามคำสั่ง เพราะว่าการยืนอยู่ห่างๆ แบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัยมากกว่า แม่ไม่เคยถ่างตารอฉันกลับบ้านจนถึงเช้าแบบนี้มาก่อน แสดงว่าเรื่องที่พูดคงจะต้องสำคัญมาก บางทีแม่อาจจะรับหน้าที่ที่จะมาพูดบ่นฉันแทนพ่อก็ได้
“ก่อนหน้านี้ลูกบอกว่ามีแฟนใช่มั้ย” แม่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง สายตาเคร่งเครียดจ้องตรงมาที่ฉัน ทำให้ฉันคาดเดาคำพูดของอีกฝ่ายต่อไปทันทีว่าแม่กำลังจะห้ามฉันคบกับไนท์ ดังนั้นฉันจึงอ้าปากตั้งใจจะแย้งกลับไป แต่ก็ถูกแม่พูดขัดขึ้นมา “...แม่อยากให้ลูกชวนแฟนมาทานข้าวที่บ้านของเรา”
ฉันชะงักไปโดยพลันเมื่อแม่กลับพูดในสิ่งที่ฉันไม่คาดคิดมาก่อน แวบแรกฉันรู้สึกสงสัยว่าแม่อยากจะชวนไนท์มาที่นี่ทำไม อีกทั้งยังแปลกใจเพราะไม่คิดว่าแม่จะยอมรับเรื่องที่ฉันมีแฟนได้ แต่แล้วฉันก็เข้าใจว่าพ่อกับแม่คงอยากจะซักประวัติไนท์ เพื่อที่จะได้ตามสืบเรื่องของฉันแน่ๆ
ฝันไปเถอะ
“ไม่ค่ะ” เสียงห้วนตอบปฏิเสธอย่างนึกโกรธ แม้กระทั่งเรื่องแฟน พ่อกับแม่ก็ยังคิดที่จะบงการฉันด้วยงั้นเหรอ
“ถ้ากังวลเรื่องพ่อ เดี๋ยวพี่จะกล่อมพ่อให้ยอมเอง” พี่แดนเอ่ยบอกเสียงเรียบ แต่เขาเข้าใจผิด ฉันไม่ได้กังวลเรื่องพ่อจะไม่ยอมให้ไนท์มาที่นี่เสียหน่อย
“ไม่ว่าจะยังไง คำตอบก็คือไม่” ฉันหันไปจ้องหน้าพี่เขม็ง ก่อนจะกลับหลังหัน ทำท่าว่าจะเดินออกไปจากห้อง แต่แล้วก็ถูกพี่จับแขนเอาไว้แน่น พร้อมกับยื้อแขนฉันเอาไว้ ไม่ยอมให้ฉันเดินหนีไปไหนได้
“แม่เป็นโรคเครียด นอนไม่หลับมาเป็นอาทิตย์แล้ว เพราะกังวลเรื่องเดย์มาก” คนตรงหน้าพูดกระซิบเสียงเครียด พร้อมกับจ้องมาที่ฉันด้วยสายตาโกรธขึง “ถือว่าขอร้องล่ะเดย์ ช่วยหน่อยเถอะ มาแค่แป๊บเดียวก็ยังดี”
ฉันรู้สึกเจ็บแปลบในอกเพราะความรู้สึกผิด คำบอกเรื่องอาการของแม่ทำให้ฉันชักจะรู้สึกลังเลขึ้นมา
“แต่ถ้าเขามาที่นี่ ทุกคนที่นี่ก็จะรุมว่าเขาน่ะสิ”
“แต่อย่างน้อยก็ขอให้รู้ว่าเป็นใครที่ไหน รู้จักกันไว้เผื่อในอนาคตพวกเราจะพัฒนาความสัมพันธ์กันไปอีกขั้น” พี่ตอบกลับมาเสียงเรียบ ก่อนจะเอ่ยถามฉันกลับ “เดย์จริงจังกับแฟนคนนี้มากแค่ไหนล่ะ”
ฉันหันไปมองทางผู้เป็นแม่ซึ่งยังคงนั่งมองพวกเราสองคนอยู่ที่โซฟา ใจหนึ่งฉันก็ไม่อยากให้ไนท์มาที่บ้าน เพราะฉันมั่นใจ ว่าพ่อจะต้องพูดว่าเขาแน่ๆ แต่อีกใจหนึ่งฉันก็เป็นห่วงแม่ แล้วก็เห็นด้วยกับสิ่งที่พี่พูด แม้ว่าฉันจะไม่ได้คิดไกลไปถึงขั้นแต่งงาน แต่ถ้าพวกเราจะคบกันจริงจัง อย่างน้อยฉันก็ควรที่จะพาเขามาแนะนำให้พ่อกับแม่ได้รู้จัก
ฉันเงียบไปนานด้วยความรู้สึกลังเลใจ ก่อนที่ยอมตอบตกลงในที่สุด
“ก็ได้...แต่ฉันไม่รับปากนะ เพราะว่าช่วงนี้เขาไม่ว่าง”
“สะดวกวันไหนเอาไว้บอกวันหลังก็ได้ แต่ช่วยเอาไปคิดดูหน่อยเถอะ” พี่ปล่อยแขนของฉันให้เป็นอิสระ
ฉันพยักหน้ารับหนึ่งที ก่อนที่จะหมุนตัวเดินออกมาจากห้อง แล้วเดินขึ้นบันไดไปยังห้องของตัวเองที่อยู่ชั้นสอง แม้ว่าจะตัดสินใจไปแล้ว แต่ฉันก็อดที่จะรู้สึกกังวลถึงวันที่ฉันจะต้องพาไนท์มาที่นี่ไม่ได้ ฉันไม่ค่อยเป็นห่วงแม่กับพี่ว่าจะไม่ชอบไนท์สักเท่าไหร่ แต่พ่อนี่สิ...
หวังว่าเรื่องนี้คงจะไม่ทำให้ไนท์เกลียดฉันนะ
#########
//โปรดติดตามตอนต่อไป//
บทเพลงที่ 13
The awakening
“ไนท์ หยุดนะ” ฉันพยายามส่งเสียงเรียกเขา แต่ผู้เป็นเจ้าของชื่อกลับยังคงชกหน้าหนุ่มนักศึกษาไม่หยุด จนในที่สุดฉันจึงต้องเพิ่มระดับเสียง ตะโกนดังลั่น “ไนท์!”
ไนท์หันขวับมาจ้องฉันเขม็งด้วยสายตาน่ากลัว จนฉันต้องสะดุ้งเฮือกด้วยความหวาดกลัว เขามองฉันพร้อมกับหายใจแรงจากอารมณ์โทสะอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ลุกจากหนุ่มนักศึกษาที่ใบหน้าบอบช้ำเสียจนมีเลือดเปรอะอยู่เต็มไหมด ก่อนจะเดินเข้ามาคว้ากีตาร์ แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ยังคงทิ้งกระเป๋ากีตาร์ซึ่งมีเงินค่าชมเอาไว้อยู่กับพื้นอยู่อย่างนั้น
ฉันรีบวิ่งตามชายหนุ่มไปโดยไม่สนใจของของพวกเราที่วางทิ้งเอาไว้ ไนท์เดินเร็วมากเสียจนฉันเกือบวิ่งตามเขาไม่ทัน แม้ว่าฉันจะพยายามตะโกนเรียกเขาสักกี่ครั้ง แต่คนตรงหน้าก็ไม่หยุดรอฉันหรือชะลอฝีเท้าลงเลยแม้แต่นิดเดียว
ชายหนุ่มเลี้ยวเดินเข้าไปในห้าง ซึ่งฉันก็วิ่งตามเขาเข้าไปข้างใน แต่แล้วก็เห็นว่าเขาเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ทำให้ฉันต้องยืนรอเขาอยู่ข้างนอกอย่างไม่มีทางเลือกอื่น ระหว่างที่ยืนพิงกำแพงรอไนท์ ฉันก็หวนย้อนกลับไปนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้อย่างไม่เข้าใจว่าเขาเป็นอะไรไป ทำไมถึงต้องชกหนุ่มนักศึกษาคนนั้นถึงขนาดนั้น แถมยังตามลงไปชกต่อทั้งๆ ที่อีกฝ่ายหมดทางสู้แล้วอีกต่างหาก ฉันเข้าใจว่าเขาคงหึง แต่พูดจากันดีๆ ก็ได้นี่
ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกปวดหัว ไม่อยากอยู่กับความเครียดอยู่แบบนี้ อีกทั้งยังรู้สึกกระวนกระวาย ย้อนกลับมาคิดถึงยาวิเศษของไนท์อีกจนได้ ฉันไม่รู้ว่าเขาได้ยาชุดใหม่มาหรือยัง เพราะว่าฉันอยากจะหาอะไรเข้าปอดมาช่วยดูดซับความรู้สึกแย่ๆ ทั้งหลายนี่ให้หายไปเสียที
เวลาผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดไนท์ก็เดินออกมาจากห้องน้ำ แต่พอหันไปมองเขาแล้วฉันก็ต้องรู้สึกงุนงงขึ้นมาทันที เพราะว่าคนตรงหน้าที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำนั้นกำลังยิ้มแฉ่ง ดูร่าเริงมีความสุข ผิดกับไนท์คนก่อนหน้านี้ลิ่บลิ่วราวกับว่าเป็นคนละคน
“เมื่อกี้นายเป็นอะไรไป” เสียงห้วนเอ่ยถามพร้อมกับทำหน้าบึ้งอย่างไม่พอใจ แต่คนถูกถามกลับยังคงยิ้มแย้มดูอารมณ์ดี เอาแขนมาคล้องคอฉันโดยที่ไม่สนใจคำถามนั้น
“เราจะกลับไปเล่นกันต่อ” ไนท์พูดเสียงสดใส พาฉันเดินกลับไปยังทางเดิมก่อนหน้านี้
“วันนี้ฉันเหนื่อยแล้ว” ฉันส่ายหน้าปฏิเสธ พร้อมกับหยุดเดินทันควัน ทำให้ไนท์ต้องหยุดชะงักไปด้วยอีกคน “ฉันไม่มีอารมณ์อยากจะร้องเพลงแล้ว”
เขาหันมามองฉัน ก่อนจะเบือนสายตาไปทางอื่นโดยที่ยังคงยิ้มแย้มเหมือนไม่รู้สึกอะไร
“แล้วเมื่อกี้นี้มันอะไรกัน นายไปต่อยเขาทำไม” ฉันพูดเสียงเครียด พร้อมกับมองเขาอย่างจริงจัง แต่ไนท์กลับยังคงมองไปรอบๆ พร้อมกับยิ้มแย้มอย่างร่าเริงอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่ยอมหันมามองสบสายตากับฉันเลย ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังฟังฉันพูดอยู่หรือเปล่า
แต่จู่ๆ เขาก็ก้มหน้าลงมาพูดกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู
“วันนี้ฉันพกของดีมาด้วยล่ะ” ยังไม่ทันที่ไนท์จะพูดจบประโยคดีฉันก็รู้สึกว่าเขายัดอะไรบางอย่างใส่ในมือขวามาให้
ฉันขมวดคิ้วอย่างงงๆ ก้มมองสิ่งที่อยู่ในมือว่ามันคืออะไร
แต่แล้วฉันก็ต้องเผยรอยยิ้มกว้างออกมาด้วยความยินดี ไม่สนใจเรื่องชกต่อยเมื่อครู่อีกต่อไป พร้อมกับเงยหน้ามองไนท์ ซึ่งกำลังทำตาปรือมองตรงมาพร้อมด้วยรอยยิ้มอบอุ่นอยู่เช่นเคย แล้วเขาก็พเยิดหน้าไปทางห้องน้ำ เมื่อเห็นดังนั้นฉันจึงรีบวิ่งแยกไปเข้าห้องน้ำหญิงตามที่เขาบอกทันที
ฉันค่อยๆ คลายมือขวาออกทีละนิด เผยให้เห็นซองพลาสติกขนาดเล็กซึ่งถูกบรรจุด้วยผงสีขาวแสนคุ้นตา รวมทั้งยังมีหลอดเล็กๆ ให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างสะดวกอีกด้วย ต้องกล่าวชมไนท์จริงๆ ที่เขาเตรียมพร้อมมาให้ฉันถึงขนาดนี้
ฉันสูดยาวิเศษเข้าทางโพรงจมูก หลังจากนั้นโลกก็กลับมาสดใสอีกครั้ง รวมทั้งรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันตา ความรู้สึกแย่ๆ ทั้งหมดหายไปเป็นปลิดทิ้ง จะให้ฉันร้องเพลงติดต่อกันทั้งวันทั้งคืนเลยก็ยังได้
หลังจากที่ออกมาจากห้องน้ำ ฉันก็เดินยิ้มร่าเข้าไปหาไนท์ ซึ่งกำลังยิ้มน้อยๆ อย่างพึงพอใจขณะมองตรงมาที่ฉัน ฉันจินตนาการว่าตัวเองเป็นฉันผู้สูงศักดิ์ ยื่นมือออกไปด้านหน้า รอให้ชายหนุ่มมารับมือของฉันไป ไนท์กุมมือฉันเอาไว้ ก่อนจะดึงให้ฉันหมุนตัวเข้าไปหาเขา พร้อมกับปล่อยมือออก ซึ่งเป็นจังหวะที่ฉันโน้มตัวไปกอดเขาพอดี แล้วพวกเราก็หลุดขำออกมาเบาๆ พลางส่งเสียงหัวเราะคิกคักให้กันอย่างมีความสุข
#########
ไม่กี่วันต่อมา ฉันก็กลับไปที่เดอะมิราเคิลเพื่อขอโทษสมาชิกวง May-B ทุกคนอย่างจริงจัง ซึ่งทุกคนดีกับฉันมาก บอยบอกว่าเขาโกรธทั้งฉันและไนท์ในตอนแรกๆ แต่เรื่องมันเกิดไปแล้วโดยที่ฉันไม่ได้ตั้งใจ และฉันก็มาขอโทษพวกเขาแล้ว เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงให้อภัย และไม่นึกโทษฉันอีก ซึ่งมันให้ฉันต้องรู้สึกตื้นตันใจ รวมทั้งยังคิดว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ได้มาพบกับเพื่อนดีๆ แบบนี้
ส่วนไนท์กับโจ้นั้น แม้ว่าโจ้จะกลับมาเฮฮาร่าเริงเหมือนปกติแล้วก็ตาม แต่ฉันก็ยังเห็นว่าพวกเขาทำเย็นชาใส่กันโดยที่ไม่มีใครเอ่ยพูดกับใครก่อนเลย ซึ่งมันทำให้บรรยากาศตอนซ้อมดูอึมครึมไปมากพอสมควร จนบอยกับโน้ตต้องเรียกพวกเขาทั้งคู่ออกไปคุยแยกทีละคน แต่สุดท้ายแล้วทั้งสองคนก็ยังคงทำเมินใส่กันอยู่ดี
ฉันรู้สึกอึดอัดที่เห็นพวกเขาเป็นแบบนั้น เพราะว่าฉันยังคงมั่นใจว่าฉันเป็นคนผิด แล้วก็รู้สึกผิดมากด้วย แต่ฉันไม่รู้ว่าควรจะต้องทำยังไง กลัวว่าถ้าพูดอะไรออกไปอาจจะยิ่งเป็นการทำให้สถานการณ์หรือความสัมพันธ์ของทั้งสองคนแย่ลงไปกว่าเดิม เพราะคนเราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอดีตที่ผ่านมาได้ ฉันจึงไม่ได้ทำอะไรเลย ซึ่งมันทำให้ฉันเครียดมาก แต่ก็พยายามไม่แสดงออกมาให้พวกไนท์รู้ ดังนั้นเมื่อใดที่ฉันรู้สึกเครียด ฉันจึงหันไปใช้ ‘ตัวช่วย’ ช่วยลบความรู้แย่ๆ ทั้งหลายให้หมดไป
ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีที่เหลือเกินไนท์ได้ยาวิเศษมาแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงไม่ต้องอดทนอยู่กับความรู้สึกหดหู่ เฉื่อยๆ ไปตลอด เมื่อใดที่อยากจะรู้สึกครึกครื้น พวกเราก็จะแอบใช้ยาสักเล็กน้อย ทั้งตอนที่อยู่ด้วยกัน ออกมาเปิดหมวกข้างทาง หรือแม้แต่ที่เดอะมิราเคิล
ฉันขอแบ่งบางส่วนมาจากไนท์เพื่อเอาไปใช้ที่ทำงานของฉันเองด้วย สมแล้วที่ถูกเรียกว่าเป็น ‘ตัวช่วย’ เพียงแค่สูดมันเข้าปอดไม่กี่ที ฉันก็ไม่รู้สึกเหนื่อยจากการทำงานเลยแม้แต่น้อย แต่กลับกระตือร้นอยากที่จะทำงานหนักมากกว่าเดิมอีกต่างหาก จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องเป็นงานก็ได้ ขอให้มีอะไรสักอย่างมาให้ฉันทำก็พอ นอกจากนี้ฉันยังสามารถเข้าร่วมวงสนทนากับกลุ่มของหนุ่มตุ้งติ้งที่ชื่อมิน หรือมินนี่ได้อย่างสบาย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้รู้สึกอยากจะเข้าไปพูดคุยกับใครเลยสักนิดเดียว แต่ฉันในตอนนี้กลับสามารถคุยเฮฮากับพวกเขาได้อย่างสนุกสนาน ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกลายเป็นคนละคนที่อยู่ๆ ก็ชื่นชอบการเข้าสงคมขึ้นมา
อาทิตย์ต่อมา ฉันก็ยังคงตื่นเช้าไปหาไนท์ทุกวัน แล้วก็ออกไปร้องเพลงเปิดหมวกบ้างเป็นบางวัน ต่อจากนั้นก็จะไปที่เดอะมิราเคิลพร้อมๆ กับเขา ส่วนวันไหนที่ไม่ได้ออกไปเปิดหมวก พวกเราก็ออกไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ โดยที่ไนท์ก็ยังคงเอาแต่ถ่ายวิดีโอฉันอยู่เช่นเดิม หรือแม้แต่ตอนไปเปิดหมวก เขาก็ยังเอากล้องมาตั้งถ่ายวิดีโอฉันด้วยอีกต่างหาก ส่วนตัวเองก็เล่นกีตาร์แอบหลบอยู่ด้านหลังกล้องอีกเหมือนเคย
“ทำอะไรอยู่เหรอ” ฉันเอ่ยทักชายหนุ่มอย่างสงสัยที่เห็นเขานั่งทำอะไรสักอย่างอยู่กับคอมพิวเตอร์มาเป็นชั่วโมงๆ แต่พอฉันเดินเข้าไปใกล้ เขาก็พับหน้าจอลงมาปิดเสียอย่างนั้น แล้วหันมายิ้มๆ พร้อมกับลุกขึ้นมาจุ๊บปากฉันเบาๆ
“ความลับ” เสียงนุ่มพูด พลางอมยิ้มน้อยๆ อย่างขี้เล่น ซึ่งเป็นรอยยิ้มแสนน่ารักที่ทำให้ฉันเกือบจะเผลอยิ้มตามเขาไปด้วยอีกคน แต่ฉันต้องรีบหุบยิ้มของตัวเองโดยพลัน แล้วทำมุ่ยอย่างงอนๆ
แต่แทนที่ไนท์จะยอมตอบคำถามของฉัน เขากลับหัวเราะขำขันออกมา แล้วเอื้อมมือมาดึงตัวฉันเข้าไปกอด
“เอาไว้ให้เป็นของขวัญวันเกิดปีหน้า”
ฉันทำตาโตอย่างแปลกใจน้อยๆ อีกทั้งยังหัวใจพองโตด้วยความรู้สึกตื่นเต้น นี่เขาคิดของขวัญวันเกิดให้ฉันก่อนถึงเวลาตั้งครึ่งค่อนปีเชียวเหรอ แต่ในขณะเดียวกัน แบบนี้ก็แสดงว่า ฉันจะต้องรอลุ้นไปอีกตั้งครึ่งปีกว่าจะได้รู้ว่ามันคืออะไรน่ะสิ
รอลุ้นอีกครึ่งปี... ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า พวกเราสองคนจะอยู่ด้วยกันไปจนถึงวันเกิดปีหน้าของฉันสินะ
ฉันหันไปยิ้มกว้างให้กับเขาด้วยความรู้สึกดีใจสุดๆ ก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมาเบาๆ
หลังจากนั้นอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงถัดมา ไนท์ก็ชวนฉันออกไปกินข้าวกลางวันข้างนอก ฉันจึงตัดสินใจเลือกไปที่ห้าง เพราะว่าจะได้เดินเล่นฆ่าเวลาก่อนที่เขาจะต้องไปซ้อมดนตรีกับพวกบอยต่อ ในระหว่างนั้นพวกเราก็คุยกันถึงเรื่องอาหารที่ตัวเองไม่ชอบ เนื่องจากมื้ออาหารกลางวันก่อนหน้านี้ฉันเอาแต่ปฏิเสธเมนูอาหารที่มีของทอดทั้งหลาย แล้วฉันก็ได้รู้ว่าเขาเป็นคนกินง่ายคนหนึ่งเลยทีเดียว เพราะไม่ว่าฉันจะเสนอชื่ออาหารอะไรออกไป ไนท์ก็จะตอบว่ากินได้หมดทุกอย่างเลย มีแต่ฉันที่จำกัดของกิน โดยเฉพาะไก่ทอด ซึ่งเป็นเมนูอาหารที่ฉันไม่ชอบเอามากๆ
“จริงสิ พวกเรายังไม่ได้บอกเธอเลย” ไนท์พูดขึ้น ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังยืนอยู่ตรงบันไดเลื่อนขึ้นไปชั้นสอง “เพลงที่สองของ May-B ยอดวิวกำลังจะแตะแสนแล้วล่ะ”
“จริงเหรอ!” ฉันยิ้มกว้าง พร้อมกับหันไปมองคนข้างกายอย่างตื่นเต้น อีกทั้งยังภูมิใจในตัวพวกเขาทั้งสี่คนด้วย ฉันรู้สึกดีใจมากที่คนอื่นๆ ได้เห็นความสามารถของพวกเขา ว่าแล้วเชียวว่าวง May-B นั้นสุดยอดจริงๆ
ไนท์หลุดขำออกมาเบาๆ เมื่อได้เห็นปฏิกิริยาตื่นเต้นดีใจสุดขีดของฉัน พอฉันแสดงท่าทางดีใจทีไร เขาก็ชอบหัวเราะอยู่เรื่อยเลย มันแปลกตรงไหนกัน ก็ฉันดีใจมากนี่นา
“เดย์?” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านขวามือเมื่อพวกเราขึ้นมาถึงชั้นสอง เรียกให้ฉันหันไปมองยังที่มาของเสียง โดยที่ยังคงรอยยิ้มกว้างอยู่บนใบหน้าเอาไว้
แต่แล้วรอยยิ้มนั้นก็ต้องหายวับไปในทันใดทันทีที่ฉันเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
พลอย
“ไปกันเถอะ” ฉันหันกลับมาดึงแขนไนท์ให้เดินไปอีกทาง พร้อมกับรีบก้าวเท้าเดินหนีอดีตเพื่อนรัก โดยทำเป็นว่าพลอยไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น ฉันบังเอิญเจอพลอยเป็นครั้งที่สองแล้ว นี่มันอะไรกัน โชคชะตาจะเล่นตลกด้วยการให้พลอยตามมาคอยหลอกหลอนฉันอยู่แบบนี้ตลอดไปเลยหรือยังไง
“เดย์!” คนข้างหลังยังคงตะโกนเรียกชื่อของฉัน พร้อมกับรีบเดินตามพวกเราทั้งสองมาติดๆ แม้ว่าฉันเร่งฝีเท้ามากขึ้นอีก แต่พลอยก็เร่งฝีเท้าตามมาด้วยเช่นกัน จนในที่สุดฉันก็ตัดสินใจว่าจะทำเป็นไม่ได้ยิน มองไม่เห็น ทำให้เหมือนกับว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตน อยากจะวิ่งตามมาก็เชิญ หรืออยากจะพูดอะไรก็ได้ ฉันจะไม่สนใจเด็ดขาด
“เดย์ ที่มหาลัยสนุกมากเลยนะ” พลอยเร่งฝีเท้าขึ้นมาตีเสมอ แล้วเดินขนาบข้างไปพร้อมๆ กับพวกเรา “กิจกรรมห้องเชียร์สนุกมาก
ฉันชักสีหน้าอย่างรู้สึกฉุน พร้อมกับหยุดเดินทันควัน ซึ่งทำให้ทั้งไนท์และพลอยหยุดยืนอยู่กับที่ด้วยเช่นกัน
พลอยตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ จะมาพูดกรอกหูฉันเรื่องมหาวิทยาลัยทำไม
แต่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน ฉันก็จะไม่มีวันสนใจ
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉันจึงเริ่มก้าวเดินต่อโดยที่ไม่ยอมหันไปมองอดีตเพื่อนสนิทแม้แต่น้อย แต่ก้าวเดินต่อไปได้เพียงแค่ไม่กี่ก้าว อยู่ๆ พลอยก็วิ่งมาขวางฉันกับไนท์ ตีสีหน้าเคร่งเครียดราวกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากเหลือเกิน
ฉันจ้องเขม็งไปที่คนตรงหน้าอย่างเย็นชา ฉันไม่รู้ว่าพลอยคิดจะทำอะไร แล้วก็ไม่ได้อยากที่จะรู้ด้วย ดังนั้นฉันจึงดึงแขนไนท์ให้เดินเลี้ยวกลับไปยังทางเดิม ก่อนที่จะถูกพลอยวิ่งเข้ามาขวางทางเอาไว้อีกจนได้
แต่คราวนี้พลอยกลับเพ่งสายตาเคร่งเครียดจ้องไปที่ไนท์แทน
“คุณเป็นแฟนของเดย์สินะคะ” เสียงห้วนพูดขึ้น “พ่อแม่ฉันบอกฉันมาว่าเดย์ไปอยู่กับแฟน”
ฉันเม้มปากแน่นด้วยความรู้สึกโกรธ นอกจากพลอยจะขายฉันแล้ว นี่ยังจะมายุ่งเรื่องฉันกับไนท์อีกเหรอ
“แทนที่เดย์จะได้ใช้ชีวิตนักศึกษาในรั้วมหาลัยเหมือนคนอื่นๆ ได้พบกับความสนุก แต่คุณกลับฉุดเดย์ออกจากสังคมภายนอก คุณกำลังทำลายชีวิตของเธออยู่” พลอยพูดเสียงแข็งอย่างก้าวร้าว พร้อมทำสีหน้าดูแคลนราวกับว่าไนท์เป็นคนเลวทรามอย่างนั้นแหละ แล้วพลอยก็แค่นหัวเราะออกมา ก่อนที่จะหรี่ตาลงเล็กน้อย พร้อมกับย้อนถามเขาด้วยสีหน้าเหมือนกับว่าไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง “...นี่คุณรักเดย์จริงหรือเปล่าน่ะ”
“มันไม่เกี่ยวกับเขา” ฉันสวนกลับไปอย่างโมโห พร้อมกับก้าวขาออกไปยืนประจัญหน้ากับอีกฝ่าย “ฉันไม่อยากเข้ามหาลัยเอง แล้วฉันก็พบเขาหลังจากที่หมดเขตสมัครแอดมิชชั่นไปตั้งนานแล้วด้วย”
ทันทีที่พูดจบ ฉันก็ดึงแขนไนท์ให้ตามฉันมา พร้อมกับเดินหนีจากพลอยไปอีกทาง พอเดินไปได้พักหนึ่ง ฉันก็หันไปมองทางด้านหลัง แล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก พร้อมกับปล่อยแขนของไนท์ หยุดเดินด้วยความรู้สึกสบายใจ ในที่สุดยัยตัวน่ารำคาญนั่นก็เลิกเดินตามตื๊อพวกเรามาเสียที
“ไปกันเถอะ” ฉันกลับมามีสีหน้ายิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดีเหมือนเดิม แล้วก้าวขาเดินต่อไปเรื่อยๆ พลางพูดยิ้มๆ ไปด้วยอย่างร่าเริง “ฉันอยากลองกินเค้กส้มที่ร้านนั้นมานานแล้วล่ะ เดี๋ยวระ...”
ฉันหันไปมองคนข้างหลังด้วยความแปลกใจเพราะว่าเขาไม่ได้เดินตามมา ไนท์ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อนใดๆ ทั้งสิ้น เพ่งสายตามองไปที่พื้น ดูเหมือนว่ากำลังจมอยู่ภวังค์ของตัวเอง
“ไนท์?” ฉันเอ่ยเรียกชื่อเขา แต่ชายหนุ่มกลับยังคงยืนนิ่ง เหมือนกับว่าไม่ได้ยินเสียงของฉัน ดังนั้นฉันจึงเพิ่งระดับเสียงขึ้นอีก “ไนท์”
แต่คนถูกเรียกก็ยังคงยืนเหม่อลอย ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบกลับมา ทำให้ฉันต้องเรียกชื่อเขาอีกรอบเป็นครั้งที่สาม
“ไนท์”
ชายหนุ่มสะดุ้งน้อยๆ เหมือนเพิ่งรู้สึกตัว พร้อมกับเหลือบสายตาขึ้นมามองฉัน
“อย่าไปสนใจเลย น่ารำคาญ” ฉันยิ้มกว้างเมื่อเห็นเขาหันมาสนใจฉันแล้ว จากนั้นก็วิ่งเข้าไปหาเขา พร้อมกับทำท่าแบมือขอขนมจากอีกฝ่าย ซึ่งฉันมั่นใจว่า ไนท์รู้ดีว่าฉันอยากได้อะไร เพราะว่ามันมีอยู่แค่อย่างเดียวเท่านั้น
คนตรงหน้ามองสบสายตากับฉันด้วยสีหน้านิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุบสายตาลง พร้อมกับเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา
“อือ” ไนท์หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเขา แล้วยัดมันใส่มือของฉันทันที ฉันเคยชินกับการยื่นยาให้แบบเปิดเผยของชายหนุ่ม เขาเคยบอกกับฉันว่าถ้าทำตัวมีพิรุธ มันก็จะยิ่งกลายเป็นเป้าสายตา เพราะฉะนั้นจึงควรทำเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องปกติทั่วไป แล้วคนรอบข้างก็จะไม่ทันได้สังเกตอะไร
ฉันยิ้มร่าด้วยความดีใจทันทีหลังจากที่แอบดูสิ่งที่อยู่ในมือขวาของตัวเองเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็เดินตรงไปที่ห้องน้ำด้วยกัน
########
ช่วงนี้พ่อมีงานยุ่ง ฉันจึงไม่ได้เห็นหน้าพ่อมาเป็นอาทิตย์แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นโชคดีของฉันที่จะได้ไม่ต้องมาทนฟังคำด่าของพ่อเรื่องโน้นเรื่องนี้
ส่วนแม่กับพี่ก็ไม่พูดอะไรกับฉันเลย บางทีพวกเขาอาจจะเอือมระอากับฉันเต็มทน หรืออาจจะกำลังโกรธฉันจัดจึงทำเย็นชาใส่ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนฉันก็ไม่สนใจหรอก ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อยที่พวกเขาทำเหมือนกับว่าฉันไม่ใช่สมาชิกในครอบครัว
วันนี้ฉันกลับมาถึงบ้านตอนเกือบจะรุ่งสางอีกเช่นเคย แต่แทนที่ไฟในห้องนั่งเล่นจะปิดสนิทเหมือนอย่างวันที่ผ่านๆ มา วันนี้ไฟกลับเปิดสว่างจ้า คงจะเป็นพี่หรือไม่ก็แม่ที่ลืมเปิดไฟทิ้งเอาไว้ ดังนั้นฉันจึงเดินไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อจะปิดไฟ
แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักทันควันอย่างงุนงง เมื่อเห็นว่าแม่กับพี่ยังคงนั่งกันอยู่ที่โซฟา ตอนนี้เกือบจะตีห้าแล้ว ทั้งคู่มานั่งทำอะไรกันอยู่ตรงนี้ ฉันเห็นแม่กำลังนั่งสัปหงกอยู่ตรงโซฟา ส่วนพี่ก็กำลังอ่านหนังสืออะไรสักอย่าง
ฉันสะดุ้งน้อยๆ เมื่ออยู่ๆ พี่ก็เงยหน้าขึ้นมามองฉัน
“เดย์ กลับมาแล้วเหรอ” พี่แดนวางหนังสือในมือลง แล้วลุกเดินเข้ามายืนข้างๆ ซึ่งเสียงของเขาเมื่อครู่นี้นั้นทำให้แม่สะดุ้งตื่น ก่อนที่จะหันมามองฉันด้วยอีกคน
“แม่อยากจะคุยอะไรด้วยหน่อยน่ะลูก” แม่เอ่ยบอกด้วยเสียงงัวเงีย พร้อมกับกวักมือเรียกให้ฉันเดินเข้าไปหา “มานั่งตรงนี้มา”
“มีอะไรเหรอคะ” ฉันขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วยืนกอดอกพิงอยู่กับผนัง ไม่ยอมเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายตามคำสั่ง เพราะว่าการยืนอยู่ห่างๆ แบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัยมากกว่า แม่ไม่เคยถ่างตารอฉันกลับบ้านจนถึงเช้าแบบนี้มาก่อน แสดงว่าเรื่องที่พูดคงจะต้องสำคัญมาก บางทีแม่อาจจะรับหน้าที่ที่จะมาพูดบ่นฉันแทนพ่อก็ได้
“ก่อนหน้านี้ลูกบอกว่ามีแฟนใช่มั้ย” แม่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง สายตาเคร่งเครียดจ้องตรงมาที่ฉัน ทำให้ฉันคาดเดาคำพูดของอีกฝ่ายต่อไปทันทีว่าแม่กำลังจะห้ามฉันคบกับไนท์ ดังนั้นฉันจึงอ้าปากตั้งใจจะแย้งกลับไป แต่ก็ถูกแม่พูดขัดขึ้นมา “...แม่อยากให้ลูกชวนแฟนมาทานข้าวที่บ้านของเรา”
ฉันชะงักไปโดยพลันเมื่อแม่กลับพูดในสิ่งที่ฉันไม่คาดคิดมาก่อน แวบแรกฉันรู้สึกสงสัยว่าแม่อยากจะชวนไนท์มาที่นี่ทำไม อีกทั้งยังแปลกใจเพราะไม่คิดว่าแม่จะยอมรับเรื่องที่ฉันมีแฟนได้ แต่แล้วฉันก็เข้าใจว่าพ่อกับแม่คงอยากจะซักประวัติไนท์ เพื่อที่จะได้ตามสืบเรื่องของฉันแน่ๆ
ฝันไปเถอะ
“ไม่ค่ะ” เสียงห้วนตอบปฏิเสธอย่างนึกโกรธ แม้กระทั่งเรื่องแฟน พ่อกับแม่ก็ยังคิดที่จะบงการฉันด้วยงั้นเหรอ
“ถ้ากังวลเรื่องพ่อ เดี๋ยวพี่จะกล่อมพ่อให้ยอมเอง” พี่แดนเอ่ยบอกเสียงเรียบ แต่เขาเข้าใจผิด ฉันไม่ได้กังวลเรื่องพ่อจะไม่ยอมให้ไนท์มาที่นี่เสียหน่อย
“ไม่ว่าจะยังไง คำตอบก็คือไม่” ฉันหันไปจ้องหน้าพี่เขม็ง ก่อนจะกลับหลังหัน ทำท่าว่าจะเดินออกไปจากห้อง แต่แล้วก็ถูกพี่จับแขนเอาไว้แน่น พร้อมกับยื้อแขนฉันเอาไว้ ไม่ยอมให้ฉันเดินหนีไปไหนได้
“แม่เป็นโรคเครียด นอนไม่หลับมาเป็นอาทิตย์แล้ว เพราะกังวลเรื่องเดย์มาก” คนตรงหน้าพูดกระซิบเสียงเครียด พร้อมกับจ้องมาที่ฉันด้วยสายตาโกรธขึง “ถือว่าขอร้องล่ะเดย์ ช่วยหน่อยเถอะ มาแค่แป๊บเดียวก็ยังดี”
ฉันรู้สึกเจ็บแปลบในอกเพราะความรู้สึกผิด คำบอกเรื่องอาการของแม่ทำให้ฉันชักจะรู้สึกลังเลขึ้นมา
“แต่ถ้าเขามาที่นี่ ทุกคนที่นี่ก็จะรุมว่าเขาน่ะสิ”
“แต่อย่างน้อยก็ขอให้รู้ว่าเป็นใครที่ไหน รู้จักกันไว้เผื่อในอนาคตพวกเราจะพัฒนาความสัมพันธ์กันไปอีกขั้น” พี่ตอบกลับมาเสียงเรียบ ก่อนจะเอ่ยถามฉันกลับ “เดย์จริงจังกับแฟนคนนี้มากแค่ไหนล่ะ”
ฉันหันไปมองทางผู้เป็นแม่ซึ่งยังคงนั่งมองพวกเราสองคนอยู่ที่โซฟา ใจหนึ่งฉันก็ไม่อยากให้ไนท์มาที่บ้าน เพราะฉันมั่นใจ ว่าพ่อจะต้องพูดว่าเขาแน่ๆ แต่อีกใจหนึ่งฉันก็เป็นห่วงแม่ แล้วก็เห็นด้วยกับสิ่งที่พี่พูด แม้ว่าฉันจะไม่ได้คิดไกลไปถึงขั้นแต่งงาน แต่ถ้าพวกเราจะคบกันจริงจัง อย่างน้อยฉันก็ควรที่จะพาเขามาแนะนำให้พ่อกับแม่ได้รู้จัก
ฉันเงียบไปนานด้วยความรู้สึกลังเลใจ ก่อนที่ยอมตอบตกลงในที่สุด
“ก็ได้...แต่ฉันไม่รับปากนะ เพราะว่าช่วงนี้เขาไม่ว่าง”
“สะดวกวันไหนเอาไว้บอกวันหลังก็ได้ แต่ช่วยเอาไปคิดดูหน่อยเถอะ” พี่ปล่อยแขนของฉันให้เป็นอิสระ
ฉันพยักหน้ารับหนึ่งที ก่อนที่จะหมุนตัวเดินออกมาจากห้อง แล้วเดินขึ้นบันไดไปยังห้องของตัวเองที่อยู่ชั้นสอง แม้ว่าจะตัดสินใจไปแล้ว แต่ฉันก็อดที่จะรู้สึกกังวลถึงวันที่ฉันจะต้องพาไนท์มาที่นี่ไม่ได้ ฉันไม่ค่อยเป็นห่วงแม่กับพี่ว่าจะไม่ชอบไนท์สักเท่าไหร่ แต่พ่อนี่สิ...
หวังว่าเรื่องนี้คงจะไม่ทำให้ไนท์เกลียดฉันนะ
#########
//โปรดติดตามตอนต่อไป//
LazyMe
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ก.ค. 2560, 00:05:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ก.ค. 2560, 22:07:16 น.
จำนวนการเข้าชม : 787
<< บทเพลงที่ 12 | บทเพลงที่ 14 >> |