ชุลมุนแผนร้าย ... ป่วนใจ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำไมเธอจะต้องมารับรู้เรื่องปวดหัวพวกนี้ด้วย!
ทั้งคนเล่นตลกกับเธอ ผีก็ยังมาเอ็นดูหลอกเธออีก
กอกานต์อยากจะกรีดร้อง หลังจากรู้ว่าเธอถูกหลอกทั้งจากคน และผี!
ในความวุ่นวายที่เธอต้องช่วยตามหาความจริง
อยู่ๆ เธอก็รักคนที่ไม่ควรรักขึ้นมา
เธอจะตัดใจจากตัวยุ่งอย่างดี??
ทั้งคนเล่นตลกกับเธอ ผีก็ยังมาเอ็นดูหลอกเธออีก
กอกานต์อยากจะกรีดร้อง หลังจากรู้ว่าเธอถูกหลอกทั้งจากคน และผี!
ในความวุ่นวายที่เธอต้องช่วยตามหาความจริง
อยู่ๆ เธอก็รักคนที่ไม่ควรรักขึ้นมา
เธอจะตัดใจจากตัวยุ่งอย่างดี??
Tags: ผี ฆาตกรรม ปิ่นนลิน
ตอน: ตอนที่ 5
ตอนที่ 5
ภาสวินท์ไม่รีบร้อนขึ้นไปแต่งตัวเพื่อไปงานเลี้ยงกับคู่หมั้น เพราะต้องการฟังคำตอบว่าทำไมมารดาถึงต้องรุนแรงกับพี่ชายขนาดมัดมือมัดขาติดกับเตียงแบบนั้น เวลานี้สองแม่ลูกนั่งคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวในห้องนั่งเล่น อนงค์นางถอนหายใจเฮือกๆ รอจนเด็กในบ้านเอาน้ำดื่มมาเสิร์ฟดับกระหายและเหลือเพียงลำพังสองแม่ลูก ถึงได้เริ่มพูดเตือนความจำลูกชาย
“ลูกคงลืมไปแล้วว่าพี่วัสร์เจออะไรตอนที่ลูกไปเรียนภาษาที่ออสเตรเลียสมัยมัธยมต้น”
“ก่อนพ่อจะจากไป และก่อนที่เราจะไม่เหลืออะไรเลย ผมและพี่วัสร์ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพ่อทำธุรกิจเจ๊ง พี่วัสร์ยังเกือบถูกโจรทำร้าย ผมไม่ลืมหรอกครับแม่”
ภาสวินท์ไม่มีวันลืมช่วงเวลายากลำบากตอนนั้นได้ เขาไปสนุกสนานกับการเรียนภาษาอังกฤษที่ออสเตรเลีย ต้องกลับมากะทันหันเพราะข่าวร้ายของพ่อ กว่าภาสวินท์จะกลับมาถึงก็ทันแค่วันสุดท้ายของการสวดอภิธรรม วันนั้นเขาไม่เห็นพี่ชายที่ควรอยู่ในงาน จนได้สอบถามป้านุ่มที่แม้พ่อแม่จะให้เงินไปก้อนหนึ่ง เพราะไม่มีเงินทองมากพอจะจ้างแม่บ้านนั้น ป้านุ่มก็ยังมีน้ำใจมาช่วยในงานศพ
ตอนนั้น ป้านุ่มเล่าทั้งน้ำตาว่าในวันที่พ่อของเขาเสีย เป็นวันเดียวกับโจรขึ้นบ้านหลังเก่า และทำการฆาตรกรรมคนงานในบ้านต่อหน้าภาสวัสร์ ภาสวัสร์รอดตายเพราะหลบจากสายตาโจรได้ทัน แต่ถึงอย่างนั้นภาสวัสร์ก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวน และเห็นโจรฆ่าคนงานในบ้านไปถึงสามศพด้วยปืน ภาสวัสร์ช็อคจนไม่พูดไม่จา ไม่สามารถแม้แต่จะให้การกับตำรวจได้ ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่หลายปี
“แต่ว่าหมอก็ให้พี่วัสร์ออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว แปลว่าอาการพี่วัสร์ก็ดีขึ้น ไม่ถึงขนาดทำกับพี่วัสร์เหมือน …” ภาสวินท์ไม่กล้าแม้แต่จะเปรียบเทียบ เพราะสงสารพี่ชาย ในสายตาของเขา ก่อนหน้าภาสวัสร์จะสติฟั่นเฟือนนั้น พี่ชายเขาเป็นคนเรียนเก่ง ใจดี และกล้าหาญ ดูตอนนี้สิแม้แต่จะออกไปนอกบ้านยังไม่กล้าเลย เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในห้อง แม่ของเขาก็ตามใจพี่จนตอนนี้ภาสวัสร์เหมือนคนกลัวสังคม กลัวคนแปลกหน้าไปแล้ว
“แม่ก็ไม่อยากทำให้พี่ชายลูกเจ็บนะวินท์ แม่เป็นแม่ แม่อุ้มท้องคลอดตาวัสร์มา เห็นเขาเจ็บ แม่ก็จะขาดใจเหมือนกัน แต่ถ้าไม่รักษา พี่เขาก็จะควบคุมตัวเองไม่ได้ เกิดทำอะไรคิดสั้นหรือหนีเตลิดไป เราจะทำยังไงลูก” น้ำเสียงอนงค์นางสั่นเครือ หน้าตาบอกถึงความเจ็บปวดราวถูกมีดกรีดหัวใจ
ภาสวินท์กุมมือแม่อย่างสงสาร เข้าใจความเป็นห่วงที่แม่มีต่อพี่ชาย แต่เขาก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดี
“ให้ผมดูแลพี่วัสร์เองได้ไหมครับแม่”
“ไม่ได้! ลูกทำงานก็หนักมากแล้ว อีกอย่างก็มีสิริมาดูตาวัสร์ หมอจะมาดูอาการพี่เราแค่เดือนละครั้ง อดทนหน่อยนะวินท์ แม่เชื่อว่าอีกไม่นานพี่ชายลูกจะต้องหายดี เราต้องใจแข็ง” อนงค์นางมองหน้าลูกชายอย่างอ้อนวอน พอเห็นภาสวินท์ไม่สามารถคัดค้านอะไรได้ก็จบบทสนทนาเครียดๆ ลง
“ลูกมีออกงานกับหนูนิกกี้นี่นา รีบไปเตรียมตัวเถอะจ้ะ”
ภาสวินท์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะยอมเดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อเปลี่ยนชุด ส่วนอนงค์นางรอจนได้ยินเสียงปิดประตูจากห้องลูกชายคนเล็ก ก็ไปหาลูกชายคนโตต่อ ตอนเธอเข้าไปในห้องนอนภาสวัสร์นั้น เธอเห็นว่าคนบนเตียงหลับสนิท อนงค์นางเดินเข้าไปจูบหน้าผากลูกชายคนโตและหลุดสะอื้นออกมา
“แม่รักลูกนะ อดทนอีกนิด อีกไม่นานลูกจะต้องหายดี ภาสวัสร์ลูกรักของแม่”
ระหว่างเดินทางไปงานเลี้ยงที่โรงแรมห้าดาว ภาสวินท์เอาแต่คิดห่วงเรื่องพี่ชายจนไม่สนใจว่าชนิณิภาจะเล่าหรือบ่นเรื่องไหนอยู่ แต่ชนิณิภาก็ไม่ปล่อยให้ตัวเองโดนละเลยไม่สนใจหรอก เธอสะกิดเรียกให้ภาสวินท์หันไปตอบรับเออออกับเธอได้ตลอดทาง
รถยนต์คันหรูจอดเทียบทางเข้าล้อบบี้ จังหวะที่พนักงานเดินมาเปิดประตูรถให้ภาสวินท์และชนิณิภาคนละฝั่งนั้น อยู่ๆ ก็มีมอเตอร์ไซค์วิ่งสวนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ว้าย! พี่วินท์ ระวังรถค่ะ! ชนิณิภาตะโกนดังลั่น ถึงจะได้ยิน แต่ภาสวินท์ก็หลบไม่ทันอยู่ดี เขาถูกเฉี่ยวเข้าอย่างจังล้มหงายไปด้านหลัง
“โอ๊ย!” ภาสวินท์หลุดร้องออกมาเพราะล้มหัวชนกับประตูรถแรงเกิดเสียงโครมใหญ่
“พี่วินท์!! พี่วินท์เป็นยังไงบ้างคะ” ชนิณิภาในชุดราตรีเกาะอกสีครีมวิ่งอ้อมรถมาดูคู่หมั้น แต่กลับชะงักไม่กล้าเข้าใกล้ขึ้นมาเฉยๆ
“พี่ไม่เป็นไรนิกกี้” ภาสวินท์คิดแบบนั้น แต่ความจริงคือเขาแตะหน้าผาก พบว่าเลือดไหลค่อนข้างมาก
“พี่วินท์หัวแตก ทำยังไงดีคะ นี่ เรียกรถพยาบาลสิ แล้วพยุงพี่วินท์ขึ้นมาด้วย” ชนิณิภายืนชี้นิ้วสั่งพนักงานเป็นการใหญ่ ภาสวินท์มองหญิงสาวอย่างรู้ทันว่าทำไมชนิณิภาถึงไม่มาพยุงตัวเขา ทั้งที่เขาเลือดออกบาดเจ็บขนาดนี้
“ไม่ต้องครับ ไม่ต้องเรียก เดี๋ยวพี่ไปโรงพยาบาลเอง นิกกี้เข้างานไปเถอะ” ภาสวินท์บอกใจเย็นและเข้าใจ”
“ขอโทษนะคะพี่วินท์ แต่นิกกี้กลัว” หญิงสาวในชุดราตรีหรูก้มมองชุดตัวเอง กับเลือดที่อาบข้างแก้มคู่หมั้น เธอไม่สามารถเลือกได้เลยว่าจะให้ความสำคัญกับอะไร แต่ดูแล้วภาสวินท์ก็แค่หัวแตกเอง ไม่น่าเป็นอะไรมาก
“ไม่เป็นไร” ภาสวินท์หันไปบอกให้คนขับรถพาเขาไปทำแผลที่โรงพยาบาล แล้วค่อยวนกลับมารับชนิณิภาทีหลัง
แม้เขาจะบอกเธอไปว่าไม่เป็นไร ลึกๆ ในใจแล้วภาสวินท์เกิดสมเพชเวทนาตัวเองขึ้นมา นี่เขาจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่ห่วงชุดสวยมากกว่าตัวเขางั้นหรือ?
กว่ากอกานต์จะทำงานเสร็จ ทั้งออกแบบโปสเตอร์ การ์ดเชิญ หัวจดหมายสำหรับงานออกร้านสำคัญของห้างวัสวา เธอยังถูกเพิ่มงานขึ้นมากะทันหัน พวกฝ่ายการตลาดเกิดอยากแก้ข้อความบนสื่อสิ่งพิมพ์เพื่อส่งให้ทันวันรุ่งขึ้น ทำให้กอกานต์เงยหน้าจากงานมาอีกที ฟ้าก็มืดแล้ว
“ป่านนี้ป้าแพรวคงห่วงแย่แล้ว”
ก่อกๆๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น กอกานต์หันไปมองก็พบว่าคือพนักงานฝ่ายการตลาดที่มาขอให้เธอช่วยแก้งานนั่นเอง
“ถ้าไม่เสร็จวันนี้ก็ไม่เป็นไรนะคะน้องแก้ม รีบกลับบ้านเถอะ ดึกแล้ว”
กอกานต์หันมองนาฬิกา นี่เกือบทุ่มแล้วหรือนี่ วันนี้ฟ้ามืดเร็วด้วยสิ
“รีบกลับนะคะ เดี๋ยวพวกพี่ๆ จะกลับกันแล้ว อยู่ดึกๆ ไม่ดีหรอกค่ะ อันตราย” พี่ฝ่ายการตลาดเหมือนจะยืนรอให้เธอกลับพร้อมกัน กอกานต์เกรงใจเพราะยังไม่ได้เก็บของเลย
“พี่ๆ กลับก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวแก้มขอส่งอีเมล์ให้คุณวินท์ก่อน ไม่ต้องห่วงค่ะแก้มกลับรถไฟฟ้า เดินนิดเดียวก็ถึงแล้ว”
ตอนแรกพวกพี่การตลาดก็ลังเล แต่กอกานต์ยืนยันคำเดิม ทำให้พวกเขากลับกันไปก่อน
ห้องแผนกการตลาดนั้นปิดไฟมืดไปแล้ว บรรยากาศวังเวงน่ากลัวอยู่เหมือนกัน กอกานต์รีบจัดการเก็บข้าวของลงกระเป๋า แต่แล้วก็มีอะไรบางอย่างดังขึ้นที่ด้านหลัง กอกานต์ชะงักไปทันที
กึก …
เธอควรจะหันไปหรือเปล่า แล้วถ้าหันไปเห็นเป็นผีล่ะ?
กอบ … แกบ … กอกานต์เงี่ยหูฟัง เสียงปริศนาคล้ายเสียงฝีเท้า แต่เวลานี้ใครจะมาเดิน
ในช่วงที่คิดๆ กลัวๆ อยู่นั้น ก็มีมือใครบางคนแตะลงบนไหล่กอกานต์ เธอร้องกรี๊ดอย่างตกใจ
“ว้าย!”
“คุณแก้ม ผมเอง ผมภาสวินท์!” เสียงทุ้มต่อมาทำให้กอกานต์ค่อยๆ เปิดตา และหันไปมองแล้วพบว่าเป็นภาสวินท์จริงๆ
“คุณวินท์! ทำอย่างนี้อีกแล้วนะคะ แก้มหัวใจจะวาย” คราวก่อนก็ทีนึง เธอไม่อยากจะต่อว่าเขาจงใจแกล้งเธอหรอกนะ แต่การเข้ามาเงียบๆ แบบนี้ไม่ดีเลย
“ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ ไม่รู้ว่าจะทักคุณยังไงไม่ให้คุณตกใจดี” ภาสวินท์ยอมรับผิด ก่อนจะเปลี่ยนเสียงดุ “ว่าแต่ทำไมคุณยังไม่กลับบ้าน นี่มันดึกแล้วนะ ผมเคยบอกแล้วไงว่าผมไม่นิยมโอที”
“แก้มมีแก้งานด่วนนิดหน่อยค่ะ”
“งานอะไร ทำพรุ่งนี้ไม่ได้หรือ” ภาสวินท์สงสัย
“มันนิดหน่อยจริงๆ ค่ะ แต่ว่านี่ก็กำลังจะกลับแล้วค่ะ” กอกานต์ตอบ แล้วตกใจกับรอยเลือดที่เสื้อเชิ้ตสีขาวของชายหนุ่ม “คุณวินท์ไปโดนอะไรมาคะ ทำไมเลือดเลอะเสื้อ นี่คุณวินท์หัวแตกหรือคะ”
เธอเพิ่งสังเกตเห็นพลาสเตอร์ยาบนหน้าผากชายหนุ่ม พอมองดีๆ ก็ยังเห็นหน้าผากเขาปูดออกมานิดนึงด้วย
“อ้อนี่เหรอ ผมล้มหัวกระแทกรถนิดหน่อย” ภาสวินท์ตอบ “นี่จะกลับแล้วใช่ไหม ลงไปด้วยกันเลยล่ะกัน” เขาชวนพนักงานใหม่ เธอเป็นผู้หญิงตัวนิดเดียว น่าเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน
“คุณวินท์มาทำไมตอนนี้หรือคะ” กอกานต์ชวนคุยระหว่างเดินไปยังลิฟท์
“แค่อยากอยู่คนเดียวน่ะ” ภาสวินท์ถอนหายใจ หน้าหล่อเหลาเครียดกับปัญหาหลายเรื่อง
“งั้นแก้มเดินลงไปเองได้นะคะ” ได้ฟังเหตุผล กอกานต์ก็เกรงใจเจ้านาย แต่ว่าเธอก็ไม่เห็นด้วย “แต่แก้มว่าคุณวินท์อย่าอยู่คนเดียวเลยค่ะ ถ้าเครียดก็ควรหาคนคุยด้วยจะได้สบายใจขึ้น”
“ถ้างั้นผมก็คุยกับคุณล่ะกัน” พออยู่ใกล้กันในลิฟท์แคบๆ ภาสวินท์ก็ได้กลิ่นน้ำหอมหวานๆ คล้ายลูกอมจากกายหญิงสาว วันนี้กอกานต์สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกระโปรงยาวสีน้ำตาล รองเท้าหุ้มส้นหนัง ผมยาวมัดครึ่งหัว แต่งหน้าเล็กน้อยดูใสๆ ไม่ฉูดฉาดเหมือนชนิณิภาแต่กลับน่ามองกว่าเยอะเลย
ภาสวินท์เผลอคิดถึงพี่ชาย ไม่รู้ว่าตอนนี้จะหายกลัวคุณหมอแล้วหรือยัง
“สวนด้านหลังสวยดีนะคะ วันนี้แก้มไปนั่งกินข้าวเที่ยงที่นั่นมา”
“สวนด้านหลัง ที่นี่มีสวนด้วยหรือ” ภาสวินท์ตกข่าวการปรับปรุงทัศนียภาพรอบๆ ห้างไปหรือ ทำไมเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
“มีสิคะ ก็อยู่ด้านหลังตึกนี้ไงคะ” กอกานต์ยืนยันกลับยิ่งเห็นสีหน้าแปลกใจของคนฟัง พอออกจากลิฟท์ เธอเลยเดินนำทางไปยังสวนสวยที่ว่า แต่สิ่งที่เธอเห็นกลับเป็นสนามหญ้าเล็กๆ แคบๆ ถัดออกไปก็ติดกำแพงที่ทำจากต้นไม้แล้ว
จบตอน
นำนิยายมาส่งค่า
คุณ แว่นใส - ส้มจะบอกอะไรน้า ^^
คุณ kaelek - ส้มคงรู้อะไรมาเยอะแน่เลยค่ะ เลยกลัวคุณแม่ขนาดนั้น >___< แต่จะได้บอกพี่วินท์หรือเปล่าน้อ
พบกันตอนหน้าค่า สวัสดีค่า
ภาสวินท์ไม่รีบร้อนขึ้นไปแต่งตัวเพื่อไปงานเลี้ยงกับคู่หมั้น เพราะต้องการฟังคำตอบว่าทำไมมารดาถึงต้องรุนแรงกับพี่ชายขนาดมัดมือมัดขาติดกับเตียงแบบนั้น เวลานี้สองแม่ลูกนั่งคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวในห้องนั่งเล่น อนงค์นางถอนหายใจเฮือกๆ รอจนเด็กในบ้านเอาน้ำดื่มมาเสิร์ฟดับกระหายและเหลือเพียงลำพังสองแม่ลูก ถึงได้เริ่มพูดเตือนความจำลูกชาย
“ลูกคงลืมไปแล้วว่าพี่วัสร์เจออะไรตอนที่ลูกไปเรียนภาษาที่ออสเตรเลียสมัยมัธยมต้น”
“ก่อนพ่อจะจากไป และก่อนที่เราจะไม่เหลืออะไรเลย ผมและพี่วัสร์ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพ่อทำธุรกิจเจ๊ง พี่วัสร์ยังเกือบถูกโจรทำร้าย ผมไม่ลืมหรอกครับแม่”
ภาสวินท์ไม่มีวันลืมช่วงเวลายากลำบากตอนนั้นได้ เขาไปสนุกสนานกับการเรียนภาษาอังกฤษที่ออสเตรเลีย ต้องกลับมากะทันหันเพราะข่าวร้ายของพ่อ กว่าภาสวินท์จะกลับมาถึงก็ทันแค่วันสุดท้ายของการสวดอภิธรรม วันนั้นเขาไม่เห็นพี่ชายที่ควรอยู่ในงาน จนได้สอบถามป้านุ่มที่แม้พ่อแม่จะให้เงินไปก้อนหนึ่ง เพราะไม่มีเงินทองมากพอจะจ้างแม่บ้านนั้น ป้านุ่มก็ยังมีน้ำใจมาช่วยในงานศพ
ตอนนั้น ป้านุ่มเล่าทั้งน้ำตาว่าในวันที่พ่อของเขาเสีย เป็นวันเดียวกับโจรขึ้นบ้านหลังเก่า และทำการฆาตรกรรมคนงานในบ้านต่อหน้าภาสวัสร์ ภาสวัสร์รอดตายเพราะหลบจากสายตาโจรได้ทัน แต่ถึงอย่างนั้นภาสวัสร์ก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวน และเห็นโจรฆ่าคนงานในบ้านไปถึงสามศพด้วยปืน ภาสวัสร์ช็อคจนไม่พูดไม่จา ไม่สามารถแม้แต่จะให้การกับตำรวจได้ ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่หลายปี
“แต่ว่าหมอก็ให้พี่วัสร์ออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว แปลว่าอาการพี่วัสร์ก็ดีขึ้น ไม่ถึงขนาดทำกับพี่วัสร์เหมือน …” ภาสวินท์ไม่กล้าแม้แต่จะเปรียบเทียบ เพราะสงสารพี่ชาย ในสายตาของเขา ก่อนหน้าภาสวัสร์จะสติฟั่นเฟือนนั้น พี่ชายเขาเป็นคนเรียนเก่ง ใจดี และกล้าหาญ ดูตอนนี้สิแม้แต่จะออกไปนอกบ้านยังไม่กล้าเลย เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในห้อง แม่ของเขาก็ตามใจพี่จนตอนนี้ภาสวัสร์เหมือนคนกลัวสังคม กลัวคนแปลกหน้าไปแล้ว
“แม่ก็ไม่อยากทำให้พี่ชายลูกเจ็บนะวินท์ แม่เป็นแม่ แม่อุ้มท้องคลอดตาวัสร์มา เห็นเขาเจ็บ แม่ก็จะขาดใจเหมือนกัน แต่ถ้าไม่รักษา พี่เขาก็จะควบคุมตัวเองไม่ได้ เกิดทำอะไรคิดสั้นหรือหนีเตลิดไป เราจะทำยังไงลูก” น้ำเสียงอนงค์นางสั่นเครือ หน้าตาบอกถึงความเจ็บปวดราวถูกมีดกรีดหัวใจ
ภาสวินท์กุมมือแม่อย่างสงสาร เข้าใจความเป็นห่วงที่แม่มีต่อพี่ชาย แต่เขาก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดี
“ให้ผมดูแลพี่วัสร์เองได้ไหมครับแม่”
“ไม่ได้! ลูกทำงานก็หนักมากแล้ว อีกอย่างก็มีสิริมาดูตาวัสร์ หมอจะมาดูอาการพี่เราแค่เดือนละครั้ง อดทนหน่อยนะวินท์ แม่เชื่อว่าอีกไม่นานพี่ชายลูกจะต้องหายดี เราต้องใจแข็ง” อนงค์นางมองหน้าลูกชายอย่างอ้อนวอน พอเห็นภาสวินท์ไม่สามารถคัดค้านอะไรได้ก็จบบทสนทนาเครียดๆ ลง
“ลูกมีออกงานกับหนูนิกกี้นี่นา รีบไปเตรียมตัวเถอะจ้ะ”
ภาสวินท์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะยอมเดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อเปลี่ยนชุด ส่วนอนงค์นางรอจนได้ยินเสียงปิดประตูจากห้องลูกชายคนเล็ก ก็ไปหาลูกชายคนโตต่อ ตอนเธอเข้าไปในห้องนอนภาสวัสร์นั้น เธอเห็นว่าคนบนเตียงหลับสนิท อนงค์นางเดินเข้าไปจูบหน้าผากลูกชายคนโตและหลุดสะอื้นออกมา
“แม่รักลูกนะ อดทนอีกนิด อีกไม่นานลูกจะต้องหายดี ภาสวัสร์ลูกรักของแม่”
ระหว่างเดินทางไปงานเลี้ยงที่โรงแรมห้าดาว ภาสวินท์เอาแต่คิดห่วงเรื่องพี่ชายจนไม่สนใจว่าชนิณิภาจะเล่าหรือบ่นเรื่องไหนอยู่ แต่ชนิณิภาก็ไม่ปล่อยให้ตัวเองโดนละเลยไม่สนใจหรอก เธอสะกิดเรียกให้ภาสวินท์หันไปตอบรับเออออกับเธอได้ตลอดทาง
รถยนต์คันหรูจอดเทียบทางเข้าล้อบบี้ จังหวะที่พนักงานเดินมาเปิดประตูรถให้ภาสวินท์และชนิณิภาคนละฝั่งนั้น อยู่ๆ ก็มีมอเตอร์ไซค์วิ่งสวนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ว้าย! พี่วินท์ ระวังรถค่ะ! ชนิณิภาตะโกนดังลั่น ถึงจะได้ยิน แต่ภาสวินท์ก็หลบไม่ทันอยู่ดี เขาถูกเฉี่ยวเข้าอย่างจังล้มหงายไปด้านหลัง
“โอ๊ย!” ภาสวินท์หลุดร้องออกมาเพราะล้มหัวชนกับประตูรถแรงเกิดเสียงโครมใหญ่
“พี่วินท์!! พี่วินท์เป็นยังไงบ้างคะ” ชนิณิภาในชุดราตรีเกาะอกสีครีมวิ่งอ้อมรถมาดูคู่หมั้น แต่กลับชะงักไม่กล้าเข้าใกล้ขึ้นมาเฉยๆ
“พี่ไม่เป็นไรนิกกี้” ภาสวินท์คิดแบบนั้น แต่ความจริงคือเขาแตะหน้าผาก พบว่าเลือดไหลค่อนข้างมาก
“พี่วินท์หัวแตก ทำยังไงดีคะ นี่ เรียกรถพยาบาลสิ แล้วพยุงพี่วินท์ขึ้นมาด้วย” ชนิณิภายืนชี้นิ้วสั่งพนักงานเป็นการใหญ่ ภาสวินท์มองหญิงสาวอย่างรู้ทันว่าทำไมชนิณิภาถึงไม่มาพยุงตัวเขา ทั้งที่เขาเลือดออกบาดเจ็บขนาดนี้
“ไม่ต้องครับ ไม่ต้องเรียก เดี๋ยวพี่ไปโรงพยาบาลเอง นิกกี้เข้างานไปเถอะ” ภาสวินท์บอกใจเย็นและเข้าใจ”
“ขอโทษนะคะพี่วินท์ แต่นิกกี้กลัว” หญิงสาวในชุดราตรีหรูก้มมองชุดตัวเอง กับเลือดที่อาบข้างแก้มคู่หมั้น เธอไม่สามารถเลือกได้เลยว่าจะให้ความสำคัญกับอะไร แต่ดูแล้วภาสวินท์ก็แค่หัวแตกเอง ไม่น่าเป็นอะไรมาก
“ไม่เป็นไร” ภาสวินท์หันไปบอกให้คนขับรถพาเขาไปทำแผลที่โรงพยาบาล แล้วค่อยวนกลับมารับชนิณิภาทีหลัง
แม้เขาจะบอกเธอไปว่าไม่เป็นไร ลึกๆ ในใจแล้วภาสวินท์เกิดสมเพชเวทนาตัวเองขึ้นมา นี่เขาจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่ห่วงชุดสวยมากกว่าตัวเขางั้นหรือ?
กว่ากอกานต์จะทำงานเสร็จ ทั้งออกแบบโปสเตอร์ การ์ดเชิญ หัวจดหมายสำหรับงานออกร้านสำคัญของห้างวัสวา เธอยังถูกเพิ่มงานขึ้นมากะทันหัน พวกฝ่ายการตลาดเกิดอยากแก้ข้อความบนสื่อสิ่งพิมพ์เพื่อส่งให้ทันวันรุ่งขึ้น ทำให้กอกานต์เงยหน้าจากงานมาอีกที ฟ้าก็มืดแล้ว
“ป่านนี้ป้าแพรวคงห่วงแย่แล้ว”
ก่อกๆๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น กอกานต์หันไปมองก็พบว่าคือพนักงานฝ่ายการตลาดที่มาขอให้เธอช่วยแก้งานนั่นเอง
“ถ้าไม่เสร็จวันนี้ก็ไม่เป็นไรนะคะน้องแก้ม รีบกลับบ้านเถอะ ดึกแล้ว”
กอกานต์หันมองนาฬิกา นี่เกือบทุ่มแล้วหรือนี่ วันนี้ฟ้ามืดเร็วด้วยสิ
“รีบกลับนะคะ เดี๋ยวพวกพี่ๆ จะกลับกันแล้ว อยู่ดึกๆ ไม่ดีหรอกค่ะ อันตราย” พี่ฝ่ายการตลาดเหมือนจะยืนรอให้เธอกลับพร้อมกัน กอกานต์เกรงใจเพราะยังไม่ได้เก็บของเลย
“พี่ๆ กลับก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวแก้มขอส่งอีเมล์ให้คุณวินท์ก่อน ไม่ต้องห่วงค่ะแก้มกลับรถไฟฟ้า เดินนิดเดียวก็ถึงแล้ว”
ตอนแรกพวกพี่การตลาดก็ลังเล แต่กอกานต์ยืนยันคำเดิม ทำให้พวกเขากลับกันไปก่อน
ห้องแผนกการตลาดนั้นปิดไฟมืดไปแล้ว บรรยากาศวังเวงน่ากลัวอยู่เหมือนกัน กอกานต์รีบจัดการเก็บข้าวของลงกระเป๋า แต่แล้วก็มีอะไรบางอย่างดังขึ้นที่ด้านหลัง กอกานต์ชะงักไปทันที
กึก …
เธอควรจะหันไปหรือเปล่า แล้วถ้าหันไปเห็นเป็นผีล่ะ?
กอบ … แกบ … กอกานต์เงี่ยหูฟัง เสียงปริศนาคล้ายเสียงฝีเท้า แต่เวลานี้ใครจะมาเดิน
ในช่วงที่คิดๆ กลัวๆ อยู่นั้น ก็มีมือใครบางคนแตะลงบนไหล่กอกานต์ เธอร้องกรี๊ดอย่างตกใจ
“ว้าย!”
“คุณแก้ม ผมเอง ผมภาสวินท์!” เสียงทุ้มต่อมาทำให้กอกานต์ค่อยๆ เปิดตา และหันไปมองแล้วพบว่าเป็นภาสวินท์จริงๆ
“คุณวินท์! ทำอย่างนี้อีกแล้วนะคะ แก้มหัวใจจะวาย” คราวก่อนก็ทีนึง เธอไม่อยากจะต่อว่าเขาจงใจแกล้งเธอหรอกนะ แต่การเข้ามาเงียบๆ แบบนี้ไม่ดีเลย
“ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ ไม่รู้ว่าจะทักคุณยังไงไม่ให้คุณตกใจดี” ภาสวินท์ยอมรับผิด ก่อนจะเปลี่ยนเสียงดุ “ว่าแต่ทำไมคุณยังไม่กลับบ้าน นี่มันดึกแล้วนะ ผมเคยบอกแล้วไงว่าผมไม่นิยมโอที”
“แก้มมีแก้งานด่วนนิดหน่อยค่ะ”
“งานอะไร ทำพรุ่งนี้ไม่ได้หรือ” ภาสวินท์สงสัย
“มันนิดหน่อยจริงๆ ค่ะ แต่ว่านี่ก็กำลังจะกลับแล้วค่ะ” กอกานต์ตอบ แล้วตกใจกับรอยเลือดที่เสื้อเชิ้ตสีขาวของชายหนุ่ม “คุณวินท์ไปโดนอะไรมาคะ ทำไมเลือดเลอะเสื้อ นี่คุณวินท์หัวแตกหรือคะ”
เธอเพิ่งสังเกตเห็นพลาสเตอร์ยาบนหน้าผากชายหนุ่ม พอมองดีๆ ก็ยังเห็นหน้าผากเขาปูดออกมานิดนึงด้วย
“อ้อนี่เหรอ ผมล้มหัวกระแทกรถนิดหน่อย” ภาสวินท์ตอบ “นี่จะกลับแล้วใช่ไหม ลงไปด้วยกันเลยล่ะกัน” เขาชวนพนักงานใหม่ เธอเป็นผู้หญิงตัวนิดเดียว น่าเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน
“คุณวินท์มาทำไมตอนนี้หรือคะ” กอกานต์ชวนคุยระหว่างเดินไปยังลิฟท์
“แค่อยากอยู่คนเดียวน่ะ” ภาสวินท์ถอนหายใจ หน้าหล่อเหลาเครียดกับปัญหาหลายเรื่อง
“งั้นแก้มเดินลงไปเองได้นะคะ” ได้ฟังเหตุผล กอกานต์ก็เกรงใจเจ้านาย แต่ว่าเธอก็ไม่เห็นด้วย “แต่แก้มว่าคุณวินท์อย่าอยู่คนเดียวเลยค่ะ ถ้าเครียดก็ควรหาคนคุยด้วยจะได้สบายใจขึ้น”
“ถ้างั้นผมก็คุยกับคุณล่ะกัน” พออยู่ใกล้กันในลิฟท์แคบๆ ภาสวินท์ก็ได้กลิ่นน้ำหอมหวานๆ คล้ายลูกอมจากกายหญิงสาว วันนี้กอกานต์สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกระโปรงยาวสีน้ำตาล รองเท้าหุ้มส้นหนัง ผมยาวมัดครึ่งหัว แต่งหน้าเล็กน้อยดูใสๆ ไม่ฉูดฉาดเหมือนชนิณิภาแต่กลับน่ามองกว่าเยอะเลย
ภาสวินท์เผลอคิดถึงพี่ชาย ไม่รู้ว่าตอนนี้จะหายกลัวคุณหมอแล้วหรือยัง
“สวนด้านหลังสวยดีนะคะ วันนี้แก้มไปนั่งกินข้าวเที่ยงที่นั่นมา”
“สวนด้านหลัง ที่นี่มีสวนด้วยหรือ” ภาสวินท์ตกข่าวการปรับปรุงทัศนียภาพรอบๆ ห้างไปหรือ ทำไมเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
“มีสิคะ ก็อยู่ด้านหลังตึกนี้ไงคะ” กอกานต์ยืนยันกลับยิ่งเห็นสีหน้าแปลกใจของคนฟัง พอออกจากลิฟท์ เธอเลยเดินนำทางไปยังสวนสวยที่ว่า แต่สิ่งที่เธอเห็นกลับเป็นสนามหญ้าเล็กๆ แคบๆ ถัดออกไปก็ติดกำแพงที่ทำจากต้นไม้แล้ว
จบตอน
นำนิยายมาส่งค่า
คุณ แว่นใส - ส้มจะบอกอะไรน้า ^^
คุณ kaelek - ส้มคงรู้อะไรมาเยอะแน่เลยค่ะ เลยกลัวคุณแม่ขนาดนั้น >___< แต่จะได้บอกพี่วินท์หรือเปล่าน้อ
พบกันตอนหน้าค่า สวัสดีค่า
ปิ่นนลิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ก.ค. 2560, 09:37:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ก.ค. 2560, 09:43:11 น.
จำนวนการเข้าชม : 872
<< ตอนที่ 4 | ตอนที่ 6 >> |