ปิ่นใจกะรัตพลอย (ชุด ลูกไม้ลายหงส์)
แม้จะต้องปะทะลมฝนรุนแรงขนาดไหน เธอก็ยังนับเป็นหงส์เหินที่งามสง่า แต่ใครจะคิดว่าสักวันนึง...ลมปากคนจะหักปีกหงส์ได้จริงๆ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: Chapter 11 : คว้ามือ
'โอ้ว่าอกอกเอ๋ยไม่เคยไข้
โอ้ว่าใจใจเอ๋ยไม่เคยอ่อน
มาระอุอุระผะผ่าวร้อน
ใจมารอนรอนร้าวราวขาดใจ'
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์(2546) เขียนใน "ให้เธอทั้งหมดเท่าที่มี"
กล่าวกันว่าคนที่เคยปรารถนาความตาย เมื่อผ่านพ้นมันมาได้จะไม่โหยหามันอีกจวบจนสิ้นชีวิต ทว่าในวินาทีนี้เธอกลับไม่แน่ใจนัก...
ลมหนาวเยือกพัดมาหนหนึ่ง หัวใจทั้งดวงวูบไหวสั่นสะท้านขึ้นอีกครา ปล่อยให้เปลือกตาบางหลับพริ้มลง ไล่น้ำตาให้ร่วงลงบนสายน้ำ ไหลเอื่อยไปพร้อมกับหยาดฝน เวลาผ่านไปทั้งสิ้นหนึ่งคืน ความร้าวระบมในอกยังคงออกฤทธิ์อย่างร้ายกาจ ค่อยๆ ทำลายความยับยั้งชั่งใจไปทีละนิดจนแทบไม่เหลือหลอ
เธอฆ่ากวินทร์ที่เคยสัญญารักมั่น
ฆ่าบุพการีทั้งสอง...แม้กระทั่งท่านสิ้นไปแล้วก็ยังทำลายเกียรติศักดิ์ศรีของท่านเสียจนป่นปี้...
จนตอนนี้ กระทั่งอธิษฐ์ที่เคยบอกว่ารักเธอนักหนาก็ทิ้งเธอไปแล้ว...
ท้ายที่สุดเธอยังทำลายเกียรติตัวเองด้วยการรับจุมพิตจากผู้ชายอีกคนมา หลังจากเพิ่งถูกทิ้งได้ไม่กี่นาทีนั้นเอง...
ความรู้สึกผิดบาปประทับแน่นอยู่ในอกราวกับถูกนาบด้วยเหล็กกล้าลนไฟ ยิ่งเข็มนาฬิกาเดินไปข้างหน้า ความร้าวระบมก็ยิ่งกัดกินเศษซากหัวใจที่เหลืออยู่น้อยนิดของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ชั่ววินาทีนั้น เธออยากจะให้ตัวเองไร้หัวใจไปเสียจริงๆ จะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรอีก ทว่าความจริงกลับโหดร้ายกว่าที่คิด เธอรับรู้ว่าวันเวลาผ่านไปแล้ว...แต่กลับยังปวดร้าวเจียนตายอยู่อย่างนี้...
หากจะต้องเหลือเพียงเศษซากหัวใจ แต่เจ็บแทบขาดใจขนาดนี้
บางที การ ‘หายไป’ อาจจะเรียบง่ายเสียกว่า...
ชั่ววูบนั้น ร่างบางทั้งร่างปล่อยวางทุกสิ่งไปกับแรงลมและหยาดฝน หยัดยืนตรงอย่างมั่นคงแล้วทิ้งตัวลงแม่น้ำเบื้องหน้า ปล่อยให้แรงดันน้ำพัดพาและกัดทับจนจมลึกลงไปเรื่อยๆ คล้ายยอมรับความรุนแรงของสายน้ำโดยดุษฎี หวังเพียงว่ามันจะช่วยปลิดลมหายใจที่มีอยู่อย่างทรมานนี้ไปเสียที
ความมืดมิดเริ่มแผ่อายเข้าครอบงำสติสัมปชัญญะของเธอทีละนิด แต่เธอกลับไม่ดิ้นรนขัดขืนแต่อย่างใด แม้ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายจะเป็นไปอย่างไม่อาจควบคุม ทำให้ทรมานอยู่บ้าง แต่หากเทียบกับตอนมีสติครบถ้วนแล้วกลับรู้สึกมันช่างเบาสบายเหลือเกิน เธอจึงรอคอยอย่างใจจดใจจ่อให้สติทุกส่วนแตกดับไปพร้อมกับร่างไร้ค่านี้เสีย และเพียงเสี้ยววินาทีต่อมา ความปรารถนานั้นของเธอก็ถูกเติมเต็มอย่างสมบูรณ์...
ทว่าทันใดนั้นเอง...
ตู้มมมมมม!!!
ร่างสูงกระโจนลงไปคว้าร่างหมดสติที่ยังจมลงไปไม่ลึกนักขึ้นมา แล้วแหวกว่ายพาเข้าฝั่งอย่างรวดเร็ว มือหนาค่อยๆ ประคอง วางร่างบางขาวซีดไว้บนท่าน้ำ
ทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเธอจมลงไปไม่ถึงครึ่งนาทีด้วยซ้ำ แต่ครั้นได้เห็นดวงหน้าซีดขาวไร้สีเลือดนั้นชัดๆ แล้ว ใจที่เคยด้านชาก็พลันกระตุกวูบขึ้นมาอีกครั้ง ความกลัวร้อยแปดประการซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่สมเหตุสมผลทั้งสิ้นโถมเข้าจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว
กลัวว่าเธอจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก กลัวว่าความกลัวก่อนหมดสติใต้น้ำจะทำร้ายเธอหลังจากฟื้นตื่นขึ้นมา กลัวว่าทุกอย่างจะไม่เป็นอย่างที่คิด กลัวว่าเธอจะเศร้าเสียใจยิ่งกว่าเดิมจนอยากทำร้ายตัวเองอีกครั้ง...
เธอต้องใช้ความกล้าแค่ไหนถึงลงมือปลิดชีวิตตัวเองได้... เขาเองก็ต้องใช้ความกล้าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพื่อข่มความกลัวจนสุดขั้วหัวใจ ให้เธอได้ทำร้ายตัวเองตามใจปรารถนา...
ใช่... ถึงจะดูโหดร้ายอยู่สักหน่อย แต่มันก็คือความจริง
เขากำลังรอให้เธอฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตา แล้วค่อยลงไปช่วยเธอขึ้นมา
เห็นเธอเจ็บเจียนตาย...เขาเองก็ทรมานเจียนจะคลั่ง...
ใจเธอทรมานจนแทบฟั่นเฟือน...เขาเองก็ใกล้เสียสติเต็มที...
บาดแผลฉกรรจ์ถึงเพียงนี้ นอกเสียจาก ‘เกิดใหม่’ จะยังมีวิธีไหนอีก...
แต่หลังจากได้เห็นเปลือกตาบางสีม่วงอ่อนระเรื่อปิดสนิท ริมฝีปากบางที่เขาเคยครอบครองซีดเผือดไม่ต่างผิวกาย เรือนร่างบอบบางเย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำแข็ง ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะโดยสมบูรณ์ เขาก็รู้เท่าทันความรู้สึกของตัวเองในทันที และสาบานว่าต่อจากนี้ ไม่ว่าจะเธอปรารถนาหรือไม่ เขาก็จะไม่มีวันปล่อยให้เธอทำเรื่องน่ากลัวพรรค์นี้อีก
เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองข่มกลั้นอย่างเจ็บปวดที่สุดแล้ว คิดว่าตัวเองห่วงเธอมากที่สุดแล้ว... แต่พอเอาเข้าจริงกลับพบว่า ตัวเองห่วงเธอมากกว่านั้นหลายเท่านัก...
ถ้าเพียงแต่เขาหน้าด้านหน้าทนอยู่กับเธอในศาลานั่นตั้งแต่แรก ต่อให้เธอหนีเขาก็แค่หน้าด้านเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย ตามติดเธอไปเป็นเงา ตอนนี้ก็คงไม่ต้องมานั่งปวดใจเสียเองแบบนี้
ฆ่าตัวตายงั้นเหรอ...ฆ่าเขาตายเสียมากกว่า...
มือหนาประสานกันปั๊มหัวใจสลับกับโน้มลงแนบริมฝีปากผายปอดให้เธอเป็นระยะ ขณะที่ในใจก็พร่ำสวดภาวนาไปพร้อมกัน เดิมทีเขาก็หวั่นใจอยู่แล้วว่า พอเขาไปจนลับตาแล้วเธออาจจะคิดสั้นฆ่าตัวตายขึ้นมาก็ได้ จึงตัดสินใจนั่งเป็นเพื่อนเธออยู่นอกศาลาตลอดทั้งคืน แต่เหตุที่ไม่พาเธอออกไปจากสถานการณ์สุ่มเสี่ยงแบบนี้เสียตั้งแต่แรก ก็เพราะรู้ดีว่าลึกๆ แล้วเธอหัวแข็งแค่ไหน หากเขาดึงดันจะอยู่ เธอต้องดึงดันจะหนีแน่ ถึงตอนนั้นใครจะรับประกันว่าพ้นสายตาเขาไปแล้วเธอจะไม่ทำเรื่องโง่ๆ พรรค์ไหนอีก ถ้าเป็นอย่างนั้น ต่อให้เขาไวกว่านี้อีกร้อยเท่าก็คงตามไปคว้าชีวิตเธอไว้ไม่ทัน
และเขาเอง...ก็คงทนไม่ได้...
เพียงไม่ถึงครึ่งนาทีดวงหน้าขาวซีดก็สำลักน้ำออกมาหลายคำ ความรู้สึกมึนงง อัดแน่นในอก ประเดประดังเข้ามาพร้อมกัน เปลือกตาบางค่อยๆ ปรือขึ้นมองภาพพร่าเลือนตรงหน้าช้าๆ คลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นเงาของใบหน้าหนึ่งที่คุ้นตา ทว่าเลือนรางเกินกว่าจะระบุได้แน่ชัด ดูคล้ายว่าจะเป็นภาพลวงมากกว่าความจริง หากรอยสัมผัสที่ยังติดตรึงอยู่ที่ริมฝีปากนั้น กลับแจ่มชัดเกินกว่าจะเป็นภาพฝันละเมอ
วินาทีที่เธอกำลังจะเอ่ยเรียกเจ้าของร่างสูงซึ่งโน้มตัวลงมาหาใกล้ๆ นั่นเอง เงาเลือนรางของเขาก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย เธออ่อนแรงเกินกว่าจะหันขวับไปตามหา และสับสนเกินกว่าจะร้องเรียกชื่อเขาได้ถูก แม้แต่ตัวเองอยู่ในโลกมนุษย์หรือปรโลกก็ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำ จึงได้แต่ร้องท้วงอยู่ในใจเท่านั้น ครั้นพอได้สำลักน้ำออกมาอีกระลอก เสียงตื่นตระหนกคุ้นหูกับใบหน้าที่คุ้นตายิ่งกว่าก็ปรากฏขึ้นต่อหน้า มือไม้สารพัดคู่เข้าจู่โจมยกโน่นจับนี่สำรวจด้วยความเป็นห่วง ความทรงจำมึนงงสั้นๆ นั้นจึงติดอยู่กับสมองเธอไม่นานนักก็หายไปดั่งควัน
เพี๊ยะะะะ!!!!
เสียงตบหน้าฉาดใหญ่อย่างไม่ทันตั้งตัว เรียกให้บรรดาผู้ติดตามมานับสิบชีวิตหันไปมองคนเพิ่งรอดตายเป็นตาเดียว ก่อนจะเบนสายตาไปหาผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง ซึ่งก็คือราชินีมังกรมุก ทว่าเจ้าตัวกลับหันหน้าไปหาร่างเล็กที่นั่งข้างๆ อีกต่อหนึ่ง ทุกคนจึงได้ประจักษ์แจ้งแก่ใจว่า ผู้ที่ลงมืออย่างเหนือความคาดหมายก็คือทิพย์น้ำปรุง หญิงสาวผู้สดใสร่าเริงและมองโลกในแง่ดีคนนั้น
“เห็นแก่ตัว!!! ฉันไม่เคยคิดเลยว่าแกจะเห็นแก่ตัวได้ขนาดนี้!!!” ทิพย์น้ำปรุงตวาดลั่น ดวงตาสองข้างแดงก่ำวาวโรจน์ด้วยไฟโทสะ ทว่าแววตื่นตกใจและร้อนใจด้วยความเป็นห่วงใต้ม่านน้ำตานั้นกลับเห็นได้ชัดยิ่งกว่า
“แกตายไปไม่ต้องทุกข์ต้องโศก แต่เคยคิดถึงคนยังอยู่อย่างฉันบ้างมั้ย!!!” ทิพย์น้ำปรุงไม่ปล่อยให้สิ้นคิดแก้ตัว ตะโกนขึ้นอีกครั้งอย่างเดือดดาล คราวนี้เธอโกรธจริงๆ เธอรู้เพื่อนต้องแบกรับข้อกล่าวหาพวกนั้นอย่างไม่ยุติธรรม เพื่อนอาลัยคนจากไป...เธอก็รู้... แต่เธอที่ยังอยู่นี่ล่ะ...ไม่คู่ควรให้คร่ำครวญหวนไห้บ้างเลยหรือไง!
“แกอยู่แล้วทำให้คนตายงั้นเหรอ ถ้าแกตายแล้วฉันตายตามแกไปล่ะแกจะว่าไง!! ถึงตอนนั้นจะฟื้นขึ้นมารึไง!!!”
“ฉะ...ฉัน...” เสียงสะอื้นที่แทบไม่เคยดังขึ้นต่อหน้าผู้คนมากมาย ค่อยๆ ดังแทรกเสียงเอื้อนเอ่ยขึ้นทีละนิด หากแต่คำยังไม่ทันได้หลุดออกไป มือหนักๆ ของเพื่อนสาวก็ฟาดตามลงมาที่ข้างแก้มซีดขาวอีกข้างของเธอ
เพี๊ยะะะะ!!!
“ถ้าสิ่งที่แกจะพูดไม่ใช่คำสัญญาว่าจะไม่ทำอีก ก็ไม่ต้องพูด...” แม้แต่น้ำผึ้งพระจันทร์เองยังอดขนลุกขนพองไปกับ เสียงเย็นเยียบเสียดกระดูกของเพื่อนสาวไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอีกสิบชีวิตด้านหลัง
ตั้งแต่คบหากันมาเธอไม่เคยเห็นทิพย์น้ำปรุงโกรธขนาดนี้มาก่อน ด้วยเดิมทีเจ้าตัวเป็นคนร่าเริง ออกจะหัวอ่อน และว่านอนสอนง่ายด้วยซ้ำ ที่ตวาดคนอื่นเพราะโมโหก็แทบจะนับครั้งได้ แต่ในจำนวนที่นับครั้งนั้นก็ยังไม่มีครั้งไหนรุนแรงเท่าครั้งนี้มาก่อน เธอจึงไม่กล้าจะสอดปากห้ามทัพ ได้แต่ลูบแขนคนใจร้อนให้ใจเย็นค่อยพูดค่อยจากัน ทั้งที่ตัวเธอเองก็ทั้งตกใจ ร้อนใจ และเป็นห่วงเพื่อนไม่ต่างกันนัก
“ฉันขอโทษ” สิ้นเสียงเอ่ยแทรกก้อนสะอื้น ทิพย์น้ำปรุงที่สะเทือนใจจนลงไม้ลงมือทั้งน้ำตา ก็โผเข้ากอดเพื่อนรักไว้ด้วยสองแขน จากนั้นน้ำผึ้งพระจันทร์ก็โผเข้ากอดเพื่อนรักทั้งสองด้วยอีกคน เสียงร้องไห้ของหญิงสาวทั้งสามดังระงมอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ถึงได้แปรเปลี่ยนรอยยิ้มแทรกคราบน้ำตาขึ้นมาด้วยความดีใจ ที่ยังเห็นว่าเพื่อนยังอยู่ดีตรงนี้ ต่างคนจึงต่างยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้กัน แล้วกอดคอกันร้องไห้ออกมาอีกระลอก
หัวใจเพื่อนแหลกสลายลงจนไม่ต่างจากเถ้าธุลี หัวใจเธอทั้งสองคนก็ถูกฉีกทึ้งไม่ต่างกัน หลังจากเพื่อนวิ่งหนีออกมาจากศาลาวัด เธอก็ร้อนใจจนแทบบ้า เพราะคิดว่าถ้อยคำที่ดุจน้ำเพชรด่าทอเพื่อนนั้นออกจะรุนแรงไม่น้อย อารามเสียใจจนขาดสติเพื่อนเธออาจจะทำอะไรไม่คิดขึ้นมาก็ได้ ขณะกำลังจะสั่งคนออกตามหาให้ทั่วนั้นเอง ก็ได้รับข้อความจากฟรานว่าเพียงน้ำพลอยอยู่กับเขา และตอนนี้ยังอยู่ดีไม่ต้องเป็นห่วง เธอกับทิพย์น้ำปรุงถึงได้นั่งติดที่ในที่สุด และคิดได้ว่าบางทีให้เพื่อนอยู่คนเดียวสักพักก็ไม่เลวเหมือนกัน อย่างน้อยก็ดีกว่าให้นั่งทนแรงกดดันอยู่ในศาลา หรือโดนคนเป็นพี่ซึ่งเป็นคนในครอบครัวคนสุดท้ายชี้หน้าด่ากราดกลางศาลา
ตอนเช้าตรู่น้ำผึ้งพระจันทร์กับทิพย์น้ำปรุงรู้สึกวางใจไม่ลง เพราะไม่เห็นเพียงน้ำพลอยมาตลอดทั้งคืน ครั้นพอคิดจะติดต่อฟรานอีกครั้งก็ติดต่อไม่ได้ จึงตัดสินใจพากันออกตามหา ชั่วขณะนั้นเองถึงได้เห็นฟรานที่ริมท่าศาลาเก่าๆ หลังหนึ่งกระโดดพุ่งลงไปในน้ำ น้ำผึ้งพระจันทร์ปะติดปะต่อเรื่องราวอยู่ในหัวได้ภายในเสี้ยววินาที ร่างทั้งร่างแทบล้มลงทั้งยืน แต่เพียงนาทีต่อมาก็เห็นว่าฟรานพาร่างบางของเพื่อนขึ้นจากน้ำมาวางบนท่า จึงรีบสาวเท้าวิ่งเข้าไปหาทันที
โชคยังดีที่ฟรานอยู่ด้วย...ไม่อย่างนั้นวันนี้คงต้องเผากันทั้งสิ้นสามศพแล้ว...
เพียงน้ำพลอยกึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บนเตียงในห้องนอนของตัวเอง แววตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย ทว่าในหัวกลับหนักอึ้งอยู่ไม่น้อย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังคิดเรื่องใดอยู่เป็นหลักกันแน่ ปล่อยให้เสียงเทศนาของน้ำผึ้งพระจันทร์ดังแทรกเข้ามาในหูข้างซ้าย ยอมให้นั่งพักอยู่ในสมองสักพัก จึงปล่อยให้ลอยออกหูขวาไป
“เรื่องไม่รักชีวิตนี่นะไม่มีใครรู้ดีกว่าฉันอีกแล้ว และในฐานะของผู้เชี่ยวชาญ ฉันจะบอกแกให้ว่าสิ่งดีๆ ย่อมจะมาหาคนที่รู้จักรอ รู้มั้ย” น้ำผึ้งพระจันทร์ว่าพลางจัดผ้าห่มบนเตียงให้เข้าที่ ก่อนจะจับโน่นจัดนี่ไปตามเรื่อง แต่ปากก็ยังคงเอ่ยเทศนาเพื่อนไม่รู้ความไม่หยุด ปล่อยให้หน้าที่ปรุงอาหารขึ้นมาเสิร์ฟเป็นของทิพย์น้ำปรุง เนื่องด้วยลงความเห็นกันแล้วว่า หากคนจิตใจย่ำแย่เกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีก คนเรี่ยวแรงเหลือเฟืออย่างเธอจะได้จัดการได้ทันท่วงที
“ก็ใครเขาจะไปโชคดีแบบแกล่ะ” เพียงน้ำพลอยหันมาตอบเพื่อนรัก พร้อมกับฝืนระบายยิ้มบางๆ ให้
แน่นอนว่าเธอไม่ได้ต้องการเย้ยหยันความโชคดีของเพื่อนแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามเธอกลับชื่นชมและลอบอิจฉาด้วยรอยยิ้มมาโดยตลอด แต่ก็พูดยากเหลือเกินว่าบนโลกนี้จะยังมีใครโชคดีได้เจอฟ้าหลังฝนที่สวยงามขนาดนี้อีก บางทีเธออาจเป็นหนึ่งในคนที่โชคร้ายก็ได้ ถึงอย่างไรเสียเธอก็เป็นพาหะนำเรื่องร้ายๆ อยู่แล้ว ไม่ว่าเรื่องเลวร้ายประเภทไหนก็ล้วนถูกเธอดึงดูดเข้าตัวได้ทั้งนั้น อันที่จริงมันก็เข้ามาแล้วด้วยซ้ำ คนๆ นั้นถึงได้บอกเลิกเธอได้ง่ายดายราวกับพูดเรื่องดินฟ้าอากาศยังไงยังงั้น
“แล้วอีตาเสาร์อาทิตย์นั่นหายหัวไปไหน ป่านนี้ยังไม่โผล่” ครั้นพอคิดถึงความเจ็บใจข้อนี้ได้ น้ำผึ้งพระจันทร์ก็คร้านจะรักษามารยาทในการพูดถึงอีกฝ่ายอย่างพินอบพิเทาอีก มีอย่างที่ไหนงานศพพ่อแม่แฟนผ่านมาจะสามสี่วันแล้วยังไม่เห็นแม้แต่เงา เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าเขาควรเป็นคนแรกที่แสดงตัวหรือไง
“มาแล้ว” เพียงน้ำพลอยตอบเพียงสั้นๆ ทว่านัยน์ตาดำขลับกลับคล้ายถูกแช่แข็งไปชั่วขณะ
ยัยแม่มดยังคงมีญาณทิพย์เหนือชั้นกว่าคนอื่นเช่นเคย ขนาดว่าเธอยังไม่ได้บอกเล่าอะไรสักคำ อีกฝ่ายก็ยังพูดโพล่งเรื่องนี้ออกมาได้ตรงกับจังหวะที่เธอกำลังคิดอยู่พอดี
“มาแล้ว...อ่อ มาแล้วเหรอ...” เห็นเพื่อนรับคำด้วยสีหน้ากึ่งงุนงงกึ่งเข้าใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบจนน่ากลัว เพียงน้ำพลอยก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเพื่อนเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างด้วยตัวเองแล้ว เธอจึงโล่งใจไปเปราะหนึ่งที่ไม่ต้องมานั่งเล่าเรื่องราวที่ตัวเองไม่อยากเล่าอีก
กับเรื่องของอธิษฐ์ แน่นอนว่าการจากเป็นย่อมดีกว่าจากตาย แต่จากสิ่งที่เขาทำกับเธอคราวนี้ เธอกลับไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตัวเองทั้งเสียใจ ทั้งผิดหวัง และพาลโกรธแค้นเขาอย่างเสียไม่ได้ เรียกได้ว่าหนักหนาเอาการ จนเริ่มไม่แน่ใจว่าหากเขาตายไปตรงหน้าจริงๆ จะเสียใจได้มากเท่านี้รึเปล่า แต่ไม่ว่าความรักความผูกพันที่ผ่านมาของเขาจะเป็นของจริงหรือเสแสร้งแกล้งทำ มันก็มีผลกับจิตใจเธอมาก มากพอจะทำให้ความรักความจริงใจของเธอเป็นของจริงทั้งหมด และไม่อาจตัดมันให้ขาดได้ในครั้งเดียว จนตอนนี้เธอก็ยังรู้สึกว่าตัวเองยังรักเขาอยู่มาก และปรารถนาให้เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงแค่ฝันร้ายตื่นหนึ่งเท่านั้น
แต่หากมันจะต้องเป็นความจริงเสียแล้วล่ะก็ เธอก็ปลงตกแล้วว่า...
ไม่เก็บของตกพื้นขึ้นมากินฉันใด ก็ไม่อาลัยอาวรณ์คนไม่มีใจฉันนั้น...
เดิมทีเธอก็เป็นคนทิฐิหนามาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว แม้จะเสียใจมาก และไม่ปฏิเสธว่าเขาเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เธอตัดสินใจทำเรื่องไม่มีหัวคิดเมื่อเช้านี้ แต่หากจะให้เธอเอ่ยปากอ้อนวอนเขาเข้าจริงๆ ความเคยชินก็คงหยุดยั้งเธอไว้จนพูดไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ กล่าวคือ ไม่ว่าจะเป็นหรือตายเธอก็คงไม่อ้อนวอนให้เขากลับอยู่ดี และเมื่อคิดทบทวนถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจได้ถูกต้องแล้วและภูมิใจอยู่หลายส่วน ที่อย่างน้อยก็ไม่ทำเรื่องน่าขายหน้า วางตัวได้มีมาดไม่เลว ถึงผลข้างเคียงจะเลวร้ายอยู่สักหน่อยก็เถอะ
“กลับไปแล้วก็แล้วกันไปเถอะ” เพียงน้ำพลอยตอบคล้ายไม่เข้าใจความคิดของอีกฝ่าย หากแต่นัยแฝงของคำพูดนั้นกลับบ่งบอกความในใจได้อย่างชัดเจน ขอเพียงเป็นเพื่อนที่รู้ใจกันมานาน ย่อมรู้ดีว่าเธอหมายถึงอะไร
น้ำผึ้งพระจันทร์คล้ายจะเอ่ยอะไรขึ้นอีกสักอย่าง ทว่าทิพย์น้ำปรุงกลับโผล่พรวดเข้ามาเสียก่อน หลังจากนั้นก็กลายเป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญในห้องนอน จากการบังคับให้เธอกินอาหารที่เพิ่งทำมาลงไปให้ได้มากที่สุด พอเธอบอกว่าอิ่มแล้ว ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โตเสียจนแทบจะไปเรียกหมอมาให้อาหารทางสายยาง เธอจึงได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนกินเข้าไปอีกสองสามคำ ทั้งสองถึงได้ยอมรามือ เพราะเห็นว่าเธอกินได้เท่านี้จริงๆ
พอได้สติขึ้นมาบ้าง เพียงน้ำพลอยจึงเริ่มเป็นห่วงงานศพของพ่อแม่ที่วัดขึ้นมา แต่ครั้นจะไปดูด้วยตัวเองก็กลัวว่าจะทำให้ใครต่อใครไม่กล้ามางานอย่างที่พี่สาวว่าอีก จึงได้แต่ถามไถ่กับเพื่อนทั้งสอง เมื่อได้ความว่าบิดาของน้ำผึ้งพระจันทร์เป็นธุระให้เรียบร้อยแล้ว เหวินหยางหลงเองก็อยู่ที่นั่น ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เธอจึงได้เบาใจลงส่วนหนึ่ง ผ่านไปสักพักใหญ่ก็หลับตาลง ปล่อยให้เพื่อนผู้เฝ้าอาการทั้งสองคิดว่าเธอผล็อยหลับไปแล้ว จากนั้นก็ใช้ความคิดกับตัวเองภายใต้ความมืดมิดไปเงียบๆ
จากชั่วตรู่สู่เย็นย่ำ...จากเย็นย่ำสู่อรุณรุ่ง... แม้เพียงน้ำพลอยจะหลับตาสนิท แต่สมองกลับไม่ได้หยุดคิดเลยแม้แต่วินาทีเดียว มีสติรับรู้อยู่ตลอดเวลา แม้แต่ข้อตกลงการเฝ้ายามเธอไว้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงระหว่างเพื่อนทั้งสองก็รับรู้ได้ไม่มีตกหล่น เมื่อถึงช่วงรุ่งสางที่น้ำผึ้งพระจันทร์ออกไปโทรศัพท์หาคนที่บ้านที่ฮ่องกง เธอจึงรีบลุกจากเตียงคว้ากุญแจรถในลิ้นชักข้างๆ แล้วบึ่งรถออกจากบ้านทันที
ขณะเดียวกันนั้นเอง ร่างสูงโปร่งในเสื้อเชิ้ตเรียบหรูกับกางเกงสแล็คสีดำตลอดทั้งตัว ก็กำลังจะพารถเบนซ์สีดำสนิทคันหนึ่งเข้ามาในบ้านโรจน์รวีเตชานนท์เช่นกัน ด้วยรู้สึกสังหรณ์ใจยังไงชอบกลว่าเรื่องวุ่นวายบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น ในใจเกิดว้าวุ่นเป็นห่วงคนบางคนขึ้นมา จึงกัดฟันสู้พิษไข้ที่ยังเผาผลาญสติรับรู้อยู่หลายส่วน รีบคลานลงจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วบึ่งรถออกจากบ้านตระกูลเฉียนมาที่นี่ทันที ทั้งที่เพิ่งกลับเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว ไม่คาดว่าเช้าตรู่ขนาดนี้ จะยังมีคนขับรถออกไปไหนอีก ทว่าพอเห็นเงารางๆ แสนคุ้นตานั้นสะท้อนผ่านกระจกรถ เขาก็พอจะเดาเรื่องราวทุกอย่างได้ไม่ยากเย็นนัก
ฟรานแอบขับรถตามคนบางคนไปด้วยจิตใจสับสนวุ่นวาย ทั้งร้อนใจห่วงว่าเธอจะทำเรื่องไร้หัวคิดอีกรอบ ทั้งห่วงว่าเธอจะไม่มีสติพอให้ขับรถได้อย่างปลอดภัย แต่หากจะเทียบกันอย่างจริงจังในเรื่องนี้ เขากลับเห็นว่าสภาพตัวเองในตอนนี้ก็ไม่ต่างกันนัก ซึ่งหากจะโทษก็คงต้องโทษตัวเขาเอง ที่เล่นหิ้วบาดแผลฉกรรจ์ไปนั่งตากลมตากฝนทั้งคืน ไหนจะกระกระโดดน้ำช่วยคนอีก จากสภาพการณ์ที่ว่ามา เขายังไม่ไปนอนพะงาบๆ ที่โรงพยาบาลก็นับว่าอึดยิ่งกว่าวัวแล้ว
ลมหายใจร้อนระอุระบายออกมาอย่างกลัดกลุ้ม ก่อนจะสะบัดหน้าไปมาไล่อาการปวดหนึบที่ศีรษะอีกครั้ง พยายามเบิกตาสู้แสงจ้ามองรถคันหรูสีดำซึ่งอยู่ห่างไปไม่ใกล้ไม่ไกล ตลอดทางเขาทั้งตามประชิด ทั้งทิ้งระยะห่างบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อไม่ให้เธอรู้ตัวว่ามีคนกำลังตามอยู่ แต่หากให้เขาเดาล่ะก็ เธอคงสะเทือนใจเสียจนสัญชาตญาณระวังภัยตายด้านไปแล้ว ไม่มีแก่ใจจะระแวดระวังว่าใครขับรถตามมาหรอก
ครั้นพอเห็นว่าถนนที่ตนขับตามเธออยู่นี้ เป็นเส้นทางไปวัดที่จัดงานศพให้พ่อแม่ของเธอ ใจหนักอึ้งทั้งดวงจึงคลายลง ค่อยๆ เลี้ยวรถตามเธอเข้าไปในวัดอย่างไม่รีบร้อนนัก พอจอดรถเสร็จสรรพก็แอบตามเธอไปยังศาลาเงียบๆ ปล่อยให้เธอได้ใช้เวลาตามลำพังอย่างที่ใจต้องการ
ร่างบางดูโรยแรงกว่าปกติอยู่หลายส่วน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังบังคับให้ตัวเองเหยียดหลังตรงเดินเข้าไปในศาลาอย่างเข้มแข็ง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งหน้าโลงศพ เอื้อมมือไปหยิบธูปเล่มหนึ่งจากพานสีทองเบื้องหน้าขึ้นมาจุด แล้วถือขึ้นประนมไหว้บุพการีทั้งสองด้วยใจที่แตกสลาย
ตั้งแต่จัดพิธีศพขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่เธอกราบศพพ่อแม่อย่างเป็นทางการ ด้วยความสะเทือนใจจนแทบฟั่นเฟือน เธอจึงหลอกตัวเองทุกวิถีทางว่าทุกอย่างเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น หรือต่อให้เป็นความจริง อีกไม่นานพวกท่านก็กำลังจะฟื้นตื่นขึ้นมา เธอทำแม้กระทั่งปลิดชีวิตเพื่อหลีกหนีความทรมานแทบดับดิ้นของตัวเอง แต่ไม่ยอมกราบศพท่าน...เพราะคิดว่านั่นเท่ากับเป็นการยอมรับความสูญเสียตรงหน้า แต่สุดท้ายความจริงก็ไม่ยังไม่อาจแปรเป็นอื่นไปได้ ทางเดียวที่สวรรค์เหลือเว้นไว้ให้เธอ คงมีเพียงการยอมรับบทลงโทษทั้งที่ยังหายใจเท่านั้น
เธอคงบาปหนาเกินกว่าสวรรค์จะรับ และน่ารังเกียจเกินกว่านรกจะเรียกหา
ต่อให้เจ็บเจียนขาดใจสักแค่ไหน ก็ต้องก้มหน้าใช้ชีวิตเส็งเคร็งนี่ต่อไป
รับบทลงโทษกล้ำกลืนฝืนทนอยู่กับความรู้สึกผิดบาปไปชั่วชีวิต
สำหรับคนบาปหนาฆ่าได้กระทั่งบิดามารดาอย่างเธอ
การจบชีวิตลงง่ายๆ คงไม่สาสม...
ผ่านความตายครั้งนี้ ทำให้เธอรู้สึกผิดบาปและซาบซึ้งกับคนที่ยังอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเพื่อนสองคนที่ห่วงใยเธอนักหนา จึงคิดว่าจะทำตามสัญญาอย่างเคร่งครัด ชั่วชีวิตนี้ไม่ขอเฉียดใกล้เรื่องพรรค์นั้นอีก แต่สำหรับเรื่องอื่นนั้น...ใจเธอกลับด้านชาเกินกว่าจะมีความรู้สึกใดๆ ไม่ว่าจะเป็นลมหายใจของตัวเอง ความเป็นอยู่ของคนอื่น ความรัก ความกลัว ความหวัง ไม่ว่าจะในวันนี้ วันพรุ่ง หรือสิ่งอื่นใดในโลก เธอล้วนไม่ยี่หระมันทั้งสิ้น แม้จะรู้สึกผิดต่อเพื่อนทั้งสองทุกครั้งที่ได้ยินว่าต่อจากนี้ต้องรักชีวิตให้มากๆ แต่ก็จนใจที่เธอยังคงไม่สนใจมันอยู่ดี ถึงจะให้สัญญาได้ว่าจะไม่ทำเรื่องพรรค์นั้นอีก แต่หากวินาทีข้างหน้านี้มีคนเอาปืนมาจ่อขมับ ก็พูดยากเหลือเกินว่าเธอจะดิ้นรนเอาตัวรอดรึเปล่า
เธอคงเป็น ‘คน ‘เป็น’ ที่จิตวิญญาณ ‘ตาย’’ ไปแล้ว
นั่นอาจเป็นคำนิยามตัวเองที่ใกล้เคียงที่สุดเห็นจะได้
เมื่อได้ยินเสียงรถใกล้เข้ามา เธอจึงหันไปมองแสงแดดอ่อนๆ ที่ทอดเข้ามาในศาลาอีกครั้ง มือบางเอื้อมไปปักธูปลงในกระถาง แล้วก้มลงกราบศพพ่อแม่ด้วยใจร้าวระบมเป็นครั้งสุดท้าย หลับตาซึมซับไออุ่นจากท่านที่สัมผัสได้จากไอธูป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นปาดน้ำตาบนแก้มออก แล้วยันตัวลุกขึ้นหันหลังเดินออกจากศาลาไป ก่อนผู้มาใหม่จะทันได้เห็นว่า ตัวอัปมงคลอย่างเธอก็อยู่ในศาลาด้วย เธอข่มกลั้นเสียงสะอื้นที่คล้ายว่าจะดังขึ้นอีกลงไปให้ลึกสุดใจ ก่อนจะรีบเดินไปยังลานจอดรถแล้วบึ่งรถออกจากวัดทันที
ในเมื่อเธอยอมรับโดยดุษฎีแล้วว่า ตัวเองควรอยู่ในตำแหน่ง ‘ตัวอัปมงคล’
แต่นี้ต่อไปก็ควรอยู่ห่างจากคนปกติให้มาก จะได้ไม่ต้องทำให้ใครเขาต้องเดือดร้อนอีก
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง หลังจากเห็นว่าหญิงสาวเดินก้มหน้าก้มตาออกไปจากศาลาแล้ว เขาจึงรีบเดินไปยังลานจอดรถ และขับรถตามเธอไปเงียบๆ ไม่ให้เธอรู้ตัวเช่นเดียวกันกับขามา พลางนึกดีใจที่อย่างน้อยเธอก็รู้จักเข็ดหลาบกับการทำเรื่องโง่ๆ เสียที เขารู้ดีว่าความสูญเสียที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกัน กับความรู้สึกผิดบาปมหันต์ที่สังคมโยนให้เธอแบกรับนั้น เป็นเรื่องราวเลวร้ายเกินกว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนึงจะทำใจรับสภาพได้ภายในวันสองวัน แต่เขาก็ยังหวังว่าการเกิดใหม่ของเธอคราวนี้จะทำให้เธอเข้มแข็งขึ้น ต่อให้ยังไม่อาจรับความเสียใจได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ขอให้มีความหวัง ว่าตัวเองจะดีขึ้นในสักวันก็ยังดี
ทันใดนั้น ความปวดแปลบในหัวพร้อมกับความพร่าเลือนของสติก็เริ่มออกฤทธิ์ ฟรานจึงสะบัดหน้าไปมาแรงๆ อีกครั้ง เพ่งมองรถคันหรูสีดำของเพียงน้ำพลอยให้หนักขึ้นกว่าเดิม ทว่าพอหางตาเหลือบไปมองกระจกข้างด้วยความเคยชิน กลับเห็นว่ารถเก๋งสีขาวมุกคันหนึ่งที่เคยขับตามหลังมาเมื่อสิบนาทีที่แล้ว ยังคงตั้งหน้าตั้งตาขับตามมาอย่างไม่ลดละ ครั้นพอหันไปมองกระจกข้างอีกด้านหนึ่ง ก็เห็นว่ารถเก๋งสีบรอนซ์ที่ตามหลังมาพร้อมกับคันสีขาวยังคงตามมาอยู่เช่นกัน
สัญชาตญาณเอาตัวรอดอันว่องไวดุจหมาป่าหนุ่มพลันตื่นขึ้นในทันที รีบประมวลผลหาทางรอดในสมองอย่างรวดเร็ว ทว่าจนใจที่ตอนนี้สติตื่นรู้ของเขาเองไม่ค่อยสมประกอบนัก คิดอ่านอะไรได้เชื่องช้าจนน่าหงุดหงิด ครั้นมีอะไรโผล่ขึ้นมาในสมองบ้าง ก็รับรู้ได้แทบจะในทันทีว่ามันช่างเป็นวิธีที่โง่เขลานัก
ดวงหน้าหล่อเหลาหันไปมองกระจกรถทั้งสองข้างอีกครั้งทั้งที่ยังไร้ซึ่งทางออก ได้แต่ขับรถหนีการไล่ล่าถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ อันที่จริง เมื่อวินาทีก่อนหน้านี้เขายังแอบคิดในแง่ดีที่สุดว่า บางทีตัวเองอาจระแวงเกินไป จึงอาศัยช่วงเวลาที่ยังเช้าอยู่มาก รถบนถนนไม่มากนัก ลองเร่งเครื่องหลบซ้ายหลีกขวา ขับเลี้ยวซอยนั้นโผล่แยกนี้ไปเรื่อย ผ่อนช้าบ้างเร็วบ้างเป็นระยะๆ เพื่อไม่ให้ดูผิดสังเกตจนเกินไป ปรากฏว่ารถทั้งสองคันนั้นกลับไล่ตามมาไม่ลดละ เขาจึงมั่นใจได้ว่าสัญชาตญาณของตัวเองครั้งนี้ไม่ผิดเพี้ยนเลยแม้แต่น้อย
ทว่าเรื่องที่ทำให้เขาหงุดหงิดจนแทบบ้านั้น กลับไม่ใช่เรื่องถูกไล่ล่ากลางถนนตอนกลางวันแสกๆ หากแต่เป็นเรื่องที่เขาจำต้องปล่อยรถคันหรูสีดำสนิทให้ห่างออกไปเรื่อยๆ กระทั่งหายไปจากสายตาในที่สุด เพราะไม่อาจพาศัตรูที่จ้องจะเอาชีวิตตามหลังไปหาเธอได้ ได้แต่ปล่อยให้เธอหายวับไปกับตาโดยที่ทำอะไรไม่ได้
ไม่ได้... จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้...
เขาไม่ได้ช่วยเธอขึ้นมาเพื่อให้เธอตายอีกรอบหรอกนะ!
“ฮัลโหล ครับคุณเจ้าจันทร์” ฟรานตัดสินใจโทรหายัยแม่มดมาเฟียอย่างไม่มีทางเลือก เพื่อให้อีกฝ่ายดำเนินการตามหาคนหัวรั้นล่วงหน้าไปก่อน ซึ่งคาดว่าป่านนี้เจ้าหล่อนคงทราบแล้วว่าเพื่อนหายตัวไป คงร้อนรนตามหาอยู่เหมือนกัน เขาจึงคิดว่า หากเริ่มต้นค้นหาจากจุดที่เขาแยกกับเธอ คงจะดีกว่างมเข็มในมหาสมุทรแน่
“กำลังจะโทรหาอยู่พอดีเลยค่ะคุณฟราน หายไปอีกแล้วค่ะ” ฟรานเงียบฟังน้ำเสียงร้อนรนจากหูฟังสมอลทอร์ก พลางขับรถหลบหลีกไปเรื่อย ขณะเดียวกันก็พยายามเค้นหาทางรอดที่รวดเร็วที่สุดอยู่ในหัว
“ทราบแล้วครับ เพิ่งหายไปจากถนนเส้นหน้าห้าง A เมื่อประมาณสิบห้านาทีที่แล้วนี่เอง”
“หน้าห้าง A !! ไปทำอะไรของมันนะ” น้ำผึ้งพระจันทร์บ่นเสียงฉุน ทว่าเจือแววร้อนใจเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด
“มาที่วัดน่ะครับ แต่ออกจากวัดแล้วไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจจะกลับบ้าน” ฟรานอธิบายอย่างรวบรัด ใจทั้งดวงเริ่มบีบรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคิดว่าจุดหมายของหญิงสาวสุดจะหยั่งรู้เหลือเกิน ไม่แน่ว่าพอลับตาเขาไปแล้ว เธออาจจะคิดทำอะไรโง่ๆ ขึ้นมาอีกก็ได้
“หยางหลงอยู่ด้วยรึเปล่าครับ” ฟรานเริ่มสวดภาวนาในใจดังขึ้นเรื่อยๆ แม้ถ้อยคำที่พูดยังปกติดี ทว่าจังหวะการพูดกลับไม่อาจรักษาความราบเรียบไว้ได้อีกต่อไปแล้ว
“เพิ่งกลับมาเดี๋ยวนี้เองค่ะ” จบคำคนปลายสายก็ส่งโทรศัพท์ให้สามีร่างสูงในทันที
“ว่า” มาเฟียหนุ่มรับโทรศัพท์จากภรรยามากรอกเสียงทักทายสั้นๆ ลงไป
“หาคนให้ที ฉันสลัดทางนี้หลุดแล้วจะรีบตามไป” สิ้นเสียงบอกกล่าวอย่างรวบรัดตัดความ หยางหลงก็แทบจะตวาดกลับมาในทันที เพราะรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณและความรู้ใจของเพื่อนที่คบกันมานานกว่ายี่สิบปี ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดจะทำอะไรเพื่อให้ตัวเอง ‘สลัดให้หลุด’ ดังที่พูด
“ฟังฉันนะเว้ยไอ้ฟราน เรื่องคุณน้ำพลอย ฉันกับเจ้าจันทร์สองคนจัดการได้ แกไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น” หยางหลงเผลอขึ้นเสียงเสียจนหูโทรศัพท์แทบร้าว เมื่อรู้ตัวจึงค่อยผ่อนน้ำเสียงลง
แค่ฟังจังหวะจะโคนการพูด เขาก็รู้ได้แบบไม่ต้องเดาแล้วว่าใจที่เคยเย็นเป็นน้ำแข็งของมัน สุมไฟเผาสติยั้งคิดไปแค่ไหนแล้ว
ยังมีหน้ามาแกล้งทำเป็นใจเย็นอยู่ได้...
“ให้คนบ้านคุณเจ้าจันทร์ไปก็ดี เผื่อพลาด” ฟรานไม่ใส่ใจความอดทนของเพื่อนโดยสิ้นเชิง รีบเอ่ยอธิบายถึงกลยุทธการค้นหาที่รู้กันกับเพื่อนรักเพียงสองคนเท่านั้น
“ได้ ฉันรับปาก เพราะฉะนั้น...” หยางหลงกำลังจะขุดน้ำอดน้ำทนเฮือกสุดท้ายขึ้นมาใช้ด้วยความหวังอันริบหรี่ ทว่าเพื่อนผู้แสนดีก็เอ่ยตัดบทขึ้นมาอย่างไร้เยื่อใยเสียก่อน
“วางนะ” ฟรานไม่พูดพร่ำทำเพลง จบคำก็กดตัดสายทิ้งทันที แล้วหันมาเพ่งสมาธิกับการขับรถอย่างเต็มที่
เขาขับรถลัดเลาะไปเรื่อยจนเกือบห้าถนนได้แล้ว รถบนถนนก็เริ่มหนาตามากขึ้นเรื่อยๆ รถเก๋งมือสังหารสองคันด้านหลังก็ยังตามมาอย่างไม่ลดละ ราวกับต้องการทดสอบความอดทนอันน้อยนิดของเขา
ใช่...เขาเยือกเย็นมาเสมอ...
ไม่อย่างนั้นคงไม่มีลมหายใจอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้...
พวกมันต่างหากที่ตามล่าเขามาเป็นยี่สิบกว่าปี กลับไม่เคยคิดได้เลยว่า...
อย่าบีบคั้นกันให้มันมากนัก...
เอี๊ยดดดดดด!!!!
เสียงล้อรถเบียดกับพื้นถนนดังสนั่นไปจนทั่วบริเวณ เรียกให้คนจากทุกทิศหันมามองรถยนต์บ้าระห่ำคันหนึ่งเป็นตาเดียว ชายหนุ่มงัดประสบการณ์นักแข่งรถที่ตนพอมีอยู่บ้างออกมาใช้กับถนนสาธารณะอย่างอุกอาจ เหยียบคันเร่งจนแทบมิดไมล์ ทิ้งห่างจากรถมือสังหารสองคันด้านหลังกะทันหัน
ซึ่งก็เป็นไปดังคาดว่า พวกมันไม่ยี่หระต่อเสียงเรียกของยมบาล เหยียบคันเร่งจนสุดแรง ไล่กวดเหยื่อเบื้องหน้าราวกับลืมสิ้นความตาย ปรารถนาเพียงให้เหยื่อตายตกไปพร้อมกับตนเท่านั้น
ชั่วเสี้ยววินาทีนั้นเอง...
เอี๊ยดดดดด!!!!! โคร้มมมมมม!!! ตู้มมมมมมมม!!!!
ชายหนุ่มกลั้นใจหักพวงจนสุดให้รถพุ่งชนกับสะพานด้านข้าง รถเบนซ์สีดำสนิทงัดกับสะพานอยู่ชั่ววินาที ก่อนจะพลิกตกลงไปในแม่น้ำเบื้องใต้ทั้งคัน สร้างความสะเทือนขวัญให้แก่ผู้พบเห็นจนแทบลมทั้งยืน ผิดกับร่างสูงโปร่งใต้น้ำที่ไม่ได้เสียขวัญกับการกระทำของตัวเองเลยแม้แต่น้อย รีบแหวกว่ายออกมาจากที่นั่งฝั่งคนขับทางหน้าต่างที่เปิดรอไว้ตั้งแต่แรก พร้อมกับถือค้อนอันเล็กติดมือออกมาด้วย รีบว่ายไปเงื้อค้อนทุบป้ายทะเบียนหน้ารถจนสุดแรง ใครจะนึกว่ามันกินแรงกว่าที่คิด ทุบอยู่เกือบสิบวินาทีถึงได้หลุดออกมา จากนั้นเขาก็พาร่างแทบหมดลมของตัวเองไปงัดป้ายทะเบียนด้านหลังออกมาอีกใบ
เมื่อเก็บกวาดตัวตนเรียบร้อย ร่างสูงจึงรีบพาป้ายทะเบียนสองใบว่ายน้ำเข้าหาฝั่งอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ผู้เห็นเหตุการณ์สักคนบนฝั่งจะคิดได้ว่าควรเรียกนักดำน้ำหรือหน่วยกู้ภัยมาช่วยชีวิตคน ทว่าระยะที่เขาตกลงมานั้นห่างจากฝั่งพอสมควร กว่าจะลากร่างไม่สมประกอบของตัวเองไปถึงฝั่งได้ ก็เล่นเอาเกือบลอยคอตายอยู่กลางแม่น้ำไปหลายครั้ง ทั้งแผลฉกรรจ์ครั้งเก่า ทั้งพิษไข้ครั้งใหม่ ทั้งเรี่ยวแรงมหาศาลที่ถูกฝืนใช้อย่างบ้าดีเดือด แล่นเข้ามาเล่นงานพร้อมๆ กันจนเขาแทบสิ้นสติ โชคยังดีที่ยัยแม่มดพึ่งพาได้จริงดังคาด ทันทีที่เขาเอื้อมแตะฝั่ง ก็เห็นพี่ชายคนสนิทของเธอที่ชื่อว่า ‘เว่ย’ โผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างร้องเรียกให้เขาวิ่งขึ้นรถ จากนั้นก็เหยียบคันเร่งพาเขาออกไปจากที่เกิดเหตุทันที
“กี่โมงแล้วครับเฮีย” ฟรานรับผ้าขนหนูผืนเล็กที่อีกฝ่ายโยนมาให้มาเช็ดเนื้อเช็ดตัวลวกๆ พลางเอ่ยถามออกไปอย่างร้อนรน
“ยังจะห่วงเวลาอีก ไม่ตายก็บุญแล้วมั้ย” เว่ยประชดเพื่อนน้องเขยเสียงห้วน ก่อนจะโยนโทรศัพท์มือถือให้โดยไม่หันไปมอง เพื่อให้อีกฝ่ายโทรกลับไปบอกคนทางบ้านให้หายห่วง ทว่ายังไม่ทันจะได้ทำอะไร เสียงโทรศัพท์ก็กรีดร้องขึ้นมาเสียก่อน
“เจ้าจันทร์...รับสิ” เนื่องจากอีกฝ่ายยื่นโทรศัพท์มาให้ เว่ยจึงหันหน้ามาอ่านชื่อที่ปรากฏบนโทรศัพท์ แล้วอนุญาตให้อีกฝ่ายกดรับไปเสีย เพราะคาดว่าคนปลายสายคงไม่พ้นโทรมาเพื่อถามข่าวคนรอดตายนั่นแหละ
“ครับ” ฟรานกรอกเสียงแหบพร่าลงไปในโทรศัพท์ พร้อมกับยกมือขึ้นขยี้จมูกไล่อาการแสบคัด
“ขอบคุณสวรรค์! คุณรอดแล้ว!” น้ำผึ้งพระจันทร์โพล่งออกมาอย่างโล่งออก ทำเอาฟรานแทบจะนึกภาพเธอเอามือทาบอกได้เป็นฉากๆ
“ครับ รอดแล้ว” ฟรานเอ่ยยืนยันเพียงสั้นๆ ให้อีกฝ่ายสบายใจ แต่เพียงเสี้ยววินาทีก็โพล่งความในใจออกไปจนหมดสิ้น ไม่อาจรั้งรอรักษามารยาทไว้ได้อีก
“เจอตัวรึยังครับ”
“จะโทรมาเรื่องนี้ล่ะค่ะ ยังไม่แน่ใจนะคะ แต่คงเป็นที่สุดท้ายแล้วที่ยังไม่ได้หา...” น้ำผึ้งพระจันทร์ค่อยๆ อธิบายความอย่างเป็นระบบ แต่รวบรัดอย่างที่สุดเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายก็ร้อนใจไม่ต่างกัน
“ขอบคุณครับ” หลังจากฟังหญิงสาวอธิบายความอย่างสั้นๆ ฟรานก็เอ่ยขอบคุณ ก่อนจะกดวางสายแล้วส่งโทรศัพท์ให้สารถีข้างกาย แม้ในใจจะยังสับสนกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินมาอยู่หลายส่วน แต่ก็คาดว่าคงเป็นเพราะความรีบร้อน ยัยแม่มดจึงตัดส่วนที่ไม่จำเป็นออกอย่างรู้ความ แล้วบอกเขาเฉพาะส่วนสำคัญเท่านั้น เขาจึงทำได้แค่รับฟัง และออกปากเร่งคนขับให้พาไปถึงที่หมายเร็วๆ ไม่อาจพุ่งถลาไปแย่งพวงมาลัยมาขับเองได้ เนื่องจากถนนหนทางที่เมืองไทยนี้ ต่อให้เขามาบ่อยแค่ไหนก็ยังไม่คุ้นเคยเท่าคนไทยอยู่ดี จึงทำได้แค่ยอมจำนน ไม่อย่างนั้นอาจจะหลงทางจนพาลเสียเวลาที่ไม่มีให้เสียไปอีกก็ได้
ชั่วอึดใจต่อมา ซึ่งสำหรับเขาแล้วยาวนานราวครึ่งปี...รถเก๋งสีขาวยี่ห้อธรรมดาทั่วไปจอดสนิทลงที่หน้าบ้านเรือนไทยหลังหนึ่ง ต้นชงโคออกดอกบานสะพรั่งเต็มต้นยื่นออกมาแผ่ร่มเงาถึงนอกกำแพง สีขาวบริสุทธิ์กับเกสรสีชมพูอ่อนแซมใบสีเขียวชะอุ่มนั้น ดูราวกับจิตรกรแต่งแต้มลงบนผืนผ้าใบก็ไม่ปาน กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมาตามลมด้วยกิ่งก้านอ่อนพริ้วไหวเป็นระลอก
ทั้งอ่อนหวาน...ทั้งเย้ายวน...
ร่างสูงค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาร่างบางร่างหนึ่งที่กำลังนั่งยองกอดเข่าอยู่เงาต้นไม้ใหญ่ที่ยื่นออกมา เธอคงยังอยู่ในชุดนอนกระโปรงแขนยาวสีขาวบริสุทธิ์ ผมยาวสลวยดำขลับดุจน้ำหมึกลู่ตกลงมาบดบังร่างทั้งร่างไปกว่าครึ่งราวธารน้ำตก รองเท้าผ้าหุ้มส้นสีขาวเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลนจนลามไปหลังเท้าและข้อเท้าขาวบาง ครั้นพอรู้สึกตัวว่าเขาเดินเข้าไปใกล้จึงได้เงยหน้าขึ้นมอง ดวงหน้านั้นว่างเปล่าและเศร้าหมองจนชวนสะท้อนใจ ทว่ายังคงความไร้เดียงสาอยู่หลายส่วน ดูไปแล้วคล้ายเด็กหนีออกจากบ้านแต่ไร้ที่ไปไม่มีผิด
ฟรานแทบอยากจะพุ่งเข้าไปเขย่าตัวเธอแรงๆ ให้สมกับความบ้าคลั่งที่สุมอยู่ในอกเขาเสียจริงๆ แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่ยกมือขึ้นนวดขมับตัวเอง แล้วก้มลงมองคนไม่รู้ความตรงหน้าอีกครั้ง เธอทำให้คนเขาเป็นห่วงเสียจนยอมทำเรื่องบ้าดีเดือดที่สุดในชีวิตได้อย่างไม่ต้องคิด แต่เธอกลับมานั่งกอดเข่ามองพื้นดินอยู่อย่างนี้
ช่างน่าตายนัก!!
แต่ก็นั่นแหละ...เธอไม่ได้ใช้ให้เขาห่วงสักหน่อย ซ้ำยังไล่เขาไปไกลๆ แล้วด้วย มีแต่เขาเองที่ยังดื้อด้านวิ่งพล่านไปทั่วเมืองเป็นหมาบ้าเพื่อผู้หญิงอยากตายคนนึง
เขามันบ้า! บ้าจนไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาเปรียบแล้ว!!
“รถไปไหน” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาลงมองพื้นดินเหมือนเดิม ฟรานจึงได้แต่ผ่อนลมหายใจหลับตาระบายโทสะในอก แล้วเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“น้ำมันมันหมด ฉันเลยจอดทิ้งไว้...สักที่...” เพียงน้ำพลอยเงยหน้าขึ้นตอบออกไปด้วยเสียงแผ่วปลาย ทว่าพอตอบออกไปแล้วถึงเพิ่งนึกได้ว่า ตัวเองไม่มีความจำเป็นอะไรต้องรายงานความประพฤติให้เขาทราบเลยสักนิด
บ้านคุณย่าของเธออยู่ลึกจนสุดถนน แทบจะเรียกได้ว่าเป็นดินแดนที่ตัดขาดจากสังคมเมืองโดยสิ้นเชิง เธอผิดเองที่ไม่มีสติพอจะดูน้ำมันในถัง คิดแต่ว่าจะมาหาท่านที่บ้าน พอน้ำมันหยดสุดท้ายหมดเกลี้ยง นอกจากเดินเท้าเข้ามาก็ไม่เหลือทางเลือกอื่น แต่พอมาถึงแล้วกลับไม่กล้ากดกริ่ง เพราะเริ่มหวั่นใจกับคำสาปติดตัวของตัวเอง กลัวว่าคนในบ้านจะพลอยมีอันเป็นไปเพราะตัวซวยอย่างเธออีก จึงได้แต่นั่งอยู่ที่หน้าบ้านอย่างนี้ ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะนั่งรอใคร นั่งไปเพื่ออะไร และจะนั่งไปถึงเมื่อไหร่
ฟรานรู้สึกเหมือนกับเส้นเลือดในสมองจะแตกเข้าให้จริงๆ เธอปล่อยให้คนเขาหาจนแทบพลิกแผ่นดิน แต่กระทั่งรถเจ้าตัวยังไม่รู้ว่าเอาไปวางไว้ตรงไหน ด้วยความเหลืออด ฟรานจึงก้มลงไปดึงแขนเธอขึ้นมา ขณะที่มืออีกข้างก็เตรียมจะกดกริ่งเรียกคนในบ้านมาเปิดประตู จะได้เข้าไปสะสางความกันในบ้านดีๆ ในเมื่อเธอตั้งใจจะมาถึงที่นี่ เธอย่อมไม่มีทางหนีเขาไปไหนแน่
“อย่านะ!!” เพียงน้ำพลอยเอื้อมไปคว้ามือหนาเอาไว้อย่างร้อนรน พลางร้องห้ามเสียงหลง
“ทำไม” ร่างสูงถามกลับเสียงเย็น พร้อมก้มลงมองดวงหน้าขาวละเอียดที่ยังคงก้มหน้าก้มตาอยู่เหมือนเดิม
“ฉัน...ฉันไม่เข้าไปดีกว่า...” เสียงแผ่วเบากับท่าทีขลาดกลัวของเธอทำให้ฟรานเข้าใจทุกอย่างได้ในทันที จึงไม่คิดสนเสียงทักท้วงของเธออีก เอื้อมมือไปกดกริ่งที่หน้าประตูหนักๆ สองครั้งติดกัน ทว่าประตูรั้วไม้ยังไม่ทันจะได้เปิดออก เธอก็ทำท่าจะวิ่งหนีไปเสียดื้อๆ เขาจึงต้องออกแรงดึงแขนเธอไว้ ไม่ให้เธอหนีไปไหนได้อีก
“ฉันเจ็บ!!” เพียงน้ำพลอยโอดโอยออกมาเบาๆ ทว่าในน้ำเสียงกับแววตากลับบ่งบอกได้ว่า ไฟโทสะของเจ้าตัวก็เริ่มจะปะทุขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน พร้อมกันนั้นก็สะบัดข้อมือตัวเองเร่าๆ เพื่อให้พ้นจากพันธนาการแน่นหนาที่แทบทำให้กระดูกข้อมือเธอละเอียดเป็นผงได้อยู่แล้ว
“ไม่เลวนี่ ยังเจ็บเป็นอยู่” ฟรานสวนกลับเสียงกระด้าง แต่ไม่ได้ลดแรงบีบที่ข้อมือลงแต่อย่างใด
เดิมทีเขานึกว่าเธอไม่มีหัวใจไปแล้วเสียอีก ถึงได้ไม่รู้สึกรู้สาว่าทำให้คนอื่นเขาห่วงขนาดไหน
ไม่รู้เลยสักนิด...ว่าเพื่อมาฟังเธอพูดคำว่า ‘เจ็บ’ คำนี้ เขาต้องทำอะไรลงไปบ้าง!
“อ้าวคุณน้ำพลอย มาแล้วเหรอคะ พี่อุ่นก็รออยู่เชียว” หญิงสาววัยกลางคนหน้าตาหมดจด รวบเกล้าผมยาวดำขึ้นเป็นมวยกลางศีรษะ สวมเสื้อติดกระดุมสีขาวล้วนฉลุลายดอกไม้เล็กๆ ที่ชายเสื้อพอน่ารัก ท่อนล่างนุ่งโจงกระเบนสีเขียวแก่เรียบร้อย ดูไปแล้วคล้ายคนโบราณหลงยุคมาไม่มีผิด หากแต่เพียงน้ำพลอยกลับไม่มีทีท่าตกใจกับกิริยาท่าทางหรือการแต่งตัวของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย มีแต่ชายหนุ่มสองคนที่ติดตามมาด้วยเท่านั้นที่รู้สึกตกตะลึงอยู่บ้าง
“แล้ว...พาใครมาด้วยคะเนี่ย” อุ่นเบนสายตาไปหาชายหนุ่มร่างสูงข้างกายเจ้านายสาวด้วยความสงสัย ทว่าในแววตานั้นก็ยังไม่วายเจือความเคลิบเคลิ้มหลงใหลอยู่ด้วย เนื่องจากไม่คิดว่าเจ้านายของตนจะรู้จักมักคุ้นกับคนหน้าตาหล่อเหลาได้ปานนี้ ในหัวคิดอ่านฟุ้งซ่านไปสารพัน ถึงขั้นคาดคะเนว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนแล้วด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เจ้านายเอ่ยปากอธิบายขึ้นเสียก่อน
“เพื่อน...เพื่อนเจ้าจันทร์น่ะค่ะ” หญิงสาวอธิบายออกไปคำหนึ่งก็รู้สึกว่าสถานะของตนกับเขาออกจะห่างไกลคำว่าเพื่อนพอสมควร จึงพยายามปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม ซึ่งคนข้างกายก็นับว่ารู้ความพอใช้ จบคำเธอก็ยกมือขึ้นไหว้หญิงวัยกลางคนทันที
“ไหว้พระเถอะค่ะพ่อคุณ แหม...นึกว่าดาราที่ไหน เพื่อนคุณเจ้าจันทร์นี่เอง เชิญค่ะ เข้าไปในบ้านกันก่อนนะคะ ‘คุณ’ จะได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย” อุ่นยกมือไหว้ตอบชายหนุ่มด้วยสายตาตะลึงลาน นึกลอบชื่นชมอีกฝ่ายอยู่ในใจ เพราะแค่ดูก็รู้ว่าเขาเป็นพวกต่างชาติต่างภาษา แต่กลับเรียนรู้ธรรมเนียมไทยได้ดีเสียจริง รู้จักไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่เสียด้วย ช่างน่ารักน่าชังเหลือเกิน
อุ่นผายมือเชิญอีกฝ่ายเข้าไปในบ้าน พร้อมทั้งเอ่ยเชื้อเชิญให้ ‘คุณ’ ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนของเพื่อนเจ้านายอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ด้วยเห็นว่าเขามีสภาพเหมือนผ้าขนหนูชุบหมาดก็ไม่มีผิด จากนั้นก็ออกแรงเปิดประตูบ้านให้ชายหนุ่มอีกคนเอารถเข้ามาจอดข้างในให้เรียบร้อย
ทว่าทั้งที่ได้ยินคำเชื้อเชิญของผู้ใหญ่อยู่เต็มสองหูแล้วแท้ๆ สองเท้าของเพียงน้ำพลอยกลับไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าแม้แต่ครึ่งก้าว รู้สึกราวกับร่างทั้งร่างถูกความกลัวเผาผลาญเสียจนกลวงโหวง สมองเริ่มสั่งการให้เท้าข้างหนึ่งถอยไปข้างหลัง หากเจ้าของมือหนาร้อนระอุข้างกายก็คล้ายรู้ความคิดเธอล่วงหน้า เอื้อมมือมาคว้าแขนเธอไว้อีกครั้ง จากนั้นก็ออกแรงทั้งลากทั้งจูงเธอเข้าไปในบ้าน
จนใจที่อาณาเขตกว้างขวางของบ้านไม่ได้ทำให้เพียงน้ำพลอยคว้าอิสระของตนกลับคืนมาได้แต่อย่างใด ทั้งที่ทั้งดึงทั้งสะบัดจนสุดแรงแล้วแท้ๆ แต่มือร้อนดุจเหล็กกล้านั้นก็ยังคงเกาะกุมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย จนสุดท้ายเธอจึงได้แต่ปล่อยให้เขาลากไปทั้งอย่างนั้น พยายามเบนความสนใจจากข้อมือไปที่อย่างอื่นรอบตัวจะได้ไม่เจ็บมากนัก
ดวงตากลมโตกวาดมองความร่มรื่นแสนคุ้นเคยระหว่างทางด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งขึ้น ทางเดินจากประตูรั้วไปจนถึงตัวเรือนยาวนับหลายร้อยเมตร สองข้างทางเต็มไปด้วยไม้ยืนต้น ไม้ดอก ไม้ประดับนานาพรรณ พรรณไม้สูงจากสองฝั่งโน้มกิ่งทอเข้าหากันจนดูคล้ายอุโมงค์ ช่วยให้ร่มเงาบังแดดร้อน ทั้งยังโชยกลิ่นหอมเย้ายวนผู้มาเยือนให้เดินเข้าไปข้างในราวต้องมนตร์ เมื่อใกล้ถึงตัวเรือน อุโมงค์แมกไม้ก็ค่อยๆ เปิดสูงขึ้นเรื่อยๆ จนมีหลังคาเป็นผืนฟ้าในที่สุด ปรากฏเรือนไทยยกใต้ถุนสูงหลังใหญ่ กับเรือนหลังเล็กอีกสองหลังขนาบข้างเชื่อมต่อกัน ยังไม่นับเรือนหลังเล็กๆ ที่ผุดขึ้นด้านในอีก ด้านหน้ามีตุ่มใส่น้ำวางอยู่หน้าบันไดก่อนขึ้นเรือน
กล่าวได้ว่าเป็นเรือนไทยขนานแท้ ผู้อาศัยก็อยู่อย่างชาวไทยแท้ ชุบเลี้ยงบ่าวไพร่ เช้าตักบาตรริมน้ำ ตกบ่ายสะสางงานเรือน ทำอาหารทานกันเองในครัวเรือน ปราศจากกลิ่นอายความเจริญทางวัตถุโดยสิ้นเชิง
ต้นตระกูลของคุณพ่อของเธอสืบเชื้อสายมาจากคหบดีใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ห้า บ้านหลังนี้เองก็เป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่สมัยนั้น มีการซ่อมแซมบ้างไม่ให้ชำรุดทรุดโทรม ทว่าไม่มีการทุบทิ้งทั้งหลังสร้างใหม่แต่อย่างใด และเนื่องด้วยคุณย่าเทียดของเธอเป็นพวกนิยมไทยแท้ จึงรับเอาความเจริญภายนอกมาใช้แต่เพียงเพิ่มความสะดวกเท่านั้น ทั้งท่านยังเป็นคนดุเอาการ เลี้ยงดูลูกหลานให้นิยมความเป็นไทยแท้ ไม่ปล่อยให้แตกแถวแตกกอ แต่หากจะกล่าวกันอย่างเป็นกลางแล้ว เพียงน้ำพลอยกลับเห็นว่าท่ามกลางสมัยบูชาความเจริญทางวัตถุอย่างนี้ คุณย่าท่านไม่ได้ใช้ ‘ความนิยม’ เข้าจัดการบ้านเรือนแต่อย่างใด หากแต่ใช้ความ ‘เคร่ง’ ต่างหาก ไม่อย่างนั้นทุกคนในบ้านคงไม่อยู่อย่างสมัยนั้นมาได้จนถึงทุกวันนี้
และเธอก็แน่ใจว่า ที่ที่มีคนโบราณขนานแท้ อาศัยอยู่ด้วยวิถีชีวิตของคนไทยแท้อย่างนี้ คงมีเพียงไม่กี่ที่เท่านั้น...
หรือบางที อาจจะมีแค่ที่นี่ที่เดียวก็ได้...
ตอนเด็กๆ เพียงน้ำพลอยเป็นแขกประจำของที่นี่ กระทั่งจนโตก็ยังมาพักที่นี่เดือนละครั้ง คนในครอบครัวรู้ดีว่าเธอติดคุณย่า และเป็นหลานรักเพียงคนเดียวที่คุณย่าไม่ไล่กลับหากคิดจะพักนานเกินสามวัน ด้วยเหตุนี้เธอจึงมีห้องส่วนตัวอยู่ที่นี่ด้วย มีข้าวของเครื่องใช้ครบครัน ทั้งตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง ที่นอนหมอนมุ้ง เรียกได้ว่าต่อให้มาแต่ตัวก็อยู่ที่นี่ได้เป็นเดือนๆ แต่กับใครบางคนที่ไม่มีอะไรมาสักอย่าง แต่คิดจะมาอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้านี่สิ...
หลังจากขึ้นมาถึงบนเรือน อุ่นก็ส่งตัวแขกหน้าตาหล่อเหลาให้บ่าวผู้ชายในบ้านช่วยพาไปอาบน้ำแต่งตัว ส่วนตัวเองก็เข้ามาอยู่ในห้องนอนกับเจ้านาย ครั้นพอปิดประตูห้องหับเรียบร้อย ก็นั่งพับเพียบลงกับพื้น เงยหน้าขึ้นพูดกับคนเป็นนายที่นั่งอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าเพ้อฝัน
“เพื่อนคุณเจ้าจันทร์นี่หล๊อหล่อนะคะ อย่างกับพระเอกในทีวีแน่ะ”
“อย่าตัดสินคนที่หน้าตานักสิคะ เขาอาจจะเป็นคนไม่ดีก็ได้” เพียงน้ำพลอยเอ่ยเตือนสติอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจัง เพราะรู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของคนๆ นั้นมากับตัวแล้ว ไม่อยากให้ใครต้องเพ้อฝันกับหน้ากากที่เขาสวมไว้หลอกคนอีก
ขณะเดียวกันก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า เธอไม่มานานหน่อย คนที่นี่ก็เริ่มติดโทรทัศน์กันเสียแล้วเหรอ...
“ไม่จริงหรอกค่ะ คุณเจ้าจันทร์จะคบคนไม่ดีได้ยังไง อีกอย่าง คนไม่ดีที่ไหนจะหล่อขนาดนั้นคะ คุณน้ำพลอยอย่ามาหลอกพี่อุ่นให้ยากเลยค่ะ” อุ่นยืนยันความคิดตัวเองหัวชนฝา
“แล้วคุณย่าล่ะคะ ไปกำแพงเพชรยังไม่กลับเหรอ” เพียงน้ำพลอยถามถึงคนที่ตนตั้งใจมาหาทันที เพราะจำได้ว่าท่านไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัด และจากวันเวลาก็สมควรจะกลับมาได้แล้ว แต่ขึ้นเรือนมากลับไม่เห็นท่าน ซ้ำคนมาต้อนรับก็ไม่ได้เอ่ยถึงเลยสักคำ
“กลับมาแล้วค่ะ...อีกไม่ถึงชั่วโมงคงถึงเรือน” สีหน้าลิงโลดของอีกฝ่ายสลดลงในทันที ก่อนจะเอ่ยขึ้นให้จบความ
“ท่านเป็นห่วงคุณน้ำพลอยมากนะคะ มาถึงยังไม่ทันเข้าบ้านก็ไปหาคุณน้ำพลอยที่วัดก่อน พอทราบจากคุณเจ้าจันทร์ว่าคุณน้ำพลอยมาที่นี่ ก็รีบโทรมาบอกพี่อุ่นให้เตรียมต้อนรับให้ดี ทั้งยังสั่งนักสั่งหนาให้รอพบท่านก่อน”
“ฉันจะกล้าพบท่านได้ยังไง” เพียงน้ำพลอยเอ่ยเสียงแผ่วราวกับพูดตัวเองอยู่ในห้วงภวังค์ ทว่ายังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้ตอบอะไรออกมา เสียงเคาะประตูจากด้านนอกก็ดังขึ้นเสียก่อน
ก๊อกก ก๊อกก ก๊อกก
อุ่นวิ่งไปเปิดประตูอย่างรู้งาน ครั้นพอเห็นร่างสูงใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกสลัก ในเสื้อติดกระดุมคอกลมสีขาวกับกางเกงแพรสีน้ำเงินแล้ว ดวงตาก็พลันวาววับประหนึ่งเห็นสิ่งมหัศจรรย์ก็ไม่ปาน เนื่องด้วยเครื่ององค์ทรงหน้ากับรูปร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่ม ช่างดูขัดกับเครื่องแต่งกายไทยโบราณเหลือ ทว่าพอใส่เข้าจริงๆ แล้วกลับปฏิเสธไม่ได้ว่าดูเข้าทีทีเดียว เล่นเอาอุ่นถึงกับตาพร่าไปชั่วขณะ ถึงกับเอ่ยอะไรไม่ออกราวคนเป็นใบ้ จนคนถูกจ้องต้องเอ่ยปากขึ้นเสียเอง
“ขอ คุย กับ น้ำพลอย แป๊บนึง ได้มั้ยครั้บ” ชายหนุ่มค่อยๆ เอ่ยออกมาด้วยภาษาไทยกระท่อนกระแท่นของตัวเอง ทำเอาอุ่นถึงกับยกมือสองข้างขึ้นปิดปากแทบไม่ทัน เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดภาษาไทยได้ด้วย แต่หลังจากตื่นตระหนกจนพอใจแล้ว ก็ยอมขัดคำสอนของคนเฒ่าคนแก่ในบ้าน ปล่อยให้หนุ่มสาวอยู่ด้วยกันตามลำพังในห้องหับมิดชิด ด้วยคิดว่าพวกเขาคงมีธุระสำคัญคุยกันจริงๆ
หลังจากอุ่นออกแล้วก็ปิดประตูให้เสร็จสรรพ ทำเอาเพียงน้ำพลอยยิ่งกระอักกระอ่วนยิ่งกว่าเดิม รู้สึกคล้ายกับตัวเองถูกส่งตัวเข้าหอทั้งที่เพิ่งส่งศพบิดามารดามาหมาดๆ ทว่าสายตาร้อนระอุกลับทำเหมือนมองไม่เห็นความผิดปกติบนใบหน้าเธอยังไงยังงั้น ทั้งไม่ยี่หระต่อแรงขัดขืน เดินเข้ามาลากเธอไปนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วเอื้อมไปหยิบแปรงอันหนึ่งมาสางผมให้เธออย่างเบามือ ชั่ววินาทีนั้น เพียงน้ำพลอยถึงได้รู้ตัวว่า ตัวเองคงมีสภาพทุเรศทุรังเกินจะรับจริงๆ จึงคิดเอื้อมมือไปแย่งแปรงอันนั้นมาหวีเอง ไม่นึกว่าเขาจะเอ็ดเธอเสียงดังเสียอย่างกับเธอเป็นเด็กทำแจกันแตก
“นิ่ง!!”
เพียงน้ำพลอยได้แต่ทำหน้ามุ่ยปล่อยให้เขาจัดการตัวเองไปตามใจชอบ ในใจเริ่มขบคิดถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเขาสารพัดข้อ หนึ่งในนั้นก็คือ เธอกับเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอจำได้ว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วตัวเองยังไม่ชอบขี้หน้าเขาอยู่แท้ๆ และเขาเองก็ดูกล้ำกลืนที่ต้องเจอหน้าเธอเหมือนกัน แต่ไปๆ มาๆ ทำไมเมื่อคืนเธอกับเขาถึงได้ลงเอยด้วยจูบนั้นกันได้
ใช่...เป็นไปได้ว่าเมื่อคืนเธอเสียใจจนขาดสติ ทำเรื่องไม่สมควรลงไป แต่เธอที่เป็นผู้หญิง เป็นคนเสียหาย ไม่ได้เรียกร้องการรับผิดชอบจากเขาสักคำ เขาก็สมควรจะปล่อยให้มันจบสิ้นกันไปไม่ใช่หรือไง ทำไมวันนี้เขาถึงยังมาตามหาเธอจนเจอ ทั้งยังมาปรนนิบัติพัดวีเธออย่างนี้อีก
ไม่กลัวตัวเองจะกลายเป็นศพต่อไปบ้างหรือไง...
เมื่อคิดถึงชั้นนี้ ความรู้สึกเปล่ากลวงก็โถมเข้าทำร้ายเธออีกครั้ง เธอจึงเงยขึ้นมองเงาใบหน้าหล่อเหลาบนกระจก แล้วเอ่ยไล่เขาด้วยน้ำเสียงคล้ายสั่งการคล้ายตัดรำคาญ
“ไปซะ” สิ้นคำมือหนาคู่นั้นก็หยุดชะงัก แต่เพียงชั่วเสี้ยววินาทีก็สางผมต่อไปเงียบๆ ราวกับไม่ได้ยินสิ่งใดดังขึ้นทั้งนั้น
“ไม่ได้ยินรึไง” เพียงน้ำพลอยโพล่งขึ้นเสียงดัง ก่อนจะหันมาเอาเรื่องกับเขาโทษฐานทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่ได้ แต่เขาก็คล้ายกับจงใจยั่วโมโหเธอ ไม่ตอบโต้ ไม่เปลี่ยนสีหน้า ไม่มีทีท่าใดๆ ทั้งนั้น ทำราวกับว่าเธอเป็นหุ่นไม่มีชีวิต และเขาเองก็สติดีเกินกว่าจะคุยกับหุ่น
หลังจากหวีผมให้เธอเสร็จ ร่างสูงที่ทำตัวเป็นพระอิฐพระปูนก็เดินออกจากห้องไปง่ายๆ เพียงน้ำพลอยจึงคิดว่าบางทีเขาอาจจะคร้านเถียงกับเธอแล้ว จึงได้ยอมจากไปแต่โดยดี ที่ไหนได้ เพียงไม่ถึงสามนาที ร่างสูงก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมอ่างทองเหลืองใส่น้ำใบเล็กหนึ่งใบ ใบขนาดกลางหนึ่งใบ แต่ละใบพาดผ้าขนหนูเล็กๆ สีขาวไว้ด้วยหนึ่งผืน
“จะทำอะไรของคุณ” ฟรานไม่ตอบแต่วางอ่างทองเหลืองใบใหญ่ไว้บนพื้น วางอ่างใบเล็กไว้โต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นก็ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นในอ่างใบเล็ก บิดหมาดๆ แล้วโน้มตัวลงบรรจงเช็ดรอยเปื้อนบนหน้านวลเนียนให้เธออย่างทะนุถนอม ในขณะที่เพียงน้ำพลอยนั้นพยายามดิ้นรนขัดขืนอยู่พักใหญ่ ก็ถูกยึดใบหน้าเอาไว้ไม่ให้หันหนีไปไหนอีก ท้ายที่สุดจึงยอมอยู่นิ่งๆ เพราะไม่อยากถูกบีบแก้มเป็นซาลาเปาไส้ทะลักอีก
พอเช็ดหน้าเช็ดตาจนหายมอมแมม มือหนาข้างหนึ่งก็ยกขึ้นเขี่ยลูกผมบางๆ ที่หน้าผากมนของเธอ คล้ายกำลังปลอบขวัญเด็กหลงทาง จากนั้นก็จับเท้าทั้งสองข้างของเธอลงมาวางในอ่างใบใหญ่ ทำเอาเพียงน้ำพลอยสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นว่าเขากำลังจะล้างเท้าให้เธอ ทว่าสุดท้ายก็ถูกสายตาคมๆ ตวัดเข้ามาฟาด จึงได้ยอมอยู่นิ่ง ข่มความรู้สึกตื่นตระหนกเอาไว้ในใจอย่างเสียไม่ได้
เธออดรู้สึกไม่ได้ว่าวันนี้คนร่างสูงตรงหน้าดูแปลกไปจากทุกที ปกติแล้วเขามักจะชอบเข้ามาพูดจายียวนกวนประสาท ทำทุกอย่างเพื่อยั่วโมโหเธอ กิริยาท่าทางก็ออกจะอยู่ไม่สุข ทั้งยังมีบางคราวที่เข้ามาเกาะแกะไปตามประสาคนเจ้าชู้ โดยรวมแล้วเป็นอุปนิสัยที่ชวนให้ถอนหายใจนาทีละสามครั้งทั้งนั้น ทว่าวันนี้กลับตรงข้ามกับที่เคยเป็นโดยสิ้นเชิง
ทั้งเย็นชา...สูงส่ง...ไว้ตัว...
พูดจาก็น้อยคำ...ทว่าอานุภาพในการกำราบเธอนั้น สูงเกินต้านทาน...
“เมื่อเช้านี้เป็นคุณใช่มั้ย” เพียงน้ำพลอยปล่อยให้สิ่งที่ค้างคาอยู่ในส่วนลึกสุดของใจหลุดรอดริมฝีปากออกมาโดยไม่รู้ตัว ครั้นพอได้ยินเสียงตัวเองดังขึ้นแล้ว ถึงได้รู้ว่าตัวเองช่างโง่เขลาสิ้นดี ต่อให้ใช่เขาแล้วยังไง เธอคิดจะขอบคุณเขาหรือต่อว่าเขากันที่เขาช่วยชีวิตเธอไว้อีกครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องชวนอึดอัดใจอย่างรสรอยริมฝีปากที่ติดอยู่กับเธอนี่อีก
เธอช่างไร้หัวคิดเหลือจะรับจริงๆ...
“ถ้าคุณคิดว่าผมห่วงคุณ ก็คงเป็นผม แต่ถ้าคิดว่าไม่ห่วง ก็คงไม่ใช่” ฟรานตอบเสียงเย็นชา พลางก้มหน้าก้มหน้าใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น เช็ดรอยดินบนเท้าขาวบางอย่างเบามือต่อไป เนิ่นนาน...ถึงได้ยินเสียงแผ่วๆ ของเธอเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“งั้น...คงไม่ใช่คุณ” หญิงสาวพึมพำเสียงเบา ครุ่นคิดถึงความทรงจำอันเลือนรางเมื่อเช้าอย่างถี่ถ้วน สักพักถึงได้รู้สึกถึงไอร้อนที่พวยพุ่งขึ้นมาจับสองข้างแก้ม
“ดูเหมือนรอดตายคราวนี้ คุณไม่ได้ฉลาดขึ้นเลยนะ” ดวงเนตรดุจหมาป่าหนุ่มช้อนขึ้นสบดวงตากลมโตดำขลับ เพ่งพิศถึงความวูบไหวในแววตาคู่นั้น โดยไม่ทันรู้ตัวว่าสายตาของตัวเองนั้น แปรเปลี่ยนไปหลากหลายอารมณ์เกินกว่าคนมองจะตีความหมายได้ทันแล้ว
ทั้งตัดพ้อ ห่วงหา ทะนุถนอม หวามไหว และวอนขอ...
#มาแล้วววววว
#เฮียฟรานของเรายอมเทหมดหน้าตักเพื่อน้ำพลอยจริงๆ เริ่มมีเค้าพระเอกลอยมาละ 5555 จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป อย่าลืมมาติดตามกันต่อน้าา
#ไรท์มีเรื่องจะ ประกาศ ให้ทราบกันด้วยนะ
เนื่องจากไรท์รู้สึกว่าการแบ่งอัพเปอร์เซ็นต์ที่ผ่านมาไม่สัมพันธ์กับตัวเลขเลย 555 ส่วนใหญ่แล้วหนักไปทางเนื้อหายาวกว่าเปอร์เซ็นต์ที่เขียนไว้มาก เลยอยากจะขออนุญาตเปลี่ยนเปอร์เซ็นต์ที่แบ่งให้เป็น 100% ทั้งหมด เลขChapterเลยอาจไปไกลกว่าเดิม แต่เนื้อหาคือเหมือนเดิมนะคะ ส่วนในอนาคตก็คงต้องดูกันไปตามสถานการณ์อีกทีเนอะ
#สุดท้ายย อยากจะขอเม้นท์เป็นกำลังใจให้กันสักนิดดด #อ้อนวอนด้วยใจรักและภักดี 5555 คนเขียนจะได้หายเหนื่อยเนอะ^^
#อย่าลืมเม้น+จิ้มโหวตเป็นกำลังใจให้กันด้วยน้าาา
โอ้ว่าใจใจเอ๋ยไม่เคยอ่อน
มาระอุอุระผะผ่าวร้อน
ใจมารอนรอนร้าวราวขาดใจ'
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์(2546) เขียนใน "ให้เธอทั้งหมดเท่าที่มี"
กล่าวกันว่าคนที่เคยปรารถนาความตาย เมื่อผ่านพ้นมันมาได้จะไม่โหยหามันอีกจวบจนสิ้นชีวิต ทว่าในวินาทีนี้เธอกลับไม่แน่ใจนัก...
ลมหนาวเยือกพัดมาหนหนึ่ง หัวใจทั้งดวงวูบไหวสั่นสะท้านขึ้นอีกครา ปล่อยให้เปลือกตาบางหลับพริ้มลง ไล่น้ำตาให้ร่วงลงบนสายน้ำ ไหลเอื่อยไปพร้อมกับหยาดฝน เวลาผ่านไปทั้งสิ้นหนึ่งคืน ความร้าวระบมในอกยังคงออกฤทธิ์อย่างร้ายกาจ ค่อยๆ ทำลายความยับยั้งชั่งใจไปทีละนิดจนแทบไม่เหลือหลอ
เธอฆ่ากวินทร์ที่เคยสัญญารักมั่น
ฆ่าบุพการีทั้งสอง...แม้กระทั่งท่านสิ้นไปแล้วก็ยังทำลายเกียรติศักดิ์ศรีของท่านเสียจนป่นปี้...
จนตอนนี้ กระทั่งอธิษฐ์ที่เคยบอกว่ารักเธอนักหนาก็ทิ้งเธอไปแล้ว...
ท้ายที่สุดเธอยังทำลายเกียรติตัวเองด้วยการรับจุมพิตจากผู้ชายอีกคนมา หลังจากเพิ่งถูกทิ้งได้ไม่กี่นาทีนั้นเอง...
ความรู้สึกผิดบาปประทับแน่นอยู่ในอกราวกับถูกนาบด้วยเหล็กกล้าลนไฟ ยิ่งเข็มนาฬิกาเดินไปข้างหน้า ความร้าวระบมก็ยิ่งกัดกินเศษซากหัวใจที่เหลืออยู่น้อยนิดของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ชั่ววินาทีนั้น เธออยากจะให้ตัวเองไร้หัวใจไปเสียจริงๆ จะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรอีก ทว่าความจริงกลับโหดร้ายกว่าที่คิด เธอรับรู้ว่าวันเวลาผ่านไปแล้ว...แต่กลับยังปวดร้าวเจียนตายอยู่อย่างนี้...
หากจะต้องเหลือเพียงเศษซากหัวใจ แต่เจ็บแทบขาดใจขนาดนี้
บางที การ ‘หายไป’ อาจจะเรียบง่ายเสียกว่า...
ชั่ววูบนั้น ร่างบางทั้งร่างปล่อยวางทุกสิ่งไปกับแรงลมและหยาดฝน หยัดยืนตรงอย่างมั่นคงแล้วทิ้งตัวลงแม่น้ำเบื้องหน้า ปล่อยให้แรงดันน้ำพัดพาและกัดทับจนจมลึกลงไปเรื่อยๆ คล้ายยอมรับความรุนแรงของสายน้ำโดยดุษฎี หวังเพียงว่ามันจะช่วยปลิดลมหายใจที่มีอยู่อย่างทรมานนี้ไปเสียที
ความมืดมิดเริ่มแผ่อายเข้าครอบงำสติสัมปชัญญะของเธอทีละนิด แต่เธอกลับไม่ดิ้นรนขัดขืนแต่อย่างใด แม้ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายจะเป็นไปอย่างไม่อาจควบคุม ทำให้ทรมานอยู่บ้าง แต่หากเทียบกับตอนมีสติครบถ้วนแล้วกลับรู้สึกมันช่างเบาสบายเหลือเกิน เธอจึงรอคอยอย่างใจจดใจจ่อให้สติทุกส่วนแตกดับไปพร้อมกับร่างไร้ค่านี้เสีย และเพียงเสี้ยววินาทีต่อมา ความปรารถนานั้นของเธอก็ถูกเติมเต็มอย่างสมบูรณ์...
ทว่าทันใดนั้นเอง...
ตู้มมมมมม!!!
ร่างสูงกระโจนลงไปคว้าร่างหมดสติที่ยังจมลงไปไม่ลึกนักขึ้นมา แล้วแหวกว่ายพาเข้าฝั่งอย่างรวดเร็ว มือหนาค่อยๆ ประคอง วางร่างบางขาวซีดไว้บนท่าน้ำ
ทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเธอจมลงไปไม่ถึงครึ่งนาทีด้วยซ้ำ แต่ครั้นได้เห็นดวงหน้าซีดขาวไร้สีเลือดนั้นชัดๆ แล้ว ใจที่เคยด้านชาก็พลันกระตุกวูบขึ้นมาอีกครั้ง ความกลัวร้อยแปดประการซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่สมเหตุสมผลทั้งสิ้นโถมเข้าจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว
กลัวว่าเธอจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก กลัวว่าความกลัวก่อนหมดสติใต้น้ำจะทำร้ายเธอหลังจากฟื้นตื่นขึ้นมา กลัวว่าทุกอย่างจะไม่เป็นอย่างที่คิด กลัวว่าเธอจะเศร้าเสียใจยิ่งกว่าเดิมจนอยากทำร้ายตัวเองอีกครั้ง...
เธอต้องใช้ความกล้าแค่ไหนถึงลงมือปลิดชีวิตตัวเองได้... เขาเองก็ต้องใช้ความกล้าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพื่อข่มความกลัวจนสุดขั้วหัวใจ ให้เธอได้ทำร้ายตัวเองตามใจปรารถนา...
ใช่... ถึงจะดูโหดร้ายอยู่สักหน่อย แต่มันก็คือความจริง
เขากำลังรอให้เธอฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตา แล้วค่อยลงไปช่วยเธอขึ้นมา
เห็นเธอเจ็บเจียนตาย...เขาเองก็ทรมานเจียนจะคลั่ง...
ใจเธอทรมานจนแทบฟั่นเฟือน...เขาเองก็ใกล้เสียสติเต็มที...
บาดแผลฉกรรจ์ถึงเพียงนี้ นอกเสียจาก ‘เกิดใหม่’ จะยังมีวิธีไหนอีก...
แต่หลังจากได้เห็นเปลือกตาบางสีม่วงอ่อนระเรื่อปิดสนิท ริมฝีปากบางที่เขาเคยครอบครองซีดเผือดไม่ต่างผิวกาย เรือนร่างบอบบางเย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำแข็ง ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะโดยสมบูรณ์ เขาก็รู้เท่าทันความรู้สึกของตัวเองในทันที และสาบานว่าต่อจากนี้ ไม่ว่าจะเธอปรารถนาหรือไม่ เขาก็จะไม่มีวันปล่อยให้เธอทำเรื่องน่ากลัวพรรค์นี้อีก
เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองข่มกลั้นอย่างเจ็บปวดที่สุดแล้ว คิดว่าตัวเองห่วงเธอมากที่สุดแล้ว... แต่พอเอาเข้าจริงกลับพบว่า ตัวเองห่วงเธอมากกว่านั้นหลายเท่านัก...
ถ้าเพียงแต่เขาหน้าด้านหน้าทนอยู่กับเธอในศาลานั่นตั้งแต่แรก ต่อให้เธอหนีเขาก็แค่หน้าด้านเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย ตามติดเธอไปเป็นเงา ตอนนี้ก็คงไม่ต้องมานั่งปวดใจเสียเองแบบนี้
ฆ่าตัวตายงั้นเหรอ...ฆ่าเขาตายเสียมากกว่า...
มือหนาประสานกันปั๊มหัวใจสลับกับโน้มลงแนบริมฝีปากผายปอดให้เธอเป็นระยะ ขณะที่ในใจก็พร่ำสวดภาวนาไปพร้อมกัน เดิมทีเขาก็หวั่นใจอยู่แล้วว่า พอเขาไปจนลับตาแล้วเธออาจจะคิดสั้นฆ่าตัวตายขึ้นมาก็ได้ จึงตัดสินใจนั่งเป็นเพื่อนเธออยู่นอกศาลาตลอดทั้งคืน แต่เหตุที่ไม่พาเธอออกไปจากสถานการณ์สุ่มเสี่ยงแบบนี้เสียตั้งแต่แรก ก็เพราะรู้ดีว่าลึกๆ แล้วเธอหัวแข็งแค่ไหน หากเขาดึงดันจะอยู่ เธอต้องดึงดันจะหนีแน่ ถึงตอนนั้นใครจะรับประกันว่าพ้นสายตาเขาไปแล้วเธอจะไม่ทำเรื่องโง่ๆ พรรค์ไหนอีก ถ้าเป็นอย่างนั้น ต่อให้เขาไวกว่านี้อีกร้อยเท่าก็คงตามไปคว้าชีวิตเธอไว้ไม่ทัน
และเขาเอง...ก็คงทนไม่ได้...
เพียงไม่ถึงครึ่งนาทีดวงหน้าขาวซีดก็สำลักน้ำออกมาหลายคำ ความรู้สึกมึนงง อัดแน่นในอก ประเดประดังเข้ามาพร้อมกัน เปลือกตาบางค่อยๆ ปรือขึ้นมองภาพพร่าเลือนตรงหน้าช้าๆ คลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นเงาของใบหน้าหนึ่งที่คุ้นตา ทว่าเลือนรางเกินกว่าจะระบุได้แน่ชัด ดูคล้ายว่าจะเป็นภาพลวงมากกว่าความจริง หากรอยสัมผัสที่ยังติดตรึงอยู่ที่ริมฝีปากนั้น กลับแจ่มชัดเกินกว่าจะเป็นภาพฝันละเมอ
วินาทีที่เธอกำลังจะเอ่ยเรียกเจ้าของร่างสูงซึ่งโน้มตัวลงมาหาใกล้ๆ นั่นเอง เงาเลือนรางของเขาก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย เธออ่อนแรงเกินกว่าจะหันขวับไปตามหา และสับสนเกินกว่าจะร้องเรียกชื่อเขาได้ถูก แม้แต่ตัวเองอยู่ในโลกมนุษย์หรือปรโลกก็ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำ จึงได้แต่ร้องท้วงอยู่ในใจเท่านั้น ครั้นพอได้สำลักน้ำออกมาอีกระลอก เสียงตื่นตระหนกคุ้นหูกับใบหน้าที่คุ้นตายิ่งกว่าก็ปรากฏขึ้นต่อหน้า มือไม้สารพัดคู่เข้าจู่โจมยกโน่นจับนี่สำรวจด้วยความเป็นห่วง ความทรงจำมึนงงสั้นๆ นั้นจึงติดอยู่กับสมองเธอไม่นานนักก็หายไปดั่งควัน
เพี๊ยะะะะ!!!!
เสียงตบหน้าฉาดใหญ่อย่างไม่ทันตั้งตัว เรียกให้บรรดาผู้ติดตามมานับสิบชีวิตหันไปมองคนเพิ่งรอดตายเป็นตาเดียว ก่อนจะเบนสายตาไปหาผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง ซึ่งก็คือราชินีมังกรมุก ทว่าเจ้าตัวกลับหันหน้าไปหาร่างเล็กที่นั่งข้างๆ อีกต่อหนึ่ง ทุกคนจึงได้ประจักษ์แจ้งแก่ใจว่า ผู้ที่ลงมืออย่างเหนือความคาดหมายก็คือทิพย์น้ำปรุง หญิงสาวผู้สดใสร่าเริงและมองโลกในแง่ดีคนนั้น
“เห็นแก่ตัว!!! ฉันไม่เคยคิดเลยว่าแกจะเห็นแก่ตัวได้ขนาดนี้!!!” ทิพย์น้ำปรุงตวาดลั่น ดวงตาสองข้างแดงก่ำวาวโรจน์ด้วยไฟโทสะ ทว่าแววตื่นตกใจและร้อนใจด้วยความเป็นห่วงใต้ม่านน้ำตานั้นกลับเห็นได้ชัดยิ่งกว่า
“แกตายไปไม่ต้องทุกข์ต้องโศก แต่เคยคิดถึงคนยังอยู่อย่างฉันบ้างมั้ย!!!” ทิพย์น้ำปรุงไม่ปล่อยให้สิ้นคิดแก้ตัว ตะโกนขึ้นอีกครั้งอย่างเดือดดาล คราวนี้เธอโกรธจริงๆ เธอรู้เพื่อนต้องแบกรับข้อกล่าวหาพวกนั้นอย่างไม่ยุติธรรม เพื่อนอาลัยคนจากไป...เธอก็รู้... แต่เธอที่ยังอยู่นี่ล่ะ...ไม่คู่ควรให้คร่ำครวญหวนไห้บ้างเลยหรือไง!
“แกอยู่แล้วทำให้คนตายงั้นเหรอ ถ้าแกตายแล้วฉันตายตามแกไปล่ะแกจะว่าไง!! ถึงตอนนั้นจะฟื้นขึ้นมารึไง!!!”
“ฉะ...ฉัน...” เสียงสะอื้นที่แทบไม่เคยดังขึ้นต่อหน้าผู้คนมากมาย ค่อยๆ ดังแทรกเสียงเอื้อนเอ่ยขึ้นทีละนิด หากแต่คำยังไม่ทันได้หลุดออกไป มือหนักๆ ของเพื่อนสาวก็ฟาดตามลงมาที่ข้างแก้มซีดขาวอีกข้างของเธอ
เพี๊ยะะะะ!!!
“ถ้าสิ่งที่แกจะพูดไม่ใช่คำสัญญาว่าจะไม่ทำอีก ก็ไม่ต้องพูด...” แม้แต่น้ำผึ้งพระจันทร์เองยังอดขนลุกขนพองไปกับ เสียงเย็นเยียบเสียดกระดูกของเพื่อนสาวไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอีกสิบชีวิตด้านหลัง
ตั้งแต่คบหากันมาเธอไม่เคยเห็นทิพย์น้ำปรุงโกรธขนาดนี้มาก่อน ด้วยเดิมทีเจ้าตัวเป็นคนร่าเริง ออกจะหัวอ่อน และว่านอนสอนง่ายด้วยซ้ำ ที่ตวาดคนอื่นเพราะโมโหก็แทบจะนับครั้งได้ แต่ในจำนวนที่นับครั้งนั้นก็ยังไม่มีครั้งไหนรุนแรงเท่าครั้งนี้มาก่อน เธอจึงไม่กล้าจะสอดปากห้ามทัพ ได้แต่ลูบแขนคนใจร้อนให้ใจเย็นค่อยพูดค่อยจากัน ทั้งที่ตัวเธอเองก็ทั้งตกใจ ร้อนใจ และเป็นห่วงเพื่อนไม่ต่างกันนัก
“ฉันขอโทษ” สิ้นเสียงเอ่ยแทรกก้อนสะอื้น ทิพย์น้ำปรุงที่สะเทือนใจจนลงไม้ลงมือทั้งน้ำตา ก็โผเข้ากอดเพื่อนรักไว้ด้วยสองแขน จากนั้นน้ำผึ้งพระจันทร์ก็โผเข้ากอดเพื่อนรักทั้งสองด้วยอีกคน เสียงร้องไห้ของหญิงสาวทั้งสามดังระงมอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ถึงได้แปรเปลี่ยนรอยยิ้มแทรกคราบน้ำตาขึ้นมาด้วยความดีใจ ที่ยังเห็นว่าเพื่อนยังอยู่ดีตรงนี้ ต่างคนจึงต่างยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้กัน แล้วกอดคอกันร้องไห้ออกมาอีกระลอก
หัวใจเพื่อนแหลกสลายลงจนไม่ต่างจากเถ้าธุลี หัวใจเธอทั้งสองคนก็ถูกฉีกทึ้งไม่ต่างกัน หลังจากเพื่อนวิ่งหนีออกมาจากศาลาวัด เธอก็ร้อนใจจนแทบบ้า เพราะคิดว่าถ้อยคำที่ดุจน้ำเพชรด่าทอเพื่อนนั้นออกจะรุนแรงไม่น้อย อารามเสียใจจนขาดสติเพื่อนเธออาจจะทำอะไรไม่คิดขึ้นมาก็ได้ ขณะกำลังจะสั่งคนออกตามหาให้ทั่วนั้นเอง ก็ได้รับข้อความจากฟรานว่าเพียงน้ำพลอยอยู่กับเขา และตอนนี้ยังอยู่ดีไม่ต้องเป็นห่วง เธอกับทิพย์น้ำปรุงถึงได้นั่งติดที่ในที่สุด และคิดได้ว่าบางทีให้เพื่อนอยู่คนเดียวสักพักก็ไม่เลวเหมือนกัน อย่างน้อยก็ดีกว่าให้นั่งทนแรงกดดันอยู่ในศาลา หรือโดนคนเป็นพี่ซึ่งเป็นคนในครอบครัวคนสุดท้ายชี้หน้าด่ากราดกลางศาลา
ตอนเช้าตรู่น้ำผึ้งพระจันทร์กับทิพย์น้ำปรุงรู้สึกวางใจไม่ลง เพราะไม่เห็นเพียงน้ำพลอยมาตลอดทั้งคืน ครั้นพอคิดจะติดต่อฟรานอีกครั้งก็ติดต่อไม่ได้ จึงตัดสินใจพากันออกตามหา ชั่วขณะนั้นเองถึงได้เห็นฟรานที่ริมท่าศาลาเก่าๆ หลังหนึ่งกระโดดพุ่งลงไปในน้ำ น้ำผึ้งพระจันทร์ปะติดปะต่อเรื่องราวอยู่ในหัวได้ภายในเสี้ยววินาที ร่างทั้งร่างแทบล้มลงทั้งยืน แต่เพียงนาทีต่อมาก็เห็นว่าฟรานพาร่างบางของเพื่อนขึ้นจากน้ำมาวางบนท่า จึงรีบสาวเท้าวิ่งเข้าไปหาทันที
โชคยังดีที่ฟรานอยู่ด้วย...ไม่อย่างนั้นวันนี้คงต้องเผากันทั้งสิ้นสามศพแล้ว...
เพียงน้ำพลอยกึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บนเตียงในห้องนอนของตัวเอง แววตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย ทว่าในหัวกลับหนักอึ้งอยู่ไม่น้อย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังคิดเรื่องใดอยู่เป็นหลักกันแน่ ปล่อยให้เสียงเทศนาของน้ำผึ้งพระจันทร์ดังแทรกเข้ามาในหูข้างซ้าย ยอมให้นั่งพักอยู่ในสมองสักพัก จึงปล่อยให้ลอยออกหูขวาไป
“เรื่องไม่รักชีวิตนี่นะไม่มีใครรู้ดีกว่าฉันอีกแล้ว และในฐานะของผู้เชี่ยวชาญ ฉันจะบอกแกให้ว่าสิ่งดีๆ ย่อมจะมาหาคนที่รู้จักรอ รู้มั้ย” น้ำผึ้งพระจันทร์ว่าพลางจัดผ้าห่มบนเตียงให้เข้าที่ ก่อนจะจับโน่นจัดนี่ไปตามเรื่อง แต่ปากก็ยังคงเอ่ยเทศนาเพื่อนไม่รู้ความไม่หยุด ปล่อยให้หน้าที่ปรุงอาหารขึ้นมาเสิร์ฟเป็นของทิพย์น้ำปรุง เนื่องด้วยลงความเห็นกันแล้วว่า หากคนจิตใจย่ำแย่เกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีก คนเรี่ยวแรงเหลือเฟืออย่างเธอจะได้จัดการได้ทันท่วงที
“ก็ใครเขาจะไปโชคดีแบบแกล่ะ” เพียงน้ำพลอยหันมาตอบเพื่อนรัก พร้อมกับฝืนระบายยิ้มบางๆ ให้
แน่นอนว่าเธอไม่ได้ต้องการเย้ยหยันความโชคดีของเพื่อนแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามเธอกลับชื่นชมและลอบอิจฉาด้วยรอยยิ้มมาโดยตลอด แต่ก็พูดยากเหลือเกินว่าบนโลกนี้จะยังมีใครโชคดีได้เจอฟ้าหลังฝนที่สวยงามขนาดนี้อีก บางทีเธออาจเป็นหนึ่งในคนที่โชคร้ายก็ได้ ถึงอย่างไรเสียเธอก็เป็นพาหะนำเรื่องร้ายๆ อยู่แล้ว ไม่ว่าเรื่องเลวร้ายประเภทไหนก็ล้วนถูกเธอดึงดูดเข้าตัวได้ทั้งนั้น อันที่จริงมันก็เข้ามาแล้วด้วยซ้ำ คนๆ นั้นถึงได้บอกเลิกเธอได้ง่ายดายราวกับพูดเรื่องดินฟ้าอากาศยังไงยังงั้น
“แล้วอีตาเสาร์อาทิตย์นั่นหายหัวไปไหน ป่านนี้ยังไม่โผล่” ครั้นพอคิดถึงความเจ็บใจข้อนี้ได้ น้ำผึ้งพระจันทร์ก็คร้านจะรักษามารยาทในการพูดถึงอีกฝ่ายอย่างพินอบพิเทาอีก มีอย่างที่ไหนงานศพพ่อแม่แฟนผ่านมาจะสามสี่วันแล้วยังไม่เห็นแม้แต่เงา เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าเขาควรเป็นคนแรกที่แสดงตัวหรือไง
“มาแล้ว” เพียงน้ำพลอยตอบเพียงสั้นๆ ทว่านัยน์ตาดำขลับกลับคล้ายถูกแช่แข็งไปชั่วขณะ
ยัยแม่มดยังคงมีญาณทิพย์เหนือชั้นกว่าคนอื่นเช่นเคย ขนาดว่าเธอยังไม่ได้บอกเล่าอะไรสักคำ อีกฝ่ายก็ยังพูดโพล่งเรื่องนี้ออกมาได้ตรงกับจังหวะที่เธอกำลังคิดอยู่พอดี
“มาแล้ว...อ่อ มาแล้วเหรอ...” เห็นเพื่อนรับคำด้วยสีหน้ากึ่งงุนงงกึ่งเข้าใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบจนน่ากลัว เพียงน้ำพลอยก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเพื่อนเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างด้วยตัวเองแล้ว เธอจึงโล่งใจไปเปราะหนึ่งที่ไม่ต้องมานั่งเล่าเรื่องราวที่ตัวเองไม่อยากเล่าอีก
กับเรื่องของอธิษฐ์ แน่นอนว่าการจากเป็นย่อมดีกว่าจากตาย แต่จากสิ่งที่เขาทำกับเธอคราวนี้ เธอกลับไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตัวเองทั้งเสียใจ ทั้งผิดหวัง และพาลโกรธแค้นเขาอย่างเสียไม่ได้ เรียกได้ว่าหนักหนาเอาการ จนเริ่มไม่แน่ใจว่าหากเขาตายไปตรงหน้าจริงๆ จะเสียใจได้มากเท่านี้รึเปล่า แต่ไม่ว่าความรักความผูกพันที่ผ่านมาของเขาจะเป็นของจริงหรือเสแสร้งแกล้งทำ มันก็มีผลกับจิตใจเธอมาก มากพอจะทำให้ความรักความจริงใจของเธอเป็นของจริงทั้งหมด และไม่อาจตัดมันให้ขาดได้ในครั้งเดียว จนตอนนี้เธอก็ยังรู้สึกว่าตัวเองยังรักเขาอยู่มาก และปรารถนาให้เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงแค่ฝันร้ายตื่นหนึ่งเท่านั้น
แต่หากมันจะต้องเป็นความจริงเสียแล้วล่ะก็ เธอก็ปลงตกแล้วว่า...
ไม่เก็บของตกพื้นขึ้นมากินฉันใด ก็ไม่อาลัยอาวรณ์คนไม่มีใจฉันนั้น...
เดิมทีเธอก็เป็นคนทิฐิหนามาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว แม้จะเสียใจมาก และไม่ปฏิเสธว่าเขาเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เธอตัดสินใจทำเรื่องไม่มีหัวคิดเมื่อเช้านี้ แต่หากจะให้เธอเอ่ยปากอ้อนวอนเขาเข้าจริงๆ ความเคยชินก็คงหยุดยั้งเธอไว้จนพูดไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ กล่าวคือ ไม่ว่าจะเป็นหรือตายเธอก็คงไม่อ้อนวอนให้เขากลับอยู่ดี และเมื่อคิดทบทวนถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจได้ถูกต้องแล้วและภูมิใจอยู่หลายส่วน ที่อย่างน้อยก็ไม่ทำเรื่องน่าขายหน้า วางตัวได้มีมาดไม่เลว ถึงผลข้างเคียงจะเลวร้ายอยู่สักหน่อยก็เถอะ
“กลับไปแล้วก็แล้วกันไปเถอะ” เพียงน้ำพลอยตอบคล้ายไม่เข้าใจความคิดของอีกฝ่าย หากแต่นัยแฝงของคำพูดนั้นกลับบ่งบอกความในใจได้อย่างชัดเจน ขอเพียงเป็นเพื่อนที่รู้ใจกันมานาน ย่อมรู้ดีว่าเธอหมายถึงอะไร
น้ำผึ้งพระจันทร์คล้ายจะเอ่ยอะไรขึ้นอีกสักอย่าง ทว่าทิพย์น้ำปรุงกลับโผล่พรวดเข้ามาเสียก่อน หลังจากนั้นก็กลายเป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญในห้องนอน จากการบังคับให้เธอกินอาหารที่เพิ่งทำมาลงไปให้ได้มากที่สุด พอเธอบอกว่าอิ่มแล้ว ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โตเสียจนแทบจะไปเรียกหมอมาให้อาหารทางสายยาง เธอจึงได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนกินเข้าไปอีกสองสามคำ ทั้งสองถึงได้ยอมรามือ เพราะเห็นว่าเธอกินได้เท่านี้จริงๆ
พอได้สติขึ้นมาบ้าง เพียงน้ำพลอยจึงเริ่มเป็นห่วงงานศพของพ่อแม่ที่วัดขึ้นมา แต่ครั้นจะไปดูด้วยตัวเองก็กลัวว่าจะทำให้ใครต่อใครไม่กล้ามางานอย่างที่พี่สาวว่าอีก จึงได้แต่ถามไถ่กับเพื่อนทั้งสอง เมื่อได้ความว่าบิดาของน้ำผึ้งพระจันทร์เป็นธุระให้เรียบร้อยแล้ว เหวินหยางหลงเองก็อยู่ที่นั่น ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เธอจึงได้เบาใจลงส่วนหนึ่ง ผ่านไปสักพักใหญ่ก็หลับตาลง ปล่อยให้เพื่อนผู้เฝ้าอาการทั้งสองคิดว่าเธอผล็อยหลับไปแล้ว จากนั้นก็ใช้ความคิดกับตัวเองภายใต้ความมืดมิดไปเงียบๆ
จากชั่วตรู่สู่เย็นย่ำ...จากเย็นย่ำสู่อรุณรุ่ง... แม้เพียงน้ำพลอยจะหลับตาสนิท แต่สมองกลับไม่ได้หยุดคิดเลยแม้แต่วินาทีเดียว มีสติรับรู้อยู่ตลอดเวลา แม้แต่ข้อตกลงการเฝ้ายามเธอไว้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงระหว่างเพื่อนทั้งสองก็รับรู้ได้ไม่มีตกหล่น เมื่อถึงช่วงรุ่งสางที่น้ำผึ้งพระจันทร์ออกไปโทรศัพท์หาคนที่บ้านที่ฮ่องกง เธอจึงรีบลุกจากเตียงคว้ากุญแจรถในลิ้นชักข้างๆ แล้วบึ่งรถออกจากบ้านทันที
ขณะเดียวกันนั้นเอง ร่างสูงโปร่งในเสื้อเชิ้ตเรียบหรูกับกางเกงสแล็คสีดำตลอดทั้งตัว ก็กำลังจะพารถเบนซ์สีดำสนิทคันหนึ่งเข้ามาในบ้านโรจน์รวีเตชานนท์เช่นกัน ด้วยรู้สึกสังหรณ์ใจยังไงชอบกลว่าเรื่องวุ่นวายบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น ในใจเกิดว้าวุ่นเป็นห่วงคนบางคนขึ้นมา จึงกัดฟันสู้พิษไข้ที่ยังเผาผลาญสติรับรู้อยู่หลายส่วน รีบคลานลงจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วบึ่งรถออกจากบ้านตระกูลเฉียนมาที่นี่ทันที ทั้งที่เพิ่งกลับเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว ไม่คาดว่าเช้าตรู่ขนาดนี้ จะยังมีคนขับรถออกไปไหนอีก ทว่าพอเห็นเงารางๆ แสนคุ้นตานั้นสะท้อนผ่านกระจกรถ เขาก็พอจะเดาเรื่องราวทุกอย่างได้ไม่ยากเย็นนัก
ฟรานแอบขับรถตามคนบางคนไปด้วยจิตใจสับสนวุ่นวาย ทั้งร้อนใจห่วงว่าเธอจะทำเรื่องไร้หัวคิดอีกรอบ ทั้งห่วงว่าเธอจะไม่มีสติพอให้ขับรถได้อย่างปลอดภัย แต่หากจะเทียบกันอย่างจริงจังในเรื่องนี้ เขากลับเห็นว่าสภาพตัวเองในตอนนี้ก็ไม่ต่างกันนัก ซึ่งหากจะโทษก็คงต้องโทษตัวเขาเอง ที่เล่นหิ้วบาดแผลฉกรรจ์ไปนั่งตากลมตากฝนทั้งคืน ไหนจะกระกระโดดน้ำช่วยคนอีก จากสภาพการณ์ที่ว่ามา เขายังไม่ไปนอนพะงาบๆ ที่โรงพยาบาลก็นับว่าอึดยิ่งกว่าวัวแล้ว
ลมหายใจร้อนระอุระบายออกมาอย่างกลัดกลุ้ม ก่อนจะสะบัดหน้าไปมาไล่อาการปวดหนึบที่ศีรษะอีกครั้ง พยายามเบิกตาสู้แสงจ้ามองรถคันหรูสีดำซึ่งอยู่ห่างไปไม่ใกล้ไม่ไกล ตลอดทางเขาทั้งตามประชิด ทั้งทิ้งระยะห่างบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อไม่ให้เธอรู้ตัวว่ามีคนกำลังตามอยู่ แต่หากให้เขาเดาล่ะก็ เธอคงสะเทือนใจเสียจนสัญชาตญาณระวังภัยตายด้านไปแล้ว ไม่มีแก่ใจจะระแวดระวังว่าใครขับรถตามมาหรอก
ครั้นพอเห็นว่าถนนที่ตนขับตามเธออยู่นี้ เป็นเส้นทางไปวัดที่จัดงานศพให้พ่อแม่ของเธอ ใจหนักอึ้งทั้งดวงจึงคลายลง ค่อยๆ เลี้ยวรถตามเธอเข้าไปในวัดอย่างไม่รีบร้อนนัก พอจอดรถเสร็จสรรพก็แอบตามเธอไปยังศาลาเงียบๆ ปล่อยให้เธอได้ใช้เวลาตามลำพังอย่างที่ใจต้องการ
ร่างบางดูโรยแรงกว่าปกติอยู่หลายส่วน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังบังคับให้ตัวเองเหยียดหลังตรงเดินเข้าไปในศาลาอย่างเข้มแข็ง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งหน้าโลงศพ เอื้อมมือไปหยิบธูปเล่มหนึ่งจากพานสีทองเบื้องหน้าขึ้นมาจุด แล้วถือขึ้นประนมไหว้บุพการีทั้งสองด้วยใจที่แตกสลาย
ตั้งแต่จัดพิธีศพขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่เธอกราบศพพ่อแม่อย่างเป็นทางการ ด้วยความสะเทือนใจจนแทบฟั่นเฟือน เธอจึงหลอกตัวเองทุกวิถีทางว่าทุกอย่างเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น หรือต่อให้เป็นความจริง อีกไม่นานพวกท่านก็กำลังจะฟื้นตื่นขึ้นมา เธอทำแม้กระทั่งปลิดชีวิตเพื่อหลีกหนีความทรมานแทบดับดิ้นของตัวเอง แต่ไม่ยอมกราบศพท่าน...เพราะคิดว่านั่นเท่ากับเป็นการยอมรับความสูญเสียตรงหน้า แต่สุดท้ายความจริงก็ไม่ยังไม่อาจแปรเป็นอื่นไปได้ ทางเดียวที่สวรรค์เหลือเว้นไว้ให้เธอ คงมีเพียงการยอมรับบทลงโทษทั้งที่ยังหายใจเท่านั้น
เธอคงบาปหนาเกินกว่าสวรรค์จะรับ และน่ารังเกียจเกินกว่านรกจะเรียกหา
ต่อให้เจ็บเจียนขาดใจสักแค่ไหน ก็ต้องก้มหน้าใช้ชีวิตเส็งเคร็งนี่ต่อไป
รับบทลงโทษกล้ำกลืนฝืนทนอยู่กับความรู้สึกผิดบาปไปชั่วชีวิต
สำหรับคนบาปหนาฆ่าได้กระทั่งบิดามารดาอย่างเธอ
การจบชีวิตลงง่ายๆ คงไม่สาสม...
ผ่านความตายครั้งนี้ ทำให้เธอรู้สึกผิดบาปและซาบซึ้งกับคนที่ยังอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเพื่อนสองคนที่ห่วงใยเธอนักหนา จึงคิดว่าจะทำตามสัญญาอย่างเคร่งครัด ชั่วชีวิตนี้ไม่ขอเฉียดใกล้เรื่องพรรค์นั้นอีก แต่สำหรับเรื่องอื่นนั้น...ใจเธอกลับด้านชาเกินกว่าจะมีความรู้สึกใดๆ ไม่ว่าจะเป็นลมหายใจของตัวเอง ความเป็นอยู่ของคนอื่น ความรัก ความกลัว ความหวัง ไม่ว่าจะในวันนี้ วันพรุ่ง หรือสิ่งอื่นใดในโลก เธอล้วนไม่ยี่หระมันทั้งสิ้น แม้จะรู้สึกผิดต่อเพื่อนทั้งสองทุกครั้งที่ได้ยินว่าต่อจากนี้ต้องรักชีวิตให้มากๆ แต่ก็จนใจที่เธอยังคงไม่สนใจมันอยู่ดี ถึงจะให้สัญญาได้ว่าจะไม่ทำเรื่องพรรค์นั้นอีก แต่หากวินาทีข้างหน้านี้มีคนเอาปืนมาจ่อขมับ ก็พูดยากเหลือเกินว่าเธอจะดิ้นรนเอาตัวรอดรึเปล่า
เธอคงเป็น ‘คน ‘เป็น’ ที่จิตวิญญาณ ‘ตาย’’ ไปแล้ว
นั่นอาจเป็นคำนิยามตัวเองที่ใกล้เคียงที่สุดเห็นจะได้
เมื่อได้ยินเสียงรถใกล้เข้ามา เธอจึงหันไปมองแสงแดดอ่อนๆ ที่ทอดเข้ามาในศาลาอีกครั้ง มือบางเอื้อมไปปักธูปลงในกระถาง แล้วก้มลงกราบศพพ่อแม่ด้วยใจร้าวระบมเป็นครั้งสุดท้าย หลับตาซึมซับไออุ่นจากท่านที่สัมผัสได้จากไอธูป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นปาดน้ำตาบนแก้มออก แล้วยันตัวลุกขึ้นหันหลังเดินออกจากศาลาไป ก่อนผู้มาใหม่จะทันได้เห็นว่า ตัวอัปมงคลอย่างเธอก็อยู่ในศาลาด้วย เธอข่มกลั้นเสียงสะอื้นที่คล้ายว่าจะดังขึ้นอีกลงไปให้ลึกสุดใจ ก่อนจะรีบเดินไปยังลานจอดรถแล้วบึ่งรถออกจากวัดทันที
ในเมื่อเธอยอมรับโดยดุษฎีแล้วว่า ตัวเองควรอยู่ในตำแหน่ง ‘ตัวอัปมงคล’
แต่นี้ต่อไปก็ควรอยู่ห่างจากคนปกติให้มาก จะได้ไม่ต้องทำให้ใครเขาต้องเดือดร้อนอีก
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง หลังจากเห็นว่าหญิงสาวเดินก้มหน้าก้มตาออกไปจากศาลาแล้ว เขาจึงรีบเดินไปยังลานจอดรถ และขับรถตามเธอไปเงียบๆ ไม่ให้เธอรู้ตัวเช่นเดียวกันกับขามา พลางนึกดีใจที่อย่างน้อยเธอก็รู้จักเข็ดหลาบกับการทำเรื่องโง่ๆ เสียที เขารู้ดีว่าความสูญเสียที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกัน กับความรู้สึกผิดบาปมหันต์ที่สังคมโยนให้เธอแบกรับนั้น เป็นเรื่องราวเลวร้ายเกินกว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนึงจะทำใจรับสภาพได้ภายในวันสองวัน แต่เขาก็ยังหวังว่าการเกิดใหม่ของเธอคราวนี้จะทำให้เธอเข้มแข็งขึ้น ต่อให้ยังไม่อาจรับความเสียใจได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ขอให้มีความหวัง ว่าตัวเองจะดีขึ้นในสักวันก็ยังดี
ทันใดนั้น ความปวดแปลบในหัวพร้อมกับความพร่าเลือนของสติก็เริ่มออกฤทธิ์ ฟรานจึงสะบัดหน้าไปมาแรงๆ อีกครั้ง เพ่งมองรถคันหรูสีดำของเพียงน้ำพลอยให้หนักขึ้นกว่าเดิม ทว่าพอหางตาเหลือบไปมองกระจกข้างด้วยความเคยชิน กลับเห็นว่ารถเก๋งสีขาวมุกคันหนึ่งที่เคยขับตามหลังมาเมื่อสิบนาทีที่แล้ว ยังคงตั้งหน้าตั้งตาขับตามมาอย่างไม่ลดละ ครั้นพอหันไปมองกระจกข้างอีกด้านหนึ่ง ก็เห็นว่ารถเก๋งสีบรอนซ์ที่ตามหลังมาพร้อมกับคันสีขาวยังคงตามมาอยู่เช่นกัน
สัญชาตญาณเอาตัวรอดอันว่องไวดุจหมาป่าหนุ่มพลันตื่นขึ้นในทันที รีบประมวลผลหาทางรอดในสมองอย่างรวดเร็ว ทว่าจนใจที่ตอนนี้สติตื่นรู้ของเขาเองไม่ค่อยสมประกอบนัก คิดอ่านอะไรได้เชื่องช้าจนน่าหงุดหงิด ครั้นมีอะไรโผล่ขึ้นมาในสมองบ้าง ก็รับรู้ได้แทบจะในทันทีว่ามันช่างเป็นวิธีที่โง่เขลานัก
ดวงหน้าหล่อเหลาหันไปมองกระจกรถทั้งสองข้างอีกครั้งทั้งที่ยังไร้ซึ่งทางออก ได้แต่ขับรถหนีการไล่ล่าถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ อันที่จริง เมื่อวินาทีก่อนหน้านี้เขายังแอบคิดในแง่ดีที่สุดว่า บางทีตัวเองอาจระแวงเกินไป จึงอาศัยช่วงเวลาที่ยังเช้าอยู่มาก รถบนถนนไม่มากนัก ลองเร่งเครื่องหลบซ้ายหลีกขวา ขับเลี้ยวซอยนั้นโผล่แยกนี้ไปเรื่อย ผ่อนช้าบ้างเร็วบ้างเป็นระยะๆ เพื่อไม่ให้ดูผิดสังเกตจนเกินไป ปรากฏว่ารถทั้งสองคันนั้นกลับไล่ตามมาไม่ลดละ เขาจึงมั่นใจได้ว่าสัญชาตญาณของตัวเองครั้งนี้ไม่ผิดเพี้ยนเลยแม้แต่น้อย
ทว่าเรื่องที่ทำให้เขาหงุดหงิดจนแทบบ้านั้น กลับไม่ใช่เรื่องถูกไล่ล่ากลางถนนตอนกลางวันแสกๆ หากแต่เป็นเรื่องที่เขาจำต้องปล่อยรถคันหรูสีดำสนิทให้ห่างออกไปเรื่อยๆ กระทั่งหายไปจากสายตาในที่สุด เพราะไม่อาจพาศัตรูที่จ้องจะเอาชีวิตตามหลังไปหาเธอได้ ได้แต่ปล่อยให้เธอหายวับไปกับตาโดยที่ทำอะไรไม่ได้
ไม่ได้... จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้...
เขาไม่ได้ช่วยเธอขึ้นมาเพื่อให้เธอตายอีกรอบหรอกนะ!
“ฮัลโหล ครับคุณเจ้าจันทร์” ฟรานตัดสินใจโทรหายัยแม่มดมาเฟียอย่างไม่มีทางเลือก เพื่อให้อีกฝ่ายดำเนินการตามหาคนหัวรั้นล่วงหน้าไปก่อน ซึ่งคาดว่าป่านนี้เจ้าหล่อนคงทราบแล้วว่าเพื่อนหายตัวไป คงร้อนรนตามหาอยู่เหมือนกัน เขาจึงคิดว่า หากเริ่มต้นค้นหาจากจุดที่เขาแยกกับเธอ คงจะดีกว่างมเข็มในมหาสมุทรแน่
“กำลังจะโทรหาอยู่พอดีเลยค่ะคุณฟราน หายไปอีกแล้วค่ะ” ฟรานเงียบฟังน้ำเสียงร้อนรนจากหูฟังสมอลทอร์ก พลางขับรถหลบหลีกไปเรื่อย ขณะเดียวกันก็พยายามเค้นหาทางรอดที่รวดเร็วที่สุดอยู่ในหัว
“ทราบแล้วครับ เพิ่งหายไปจากถนนเส้นหน้าห้าง A เมื่อประมาณสิบห้านาทีที่แล้วนี่เอง”
“หน้าห้าง A !! ไปทำอะไรของมันนะ” น้ำผึ้งพระจันทร์บ่นเสียงฉุน ทว่าเจือแววร้อนใจเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด
“มาที่วัดน่ะครับ แต่ออกจากวัดแล้วไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจจะกลับบ้าน” ฟรานอธิบายอย่างรวบรัด ใจทั้งดวงเริ่มบีบรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคิดว่าจุดหมายของหญิงสาวสุดจะหยั่งรู้เหลือเกิน ไม่แน่ว่าพอลับตาเขาไปแล้ว เธออาจจะคิดทำอะไรโง่ๆ ขึ้นมาอีกก็ได้
“หยางหลงอยู่ด้วยรึเปล่าครับ” ฟรานเริ่มสวดภาวนาในใจดังขึ้นเรื่อยๆ แม้ถ้อยคำที่พูดยังปกติดี ทว่าจังหวะการพูดกลับไม่อาจรักษาความราบเรียบไว้ได้อีกต่อไปแล้ว
“เพิ่งกลับมาเดี๋ยวนี้เองค่ะ” จบคำคนปลายสายก็ส่งโทรศัพท์ให้สามีร่างสูงในทันที
“ว่า” มาเฟียหนุ่มรับโทรศัพท์จากภรรยามากรอกเสียงทักทายสั้นๆ ลงไป
“หาคนให้ที ฉันสลัดทางนี้หลุดแล้วจะรีบตามไป” สิ้นเสียงบอกกล่าวอย่างรวบรัดตัดความ หยางหลงก็แทบจะตวาดกลับมาในทันที เพราะรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณและความรู้ใจของเพื่อนที่คบกันมานานกว่ายี่สิบปี ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดจะทำอะไรเพื่อให้ตัวเอง ‘สลัดให้หลุด’ ดังที่พูด
“ฟังฉันนะเว้ยไอ้ฟราน เรื่องคุณน้ำพลอย ฉันกับเจ้าจันทร์สองคนจัดการได้ แกไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น” หยางหลงเผลอขึ้นเสียงเสียจนหูโทรศัพท์แทบร้าว เมื่อรู้ตัวจึงค่อยผ่อนน้ำเสียงลง
แค่ฟังจังหวะจะโคนการพูด เขาก็รู้ได้แบบไม่ต้องเดาแล้วว่าใจที่เคยเย็นเป็นน้ำแข็งของมัน สุมไฟเผาสติยั้งคิดไปแค่ไหนแล้ว
ยังมีหน้ามาแกล้งทำเป็นใจเย็นอยู่ได้...
“ให้คนบ้านคุณเจ้าจันทร์ไปก็ดี เผื่อพลาด” ฟรานไม่ใส่ใจความอดทนของเพื่อนโดยสิ้นเชิง รีบเอ่ยอธิบายถึงกลยุทธการค้นหาที่รู้กันกับเพื่อนรักเพียงสองคนเท่านั้น
“ได้ ฉันรับปาก เพราะฉะนั้น...” หยางหลงกำลังจะขุดน้ำอดน้ำทนเฮือกสุดท้ายขึ้นมาใช้ด้วยความหวังอันริบหรี่ ทว่าเพื่อนผู้แสนดีก็เอ่ยตัดบทขึ้นมาอย่างไร้เยื่อใยเสียก่อน
“วางนะ” ฟรานไม่พูดพร่ำทำเพลง จบคำก็กดตัดสายทิ้งทันที แล้วหันมาเพ่งสมาธิกับการขับรถอย่างเต็มที่
เขาขับรถลัดเลาะไปเรื่อยจนเกือบห้าถนนได้แล้ว รถบนถนนก็เริ่มหนาตามากขึ้นเรื่อยๆ รถเก๋งมือสังหารสองคันด้านหลังก็ยังตามมาอย่างไม่ลดละ ราวกับต้องการทดสอบความอดทนอันน้อยนิดของเขา
ใช่...เขาเยือกเย็นมาเสมอ...
ไม่อย่างนั้นคงไม่มีลมหายใจอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้...
พวกมันต่างหากที่ตามล่าเขามาเป็นยี่สิบกว่าปี กลับไม่เคยคิดได้เลยว่า...
อย่าบีบคั้นกันให้มันมากนัก...
เอี๊ยดดดดดด!!!!
เสียงล้อรถเบียดกับพื้นถนนดังสนั่นไปจนทั่วบริเวณ เรียกให้คนจากทุกทิศหันมามองรถยนต์บ้าระห่ำคันหนึ่งเป็นตาเดียว ชายหนุ่มงัดประสบการณ์นักแข่งรถที่ตนพอมีอยู่บ้างออกมาใช้กับถนนสาธารณะอย่างอุกอาจ เหยียบคันเร่งจนแทบมิดไมล์ ทิ้งห่างจากรถมือสังหารสองคันด้านหลังกะทันหัน
ซึ่งก็เป็นไปดังคาดว่า พวกมันไม่ยี่หระต่อเสียงเรียกของยมบาล เหยียบคันเร่งจนสุดแรง ไล่กวดเหยื่อเบื้องหน้าราวกับลืมสิ้นความตาย ปรารถนาเพียงให้เหยื่อตายตกไปพร้อมกับตนเท่านั้น
ชั่วเสี้ยววินาทีนั้นเอง...
เอี๊ยดดดดด!!!!! โคร้มมมมมม!!! ตู้มมมมมมมม!!!!
ชายหนุ่มกลั้นใจหักพวงจนสุดให้รถพุ่งชนกับสะพานด้านข้าง รถเบนซ์สีดำสนิทงัดกับสะพานอยู่ชั่ววินาที ก่อนจะพลิกตกลงไปในแม่น้ำเบื้องใต้ทั้งคัน สร้างความสะเทือนขวัญให้แก่ผู้พบเห็นจนแทบลมทั้งยืน ผิดกับร่างสูงโปร่งใต้น้ำที่ไม่ได้เสียขวัญกับการกระทำของตัวเองเลยแม้แต่น้อย รีบแหวกว่ายออกมาจากที่นั่งฝั่งคนขับทางหน้าต่างที่เปิดรอไว้ตั้งแต่แรก พร้อมกับถือค้อนอันเล็กติดมือออกมาด้วย รีบว่ายไปเงื้อค้อนทุบป้ายทะเบียนหน้ารถจนสุดแรง ใครจะนึกว่ามันกินแรงกว่าที่คิด ทุบอยู่เกือบสิบวินาทีถึงได้หลุดออกมา จากนั้นเขาก็พาร่างแทบหมดลมของตัวเองไปงัดป้ายทะเบียนด้านหลังออกมาอีกใบ
เมื่อเก็บกวาดตัวตนเรียบร้อย ร่างสูงจึงรีบพาป้ายทะเบียนสองใบว่ายน้ำเข้าหาฝั่งอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ผู้เห็นเหตุการณ์สักคนบนฝั่งจะคิดได้ว่าควรเรียกนักดำน้ำหรือหน่วยกู้ภัยมาช่วยชีวิตคน ทว่าระยะที่เขาตกลงมานั้นห่างจากฝั่งพอสมควร กว่าจะลากร่างไม่สมประกอบของตัวเองไปถึงฝั่งได้ ก็เล่นเอาเกือบลอยคอตายอยู่กลางแม่น้ำไปหลายครั้ง ทั้งแผลฉกรรจ์ครั้งเก่า ทั้งพิษไข้ครั้งใหม่ ทั้งเรี่ยวแรงมหาศาลที่ถูกฝืนใช้อย่างบ้าดีเดือด แล่นเข้ามาเล่นงานพร้อมๆ กันจนเขาแทบสิ้นสติ โชคยังดีที่ยัยแม่มดพึ่งพาได้จริงดังคาด ทันทีที่เขาเอื้อมแตะฝั่ง ก็เห็นพี่ชายคนสนิทของเธอที่ชื่อว่า ‘เว่ย’ โผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างร้องเรียกให้เขาวิ่งขึ้นรถ จากนั้นก็เหยียบคันเร่งพาเขาออกไปจากที่เกิดเหตุทันที
“กี่โมงแล้วครับเฮีย” ฟรานรับผ้าขนหนูผืนเล็กที่อีกฝ่ายโยนมาให้มาเช็ดเนื้อเช็ดตัวลวกๆ พลางเอ่ยถามออกไปอย่างร้อนรน
“ยังจะห่วงเวลาอีก ไม่ตายก็บุญแล้วมั้ย” เว่ยประชดเพื่อนน้องเขยเสียงห้วน ก่อนจะโยนโทรศัพท์มือถือให้โดยไม่หันไปมอง เพื่อให้อีกฝ่ายโทรกลับไปบอกคนทางบ้านให้หายห่วง ทว่ายังไม่ทันจะได้ทำอะไร เสียงโทรศัพท์ก็กรีดร้องขึ้นมาเสียก่อน
“เจ้าจันทร์...รับสิ” เนื่องจากอีกฝ่ายยื่นโทรศัพท์มาให้ เว่ยจึงหันหน้ามาอ่านชื่อที่ปรากฏบนโทรศัพท์ แล้วอนุญาตให้อีกฝ่ายกดรับไปเสีย เพราะคาดว่าคนปลายสายคงไม่พ้นโทรมาเพื่อถามข่าวคนรอดตายนั่นแหละ
“ครับ” ฟรานกรอกเสียงแหบพร่าลงไปในโทรศัพท์ พร้อมกับยกมือขึ้นขยี้จมูกไล่อาการแสบคัด
“ขอบคุณสวรรค์! คุณรอดแล้ว!” น้ำผึ้งพระจันทร์โพล่งออกมาอย่างโล่งออก ทำเอาฟรานแทบจะนึกภาพเธอเอามือทาบอกได้เป็นฉากๆ
“ครับ รอดแล้ว” ฟรานเอ่ยยืนยันเพียงสั้นๆ ให้อีกฝ่ายสบายใจ แต่เพียงเสี้ยววินาทีก็โพล่งความในใจออกไปจนหมดสิ้น ไม่อาจรั้งรอรักษามารยาทไว้ได้อีก
“เจอตัวรึยังครับ”
“จะโทรมาเรื่องนี้ล่ะค่ะ ยังไม่แน่ใจนะคะ แต่คงเป็นที่สุดท้ายแล้วที่ยังไม่ได้หา...” น้ำผึ้งพระจันทร์ค่อยๆ อธิบายความอย่างเป็นระบบ แต่รวบรัดอย่างที่สุดเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายก็ร้อนใจไม่ต่างกัน
“ขอบคุณครับ” หลังจากฟังหญิงสาวอธิบายความอย่างสั้นๆ ฟรานก็เอ่ยขอบคุณ ก่อนจะกดวางสายแล้วส่งโทรศัพท์ให้สารถีข้างกาย แม้ในใจจะยังสับสนกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินมาอยู่หลายส่วน แต่ก็คาดว่าคงเป็นเพราะความรีบร้อน ยัยแม่มดจึงตัดส่วนที่ไม่จำเป็นออกอย่างรู้ความ แล้วบอกเขาเฉพาะส่วนสำคัญเท่านั้น เขาจึงทำได้แค่รับฟัง และออกปากเร่งคนขับให้พาไปถึงที่หมายเร็วๆ ไม่อาจพุ่งถลาไปแย่งพวงมาลัยมาขับเองได้ เนื่องจากถนนหนทางที่เมืองไทยนี้ ต่อให้เขามาบ่อยแค่ไหนก็ยังไม่คุ้นเคยเท่าคนไทยอยู่ดี จึงทำได้แค่ยอมจำนน ไม่อย่างนั้นอาจจะหลงทางจนพาลเสียเวลาที่ไม่มีให้เสียไปอีกก็ได้
ชั่วอึดใจต่อมา ซึ่งสำหรับเขาแล้วยาวนานราวครึ่งปี...รถเก๋งสีขาวยี่ห้อธรรมดาทั่วไปจอดสนิทลงที่หน้าบ้านเรือนไทยหลังหนึ่ง ต้นชงโคออกดอกบานสะพรั่งเต็มต้นยื่นออกมาแผ่ร่มเงาถึงนอกกำแพง สีขาวบริสุทธิ์กับเกสรสีชมพูอ่อนแซมใบสีเขียวชะอุ่มนั้น ดูราวกับจิตรกรแต่งแต้มลงบนผืนผ้าใบก็ไม่ปาน กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมาตามลมด้วยกิ่งก้านอ่อนพริ้วไหวเป็นระลอก
ทั้งอ่อนหวาน...ทั้งเย้ายวน...
ร่างสูงค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาร่างบางร่างหนึ่งที่กำลังนั่งยองกอดเข่าอยู่เงาต้นไม้ใหญ่ที่ยื่นออกมา เธอคงยังอยู่ในชุดนอนกระโปรงแขนยาวสีขาวบริสุทธิ์ ผมยาวสลวยดำขลับดุจน้ำหมึกลู่ตกลงมาบดบังร่างทั้งร่างไปกว่าครึ่งราวธารน้ำตก รองเท้าผ้าหุ้มส้นสีขาวเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลนจนลามไปหลังเท้าและข้อเท้าขาวบาง ครั้นพอรู้สึกตัวว่าเขาเดินเข้าไปใกล้จึงได้เงยหน้าขึ้นมอง ดวงหน้านั้นว่างเปล่าและเศร้าหมองจนชวนสะท้อนใจ ทว่ายังคงความไร้เดียงสาอยู่หลายส่วน ดูไปแล้วคล้ายเด็กหนีออกจากบ้านแต่ไร้ที่ไปไม่มีผิด
ฟรานแทบอยากจะพุ่งเข้าไปเขย่าตัวเธอแรงๆ ให้สมกับความบ้าคลั่งที่สุมอยู่ในอกเขาเสียจริงๆ แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่ยกมือขึ้นนวดขมับตัวเอง แล้วก้มลงมองคนไม่รู้ความตรงหน้าอีกครั้ง เธอทำให้คนเขาเป็นห่วงเสียจนยอมทำเรื่องบ้าดีเดือดที่สุดในชีวิตได้อย่างไม่ต้องคิด แต่เธอกลับมานั่งกอดเข่ามองพื้นดินอยู่อย่างนี้
ช่างน่าตายนัก!!
แต่ก็นั่นแหละ...เธอไม่ได้ใช้ให้เขาห่วงสักหน่อย ซ้ำยังไล่เขาไปไกลๆ แล้วด้วย มีแต่เขาเองที่ยังดื้อด้านวิ่งพล่านไปทั่วเมืองเป็นหมาบ้าเพื่อผู้หญิงอยากตายคนนึง
เขามันบ้า! บ้าจนไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาเปรียบแล้ว!!
“รถไปไหน” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาลงมองพื้นดินเหมือนเดิม ฟรานจึงได้แต่ผ่อนลมหายใจหลับตาระบายโทสะในอก แล้วเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“น้ำมันมันหมด ฉันเลยจอดทิ้งไว้...สักที่...” เพียงน้ำพลอยเงยหน้าขึ้นตอบออกไปด้วยเสียงแผ่วปลาย ทว่าพอตอบออกไปแล้วถึงเพิ่งนึกได้ว่า ตัวเองไม่มีความจำเป็นอะไรต้องรายงานความประพฤติให้เขาทราบเลยสักนิด
บ้านคุณย่าของเธออยู่ลึกจนสุดถนน แทบจะเรียกได้ว่าเป็นดินแดนที่ตัดขาดจากสังคมเมืองโดยสิ้นเชิง เธอผิดเองที่ไม่มีสติพอจะดูน้ำมันในถัง คิดแต่ว่าจะมาหาท่านที่บ้าน พอน้ำมันหยดสุดท้ายหมดเกลี้ยง นอกจากเดินเท้าเข้ามาก็ไม่เหลือทางเลือกอื่น แต่พอมาถึงแล้วกลับไม่กล้ากดกริ่ง เพราะเริ่มหวั่นใจกับคำสาปติดตัวของตัวเอง กลัวว่าคนในบ้านจะพลอยมีอันเป็นไปเพราะตัวซวยอย่างเธออีก จึงได้แต่นั่งอยู่ที่หน้าบ้านอย่างนี้ ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะนั่งรอใคร นั่งไปเพื่ออะไร และจะนั่งไปถึงเมื่อไหร่
ฟรานรู้สึกเหมือนกับเส้นเลือดในสมองจะแตกเข้าให้จริงๆ เธอปล่อยให้คนเขาหาจนแทบพลิกแผ่นดิน แต่กระทั่งรถเจ้าตัวยังไม่รู้ว่าเอาไปวางไว้ตรงไหน ด้วยความเหลืออด ฟรานจึงก้มลงไปดึงแขนเธอขึ้นมา ขณะที่มืออีกข้างก็เตรียมจะกดกริ่งเรียกคนในบ้านมาเปิดประตู จะได้เข้าไปสะสางความกันในบ้านดีๆ ในเมื่อเธอตั้งใจจะมาถึงที่นี่ เธอย่อมไม่มีทางหนีเขาไปไหนแน่
“อย่านะ!!” เพียงน้ำพลอยเอื้อมไปคว้ามือหนาเอาไว้อย่างร้อนรน พลางร้องห้ามเสียงหลง
“ทำไม” ร่างสูงถามกลับเสียงเย็น พร้อมก้มลงมองดวงหน้าขาวละเอียดที่ยังคงก้มหน้าก้มตาอยู่เหมือนเดิม
“ฉัน...ฉันไม่เข้าไปดีกว่า...” เสียงแผ่วเบากับท่าทีขลาดกลัวของเธอทำให้ฟรานเข้าใจทุกอย่างได้ในทันที จึงไม่คิดสนเสียงทักท้วงของเธออีก เอื้อมมือไปกดกริ่งที่หน้าประตูหนักๆ สองครั้งติดกัน ทว่าประตูรั้วไม้ยังไม่ทันจะได้เปิดออก เธอก็ทำท่าจะวิ่งหนีไปเสียดื้อๆ เขาจึงต้องออกแรงดึงแขนเธอไว้ ไม่ให้เธอหนีไปไหนได้อีก
“ฉันเจ็บ!!” เพียงน้ำพลอยโอดโอยออกมาเบาๆ ทว่าในน้ำเสียงกับแววตากลับบ่งบอกได้ว่า ไฟโทสะของเจ้าตัวก็เริ่มจะปะทุขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน พร้อมกันนั้นก็สะบัดข้อมือตัวเองเร่าๆ เพื่อให้พ้นจากพันธนาการแน่นหนาที่แทบทำให้กระดูกข้อมือเธอละเอียดเป็นผงได้อยู่แล้ว
“ไม่เลวนี่ ยังเจ็บเป็นอยู่” ฟรานสวนกลับเสียงกระด้าง แต่ไม่ได้ลดแรงบีบที่ข้อมือลงแต่อย่างใด
เดิมทีเขานึกว่าเธอไม่มีหัวใจไปแล้วเสียอีก ถึงได้ไม่รู้สึกรู้สาว่าทำให้คนอื่นเขาห่วงขนาดไหน
ไม่รู้เลยสักนิด...ว่าเพื่อมาฟังเธอพูดคำว่า ‘เจ็บ’ คำนี้ เขาต้องทำอะไรลงไปบ้าง!
“อ้าวคุณน้ำพลอย มาแล้วเหรอคะ พี่อุ่นก็รออยู่เชียว” หญิงสาววัยกลางคนหน้าตาหมดจด รวบเกล้าผมยาวดำขึ้นเป็นมวยกลางศีรษะ สวมเสื้อติดกระดุมสีขาวล้วนฉลุลายดอกไม้เล็กๆ ที่ชายเสื้อพอน่ารัก ท่อนล่างนุ่งโจงกระเบนสีเขียวแก่เรียบร้อย ดูไปแล้วคล้ายคนโบราณหลงยุคมาไม่มีผิด หากแต่เพียงน้ำพลอยกลับไม่มีทีท่าตกใจกับกิริยาท่าทางหรือการแต่งตัวของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย มีแต่ชายหนุ่มสองคนที่ติดตามมาด้วยเท่านั้นที่รู้สึกตกตะลึงอยู่บ้าง
“แล้ว...พาใครมาด้วยคะเนี่ย” อุ่นเบนสายตาไปหาชายหนุ่มร่างสูงข้างกายเจ้านายสาวด้วยความสงสัย ทว่าในแววตานั้นก็ยังไม่วายเจือความเคลิบเคลิ้มหลงใหลอยู่ด้วย เนื่องจากไม่คิดว่าเจ้านายของตนจะรู้จักมักคุ้นกับคนหน้าตาหล่อเหลาได้ปานนี้ ในหัวคิดอ่านฟุ้งซ่านไปสารพัน ถึงขั้นคาดคะเนว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนแล้วด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เจ้านายเอ่ยปากอธิบายขึ้นเสียก่อน
“เพื่อน...เพื่อนเจ้าจันทร์น่ะค่ะ” หญิงสาวอธิบายออกไปคำหนึ่งก็รู้สึกว่าสถานะของตนกับเขาออกจะห่างไกลคำว่าเพื่อนพอสมควร จึงพยายามปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม ซึ่งคนข้างกายก็นับว่ารู้ความพอใช้ จบคำเธอก็ยกมือขึ้นไหว้หญิงวัยกลางคนทันที
“ไหว้พระเถอะค่ะพ่อคุณ แหม...นึกว่าดาราที่ไหน เพื่อนคุณเจ้าจันทร์นี่เอง เชิญค่ะ เข้าไปในบ้านกันก่อนนะคะ ‘คุณ’ จะได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย” อุ่นยกมือไหว้ตอบชายหนุ่มด้วยสายตาตะลึงลาน นึกลอบชื่นชมอีกฝ่ายอยู่ในใจ เพราะแค่ดูก็รู้ว่าเขาเป็นพวกต่างชาติต่างภาษา แต่กลับเรียนรู้ธรรมเนียมไทยได้ดีเสียจริง รู้จักไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่เสียด้วย ช่างน่ารักน่าชังเหลือเกิน
อุ่นผายมือเชิญอีกฝ่ายเข้าไปในบ้าน พร้อมทั้งเอ่ยเชื้อเชิญให้ ‘คุณ’ ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนของเพื่อนเจ้านายอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ด้วยเห็นว่าเขามีสภาพเหมือนผ้าขนหนูชุบหมาดก็ไม่มีผิด จากนั้นก็ออกแรงเปิดประตูบ้านให้ชายหนุ่มอีกคนเอารถเข้ามาจอดข้างในให้เรียบร้อย
ทว่าทั้งที่ได้ยินคำเชื้อเชิญของผู้ใหญ่อยู่เต็มสองหูแล้วแท้ๆ สองเท้าของเพียงน้ำพลอยกลับไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าแม้แต่ครึ่งก้าว รู้สึกราวกับร่างทั้งร่างถูกความกลัวเผาผลาญเสียจนกลวงโหวง สมองเริ่มสั่งการให้เท้าข้างหนึ่งถอยไปข้างหลัง หากเจ้าของมือหนาร้อนระอุข้างกายก็คล้ายรู้ความคิดเธอล่วงหน้า เอื้อมมือมาคว้าแขนเธอไว้อีกครั้ง จากนั้นก็ออกแรงทั้งลากทั้งจูงเธอเข้าไปในบ้าน
จนใจที่อาณาเขตกว้างขวางของบ้านไม่ได้ทำให้เพียงน้ำพลอยคว้าอิสระของตนกลับคืนมาได้แต่อย่างใด ทั้งที่ทั้งดึงทั้งสะบัดจนสุดแรงแล้วแท้ๆ แต่มือร้อนดุจเหล็กกล้านั้นก็ยังคงเกาะกุมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย จนสุดท้ายเธอจึงได้แต่ปล่อยให้เขาลากไปทั้งอย่างนั้น พยายามเบนความสนใจจากข้อมือไปที่อย่างอื่นรอบตัวจะได้ไม่เจ็บมากนัก
ดวงตากลมโตกวาดมองความร่มรื่นแสนคุ้นเคยระหว่างทางด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งขึ้น ทางเดินจากประตูรั้วไปจนถึงตัวเรือนยาวนับหลายร้อยเมตร สองข้างทางเต็มไปด้วยไม้ยืนต้น ไม้ดอก ไม้ประดับนานาพรรณ พรรณไม้สูงจากสองฝั่งโน้มกิ่งทอเข้าหากันจนดูคล้ายอุโมงค์ ช่วยให้ร่มเงาบังแดดร้อน ทั้งยังโชยกลิ่นหอมเย้ายวนผู้มาเยือนให้เดินเข้าไปข้างในราวต้องมนตร์ เมื่อใกล้ถึงตัวเรือน อุโมงค์แมกไม้ก็ค่อยๆ เปิดสูงขึ้นเรื่อยๆ จนมีหลังคาเป็นผืนฟ้าในที่สุด ปรากฏเรือนไทยยกใต้ถุนสูงหลังใหญ่ กับเรือนหลังเล็กอีกสองหลังขนาบข้างเชื่อมต่อกัน ยังไม่นับเรือนหลังเล็กๆ ที่ผุดขึ้นด้านในอีก ด้านหน้ามีตุ่มใส่น้ำวางอยู่หน้าบันไดก่อนขึ้นเรือน
กล่าวได้ว่าเป็นเรือนไทยขนานแท้ ผู้อาศัยก็อยู่อย่างชาวไทยแท้ ชุบเลี้ยงบ่าวไพร่ เช้าตักบาตรริมน้ำ ตกบ่ายสะสางงานเรือน ทำอาหารทานกันเองในครัวเรือน ปราศจากกลิ่นอายความเจริญทางวัตถุโดยสิ้นเชิง
ต้นตระกูลของคุณพ่อของเธอสืบเชื้อสายมาจากคหบดีใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ห้า บ้านหลังนี้เองก็เป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่สมัยนั้น มีการซ่อมแซมบ้างไม่ให้ชำรุดทรุดโทรม ทว่าไม่มีการทุบทิ้งทั้งหลังสร้างใหม่แต่อย่างใด และเนื่องด้วยคุณย่าเทียดของเธอเป็นพวกนิยมไทยแท้ จึงรับเอาความเจริญภายนอกมาใช้แต่เพียงเพิ่มความสะดวกเท่านั้น ทั้งท่านยังเป็นคนดุเอาการ เลี้ยงดูลูกหลานให้นิยมความเป็นไทยแท้ ไม่ปล่อยให้แตกแถวแตกกอ แต่หากจะกล่าวกันอย่างเป็นกลางแล้ว เพียงน้ำพลอยกลับเห็นว่าท่ามกลางสมัยบูชาความเจริญทางวัตถุอย่างนี้ คุณย่าท่านไม่ได้ใช้ ‘ความนิยม’ เข้าจัดการบ้านเรือนแต่อย่างใด หากแต่ใช้ความ ‘เคร่ง’ ต่างหาก ไม่อย่างนั้นทุกคนในบ้านคงไม่อยู่อย่างสมัยนั้นมาได้จนถึงทุกวันนี้
และเธอก็แน่ใจว่า ที่ที่มีคนโบราณขนานแท้ อาศัยอยู่ด้วยวิถีชีวิตของคนไทยแท้อย่างนี้ คงมีเพียงไม่กี่ที่เท่านั้น...
หรือบางที อาจจะมีแค่ที่นี่ที่เดียวก็ได้...
ตอนเด็กๆ เพียงน้ำพลอยเป็นแขกประจำของที่นี่ กระทั่งจนโตก็ยังมาพักที่นี่เดือนละครั้ง คนในครอบครัวรู้ดีว่าเธอติดคุณย่า และเป็นหลานรักเพียงคนเดียวที่คุณย่าไม่ไล่กลับหากคิดจะพักนานเกินสามวัน ด้วยเหตุนี้เธอจึงมีห้องส่วนตัวอยู่ที่นี่ด้วย มีข้าวของเครื่องใช้ครบครัน ทั้งตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง ที่นอนหมอนมุ้ง เรียกได้ว่าต่อให้มาแต่ตัวก็อยู่ที่นี่ได้เป็นเดือนๆ แต่กับใครบางคนที่ไม่มีอะไรมาสักอย่าง แต่คิดจะมาอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้านี่สิ...
หลังจากขึ้นมาถึงบนเรือน อุ่นก็ส่งตัวแขกหน้าตาหล่อเหลาให้บ่าวผู้ชายในบ้านช่วยพาไปอาบน้ำแต่งตัว ส่วนตัวเองก็เข้ามาอยู่ในห้องนอนกับเจ้านาย ครั้นพอปิดประตูห้องหับเรียบร้อย ก็นั่งพับเพียบลงกับพื้น เงยหน้าขึ้นพูดกับคนเป็นนายที่นั่งอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าเพ้อฝัน
“เพื่อนคุณเจ้าจันทร์นี่หล๊อหล่อนะคะ อย่างกับพระเอกในทีวีแน่ะ”
“อย่าตัดสินคนที่หน้าตานักสิคะ เขาอาจจะเป็นคนไม่ดีก็ได้” เพียงน้ำพลอยเอ่ยเตือนสติอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจัง เพราะรู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของคนๆ นั้นมากับตัวแล้ว ไม่อยากให้ใครต้องเพ้อฝันกับหน้ากากที่เขาสวมไว้หลอกคนอีก
ขณะเดียวกันก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า เธอไม่มานานหน่อย คนที่นี่ก็เริ่มติดโทรทัศน์กันเสียแล้วเหรอ...
“ไม่จริงหรอกค่ะ คุณเจ้าจันทร์จะคบคนไม่ดีได้ยังไง อีกอย่าง คนไม่ดีที่ไหนจะหล่อขนาดนั้นคะ คุณน้ำพลอยอย่ามาหลอกพี่อุ่นให้ยากเลยค่ะ” อุ่นยืนยันความคิดตัวเองหัวชนฝา
“แล้วคุณย่าล่ะคะ ไปกำแพงเพชรยังไม่กลับเหรอ” เพียงน้ำพลอยถามถึงคนที่ตนตั้งใจมาหาทันที เพราะจำได้ว่าท่านไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัด และจากวันเวลาก็สมควรจะกลับมาได้แล้ว แต่ขึ้นเรือนมากลับไม่เห็นท่าน ซ้ำคนมาต้อนรับก็ไม่ได้เอ่ยถึงเลยสักคำ
“กลับมาแล้วค่ะ...อีกไม่ถึงชั่วโมงคงถึงเรือน” สีหน้าลิงโลดของอีกฝ่ายสลดลงในทันที ก่อนจะเอ่ยขึ้นให้จบความ
“ท่านเป็นห่วงคุณน้ำพลอยมากนะคะ มาถึงยังไม่ทันเข้าบ้านก็ไปหาคุณน้ำพลอยที่วัดก่อน พอทราบจากคุณเจ้าจันทร์ว่าคุณน้ำพลอยมาที่นี่ ก็รีบโทรมาบอกพี่อุ่นให้เตรียมต้อนรับให้ดี ทั้งยังสั่งนักสั่งหนาให้รอพบท่านก่อน”
“ฉันจะกล้าพบท่านได้ยังไง” เพียงน้ำพลอยเอ่ยเสียงแผ่วราวกับพูดตัวเองอยู่ในห้วงภวังค์ ทว่ายังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้ตอบอะไรออกมา เสียงเคาะประตูจากด้านนอกก็ดังขึ้นเสียก่อน
ก๊อกก ก๊อกก ก๊อกก
อุ่นวิ่งไปเปิดประตูอย่างรู้งาน ครั้นพอเห็นร่างสูงใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกสลัก ในเสื้อติดกระดุมคอกลมสีขาวกับกางเกงแพรสีน้ำเงินแล้ว ดวงตาก็พลันวาววับประหนึ่งเห็นสิ่งมหัศจรรย์ก็ไม่ปาน เนื่องด้วยเครื่ององค์ทรงหน้ากับรูปร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่ม ช่างดูขัดกับเครื่องแต่งกายไทยโบราณเหลือ ทว่าพอใส่เข้าจริงๆ แล้วกลับปฏิเสธไม่ได้ว่าดูเข้าทีทีเดียว เล่นเอาอุ่นถึงกับตาพร่าไปชั่วขณะ ถึงกับเอ่ยอะไรไม่ออกราวคนเป็นใบ้ จนคนถูกจ้องต้องเอ่ยปากขึ้นเสียเอง
“ขอ คุย กับ น้ำพลอย แป๊บนึง ได้มั้ยครั้บ” ชายหนุ่มค่อยๆ เอ่ยออกมาด้วยภาษาไทยกระท่อนกระแท่นของตัวเอง ทำเอาอุ่นถึงกับยกมือสองข้างขึ้นปิดปากแทบไม่ทัน เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดภาษาไทยได้ด้วย แต่หลังจากตื่นตระหนกจนพอใจแล้ว ก็ยอมขัดคำสอนของคนเฒ่าคนแก่ในบ้าน ปล่อยให้หนุ่มสาวอยู่ด้วยกันตามลำพังในห้องหับมิดชิด ด้วยคิดว่าพวกเขาคงมีธุระสำคัญคุยกันจริงๆ
หลังจากอุ่นออกแล้วก็ปิดประตูให้เสร็จสรรพ ทำเอาเพียงน้ำพลอยยิ่งกระอักกระอ่วนยิ่งกว่าเดิม รู้สึกคล้ายกับตัวเองถูกส่งตัวเข้าหอทั้งที่เพิ่งส่งศพบิดามารดามาหมาดๆ ทว่าสายตาร้อนระอุกลับทำเหมือนมองไม่เห็นความผิดปกติบนใบหน้าเธอยังไงยังงั้น ทั้งไม่ยี่หระต่อแรงขัดขืน เดินเข้ามาลากเธอไปนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วเอื้อมไปหยิบแปรงอันหนึ่งมาสางผมให้เธออย่างเบามือ ชั่ววินาทีนั้น เพียงน้ำพลอยถึงได้รู้ตัวว่า ตัวเองคงมีสภาพทุเรศทุรังเกินจะรับจริงๆ จึงคิดเอื้อมมือไปแย่งแปรงอันนั้นมาหวีเอง ไม่นึกว่าเขาจะเอ็ดเธอเสียงดังเสียอย่างกับเธอเป็นเด็กทำแจกันแตก
“นิ่ง!!”
เพียงน้ำพลอยได้แต่ทำหน้ามุ่ยปล่อยให้เขาจัดการตัวเองไปตามใจชอบ ในใจเริ่มขบคิดถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเขาสารพัดข้อ หนึ่งในนั้นก็คือ เธอกับเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอจำได้ว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วตัวเองยังไม่ชอบขี้หน้าเขาอยู่แท้ๆ และเขาเองก็ดูกล้ำกลืนที่ต้องเจอหน้าเธอเหมือนกัน แต่ไปๆ มาๆ ทำไมเมื่อคืนเธอกับเขาถึงได้ลงเอยด้วยจูบนั้นกันได้
ใช่...เป็นไปได้ว่าเมื่อคืนเธอเสียใจจนขาดสติ ทำเรื่องไม่สมควรลงไป แต่เธอที่เป็นผู้หญิง เป็นคนเสียหาย ไม่ได้เรียกร้องการรับผิดชอบจากเขาสักคำ เขาก็สมควรจะปล่อยให้มันจบสิ้นกันไปไม่ใช่หรือไง ทำไมวันนี้เขาถึงยังมาตามหาเธอจนเจอ ทั้งยังมาปรนนิบัติพัดวีเธออย่างนี้อีก
ไม่กลัวตัวเองจะกลายเป็นศพต่อไปบ้างหรือไง...
เมื่อคิดถึงชั้นนี้ ความรู้สึกเปล่ากลวงก็โถมเข้าทำร้ายเธออีกครั้ง เธอจึงเงยขึ้นมองเงาใบหน้าหล่อเหลาบนกระจก แล้วเอ่ยไล่เขาด้วยน้ำเสียงคล้ายสั่งการคล้ายตัดรำคาญ
“ไปซะ” สิ้นคำมือหนาคู่นั้นก็หยุดชะงัก แต่เพียงชั่วเสี้ยววินาทีก็สางผมต่อไปเงียบๆ ราวกับไม่ได้ยินสิ่งใดดังขึ้นทั้งนั้น
“ไม่ได้ยินรึไง” เพียงน้ำพลอยโพล่งขึ้นเสียงดัง ก่อนจะหันมาเอาเรื่องกับเขาโทษฐานทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่ได้ แต่เขาก็คล้ายกับจงใจยั่วโมโหเธอ ไม่ตอบโต้ ไม่เปลี่ยนสีหน้า ไม่มีทีท่าใดๆ ทั้งนั้น ทำราวกับว่าเธอเป็นหุ่นไม่มีชีวิต และเขาเองก็สติดีเกินกว่าจะคุยกับหุ่น
หลังจากหวีผมให้เธอเสร็จ ร่างสูงที่ทำตัวเป็นพระอิฐพระปูนก็เดินออกจากห้องไปง่ายๆ เพียงน้ำพลอยจึงคิดว่าบางทีเขาอาจจะคร้านเถียงกับเธอแล้ว จึงได้ยอมจากไปแต่โดยดี ที่ไหนได้ เพียงไม่ถึงสามนาที ร่างสูงก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมอ่างทองเหลืองใส่น้ำใบเล็กหนึ่งใบ ใบขนาดกลางหนึ่งใบ แต่ละใบพาดผ้าขนหนูเล็กๆ สีขาวไว้ด้วยหนึ่งผืน
“จะทำอะไรของคุณ” ฟรานไม่ตอบแต่วางอ่างทองเหลืองใบใหญ่ไว้บนพื้น วางอ่างใบเล็กไว้โต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นก็ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นในอ่างใบเล็ก บิดหมาดๆ แล้วโน้มตัวลงบรรจงเช็ดรอยเปื้อนบนหน้านวลเนียนให้เธออย่างทะนุถนอม ในขณะที่เพียงน้ำพลอยนั้นพยายามดิ้นรนขัดขืนอยู่พักใหญ่ ก็ถูกยึดใบหน้าเอาไว้ไม่ให้หันหนีไปไหนอีก ท้ายที่สุดจึงยอมอยู่นิ่งๆ เพราะไม่อยากถูกบีบแก้มเป็นซาลาเปาไส้ทะลักอีก
พอเช็ดหน้าเช็ดตาจนหายมอมแมม มือหนาข้างหนึ่งก็ยกขึ้นเขี่ยลูกผมบางๆ ที่หน้าผากมนของเธอ คล้ายกำลังปลอบขวัญเด็กหลงทาง จากนั้นก็จับเท้าทั้งสองข้างของเธอลงมาวางในอ่างใบใหญ่ ทำเอาเพียงน้ำพลอยสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นว่าเขากำลังจะล้างเท้าให้เธอ ทว่าสุดท้ายก็ถูกสายตาคมๆ ตวัดเข้ามาฟาด จึงได้ยอมอยู่นิ่ง ข่มความรู้สึกตื่นตระหนกเอาไว้ในใจอย่างเสียไม่ได้
เธออดรู้สึกไม่ได้ว่าวันนี้คนร่างสูงตรงหน้าดูแปลกไปจากทุกที ปกติแล้วเขามักจะชอบเข้ามาพูดจายียวนกวนประสาท ทำทุกอย่างเพื่อยั่วโมโหเธอ กิริยาท่าทางก็ออกจะอยู่ไม่สุข ทั้งยังมีบางคราวที่เข้ามาเกาะแกะไปตามประสาคนเจ้าชู้ โดยรวมแล้วเป็นอุปนิสัยที่ชวนให้ถอนหายใจนาทีละสามครั้งทั้งนั้น ทว่าวันนี้กลับตรงข้ามกับที่เคยเป็นโดยสิ้นเชิง
ทั้งเย็นชา...สูงส่ง...ไว้ตัว...
พูดจาก็น้อยคำ...ทว่าอานุภาพในการกำราบเธอนั้น สูงเกินต้านทาน...
“เมื่อเช้านี้เป็นคุณใช่มั้ย” เพียงน้ำพลอยปล่อยให้สิ่งที่ค้างคาอยู่ในส่วนลึกสุดของใจหลุดรอดริมฝีปากออกมาโดยไม่รู้ตัว ครั้นพอได้ยินเสียงตัวเองดังขึ้นแล้ว ถึงได้รู้ว่าตัวเองช่างโง่เขลาสิ้นดี ต่อให้ใช่เขาแล้วยังไง เธอคิดจะขอบคุณเขาหรือต่อว่าเขากันที่เขาช่วยชีวิตเธอไว้อีกครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องชวนอึดอัดใจอย่างรสรอยริมฝีปากที่ติดอยู่กับเธอนี่อีก
เธอช่างไร้หัวคิดเหลือจะรับจริงๆ...
“ถ้าคุณคิดว่าผมห่วงคุณ ก็คงเป็นผม แต่ถ้าคิดว่าไม่ห่วง ก็คงไม่ใช่” ฟรานตอบเสียงเย็นชา พลางก้มหน้าก้มหน้าใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น เช็ดรอยดินบนเท้าขาวบางอย่างเบามือต่อไป เนิ่นนาน...ถึงได้ยินเสียงแผ่วๆ ของเธอเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“งั้น...คงไม่ใช่คุณ” หญิงสาวพึมพำเสียงเบา ครุ่นคิดถึงความทรงจำอันเลือนรางเมื่อเช้าอย่างถี่ถ้วน สักพักถึงได้รู้สึกถึงไอร้อนที่พวยพุ่งขึ้นมาจับสองข้างแก้ม
“ดูเหมือนรอดตายคราวนี้ คุณไม่ได้ฉลาดขึ้นเลยนะ” ดวงเนตรดุจหมาป่าหนุ่มช้อนขึ้นสบดวงตากลมโตดำขลับ เพ่งพิศถึงความวูบไหวในแววตาคู่นั้น โดยไม่ทันรู้ตัวว่าสายตาของตัวเองนั้น แปรเปลี่ยนไปหลากหลายอารมณ์เกินกว่าคนมองจะตีความหมายได้ทันแล้ว
ทั้งตัดพ้อ ห่วงหา ทะนุถนอม หวามไหว และวอนขอ...
#มาแล้วววววว
#เฮียฟรานของเรายอมเทหมดหน้าตักเพื่อน้ำพลอยจริงๆ เริ่มมีเค้าพระเอกลอยมาละ 5555 จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป อย่าลืมมาติดตามกันต่อน้าา
#ไรท์มีเรื่องจะ ประกาศ ให้ทราบกันด้วยนะ
เนื่องจากไรท์รู้สึกว่าการแบ่งอัพเปอร์เซ็นต์ที่ผ่านมาไม่สัมพันธ์กับตัวเลขเลย 555 ส่วนใหญ่แล้วหนักไปทางเนื้อหายาวกว่าเปอร์เซ็นต์ที่เขียนไว้มาก เลยอยากจะขออนุญาตเปลี่ยนเปอร์เซ็นต์ที่แบ่งให้เป็น 100% ทั้งหมด เลขChapterเลยอาจไปไกลกว่าเดิม แต่เนื้อหาคือเหมือนเดิมนะคะ ส่วนในอนาคตก็คงต้องดูกันไปตามสถานการณ์อีกทีเนอะ
#สุดท้ายย อยากจะขอเม้นท์เป็นกำลังใจให้กันสักนิดดด #อ้อนวอนด้วยใจรักและภักดี 5555 คนเขียนจะได้หายเหนื่อยเนอะ^^
#อย่าลืมเม้น+จิ้มโหวตเป็นกำลังใจให้กันด้วยน้าาา
พริมสิตางศุ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ก.ค. 2560, 03:23:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ก.ค. 2560, 03:23:41 น.
จำนวนการเข้าชม : 1115
<< Chapter 10 : เคว้ง | Chapter 12 : ฉันมักเจอคุณเวลาไม่อยากเจอใคร >> |