"หัวใจผูกรัก"
‘คุณไม่ใช่ผู้ชาย...คุณเป็นเกย์!’ ถ้อยคำที่เธอตะโกนใส่หน้าเขาด้วยความเข้าใจผิดในวันแรกที่ได้เจอกัน กลับทำให้เขา...’วสุ’ ด็อกเตอร์หนุ่มหมาดๆ เกิดสนใจในตัวเธอ...’มณีมณฑ์’ หรือ ‘มุก’ สาวน้อยนิสิตเภสัชศาสตร์ชั้นปีที่สี่ขึ้นมา จนต้องพาตัวมาอยู่ใกล้ๆ ด้วยการเข้าทางทั้งแม่และป้าของเธอ โดยอาศัยความสนิทสนมระหว่างครอบครัวที่มีเป็นทุนเดิม...แต่เมื่อแม่สาวน้อยทั้งดื้อรั้น ปากแข็ง แถมยังขยันเข้าใจเขาผิดบ่อยๆ ชายหนุ่มจะใช้ความรักผูกพันร้อยรัดหัวใจของเธอไว้ได้อย่างไร...
Tags: หัวใจผูกรัก

ตอน: ตอนที่ 4

4…

“ไง ยัยมุก เมื่อไหร่เราจะสอบเสร็จเนี่ย...พี่มากี่ทีก็เห็นนั่งอ่านแต่หนังสืออยู่นั่น”

เสียงห้าวๆ ดังมาก่อนตัว แถมคำพูดแบบนี้ ไม่มีใครหรอก...นอกจากญาติผู้พี่ของเธอเพียงคนเดียว มณีมณฑ์วางชีทเรียนลงข้างตัว พร้อมๆ กับร่างสูงของพชระก้าวพ้นกรอบประตูห้องนั่งเล่นที่เธอใช้เป็นที่สิงสถิตตั้งแต่เช้าเข้ามา ก่อนที่เสียงใสจะโต้กลับฉับไว

“อ่านหนังสือสิดี มีน้องสาวแสนขยันแบบนี้ยังจะบ่นอีก”

จบประโยคนั้น มือใหญ่ของคนที่ทิ้งตัวลงบนโซฟาข้างๆ ก็ยื่นมาขยี้กลุ่มผมนุ่มสลวยที่รวบไว้หลวมๆ เสียจนกระเจิง เรียกเสียงโวยวายจากร่างบางที่ปัดมือพี่ชายออกเป็นพัลวัน

“พี่เพชรบ้า ทำอะไรเนี่ย ผมมุกยุ่งหมดแล้ว”

...ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี ทำไมนิสัยชอบแกล้งน้องแบบนี้ถึงไม่หายไปซะทีนะ

พชระเดินทางกลับมาพักผ่อนในวันหยุดเทศกาลคริสต์มาสจนถึงปีใหม่เป็นเวลาสามสัปดาห์ หลังจากที่ไม่ได้กลับเมืองไทยเลยตลอดสามปีที่ไปเรียนต่อ ซึ่งก็ตรงกับช่วงสอบกลางภาคของคนเป็นน้องสาวพอดี ก่อนที่เธอจะได้หยุดยาวช่วงปีใหม่เช่นกัน

“ไม่เห็นเป็นไรเลย ผมเธอจะยุ่งหรือไม่ยุ่งก็ไม่เห็นต่างกันเลยนี่” อีกฝ่ายกลับตอบอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ทำเอาคนฟังแทบอยากกลายร่างเป็นนางยักษ์ขึ้นมาทันใด โดยเฉพาะกับประโยคต่อมา

“ไม่รู้ว่าพี่วสุเค้าเกิดสะดุดอะไรในตัวเธอนะเนี่ย ยัยมุก พี่มองตั้งนานยังไม่เห็นอะไรเลย”

...ทับถมกันเข้าไป สาบานนะว่าคนตรงหน้าเป็นพี่ชายเธอจริงๆ เล่นเข้าข้าง ‘พี่นอกไส้’ จนออกนอกหน้าซะขนาดนั้น หากยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้โต้ตอบ พี่ชายก็โจมตีมาอีกระลอก

“ว่าแต่ช่วงนี้พี่วสุหายหน้าหายตาไปเลยแฮะ ตั้งแต่กลับมานี่เพิ่งจะได้เจอกันครั้งสองครั้งเอง พี่เค้าได้บอกอะไรเธอบ้างหรือเปล่าล่ะ”

“ก็คงจะยุ่งอยู่ละมั้ง เห็นว่าตอนนี้บริษัทกำลังขยายงานด้วย คงต้องติดต่อธุรกิจหลายที่” มณีมณฑ์ตอบอย่างไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน เพราะตั้งแต่เริ่มสอบเธอก็ไม่ค่อยได้คุยกับเขาเท่าไหร่ จะว่าไปก็หลายวันแล้วที่วสุไม่ได้โผล่หน้ามาให้เธอเห็น...ส่งเพียงแต่เสียงมาก่อกวนอารมณ์เท่านั้น

พชระเห็นน้องสาวนิ่งไปก็อดแกล้งแหย่อีกไม่ได้ “จะยุ่งเรื่องงานแน่เร้อ หายหน้าไปแบบนี้...ไม่ใช่ว่าพี่แกหาทางปีนขึ้นจาก ‘หลุม’ ได้แล้วหรอกนะ”

ร่างบางเม้มปาก เชิดใบหน้ารูปหัวใจไปอีกทางบ่งบอกความไม่แยแส ก่อนจะโต้กลับทันควันว่า “อยากไปไหนก็ไปเลย มุกไม่สนใจหรอก”

...จะไปไหนกับใครก็ช่าง จะเป็นคนชื่อ ‘ฝน’ หรือคนอื่นเธอก็ไม่เห็นจะแคร์!!

“ให้มันจริงเถอะ ทำเป็นปากแข็งใจแข็งไม่เข้าเรื่องแบบนี้ ระวังจะมาแอบเสียดาย เอ๊ย! เสียใจทีหลัง” คนเป็นพี่ไม่วายเตือนแบบวอนกำปั้นตามเคย หญิงสาวจึงแสยะหน้าใส่ก่อนหันกลับไปสนใจชีทเรียนตามเดิม แต่ก็ทำได้ไม่นานเมื่อพชระหยิบหนังสือกับชีทเรียนที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกมาพลิกๆ ดูแล้วลงความเห็นว่า

“วิชาอะไรเนี่ย...จริยธรรมเชิงวิชาชีพ...การบริหารสำหรับเภสัชศาสตร์...เหลือแต่วิชาชิลๆ ทั้งนั้นเลยนี่หว่า ยัยมุก”

“แล้วไงอ่ะ ถึงมันจะดูไม่ยากแต่มุกก็ต้องอ่านนี่” มณีมณฑ์ทำหน้ายุ่ง แม้จะโชคดีที่วิชายากๆ กว่านี้นั้นสอบเสร็จไปหมดแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะวางใจได้

“เอาไว้เดี๋ยวค่อยกลับมาอ่านก็ทันน่า ตอนนี้ไปเที่ยวกับพี่ก่อนดีกว่า” พี่ชายทำหน้าเชิญชวนเต็มที่ หากคนเป็นน้องไม่ยอมรับมุก ซ้ำยังสวนกลับอย่างเจ็บแสบ

“อ้าว แล้วสาวๆ ของพี่เพชรไปไหนซะล่ะ ตั้งแต่กลับมาก็เห็นกริ๊งกร๊างหาคนโน้นคนนี้ไม่หยุดเลยนี่ นึกยังไงถึงมาชวนมุกได้อ่ะ”

“สาวๆ อะไร...ไม่มีเว้ย ที่โทรหาก็มีแต่เพื่อนพี่ทั้งนั้นแหละ” พชระว่า ก่อนจะปิดท้ายด้วยน้ำเสียงทวงบุญคุณ “ที่พี่ชวนก็เพราะอยากให้เราออกไปเปิดหูเปิดตาคลายเครียดหรอกนะ ยัยมุก เห็นว่าอ่านหนังสือหนักมาหลายวันก็เลยอยากให้พักผ่อนบ้าง”

หากคนฟังจะเชื่อหรือก็เปล่า หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ อย่างรู้ทัน “อยากหาเรื่องออกจากบ้านมากกว่า นี่คงนัดใครไว้แล้วกะจะเอาชื่อมุกไปอ้างกับป้าพลอยล่ะสิ พอไปถึงก็จะลอยแพมุกใช่ไหมล่ะ”

“เออ ถ้ารู้ทันแบบนี้แล้วจะไปหรือเปล่าล่ะ” พอโดนดักคอตรงๆ ชายหนุ่มก็เลยต้องยอมรับสารภาพแต่โดยดี เหล่มองน้องสาวที่ทำหน้าครุ่นคิดอย่างเริ่มรู้สึกไม่ไว้ใจขึ้นมา แต่ก็กลับลำไม่ทันแล้วเมื่อเจ้าหล่อนเอ่ยเสียงใสว่า

“ไปก็ได้ แต่มุกมีข้อตกลง”



ในที่สุดมณีมณฑ์ก็มาเดินอยู่ในห้างสรรพสินค้ากลางเมืองกับผู้เป็นพี่ชาย หลังจากยอมรับกันในข้อตกลงที่ว่าเขาต้องจ่าย ‘ค่าเสียเวลา’ ด้วยอาหารญี่ปุ่นร้านดังและไอศกรีมหนึ่งมื้อ เล่นเอาพชระบ่นอุบว่าคิดผิดจริงๆ ที่มาขอความช่วยเหลือจากน้องสาวตัวดี

และก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เพราะเมื่อมาถึงสถานที่นัดพบเข้าจริงๆ คู่นัดของเขากลับโทรมายกเลิกกะทันหัน พอมณีมณฑ์ซึ่งเดินเตร่อยู่ใกล้ๆ รู้เข้าก็ได้แต่นึกสงสารพี่ชาย ค่าที่วันนี้ทำอะไรก็ดูเหมือนจะขาดทุนไปเสียทุกเรื่อง

“เอาน่าพี่เพชร อย่าคิดมาก ถือซะว่าพาน้องมาเลี้ยงข้าวก็แล้วกันนะ” หญิงสาวปลอบ หลังจากพากันเข้ามานั่งในร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีฉากกั้นแบ่งแต่ละโต๊ะอย่างเป็นสัดส่วนได้สักพัก แต่คนเป็นพี่ก็ยังมีสีหน้าห่อเหี่ยวไม่เลิก เธอเลยต้องดำเนินการทั้งปลอบทั้งแกล้งแหย่อยู่พักใหญ่

โชคดีที่พชระไม่ใช่คนหมกมุ่นอยู่กับเรื่องผิดหวังนานๆ เมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็คืนสภาพกลับเป็นชายหนุ่มอารมณ์ดีที่ชอบแกล้งน้องเป็นกิจวัตรดังเดิม

เมื่อจบมื้ออาหาร สองพี่น้องก็ตกลงกันว่าจะไปเดินเล่นกันสักพัก ก่อนจะปิดท้ายด้วยการทานไอศกรีมแล้วค่อยกลับบ้าน แต่เพียงแค่ก้าวพ้นฉากกั้นออกมา ร่างบางที่คุยแจ้วๆ อยู่กับพี่ชายจนไม่ได้มองทางก็เกิดปะทะเข้ากับคนสองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านพอดิบพอดี

มณีมณฑ์รู้สึกว่าไหล่เธอกระแทกใส่ร่างสูงของใครคนหนึ่งเต็มแรงจนเซไปเล็กน้อย หากเขาก็ไวพอจะคว้าตัวเธอเอาไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะล้มลง สัมผัสของมือใหญ่ซึ่งประคองอยู่ที่ต้นแขนให้ความรู้สึกคุ้นเคยจนเธอต้องเงยหน้าขึ้นมอง พร้อมๆ กับที่พชระทักอย่างประหลาดใจ

“พี่วสุ! บังเอิญจริงๆ มาทำอะไรที่นี่ครับเนี่ย”

“พี่จะมาคุยเรื่องงานน่ะ ก็เลยนัดกันที่นี่เพราะว่าสะดวกดี” วสุตอบคำถามของหนุ่มรุ่นน้อง ก่อนจะแนะนำผู้หญิงที่เดินเคียงกันเข้ามาว่าเป็นลูกสาวเจ้าของบริษัทที่กำลังจะร่วมลงทุนทำธุรกิจใหม่กับบริษัทของเขา ซึ่งพชระก็ยิ้มแย้มทักทายฝ่ายนั้นอย่างคนเจนสังคมเป็นอย่างดี ขณะที่น้องสาวยิ้มแกนๆ ไปตามมารยาทเท่านั้น

หญิงสาวพยายามบิดแขนออกจากการเกาะกุมอย่างสุดความสามารถด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เจ้าตัวเองก็ไม่เข้าใจ ในหูอื้ออึงจนจับใจความอะไรไม่ได้ รู้เพียงแต่ว่าต้องการไปจากที่ตรงนี้ให้เร็วที่สุด เมื่อวสุคลายมือออกหลวมๆ แล้วก้มลงถามอย่างห่วงใยว่า

“เป็นอะไรไหมมุก เมื่อกี้ชนผมเต็มแรงเลยนี่ เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ”

เธอจึงสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมอย่างแรง ก่อนจะกระแทกเสียงใส่แล้วผลุนผลันก้าวออกไปนอกร้านว่า “ไม่เจ็บ! แล้วก็ไม่ได้เป็นอะไรด้วย ไม่ต้องมายุ่ง!”

“เดี๋ยวก่อนสิมุก” ด็อกเตอร์หนุ่มขมวดคิ้ว นึกแปลกใจกับปฏิกิริยาของหญิงสาว แต่เมื่อเห็นเจ้าหล่อนเดินลิ่วออกไปแล้วจึงหันมาค้อมศีรษะเป็นเชิงขอตัวกับคนที่ยืนอยู่ ก่อนจะรีบสาวเท้าตามร่างบางไปอย่างรวดเร็ว

“มุก จะรีบไปไหนละครับ เดินเร็วจนผมเกือบตามไม่ทันแน่ะ...แล้วทำหน้าแบบนี้ แปลว่าต้องมีอะไรแน่ๆ เลย” ชายหนุ่มมองสำรวจใบหน้ารูปหัวใจที่บึ้งตึงผิดปกติ หลังจากเดินตามมณีมณฑ์จนทันแล้วดึงเธอไว้ให้หยุดคุยกันตรงมุมใกล้ๆ ร้านหนังสือที่ค่อนข้างเงียบสงบ แต่คู่กรณีกลับไม่ยอมให้ความร่วมมือเท่าไหร่ด้วยการสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง พร้อมกับส่งเสียงแหวไม่ดังนัก

“เอ๊ะ! บอกว่าไม่มีก็ไม่สิ คุณอย่ามาทำเป็นรู้ดีได้ไหม แล้วก็ปล่อยแขนฉันซะที...ฉันจะกลับแล้ว”

แม้จะยังไม่เข้าใจว่าหญิงสาวโมโหเรื่องอะไร แต่ความที่เคยรับมือกับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของเธอมานาน ทำให้เขาเลือกที่จะเบี่ยงเบนประเด็นไปอีกทาง โดยหารู้ไม่ว่ากลับทำให้คนฟังยิ่งหงุดหงิดหนักกว่าเดิม

“จะรีบกลับทำไมละครับ อุตส่าห์ได้เจอกันทั้งที...ตั้งแต่เริ่มสอบมุกก็ไม่ยอมให้ผมเจอหน้าเลย แต่กับนายเพชรยังมากินข้าวด้วยกันได้ แบบนี้ผมชักน้อยใจแล้วนะ”

มณีมณฑ์ส่งเสียงฮึในลำคอ ก่อนเอ่ยปากประชดประชันอย่างอดไม่อยู่ว่า “จะน้อยใจทำไม ถึงไม่ได้เจอหน้ากัน ฉันก็ไม่เห็นว่าคุณจะเดือดร้อนอะไรเลยนี่ ไม่งั้นจะมาเดินควงสาวสวยอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“เมื่อกี้ผมก็บอกแล้วนี่ครับว่านัดกันมาคุยเรื่องงาน มุกก็อยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ” วสุเลิกคิ้ว ก่อนจะยิ้มพรายอย่างเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างเมื่อก้มหน้าลงมากระซิบเบาๆ ว่า “ที่พูดแบบนี้ แปลว่าหึงผมหรือเปล่ามุก”

ประโยคนั้นทำให้หญิงสาวถึงกับชะงัก ปฏิกิริยาโต้ตอบแรกสุดคือสวนกลับทันควัน “คิดไปไกลถึงดาวพลูโตโน่นแล้ว ใครบอกว่าฉันหึงคุณกัน อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย”

แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงยิ้มระรื่น ซ้ำยังทำตาวิบวับใส่อย่างไม่คิดอายคนที่เดินผ่านไปมาบ้างเลย มณีมณฑ์จึงทำอะไรไม่ได้นอกจากส่งสายตาเขียวปั้ดพร้อมกับน้ำเสียงเข่นเขี้ยวใส่

“จะยิ้มอะไรนักหนา ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้หึงคุณสักนิด ต่อให้คุณเดินมากับผู้หญิงอีกเป็นร้อยคน ฉันก็ไม่สนใจหรอก”

ได้ฟังถ้อยคำแสดงความไม่แยแส ซึ่งไปกันคนละทางกับสีหน้าตอนที่อยู่ในร้านอาหารเมื่อครู่นี้ของหญิงสาวแล้วชายหนุ่มก็นึกขันปนเอ็นดูจนอดยิ้มกว้างไม่ได้

“เข้าใจแล้วครับ แต่เพื่อความสบายใจในอนาคตของมุก ผมสัญญาเลยก็ได้ว่าจะไม่ไปเดินกับผู้หญิงที่ไหนสองต่อสองโดยไม่บอกมุกก่อน อย่างนี้ดีไหมครับ”

“ดีตรงไหนกัน! เลิกพูดไปเลยนะ ไม่อยากฟังแล้ว” ร่างบางสะบัดหน้าหนีเดินกลับไปตามทางเดิม ก่อนจะยิ่งเร่งฝีเท้าเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างรื่นรมย์ดังไล่หลังมา

...ความสบายใจในอนาคตเหรอ ใครบอกว่าเธอจะมีอนาคตร่วมกับเขากันล่ะ ไม่มีทาง!!



“มุก เสร็จหรือยังจ๊ะลูก”

เสียงของผู้เป็นมารดาที่ดังแว่วมาทำให้หญิงสาวที่กำลังตั้งอกตั้งใจกับการเกลี่ยเนื้อบลูเบอร์รี่ลงบนหน้าครีมชีสในถาดฟอยล์กลมขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อย หันไปส่งเสียงตอบรับ ก่อนจะนำฝาพลาสติกใสมาปิดทับก็เป็นอันว่าเสร็จเรียบร้อย

วันนี้คุณพลอยรุ้งและคุณไพลินนัดกันมาทำขนมสำหรับนำไปให้เพื่อนหรือผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือเป็นของขวัญอวยพรปีใหม่ อันเป็นกิจกรรมที่ทั้งคู่ทำกันมาแทบทุกปีด้วยเหตุผลที่ว่า

‘เราทำกันเองประหยัดกว่าไปซื้อเขาตั้งเยอะนะลูก ได้ทั้งความสะอาด ความอร่อย แล้วก็ความสบายใจด้วย’

‘แล้วทำไมต้องเป็นขนมชั้นด้วยละคะ’ มณีมณฑ์ตั้งคำถาม มองมารดาม้วนขนมชั้นเป็นรูปดอกกุหลาบด้วยความประณีตอย่างสนใจ

‘เพราะขนมชั้นถือเป็นขนมมงคลไงจ๊ะ คนโบราณเขาบอกว่าถ้าหยอดให้ได้เก้าชั้นก็จะยิ่งดี ยิ่งเป็นมงคลด้วยนะ มุกลองดูบ้างไหมล่ะ’ ผู้เป็นป้าตอบยิ้มๆ ปิดท้ายด้วยการเปิดโอกาสให้หลานสาวได้แสดงฝีมือการบ้านการเรือน หากคนฟังกลับส่ายหน้าหวืออย่างรวดเร็ว เรียกเสียงหัวเราะลั่นจากคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องครัว

‘ผมว่าแม่อย่าคิดให้ยัยมุกลองเลยครับ เสียดายขนมเปล่าๆ’

คุณพลอยรุ้งส่ายหน้าอย่างระอาในความปากร้ายของลูกชายคนเดียว แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปราม เสียงใสๆ ของคนที่เงยหน้ามองขวับก็ดังโต้ทันควันอย่างไม่ยอมแพ้

‘ปากเหรอนั่นน่ะ พี่เพชร ตัวเองไม่ช่วยทำแล้วก็อย่ามาป่วนคนอื่นได้ไหม’

‘พอเลยจ้ะ ทั้งคู่นั่นแหละ ทะเลาะกันไม่เบื่อบ้างหรือไงฮึ’ ผู้อาวุโสสูงสุดในที่นั้นทำท่าเหนื่อยใจ โบกมือไล่สองพี่น้องออกไปก่อนที่เกิดการปะทะคารมกันอีกรอบให้ผู้ใหญ่เวียนหัวเปล่าๆ

เมื่อถูกไล่ออกมาจากครัว มณีมณฑ์ก็รู้สึกว่างงานยังไงชอบกล เนื่องจากการสอบกลางภาคที่เธอคร่ำเคร่งหนักหนาก็ผ่านไปแล้ว หลังจากใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ร่างบางก็ตรงเข้าไปในห้องเตรียมอาหารซึ่งมีอุปกรณ์และสิ่งที่เธอต้องการครบถ้วน แล้วไม่ถึงสองชั่วโมงต่อมา บลูเบอร์รี่ชีสพายของเธอก็อยู่ในสภาพเสร็จสมบูรณ์

“แน่ใจนะว่ากินได้อ่ะ” ประโยคลอยๆ จากพี่ชาย เรียกให้หญิงสาวที่กำลังชื่นชมผลงานหันมาตอกกลับทันควัน

“ปากอย่างนี้อดกินมาหลายรายแล้วนะพี่เพชร”

“พี่ก็แค่สงสัย ว่าใครจะเป็นคนโชคร้าย เอ๊ย! โชคดีได้กินขนมฝีมือเรา เท่านั้นแหละ” พชระยังไม่เลิกยั่วโมโหคนเป็นน้อง แต่ประโยคนั้นกลับทำให้ภาพใบหน้าของใครบางคนปรากฏขึ้นในความคิดของมณีมณฑ์ พร้อมกับบทสนทนาตอนหนึ่งที่เขาเคยเอ่ยเอาไว้ว่า

‘ป้าพลอยบอกว่ามุกก็ทำขนมอร่อยนี่...บลูเบอร์รี่ชีสพายใช่ไหม วันหลังทำให้ผมทานบ้างสิ...ผมอยากทานขนมฝีมือมุกด้วย จริงๆ นะ’

หญิงสาวกำลังจะย้อนญาติผู้พี่ว่ามีคนรอทานขนมฝีมือเธออยู่แล้ว หากความเป็นจริงบางอย่างที่พุ่งเข้าชนทำให้ร่างบางถึงกับชะงักกึก...เอ๊ะ แล้วทำไมเธอถึงจำเรื่องที่เขาเคยพูดไว้ได้แม่นยำขนาดนี้ล่ะเนี่ย

“ถ้าให้พี่เดานะ คนที่ว่าคงไม่พ้นพี่วสุแหงๆ ใช่ไหมล่ะ ยัยมุก” น้ำเสียงยั่วเย้าของคนเป็นพี่ดึงมณีมณฑ์ออกมาจากความสับสนของตนเอง ตามมาด้วยการโต้ตอบกลับฉับไวตามนิสัย

“แล้วยังไงล่ะ จะเป็นใครก็เหมือนกันแหละ ได้กินขนมฝีมือมุกก็ถือว่าโชคดีแล้ว” เจ้าหล่อนว่าพลางเชิดหน้าเหมือนจะฝากบอกไปถึงคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย ทำเอาคนฟังถึงกับกลอกตาอย่างหมั่นไส้ในความ ‘มาดเยอะ’ ของน้องสาวคนเดียว ทั้งยังไม่เข้าใจจนแล้วจนรอดว่าทำไมหนุ่มรุ่นพี่ที่น่าจะวางคุณสมบัติของสาวในอุดมคติไว้เลิศเลอ ถึงมาสนใจแม่ตัวดีนี่ได้

“เอาเหอะ คงโชคดีแหละ...ถ้าพี่เขายอมกินดีๆ น่ะนะ หวังว่าคงไม่ถึงกับต้องบังคับกันก็แล้วกัน!”



เมื่อโดนพี่ชายปรามาสขนาดนั้น มณีมณฑ์จึงออกอาการกระตือรือร้นกว่าทุกครั้งเมื่อต้องติดตามคุณพลอยรุ้งไปหาเพื่อนสนิท ท่าทีของหญิงสาวเรียกรอยยิ้มตื่นเต้นแกมดีใจอย่างสมหวังขึ้นบนใบหน้าของผู้เป็นแม่และป้า จนเธอต้องรีบแก้ตัวเพราะกลัวพวกท่านจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่แทบไม่ทัน

...ก็แค่เห็นเคยบอกว่าอยากทานหรอกนะ เลยทำให้...ถือว่าเป็นของขวัญปีใหม่ แล้วก็จะได้ตอกหน้าพี่เพชรด้วยที่บังอาจมาดูถูกฝีมือเธอ...เท่านั้นเอง

แต่ดูเหมือนว่าคนรอบตัวหญิงสาว รวมไปถึงคุณวิกานดาผู้เป็นเจ้าบ้าน จะไม่ค่อยยอมเชื่อเหตุผลของเธอสักเท่าไหร่ ยิ่งเมื่อคนจุดประเด็นอย่างพชระเกิดปลีกตัวไปในนาทีสุดท้ายเนื่องจากมีนัดด่วนกะทันหัน ก็ทำให้ความมีน้ำหนักของคำพูดเธอลดลงอย่างเห็นได้ชัด

“วสุอยู่ที่ตึกเล็กของเขานั่นแหละจ้ะ เดี๋ยวป้าเรียกเด็กให้พาหนูมุกไปนะ เอาไปให้พี่เขาเองเลยน่าจะดีกว่า” คุณวิกานดายิ้มอ่อนหวานตามแบบฉบับเมื่อเสนอทางเลือกแบบไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ปฏิเสธ มณีมณฑ์จึงทำได้แค่เพียงยิ้มรับ พร้อมกับเข้าใจขึ้นมาเป็นครั้งแรกว่าวสุถอดแบบมาจากใคร

...พูดจานิ่มๆ แต่ปิดทางเลือกคนอื่นเอาไว้หมด...หลอกล่อชาวบ้านเก่งเหมือนกันทั้งแม่ทั้งลูก!!

เด็กรับใช้ถูกเรียกตัวมานำทางหญิงสาวไปยังตึกหลังเล็กที่สร้างไว้เพื่อความเป็นส่วนตัวสำหรับลูกชายคนเดียวของบ้านนี้โดยเฉพาะ เมื่อเป็นที่รู้กันดีว่าวสุนั้นค่อนข้างรักความสงบ ในขณะที่ผู้เป็นมารดาเป็นสตรีนักสงคมสงเคราะห์ที่มีชื่อเสียง จึงย่อมมีการสมาคมกับเพื่อนฝูงอยู่บ่อยครั้ง และถึงแม้ว่าจะเคยติดตามคุณพลอยรุ้งมาที่บ้านนี้หลายหน แต่เธอก็ไม่เคยได้เหยียบย่างไปถึงพื้นที่ส่วนตัวของวสุมาก่อน

ระหว่างเดินลัดเลาะผ่านสวนซึ่งตกแต่งอย่างสวยงามไปตามทางเดินปูหิน มณีมณฑ์ใช้เวลานั้นคิดหาคำพูดที่จะไม่ทำให้อีกฝ่ายคิดเข้าข้างตัวเองไปไกลในการที่เธอทำขนมมาให้แบบนี้ แต่ก็พบว่าคงทำได้ยาก เพราะดูเหมือนชายหนุ่มจะมีความสามารถในการแปลสารขั้นเทพ หรือไม่ก็มีความหลงตัวเองอยู่ในระดับสูงมากๆ...ขนาดเธอไม่ได้ทำอะไร เขายังตีความให้เข้าข้างตัวเองได้เลย

“คุณวสุคงกำลังมีแขกน่ะค่ะ”

เสียงเด็กรับใช้เอ่ยเบาๆ ทำให้ดวงตากลมโตพลอยเหลือบแลไปทางรถสปอร์ตรูปทรงปราดเปรียวที่จอดต่อท้ายพาหนะประจำตัวของวสุ เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีถนนเชื่อมมาจากทางเข้าคฤหาสน์ด้านหน้าเพื่อความสะดวกในการเข้าออกของผู้เป็นเจ้าของตึก และสำหรับคนที่คุ้นเคยก็คงสามารถมาหาเขาได้โดยไม่ต้องผ่านทางตึกใหญ่ คุณวิกานดาจึงได้อนุญาตให้เธอมาเพราะไม่ทราบว่าบุตรชายกำลังมีแขก

“ถ้าอย่างนั้นฉันยังไม่เข้าไปดีกว่า” หญิงสาวตัดสินใจจะเดินเล่นรออยู่แถวนี้ก่อน เนื่องจากคนที่นำทางมาก็บอกไม่ได้ว่าเธอจะต้องรออีกนานแค่ไหน มณีมณฑ์จึงให้ฝ่ายนั้นกลับไปทำงานของตัวเองต่อโดยไม่ต้องอยู่รอเป็นเพื่อนเธอ

เมื่ออยู่ตามลำพัง ร่างบางก็เริ่มสำรวจรอบบริเวณที่เต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้หลากหลายชนิดซึ่งล้วนแล้วแต่ได้รับการดูแลอย่างดี บ่งบอกว่าเจ้าของสถานที่มีความใส่ใจมากเพียงใด ทำให้เธอเพลิดเพลินจนเผลอเดินลึกเข้าไปเกือบถึงตัวตึก แต่ก่อนจะถอยออกมา...ความเคลื่อนไหวบางอย่างที่มองเห็นผ่านกระจกบานสูงกรุเต็มพื้นที่ผนังด้านนั้นก็ตรึงให้มณีมณฑ์ชะงักค้างอยู่ตรงนั้นเอง

...กับภาพที่วสุเดินอ้อมโซฟาไปสวมกอดหญิงสาวร่างโปร่งบางที่เห็นแค่เพียงใบหน้าด้านข้างก็บอกได้ถึงความสวยโดดเด่น กิริยานั้นเป็นไปด้วยความสนิทสนมและเป็นธรรมชาติ จนคนมองไม่อาจคิดเป็นอื่นไปได้

มณีมณฑ์หมุนตัวกลับในนาทีนั้นด้วยไม่สามารถทนมองภาพตรงหน้าได้อีกต่อไป รู้สึกอึดอัดราวกับอวัยวะในช่องอกถูกบีบจนเหลือเล็กนิดเดียว ทั้งที่ไม่ได้ยินคำสนทนาใดๆ แต่ชื่อของผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยได้ยินผ่านหูกลับลอยเข้ามาในความคิดทันทีอย่างไม่ต้องเสียเวลานึกเลยด้วยซ้ำ

...ฝน...คงเป็นเธอคนนี้เอง น้ำเสียงอ่อนโยนของวสุในวันนั้นกับท่าทีใกล้ชิดสนิทสนมในวันนี้ทำให้หญิงสาวมั่นใจ ยิ่งเมื่อความทรงจำของเธอย้อนไกลไปถึงช่วงเวลาที่เธอยังเข้าใจว่าเขาแอบคิดมิดีมิร้ายกับพชระ พี่ชายเธอเคยพูดไว้ว่าเขามีคนที่ชอบอยู่แล้ว ก็คงจะหมายถึงผู้หญิงคนเดียวกัน

...แน่อยู่แล้วสิ จะเป็นใครไปได้อีก ในเมื่อตลอดมาเขาก็ไม่เคยบอกว่า ‘ชอบ’ เธอสักครั้ง มีแต่ตัวเธอกับคนรอบข้างเท่านั้นที่เข้าใจผิดกันไปเอง...บ้าจริงๆ ยัยมุกเอ๊ย

ถาดขนมที่บรรจงทำในมือกลายเป็นสิ่งเกะกะสายตา และเธอก็ไม่ลังเลที่จะโยนมันทิ้งลงในถังขยะที่ใกล้ที่สุดอย่างไม่เห็นความสำคัญอีกต่อไป

...พอกันที ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาก็เป็นแค่ความเข้าใจผิดเท่านั้นเอง

+++++++++++++++++

หายไปจากห้องนี้นานมากๆ ไม่รู้ว่าจะยังมีใครจำพี่วสุกับน้องมุกได้อยู่บ้างนะคะ ^^"
ตั้งใจว่าหลังจากลงเรื่องนี้จบในตอนหน้า ก็จะเข็นเรื่องใหม่มาลงต่อเลย ฝากติดตามด้วยนะคะ :D



เมษาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ก.ค. 2560, 22:23:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.ค. 2560, 22:23:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 799





<< ตอนที่ 3   ตอนที่ 5 (จบ) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account