ปิ่นใจกะรัตพลอย (ชุด ลูกไม้ลายหงส์)
แม้จะต้องปะทะลมฝนรุนแรงขนาดไหน เธอก็ยังนับเป็นหงส์เหินที่งามสง่า แต่ใครจะคิดว่าสักวันนึง...ลมปากคนจะหักปีกหงส์ได้จริงๆ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: Chapter 12 : ฉันมักเจอคุณเวลาไม่อยากเจอใคร



'ยังไม่เคยเอ่ยรักเลยสักคำ เพราะรักเธอมากล้ำเกินคำไข...'
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์(2546)
เขียนใน "ให้เธอทั้งหมดเท่าที่มี"


ด้วยสายตาลุ่มลึกสีเขม่าควันคู่นั้น เพียงน้ำพลอยรู้สึกคล้ายกับตัวเองถูกดูดเข้าไปในหลุมดำขนาดใหญ่ กระทั่งถอนสายตาตัวเองกลับมาก็ยังเป็นเรื่องยากเกินจะคิดอ่าน สองข้างแก้มเย็นเฉียบสลับกับร้อนรุ่มราวจับไข้ แม้แต่ห่วงไข้ตัวเองหรือสรรหาอะไรไปตอบเขาสักคำ ก็ยังไม่รู้ว่าควรทำสิ่งไหนก่อนเป็นอันดับแรก


“ทำไม” ริมฝีปากบางเอ่ยออกไปอย่างยากเย็น ด้วยคิดว่าบางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่ควรถาม



“แล้วคุณคิดว่าทำไมล่ะ” ครั้นถูกถามพร้อมกับจ้องกลับอย่างไม่วางตา เพียงน้ำพลอยก็แทบสะอึกไปชั่วขณะ แล้วรีบเค้นสมองสับสนวุ่นวายของตัวเองหาความเป็นไปได้มากที่สุดมาตอบเขา



“ถ้าคุณคิดจะสอนหลักธรรมปรัชญาชีวิตอะไรให้ฉัน...”



“ผมไม่ได้คิดจะสอนอะไรคุณทั้งนั้น คุณอยากทำอะไรก็ตามใจ” ฟรานไม่เปิดโอกาสให้เธอพูดจบก็ตัดบทขึ้นทันที นัยน์ตาคู่นั้นแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่แยแสเรื่องราวใดๆ ของเธอทั้งสิ้นจริงๆ ก่อนจะเอ่ยเสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มในลำคอ



“ถ้าไม่คิดถึงใจคน...” ดวงเนตรลึกล้ำหลบสายตาไปทางอื่นๆ ไม่ปล่อยให้คนร่างบางได้ทันเห็นความผิดปกติของแววตาที่เปลี่ยนไปเพียงชั่วเสี้ยววินาที จากนั้นก็รีบยกอ่างน้ำทองเหลืองสองใบออกจากห้องไป



เขาหลบสายตาเธอ...เธอรู้ดี...ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่แน่ใจนักว่า แววตาเรียบเย็นปราศจากความรู้สึกใดๆ ของเขายังคงอยู่เหมือนเดิมรึเปล่า หรือเลือนหายไปพร้อมกับน้ำเสียงตัดพ้อเมื่อครู่เสียแล้ว



แต่เพราะไม่อยากพูดอะไรไม่คิดออกไปอีกเธอจึงไม่ได้เอ่ยรั้งเขาไว้ บวกกับเริ่มรู้สึกว่าตัวเองชักจะมีคำถามเกี่ยวกับตัวเขามากขึ้นทุกทีแล้ว หากเธอสนองความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองด้วยการเอ่ยถามข้อข้องใจไปข้อหนึ่ง เกรงว่าข้อที่สองถึงข้อที่พันที่หมื่นจะตามมาอย่างห้ามไม่อยู่แน่



หากเขาไม่ยอมตอบเธอคงจมอยู่กับความสงสัยยิ่งขึ้นกว่าเดิม แต่หากเขาตอบเธอก็คงไม่พ้นตกอยู่ในสถานะคนสนิทของเขาอย่างเสียไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ถามคงดีกว่า



ตัวอัปมงคลอย่างเธอ...ไม่ได้อยู่สถานะที่ควรสนิทสนมกับใครนักหรอก...



เพียงไม่ถึงอึดใจ ร่างสูงโปร่งในเสื้อคอกลมสีขาวกางเกงแพรสีน้ำเงินก็เปิดประตูเข้ามาในห้องอีกครั้ง ทำเอาเพียงน้ำพลอยที่สติไม่อยู่กับตัวนักสะดุ้งโหยงขึ้นเล็กน้อย ครั้นพอหันไปสบดวงตาดำสนิทคู่นั้นสองข้างแก้มก็พลันร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับว่าหากสรรพางค์ใดของร่างกายขยับเขยื้อนแม้สักนิด มันก็จะถูกลนไฟจนหลอมละลายด้วยสายตาคู่นั้นของเขาตามไปด้วย



ปรนนิบัติเธอก็ทำไปแล้ว...สั่งสอนเธอเขาก็บอกว่าไม่คิดทำ...



แล้วยังจะเข้ามาในห้องเธอทำไมอีก...เขากับเธอไม่ใช่ว่าหมดเรื่องพูดกันแล้วหรอกเหรอ...



ยังไม่ทันที่ความสงสัยจะได้ทำงานเต็มที่ คนร่างสูงก็หันกลับไปปิดประตูไม้สองบ้านเข้าหากันมิดชิด จากนั้นก็ก้าวยาวๆ เข้ามาคว้าต้นแขนเธอลากไปยังเตียงนอนไม้สี่เสาซึ่งอยู่ห่างไปเพียงหนึ่งก้าว แล้วกดร่างเธอให้ราบลงกับเตียงทันที



สมองอันเชื่องช้าของเพียงน้ำพลอยขาวโพลนขึ้นมาชั่วขณะ หัวใจเต้นระส่ำจนคล้ายว่าจะทะลักออกมาทางปากเสียให้ได้ ถ้อยคำห้ามปรามสารพันในหัวจึงได้แต่ติดค้างอยู่เพียงริมฝีปาก เรียวแขนนวลเนียนที่ถูกสัมผัสร้อนระอุราวกับถูกเหล็กกล้าลนจนแทบละลาย ทำเอาพวงแก้มสีกุหลาบเรื่อสีชาดขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ดวงตากลมโตคู่นั้นก็เบิกโพลงด้วยความตื่นตระหนกราวลูกกวางน้อยเสียขวัญ



เธอไม่รู้จะนิยามว่าเขากำลังฉวยโอกาส หรือตัวเธอเองกำลังเปิดโอกาสให้เขาทำเรื่องไม่ดีไม่งามกันแน่ ตัวเองเป็นผู้หญิงยิงเรือแต่กลับเปิดโอกาสให้เขาเข้ามาถูกเนื้อต้องตัวถึงในห้องนอน แม้จะได้ชื่อว่าไล่เขาไปแล้ว แต่การกระทำกลับไม่มีท่าทีปัดป้องแต่อย่างใด



เขาคงไม่หลงเข้าใจผิด คิดว่าเธอกำลังเชิญชวนเขาอยู่หรอกนะ...



ทันใดนั้นเอง เสียงทุ้มนุ่มในลำคอของเขาเมื่ออึดใจก่อนที่เธอเพียรปฏิเสธไม่รับรู้ก็ดังก้องขึ้นในหัวเธออีกครั้ง ราวกับต้องการอธิบายสัมผัสร้อนระอุในครั้งนี้ของเขา



‘ถ้าไม่คิดถึงใจคน...’



ใจคนที่ว่านั้น...เขาคงไม่ได้หมายถึงใจตัวเองกระมัง...



เธอไม่อยากรับรู้ พอๆ กับที่ไม่อาจรับสัมผัสจากเขา จึงคิดจะสะบัดฝ่ามือหนาอุ่นจัดของเขาไปให้พ้นจากตัวเพื่อแสดงเจตนารมณ์อันชัดเจนของตัวเอง ทว่าชั่วขณะนั้นเอง มือหนาคู่นั้นกลับละจากต้นแขนเธอลงไปหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างเธอจนมิดชิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเธอนิ่งๆ ราวกับกำลังอ้อนวอนโดยปราศจากคำเอื้อนเอ่ย



มือหนาอุ่นซ่านเอื้อมขึ้นมาสัมผัสลูกผมจางๆ บนหน้าผากของเธอ ก่อนจะไล่เรื่อยลงมาจนถึงไรผมข้างพวงแก้มนวลเนียน แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือร้อนขยี้เบาๆ อย่างอ่อนโยน



สายตาคู่นั้นทั้งร้อนแรง ทั้งเจ็บปวดเจียนมอดไหม้ ทำเอาเพียงน้ำพลอยยิ่งสับสนขึ้นกว่าเดิม ด้วยไม่รู้ว่าตัวเองไปทำให้เจ็บปวดถึงเพียงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ครั้นจะเอ่ยปากถามก็พบว่าตัวเองกลัวความเงียบงันของเขา ไม่น้อยไปกว่าความในใจอันดังก้องของเขาเลย จึงคิดว่าควรไล่เขาออกไปเสียตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า



“คุณออกไปก่อนเถอะ” เพียงน้ำพลอยกลั้นใจเอ่ยออกไปทั้งที่ใจยังเต้นระส่ำ ทว่าแทนที่จะได้เห็นปฏิกิริยาสักนิดของเขา เปลือกตาหนาก็ปิดลงบดบังนัยน์ตาร้อนระอุเสียก่อน และเพียงเสี้ยววินาที ร่างสูงใหญ่ทั้งร่างก็โถมลงมาทับตัวเธอจนหนักอึ้ง ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ศีรษะหนักๆ ของเขายังตกลงมายังซอกคอเธอพอดิบพอดีอีกด้วย



“นี่คุณ!!! จะทำอะไร...” เพียงน้ำพลอยร้องลั่นเสียงหลงด้วยความตกใจ ผ่านไปสองสามวินาทีถึงเริ่มคิดได้ว่าในบ้านนี้ยังมีคนอื่นอยู่อีกและบ้านไม้ก็ผนังบางเกินกว่าจะเก็บเสียงได้ จึงรีบหรี่เสียงลงจนไม่ต่างจากเสียงตวาดทั้งที่ยังกระซิบ



“คุณ!!!!” เมื่อเห็นว่าเขายังแข็งทื่อเป็นท่อนซุง เพียงน้ำพลอยจึงเริ่มไม่เรียกเปล่า แต่ออกแรงทั้งผลักทั้งตีทั้งยกเขาออกจากตัวไปพร้อมกันด้วย ทว่าจนใจที่เขาตัวหนักกว่าเธอมากจริงๆ ยิ่งพยายามก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองพยายามเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุงยังไงยังงั้น



“ตัวหนักจะตาย! ลุกเดี๋ยวนี้นะ!!”



ร่างสูงใหญ่ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยจนเพียงน้ำพลอยเริ่มกลัวว่าเขาจะไม่หายใจเสียแล้ว ทว่าลมหายใจร้อนระอุที่เป่ารดต้นคอของเธอก็เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเขายังอยู่ดีเพียงแต่หมดสติไปเท่านั้น



เมื่อเธอทบทวนดูสักพัก ก็เห็นว่าอาการของเขาออกจะน่าเป็นห่วงกว่าอาการอายแทบแทรกแผ่นดินหนีของเธออยู่ จึงคิดว่าควรร้องเรียกคนอื่นเข้ามาช่วยยกเขาออกไปดีกว่า



หากพอเสียงเธอดังได้เพียงครึ่งพยางค์ เสียงทุ้มแหบพร่าจากริมฝีปากที่แทบจะแนบติดกับซอกคอของเธอก็ดังขึ้นเบาๆ ที่ข้างหู



“คุณพลอย...” ภาษาไทยสองพยางค์นั้น แม้จะฟังดูกระท่อนกระแท่นแต่กลับหวานหูเหลือเกิน... ชวนให้คนจิตใจแห้งผากอย่างเพียงน้ำพลอยสั่นไหวจนไม่กล้าแม้แต่จะขานรับ ราวกับต้องมนตร์เสียงทุ้มทรงเสน่ห์ของเขาจนใจทั้งดวงกวัดแกว่งอยู่กลางอากาศ



“ผมเวียนหัว ขออยู่แบบนี้สักพักได้มั้ย...” เธอไม่อยากจะคิดเอาเองว่าเขากำลังออดอ้อนตัวเองอยู่ แต่น้ำเสียงแบบนั้นก็ช่างชวนให้คนคิดไปไกลเหลือเกิน ซ้ำคำว่า ‘คุณพลอย’ คำนั้นก็ยังดังก้องอยู่ในหูเธอไม่ยอมไปไหน ราวกับต้องการบีบคั้นให้เธอตอบรับคำขอของเจ้าตัวไม่มีผิด



“วะ...เวียนหัวก็ไปนอนพักสิ” เพียงน้ำพลอยตอบตะกุกตะกัก ก่อนจะรู้สึกว่าที่ตัวเองพูดอาจยังไม่ค่อยชัดเจนนัก ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจถือว่าการนอนอยู่บนตัวเธอเป็นการนอนพักประเภทหนึ่งก็ได้



“ฉันจะไปหายาให้ คุณกินซะจะได้นอนพัก” เธอขยายความ



“...”



“นี่!!!” คนไม่สบายไม่ตอบเอง แต่ปล่อยให้ไอร้อนจากทั้งจมูกและริมฝีปากได้รูปเป่ารดลำคอเธอต่อไปตอบแทน เธอจึงยกมือขึ้นสัมผัสลำแขนหนาเขาเบาๆ ก่อนจะรีบยกขึ้นอังหน้าผากเขาด้วยความตกใจ ด้วยพบว่าทั้งเนื้อทั้งตัวเขาร้อนเป็นไฟจริงๆ จะเวียนหัวอย่างที่เขาว่าก็คงไม่แปลก



“คุณมีไข้นี่”



“ก็คงอย่างนั้น” เสียงทุ้มตอบงึมงำอยู่ในลำคอหากก็พอจะทำให้คนฟังจับใจความได้



“ก็ลุกสิ จะได้กินข้าวกินยาแล้วก็นอนพัก” เธอแย้งขึ้นอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับไม่ได้ฝืนออกแรงผลักไสเขาอีก



“...” คนมีไข้ยังคงไร้การตอบสนองอย่างเคยเมื่อได้ยินว่าเธอต้องการให้เขาลุกออกไป เธอจึงอนุมานเอาเองว่าเขาไม่คิดจะฟังในสิ่งไม่อยากฟัง ถึงได้ตอบทุกคำถาม ยกเว้นคำถามที่ว่าเมื่อไหร่จะลุกออกไปจากร่างเธอสักที



“ไม่สบายแล้วยังไปตากฝนอีก” เธอทวนความจำเมื่อแรกเห็นเขาวันนี้ แล้วเอ่ยออกไปเบาๆ



“ฝนไม่ตกสักหน่อย” เสียงทุ้มแหบพร่าเอ่ยตอบ



“ก็...ฉันเห็นคุณเปียก” เมื่อคิดตามเพียงน้ำพลอยก็นึกได้ว่าวันนี้ฝนไม่ได้ตกจริงๆ อย่างที่เขาว่า แต่สุดท้ายก็คิดหาสาเหตุที่คนๆ คนหนึ่งจะเปียกทั้งตัวขนาดนั้นไม่ออกอยู่ดี



“ผมไปเล่นหมาน้อยตกน้ำมา...” เพียงน้ำพลอยรู้สึกคล้ายได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนคำตอบพิสดารของเขา



“เขามีแต่สาวน้อยตกน้ำหรอก หมาน้อยตกน้ำมีที่ไหน” เธอพึมพำตอบพลางนิ่วหน้าด้วยความงุนงง



“ผมถึงได้โดนหลอกไง” ในน้ำเสียงทุ้มหวานนั้นเธอสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มเฝื่อนๆ ของเขา จึงเดาเอาว่าบนใบหน้าหล่อเหลาที่ซบอยู่กับซอกคอของเธอตอนนี้คงมีสีหน้าแววตาทำนองนั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงไม่เข้าใจความหมายของเขาอยู่ดี



ดูเหมือนเขาจะเห็นเธอเป็นมนุษย์สมองทึบจริงๆ ถึงได้ขยันทำให้เธอสับสน เอ่ยถึงแต่เรื่องที่เธอไม่เข้าใจอยู่ร่ำไป...



“นอนอยู่อย่างนี้ก็ไม่หายหรอก ฉันไปหายาให้คุณดีกว่า” เธอว่าพลางพยายามยันตัวลุกขึ้น



ยิ่งพูดเธอก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอ้อนวอนเด็กดื้อให้ว่าง่าย แต่หากจะปล่อยให้เขาซบอยู่อย่างนี้ ถูกลมหายใจร้อนลนจนเหลวเป็นขี้ผึ้งลนไฟอยู่อย่างนี้ เธอคงไม่พ้นได้เลอะเลือนก่อนเขาฟื้นไข้แน่



“อยู่กับผมก่อน...อย่าเพิ่งไป...” เสียงหวานหูดังขึ้นอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ยังมีสัมผัสอุ่นๆ จากมือทั้งสองข้างประกบแน่นเข้าที่เอวของเธอด้วย แม้จะกั้นไว้ด้วยผ้าห่มหนาอีกชั้น เธอกลับยังรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องอยู่ดี



“นี่คุณ!! มาจับเอวฉันไว้ทำไมเล่า!!” เพียงน้ำพลอยเริ่มดิ้นรนไปมาเมื่อหวนระลึกได้ว่าเพื่อจะได้แกล้งเธอแล้ว เขาเคยมารยาสาไถยถึงขนาดไหน ไม่แน่ว่าตอนนี้เธออาจกำลังถูกคนหน้าไม่อายฉวยโอกาสอยู่ก็ได้



“ผมกลัวคุณไป...” สิ้นเสียงแหบพร่าของเขา คนใต้ร่างก็ยิ่งแข็งทื่อขึ้นกว่าเดิม ความคิดสารพัดอย่างเมื่อครู่คล้ายกับสลายกลายเป็นผุยผงไปในคราวเดียว ฟางเส้นบางๆ ที่ผูกใจทั้งดวงเอาไว้ราวกับถูกตัดฉับ ทำให้ใจดวงน้อยพลันร่วงลงจากที่สูงในทันที



ฟรานได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่นอยู่ในใจ เพราะรู้ดีว่าเธอไม่มีวันเข้าใจหรอกว่า ในคำไม่กี่คำนั้นซ่อนความหมายไว้มากมายเพียงใด...



หาใช่เธอคนเดียวที่เสียใจจนต้องการปลอบขวัญ...เขาเองก็ต้องการการปลอบโยนจากเธอเหมือนกัน...



ในขณะเดียวกันนั้น เพียงน้ำพลอยก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย ด้วยรู้สึกว่าสภาพการณ์ตอนนี้ล่อแหลมเหลือเกิน จะอย่างไรเสียเธอก็เป็นผู้หญิง เขาก็เป็นผู้ชาย หากให้ใครมาเห็นเข้าในตอนนี้ เธอกับเขาคง...



ฉับพลันทันใดนั้นเอง...



ผลั่กกก!!!



เสียงเปิดประตูเข้ามาจากด้านนอกโดยไม่มีสุ่มมีเสียงนำมาล่วงหน้า ทำเอาเพียงน้ำพลอยตกใจจนสะดุ้งโหยงไปทั้งร่าง ทว่าก็จนใจที่คนเหนือร่างเธอไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจตามเธอสักนิด เพียงยันตัวขึ้นเล็กน้อยแล้วเบือนหน้าไปมองผู้มาใหม่ทั้งสามชีวิตอย่างไร้อารมณ์เท่านั้น



สถานการณ์แบบนี้อธิบายอะไรไปใครเขาจะเชื่อ!



“ห้ะ...” น้ำผึ้งพระจันทร์ตกใจสุดขีด เบิกตากลมโตสีม่วงเข้มจนแทบถลนออกจากเบ้า ยังดีที่เก็บกลั้นเสียงสะท้านเฮือกไว้ในลำคอได้ครึ่งหนึ่ง เหลือเปล่งออกมาเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ในขณะที่ทิพย์น้ำปรุงที่ยืนอยู่ข้างกันนั้นกำลังเปล่งเสียงกรีดร้องออกมาในวินาทีข้างหน้านี้แล้ว



“อ๊ะ...!!!!” น้ำผึ้งพระจันทร์ปิดปากเพื่อนรักไว้ได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนจะรับหันกลับไปเพื่อมองภาพน่าตื่นตะลึงเบื้องหน้าอีกครั้ง ทว่าก็เหมือนกรรมวิ่งตามมาจนทัน สามีร่างสูงของเธอดันยกมือมาปิดตาเธอไว้แล้วลากแขนเธอออกไปเสียก่อน เธอจึงจำต้องลากคอเสื้อเพื่อนเสียงสิบแปดหลอดตามมาด้วย



เมื่อเห็นว่าผู้ช่วยเหลือกลุ่มเดียวกำลังจะหันหลังจากไป เพียงน้ำพลอยจึงรีบตะโกนรั้งเอาไว้ให้มาช่วยยกร่างหนักๆ ของเขาออกไปจากร่าง



“นี่!! จะไปไหนล่ะ มาช่วยกันก่อน!!!”



“ระ…เรื่องอย่างนี้ฉันช่วยไม่ได้หรอก พวกแก…ชะ…ช่วยกันเองเถอะ” น้ำผึ้งพระจันทร์เสียงตะกุกตะกักตอบทั้งที่ยังถูกปิดตาอยู่



“จะบ้ารึไง!! มันไม่ใช่อย่างนั้นคุณฟรานเขาไม่สบาย” เพียงน้ำพลอยถอนหายใจไล่ความอึดอัดครั้งหนึ่งแล้วรีบอธิบายเสียงดังฟังชัด แม้จะรู้ดีว่ามันไม่น่าเชื่อแค่ไหนก็ตาม



“...” น้ำผึ้งพระจันทร์ลังเลอยู่ชั่วอึดใจ ไม่กล้าก้าวไปข้าวหน้า ไม่กล้าถอยกลัง ทั้งยังไม่กล้าปล่อยคอเสื้อทิพย์น้ำปรุงไปไหนด้วย จนกระทั่งสามีเปิดตาให้มองภาพเบื้องหน้าอีกครั้งถึงได้เห็นว่าร่างสูงบนตัวเพื่อนแน่นิ่งสนิทไปแล้ว ที่บอกว่าเขาไม่สบายจนลุกไม่ขึ้นนั้นเห็นจะไม่ได้โกหกจริงๆ



“จริงๆ!! มาช่วยยกหน่อยเร็ว!!!!” เพียงน้ำพลอยร้องเร่งพลางพยายามออกแรงยกวัตถุหนักเกินมนุษย์นี้ออกจากร่างอีกครั้ง จนผู้มาใหม่ยอมทิ้งความกระอักกระอ่วนแล้วรีบเข้ามาช่วยยกร่างหนักร้อนเป็นไฟของเขาอีกแรง



ดวงตาสีเขม่าควันคู่นั้นปรือจนใกล้จะปิดลงเต็มที ลมหายใจร้อนระอุแผ่ลามออกมาถึงเธอที่ลุกขึ้นแล้วถอยออกมาไกลหลายก้าว แม้แต่ริมฝีปากบางที่เคยเกือบแนบชิดติดกับลำคอเธอเมื่อครู่ก็ยังซีดเซียวจวนจะเป็นสีเขียวคล้ำ เรี่ยวแรงที่เคยมหาศาลก็ดูจะหายไปกว่าครึ่ง สติเหลือติดร่างแค่เพียงสะลึมสะลือ กระทั่งถูกเหวินหยางหลงหิ้วปีกออกจากห้องไปอย่างทุลักทุเลก็ยังดูไม่รู้สึกตัวดีนัก



หลังจากประคองคนไข้ขึ้นจนหมดสภาพออกจากห้องมา สองสามีภรรยาก็ตกลงกันเพียงสองสามคำ สุดท้ายได้ความว่าเหวินหยางหลงจะพาเพื่อนตัวเองกลับบ้านไปก่อน ส่วนน้ำผึ้งพระจันทร์กับทิพย์น้ำปรุงยังคงอยู่เป็นเพื่อนเธอต่อ โดยเขาจะทิ้งรถหนึ่งคันไว้ให้ภรรยา เธอจึงขอบคุณเขาสั้นๆ ขณะที่ใจเริ่มวกกลับมากังวลถึงสาเหตุที่เพื่อนเธอปรากฏตัวขึ้นที่นี่ตอนนี้



คุณย่าของเธอคงมาถึงแล้ว...



ใจทั้งดวงที่เพิ่งกลับมาเต้นเมื่อครู่ ราวกับหยุดเต้นลงชั่วขณะ เปิดช่องว่างให้ความเจ็บปวดแสนสาหัสถาโถมเข้ามาเล่นงานอีกครั้ง



“แล้วคุณย่าล่ะ” เพียงน้ำพลอยเอ่ยถามเสียงสั่น



“กำลังตามขึ้นมาน่ะ ท่านกลัวว่าแกจะหนีไปซะก่อน ก็เลยให้พวกฉันรีบวิ่งขึ้นมา” สิ้นเสียงบอกกล่าวของเพื่อน เพียงน้ำพลอยถึงได้รู้สึกตัวว่าเท้าข้างหนึ่งของเธอกำลังก้าวไปข้างหลังจริงๆ



ท่านช่างเข้าใจเธอไปเสียทุกอย่าง...กระทั่งเธอคิดจะหลีกหนีไปให้ไกลก็ยังไม่อาจปิดบังท่านได้...



แต่เธอยอมให้ท่านเป็นอะไรไปเพราะเธออีกคนได้ยังไงกัน



เธอเหลือท่านเพียงคนเดียวแล้ว...เพียงคนเดียวเท่านั้น...



ชั่วขณะนั้นเอง เพียงน้ำพลอยรู้สึกได้ถึงฝีเท้าหนักๆ ทว่าเชื่องช้าฝีเท้าหนึ่งจากพื้นเรือนไม้ที่ตนเหยียบยืนอยู่ เท้าบางจึงค่อยๆ ถอยหลังตามสัญชาตญาณขลาดกลัว ทว่ามือเล็กทรงพลังของน้ำผึ้งพระจันทร์ก็ยังว่องไวกว่าเธออยู่หนึ่งก้าวเสมอ กว่าเธอจะเธอยื้อแย่งมือตัวเองกลับมาได้ ร่างแก่หง่อมของผู้เป็นย่าก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าแล้ว



หญิงชราวัย 87 ปี ผมสั้นสีดอกเลา หลังโก่งโค้งงอ เปลือกตาเหี่ยวย่นจนบดบังนัยน์ตาสีหม่นไปกว่าครึ่ง สวมเสื้อผ้าไหมแต่งลูกไม้สีดำกับผ้าถุงสีเดียวกัน ค่อยๆ ย่างเข้ามาหาหลานสาวร่างบางช้าๆ บนใบหน้าเปื้อนริ้วรอยนั้นเปียกชื้นด้วยน้ำตาร้อนๆ ที่จนป่านนี้ก็ยังไหลไม่หยุด



“คุณย่า…” เสียงสั่นเครือแผ่วเบาหลุดออกจากริมฝีปากบางอย่างไม่รู้ตัว ครั้นพอสิ้นเสียงนั้น น้ำตาซึ่งเดิมทีคิดว่าไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ก็ไหลจะทะลักออกมาอย่างสุดจะควบคุม



พอเห็นใบหน้าที่เคยอ่อนโยนเศร้าหมองจับใจ เธอถึงได้รู้ว่าความเสียใจปางตายก่อนหน้านี้หาใช่ความเสียใจจนถึงที่สุด



ที่แท้...คนเราเสียใจได้ถึงเพียงนี้...



“แม่พลอย…มาหาย่าสิลูก” ท่านอยู่ห่างเธอไปแค่ไม่กี่ก้าว...แค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น แต่เธอกลับรู้สึกว่ามันช่างห่างไกลเกินกว่าใจบอบช้ำของตัวเองจะพาไปถึง



“ย่าแก่แล้ว วิ่งตามเจ้าไม่ไหวหรอกนะ” ผู้เป็นย่าเอ่ยเรียกหลานรักด้วยเสียงสั่นเครืออีกครั้ง เหมือนเช่นคราวที่หลานยังเล็กวิ่งร้องเรียกย่าไปทั่วเรือน



แม้ว่าตอนนี้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปแล้ว... แต่สำหรับ ‘คุณหญิงพุดกรอง’ หลานรักของเธอหาได้เปลี่ยนไปเป็นอื่น ยังคงเป็นแก้วตาดวงใจตัวน้อยของเธอเสมอ



“ฮึกๆ…” หญิงสาวไม่อาจตัดใจถอยหลังไปได้อีก ทว่าก็ไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าอีกเช่นกัน จึงได้แต่ยืนตัวสั่นเทากลั้นเสียงสะอื้นอยู่อย่างนั้น



“ไม่ใช่แค่เจ้าหรอกนะที่เสียพ่อเสียแม่ ย่าเองก็เสียลูกเสียสะใภ้เหมือนกัน เหลือก็แต่เจ้าคนเดียว ยังจะไม่ดูดำดูดีย่าอีกงั้นรึ”



“คุณย่า…” สิ้นเสียงของผู้เป็นย่า ปราการด่านสุดท้ายที่เหนี่ยวรั้งหญิงสาวไว้ก็พังครืนลงในคราวเดียว รีบถลาเข้าหาอ้อมอกอุ่นที่อยู่ห่างไปเพียงเอื้อมมือทันที



“ไม่เป็นไรลูก ร้องออกมาเสียให้หมด อย่าเก็บอย่ากลั้นมันไว้อีกเลย” คุณหญิงพุดกรองใช้มือสั่นเทาลูบหลังไล่สะอื้นให้หลานสาวทั้งที่ตัวเองก็สะอื้นฮั่กไม่ต่างกัน



“ฮึกๆ น้ำพลอย…ฮึก...น้ำพลอยทำให้คุณพ่อ…ทำให้คุณพ่อคุณแม่ตายค่ะคุณย่า น้ำพลอยฆ่า…ฆ่าคุณพ่อกับคุณแม่เอง น้ำพลอยทำเองค่ะคุณย่า” เธอสะอื้นไห้ปลดปล่อยความในใจออกมาด้วยสุดจะเก็บกลั้น



“มันเป็นอุบัติเหตุ” ผู้เป็นย่าข่มเสียงสะอื้นเอ่ยกับหลานอย่างเยือกเย็น



“แต่ทุกคนเป็นเหมือนกันหมด ทุกคนซวย…ซวยเพราะน้ำพลอยจริงๆ น้ำพลอยเป็น…เป็นตัวซวยค่ะคุณย่า”



“ย่ารู้ว่าเจ้าเสียใจ ย่าเองเสียใจ ไม่คิดเลยว่าวันนึงหัวหงอกจะต้องมาส่งหัวดำ แต่ถึงจะเสียใจแค่ไหน เราก็ต้องมาดูกันที่เหตุผล ไม่ใช่เอาความเสียใจเข้าว่า สรุปเหมารวมไปหมดว่าทุกอย่างเป็นเพราะตัวเอง”



“คนพวกนั้นก็เหมือนกัน ไม่รู้อะไรเป็นอะไร โยนให้หลานฉันหมด อย่างนี้คนบนโลกตายกี่คนต่อกี่คนตายก็เป็นความผิดหลานฉันด้วยรึไง” คุณหญิงพุดกรองสอนหลานสาวเสียงสั่นเครือ ก่อนจะบริภาษไปถึงสังคมจอมปลอมนั่น ที่ทำร้ายหลานรักของเธอสาหัสนัก



“แต่น้ำพลอยกลัว…กลัวจะเสียคุณย่าไปอีกคน”



“ย่าอยู่มาจนป่านนี้ กลัวตายจนเลิกกลัวไปนานแล้ว ถึงตายวันพรุ่ง วันนี้ก็ควรได้อยู่กับหลาน” คุณหญิงพุดกรองเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว



ชั่ววินาทีจะมีอะไรเลวร้ายยิ่งกว่าเสียคนที่รักไปอีก...ความตายที่ว่าน่ากลัวนั้น ยังไม่ทรมานเท่าเห็นคนที่รักตายไปต่อหน้าต่อตาเลยสักนิด...



“ไม่นะคะคุณย่า น้ำพลอย…น้ำพลอยไม่ให้คุณย่าเป็นอะไรเด็ดขาด” เพียงน้ำพลอยสะอื้นจนตัวโยนพลางส่ายหน้าปฏิเสธ



“เจ้าก็เลยจะทิ้งย่า ทิ้งทุกคน เพราะกลัวว่าเขาจะมีเคราะห์มีภัยอย่างนั้นรึ แล้วที่ไหนกันล่ะที่มันไม่มีคนน่ะ หรือเจ้าจะหนีไปอยู่ในป่าลึก ป่าลึกที่ว่านั่นก็ยังมีสิงสาราสัตว์ มีต้นไม้ต้นหญ้า เกิดไปแล้วต้นไม้ตาย เจ้าก็จะหนีไปที่อื่นอีกเพราะไม่อยากให้ต้นไม้ตายอย่างนั้นรึ”



“...” เมื่อจนด้วยเหตุผล เธอจึงได้แต่ปล่อยให้เสียงสะอื้นบอกเล่าความในใจ ไม่กล้าแย้งออกไปแม้แต่ครึ่งคำ



“แล้วย่าที่อยู่ทางนี้ เกิดตรอมใจคิดถึงเจ้าจนตายขึ้นมา ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยมางานศพย่าด้วยความดีใจ ว่าตัวเองไม่ได้ฆ่าย่างั้นรึแม่พลอย นี่น่ะรึการแก้ปัญหาของเจ้าน่ะ” คุณหญิงพุดกรองสอนหลานระคนตัดพ้ออย่างน้อยอกน้อยใจ



เพียงแค่ได้ยินว่าเสียลูกชายลูกสะใภ้ไปในคราวเดียว เธอก็เสียใจจนล้มหมอนนอนเสื่อ กว่าจะกลับมาดูศพลูกได้ก็ล่วงเลยไปสี่ห้าวันแล้ว พอมาถึงหลานรักก็ยังจะมาทิ้งไปอีก เธอแก่หง่อมปานนี้แล้วยังจะมีจิตใจให้เสียสักแค่ไหนกัน



“น้ำพลอยขอโทษค่ะคุณย่า น้ำพลอยผิดไปแล้วค่ะ น้ำพลอยแค่กลัว…กลัวว่าจะทำให้คุณย่าเป็นอะไรไปอีกคน…” ยิ่งคิดเพียงน้ำพลอยก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองช่างเห็นแก่ตัวเหลือแสน แต่ก็เพราะห่วงท่านนักหนาเธอถึงได้คิดทำอะไรโง่ๆ ลงไป กระทั่งตอนนี้เอง เธอก็ยังไม่อาจลบความกลัวและรู้สึกผิดบาปในใจไปได้แม้แต่เศษเสี้ยว หากเธอรั้งอยู่ที่นี่แล้วท่านเป็นอะไรไปอีกคน...เศษซากสิ่งมีชีวิตอย่างเธอจะยังหายใจต่อไปอยู่ได้ยังไง



“เรื่องพรรค์นั้นเจ้าก็เชื่อด้วยรึ ย่าไม่เชื่อด้วยคนหรอก เหลวไหลทั้งเพ คนๆ นึงจะไปมีอิทธิพลขนาดนั้นได้ยังไง หาเรื่องใส่ร้ายหลานฉันล่ะไม่ว่า” คุณหญิงพุดกรองเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระโดยสิ้นเชิง



เธอไม่เชื่อ และยิ่งไม่วันเชื่อด้วย...หลานเธอจะเป็นตัวอัปมงคลไปได้อย่างไร



หรือต่อให้เป็นอย่างนั้น ที่อยู่ในอ้อมอกนี่ก็ยังเป็นหลานรักของเธออยู่วันยังค่ำ จะให้เธอผลักไสเพราะรักตัวกลัวตายได้ยังไง



“ต่อไปก็อยู่กับย่าเสียที่นี่ หลานย่า ย่าเลี้ยงเองได้” คุณหญิงพุดกรองพูดพลางกระชับอ้อมกอดอุ่นให้แน่นขึ้น ขณะที่หลานสาวก็บดเบียดเข้าหาไออุ่นที่แสนโหยหาเช่นกัน



“เจ้าไปล้างหน้าล้างตา อาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่นะลูก เราจะได้ไปวัดกัน ไปอยู่เป็นเพื่อนพ่อกับแม่เขานะลูกนะ”



“แต่ว่า…” เมื่อได้ยินว่าผู้เป็นย่าจะพาไปยังที่ที่ตัวเองถูกขับไล่ไสส่งออกมา เพียงน้ำพลอยก็จนด้วยคำพูดไปชั่วขณะ แม้จะอยากไปที่นั่นแค่ไหน ก็กลัวว่าตัวเองจะเป็นเหตุให้ใครต่อใครไม่กล้ามางานอีก



“แม่เปี๊ยกเขาเล่าให้ฟังแล้ว แม่เพชรก็เหลือเกิน แต่เจ้าก็อย่าได้ถือสาหาความพี่เขาเลยนะลูก คนเราอารามเสียใจอะไรก็พูดได้ทั้งนั้น อย่าเก็บมาเป็นจริงเป็นจังนักเลย ส่วนเรื่องแขกที่มางาน เราบังคับใจใครเขาไม่ได้ เขาไม่อยากมาก็ช่างเขา ถ้าต้องหายหน้าหายตาเพื่อให้คนไม่จริงใจมากราบศพพ่อแม่เจ้า เจ้าคิดว่ามันคุ้มกันรึ เจ้ายังจะได้อยู่กับพ่อกับแม่เจ้าอีกกี่วันกันเชียวแม่พลอย” คุณหญิงพุดกรองเอ่ยถึงเพื่อนรักของหลานสาว ซึ่งตนเรียกขานจนติดปากว่า ‘แม่เปี๊ยก’



หากฝ่ายนั้นไม่เล่าให้ฟัง เธอก็คงไม่รู้เลยว่าใจคนนั้นโหดร้ายได้ปานไหน คนรู้จักมักคุ้นกันมาเป็นนานก็ยังเชื่อข่าวลือลมๆ แล้งๆ กระทั่งคนตายก็ยังไม่มาเผาผีกัน ซ้ำร้ายกว่านั้นก็คือพี่น้องท้องเดียวกันก็ยังเป็นไปกับเขาด้วย ขับไล่ไสส่งน้องในไส้ได้ลงคอ



“เจ้าคิดว่าพ่อแม่เจ้า อยากเห็นหน้าคนอื่นมากกว่าลูกตัวเองงั้นรึ” เธอเอ่ยสอนพร้อมกับลูบหลังไล่สะอื้นให้หลานอีกครั้ง



เพียงน้ำพลอยปลดปล่อยเสียงสะอื้นไห้ในอกออกมาจนหมด รู้สึกคล้ายกับเรี่ยวแรงอันน้อยนิดลดลงไปกว่าครึ่ง สมองก็พาลหนักอึ้งจนไม่อยากคิดอะไรอีก จึงปล่อยให้ตัวเองนอนหนุนตักผู้เป็นย่าเหมือนเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก รับไออุ่นพร้อมคำสอนของท่านไปพลาง โอบกอดท่านไปพลาง ขอบตาที่แสบร้อนจึงค่อยทุเลาลงเพราะไม่มีน้ำตาไหลลงมากัดผิวเนื้ออ่อนๆ อีก



เนิ่นนาน...ดอกสเลเตใต้ถุนเรือนยังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ทว่าอบอวลอยู่ไม่จาง ราวกำลังโอบกอดปลอบขวัญคนเศร้าหมอง เพียงน้ำพลอยหลับตาซึมซับความเบาสบายอันน้อยนิดนี้ให้กำซาบลงกลางใจ ละลายความเจ็บปวดจากบาดแผลฉกรรจ์ในอกให้ค่อยๆ จางลง







เพียงไม่กี่อึดใจต่อมา เพียงน้ำพลอย คุณหญิงพุดกรอง ทิพย์น้ำปรุง น้ำผึ้งพระจันทร์ และอุ่นที่ตามมาปรนนิบัติผู้เป็นนาย ก็มาถึงวัดชื่อดังใจกลางเมือง ที่ซึ่งจัดงานศพ ‘คุณตฤณ’ และ ‘คุณหญิงแก้วกาญจน์’ ผู้เป็นภริยา



แขกเหรื่อในงานยังคงบางตาอยู่เช่นเคย หากก็ยังมากกว่าวันที่เพียงน้ำพลอยนั่งเฝ้าอยู่ที่นี่พอสมควร เธอจึงอดหวั่นใจไม่ได้ ทว่าเธอเองก็ได้รับปากกับคุณย่าไว้แล้วว่าจะไม่หนีไปไหนทั้งนั้น อีกทั้งใจจริงตอนนี้เธอก็ไม่อยากไปไหนแล้วด้วย อยากใช้เวลาช่วงเวลาสุดท้ายนี้กับพ่อแม่ให้คุ้มค่าที่สุด หากมันจะต้องหมายถึงการไล่แขกออกจากงานล่ะก็ เธอก็คงต้องยอมให้คนพวกนั้นจากไปอย่างเสียไม่ได้จริงๆ



ลุงประวิทย์เข้ามาทักทายเธอกับคุณย่าอย่างนอบน้อม ก่อนจะหายไปหาเบาะนุ่มๆ มารองรับผู้สูงวัย เธอกับคุณย่าไม่อยากไปนั่งบนเก้าอี้ของเจ้าภาพให้มากความ จึงตัดสินใจนั่งกันอยู่หน้าโลงศพด้วยกันตามประสาย่าหลาน คุยไปคุยมาสักพัก คนเป็นย่าก็หลั่งน้ำตาออกมาอีกระลอก เธอจึงเข้าไปกอดปลอบโยนท่าน



ในชั่ววินาทีนั้น เธอถึงได้รู้ตัวว่าความเยือกเย็นอันเป็นวิสัยของตนได้หวนคืนมาบางส่วนแล้ว อย่างน้อยก็ทำหน้าที่เป็นผู้ปลอบประโลมคนอื่นได้พอใช้



นั่งอยู่จนเย็น เพียงน้ำพลอยถึงได้ลุกไปจัดการข้าวปลาอาหาร พวงหรีด เงินช่วยงาน และของชำร่วยให้แขกเหรื่อตามหน้าที่ของเจ้าภาพ ซึ่งปล่อยให้เพื่อนรักสองคนที่ไม่ได้เกี่ยวพันกันทางสายเลือดรับหน้าที่แทนอยู่เป็นนานแล้ว ทำไปได้สักพักก็ถูกรบเร้าให้ทานอะไรรองท้องสักหน่อย เธอจึงฝืนใจกลืนลงท้องไปสองสามคำ จากนั้นก็ลุกไปเข้าครัวไปจัดอีกสำรับหนึ่งไปให้คุณย่าที่ยังนั่งอยู่ในศาลา



ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะได้วางสำรับอาหารลงให้ผู้เป็นย่า ดวงตากลมโตดุจไข่มุกดำก็สบเข้ากับดวงตาแข็งกร้าวคู่หนึ่งในศาลา เมื่อตั้งสติดูให้ชัดถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นดุจน้ำเพชรพี่สาวของเธอนั่นเอง



อีกฝ่ายหันมาประจันหน้ากับเธอตรงๆ กวาดมองเธอตั้งหัวจรดเท้า ก่อนจะดึงสายตาขึ้นมายังใบหน้าเธออีกครั้ง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา



“ฉันมีเรื่องจะบอกแกพอดี”



“คะ...” เพียงน้ำพลอยขานรับคำถามเสียงแผ่ว



“วันมะรืนฉันจะให้คุณลุงทนายเปิดพินัยกรรม เก้าโมงที่ห้องประชุมลับชั้นใต้ดินบริษัท อย่าสายล่ะ” ดุจน้ำเพชรประกาศกร้าวอย่างรวบรัดตัดความ



“แต่ว่างานศพคุณอาทั้งสองยังไม่เรียบร้อยเลยนะคะพี่เพชร” ทิพย์น้ำปรุงที่เดินตามหลังเพื่อนมาพร้อมกับน้ำผึ้งพระจันทร์ข่มใจเอ่ยแย้งขึ้นอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งที่ในใจเริ่มเดือดปุดๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว



ศพคนตายก็ยังไม่ทันเย็น...ศพคนเป็นก็กำลังจะตามมา...



ยังจะมีแก่ใจมาเปิดพินัยกรรมแบ่งสมบัติอีก! ใจคอทำด้วยอะไรกัน!



“เรื่องบางอย่างมันรอไม่ได้หรอกนะ” ดุจน้ำเพชรตอบอย่างเปิดเผย ทว่าในแววน้ำตากลับแฝงไว้ด้วยความนัยอีกอย่าง ขอเพียงใครสักคนเงยหน้าขึ้นสบตา ก็อ่านได้ไม่ยากว่า ‘เรื่องบางอย่าง’ ที่ว่านั้นหมายถึงอะไร



“พวกเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวของแก ฉันให้คนเก็บมาให้หมดแล้ว กระทั่งรูปทุกใบก็ยังเก็บใส่กระเป๋ามาให้ด้วย ไม่ต้องกลัวว่าจะขาดอะไรไป”



เพียงน้ำพลอยไม่ตอบโต้ เพียงแต่ถอนหายใจแล้วเบือนหน้าหนีความน่าสมเพชเวทนาของตัวเองไปทางอื่น



ในที่สุด เธอก็ถูกไล่ออกจากบ้านอย่างสมบูรณ์แบบเสียที...



“มันจะไม่มากไปหน่อยรึแม่เพชร น้องหล่อนทั้งคน หล่อนจะไม่ดูดำดูดีเชียวรึ” คุณหญิงพุดกรองเอ่ยปรามหลานคนโตขึ้นอย่างสุดทน



“เพชรเห็นแก่ตัวไม่ได้หรอกค่ะคุณย่า เกิดคนในบ้านเป็นอะไรขึ้นมาอีก เพชรคงรับผิดชอบไม่ไหว” ดุจน้ำเพชรแย้งขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่แยแส ทำราวกับไม่เห็นว่าผู้เป็นย่ากำลังส่ายหน้าระอาต่อพฤติกรรมของตนอยู่



“เพชรลานะคะ สวัสดีค่ะ” หญิงสาวหันไปยกมือไหว้ญาติผู้ใหญ่พอเป็นพิธี ไม่ทันรอให้อีกฝ่ายรับไหว้ก็หันหลังเดินออกจากศาลาไปทันที



“เกินไปมั้ยเนี่ย ทำขนาดนี้ไม่โยนกันออกไปซะเลยล่ะ” ทิพย์น้ำปรุงที่ไม่อาจเก็บความในใจไว้ได้โพล่งขึ้นเสียงดัง แต่ก่อนจะได้เอ่ยอะไรออกมาอีก ก็ถูกน้ำผึ้งพระจันทร์ดึงแขนเป็นสัญญาณให้ยั้งปากไว้เสียก่อน



“เขาคงอยากตัดหางปล่อยวัดฉันน่ะ” เพียงน้ำพลอยหันมาเอ่ยกับเพื่อนเรียบๆ



“แต่ก็ไม่เห็นต้องเปิดพินัยกรรมอะไรกันตอนนี้เลยนี่” น้ำผึ้งพระจันทร์ว่าขึ้นบ้าง ด้วยเห็นว่าฝ่ายนั้นออกจะไร้กาลเทศะจริงๆ



“ยังไงเขาเป็นลูกคนโตนี่นา เขามีสิทธิ์มากกว่าอยู่แล้ว” สิ้นเสียงเอ่ยเรียบๆ กับรอยยิ้มขมเฝื่อนของเพื่อน น้ำผึ้งพระจันทร์กับทิพย์น้ำปรุงถึงได้เข้าใจว่า ‘เรื่องบางอย่าง’ ของดุจน้ำเพชรที่ว่านั้นหมายถึงอะไร



ที่แท้เจ้าตัวก็มั่นใจเต็มที่ว่าตัวเองมีสิทธิ์ในมรดกมากกว่าน้องสาว จึงคิดจะใช้สิทธิ์นี้ตัดเพียงน้ำพลอยที่เปรียบเสมือนเนื้อร้ายทิ้งเสีย



คิดแล้วน้ำผึ้งพระจันทร์ก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอให้กับความเลือดเย็นของคนผู้นั้น...คนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเพียงน้ำพลอย...







หลายชั่วโมงต่อมา คฤหาสน์ตระกูลเฉียน



เหวินหยางหลงนั่งอ่านรายงานการประชุมอยู่ในห้องรับรองแขกคฤหาสน์ตระกูลเฉียน ที่ซึ่งเพื่อนรักได้จับจองเป็นที่พักชั่วคราว สลับกับเหลือบมองไปยังร่างสูงบนเตียง ที่ยังมีผ้าขนหนูชุบหมาดวางอยู่บนหน้าผาก แม้จะจำได้ว่าตัวเองอยู่ในสภาพก้มๆ เงยๆ นี้มาร่วมหลายชั่วโมงแล้วก็ตามที



“อือ...” เสียงครางทุ้มต่ำในลำคอของคนป่วยเรียกให้หยางหลงเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มรู้สึกตัวแล้วจึงได้วางแท็บเล็ตเครื่องบางในมือลง แล้วขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้ๆ เตียงเพื่อดูอาการคนป่วย



“ฟื้นแล้วเหรอแก” หยางหลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดจะประชดประชันเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเอื้อมไปอังหน้าผากเพื่อนด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าความร้อนลดลงบ้างแล้วจึงหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กติดมือกลับมาวางผาดบนขอบอ่างเล็กๆ บนโต๊ะข้างเตียง



“กี่โมงแล้วว่ะ” เสียงแหบพร่าเอ่ยถามขึ้นทั้งที่ยังไม่ลืมตาดี



“ทำไม ติดละครรึไง” หยางหลงยียวนเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงประชดประชันยิ่งกว่าเดิม เมื่อหวนคิดไปถึงว่าอีกฝ่ายทำอะไรลงไปบ้างเมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้านี้



“อย่ามากวนตีนได้มั้ยวะ ฉันถามว่ากี่โมง” ฟรานกัดฟันยันตัวลุกขึ้น ก่อนจะใช้มือนวดคลึงขมับไล่อาการปวดหนึบที่ศีรษะ



ตอนนี้เขาสติสะตังไม่สมประกอบ ไม่มีเวลามากลั่นกรองคำพูดว่าชนิดไหนดีชนิดไหนหยาบคายทั้งนั้น เพื่อนตัวแสบนี่ยังจะมีหน้ามายียวนกวนประสาทกันอีก



“เออ! ฉันมันกวนตีนไง ฉันที่ทำทุกอย่างเพื่อให้แกอยู่อย่างคนตายมา 20 ปี ฉันคนนี้มันกวนตีน!!” หยางหลงโวยขึ้นอย่างเหลืออด



“ฉันก็งัดป้ายทะเบียนออกมาให้แล้วไง” ฟรานตอบเสียงสะลึมสะลือ



“อ๋อนี่ฉันต้องขอบคุณแกสินะ ขอบคุณคร้าบ ขอบคุณครับคุณฟราน!” มาเฟียหนุ่มเดือดจนแทบอยากจะกระโจนเข้าไปบีบคอเพื่อนให้มันตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด



เขากับพ่อเฝ้าทำทุกอย่างมา 20 กว่าปีเพื่อให้เพื่อนคนนี้ได้ชื่อว่าหายไปจากโลกโดยสมบูรณ์ ทั้งเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามมาร้อยกว่าชื่อ ย้ายที่อยู่จนแทบจำไม่ได้ว่าเคยไปไหนมา และไม่รู้จะไปที่ไหนต่อ ปลอมแปลงทั้งบัตรประชาชน หนังสือเดินทาง สมุดบัญชี สูติบัตร ไม่ว่าอะไรก็ล้วนทำมาหมดแล้ว แต่เพื่อนคนนี้ก็ช่างไม่เห็นใจกันบ้างเลย ทำเรื่องสะเทือนขวัญขนาดนั้นกลางถนนตอนกลางวันแสกๆ ไม่รู้ว่ามันกลัวว่าพวกไล่ล่าจะหาตัวไม่เจอ หรือคิดว่าเขามีร้อยมือพันมือมาปิดผืนฟ้าได้กันแน่



“เอารถมาได้รึยัง” ฟรานถามพลางสะบัดหน้าไปมาไล่อาการมึนศีรษะ



“ยังมีหน้ามาถามอีก ก็ต้องรอให้ตำรวจเอาขึ้นมาก่อนมั้ย แล้วค่อยไปเอาออกมา” หยางหลงตอบอย่างหัวเสีย



รถคันนั้นเป็นรถบ้านพ่อตาเขา ต่อให้ดึงป้ายทะเบียนมาได้ ก็ช่วยได้แค่ยืดกระบวนการสอบสวนเท่านั้น แต่ถึงยังไงตำรวจก็ต้องสืบสาวจากรุ่นรถ สีรถ การนำเข้า สุดท้ายก็คงวนมาจนถึงพ่อตาเขาอยู่ดี พอเรื่องมาถึงพ่อตาเขาแน่นอนว่าในชั้นต่อไป มันย่อมตามมาถึงภรรยาเขา และตัวเขาในที่สุด



ถึงตอนนั้นเขาก็จะกลายเป็นเครื่องชี้พิกัดของฟราน



ขอเพียงตามกลิ่นมังกรมุกมา ไม่ช้าก็เร็ว พวก ‘หมาป่าสีน้ำเงิน’ ต้องเจอตัวฟรานแน่



“ปิดไม่มิดแล้วล่ะตอนนี้ มันตามฉันมาจากที่วัดได้ แสดงว่ารู้ว่าฉันอยู่ที่ไหนและไปที่วัดทำไม” ฟรานตอบคล้ายกับรู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว



“มันก็ต้องรู้มั้ยล่ะ!” สิ้นเสียงประชดประชันของเพื่อน ฟรานก็ได้แต่เบือนหน้าหนีแก้เก้อ เพราะรู้ดีว่าคราวนี้ตัวเองก่อเรื่องใหญ่เข้าจริงๆ



หยางหลงต้องลงทุนไปตั้งไม่รู้เท่าไหร่เพื่อตามล้างตามเช็ดตัวตนของเขา เขารู้ดีว่าเรื่องนี้ตัวเองติดค้างเพื่อนอย่างมหาศาล และเดิมทีเขาก็ควรจะย้ายตัวเองไปอยู่ที่อื่นตั้งแต่ถูกตามล่าครั้งสุดแล้ว



เขาอยู่ที่ไหนนานนักไม่ได้...โดยเฉพาะที่นี่...



เรื่องนั้นเขาเองก็รู้ดี...



ยิ่งตอนนี้พวกมันรู้ที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งของเขาแล้ว และไม่แน่ว่าอาจรู้ถึงความเกี่ยวข้องระหว่างเขากับมังกรมุกแล้วด้วย เขายิ่งควรต้องหนีไปให้ไกล ก่อนจะถูกบีบจนทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่านี้



ที่ผ่านมาเขารู้และเข้าใจมันดี ถึงได้อยู่รอดมาได้จนถึงวันนี้



แต่จะให้เขาทำยังไง ในเมื่อคราวนี้...เขาไม่อยากไป...



ไม่อยากไปไหนแล้วจริงๆ...



“ไอ้ฟราน ฉันเตือนนี่ก็เพราะหวังดีนะเว้ย...แกอยู่ที่นี่นานไปแล้วว่ะ” หยางหลงหลับตากลั้นใจเอ่ยเตือนเพื่อนเป็นครั้งสุดท้าย แม้จะรู้ด้วยสัญชาตญาณอยู่แล้วว่าการตัดสินใจของเพื่อนรักในตอนนี้ไม่ได้ชอบด้วยเหตุผลอีกต่อไปแล้ว



เขาไม่เคยรักตัวกลัวตายเลยสักนิด เขากับฟรานผ่านอะไรด้วยกันมามากมายจนตายแทนกันได้อย่างไม่ต้องสงสัย หากแต่คราวนี้มันไม่ใช่เรื่องตัวตายตัวแทน แต่เป็นอะไรที่ซับซ้อนกว่านั้นมาก หากเขาเกี่ยวข้องกับฟรานโดยเปิดเผย กระทั่งที่พึ่งสุดท้ายของฟรานอย่างมังกรมุกก็จะถูกตัดขาดไปด้วย พาให้ฟรานต้องเผชิญหน้ากับหมาป่าทั้งฝูงตามลำพังโดยสมบูรณ์



เพราะสถานะของเขากับฟรานนั้น ไม่อาจเกี่ยวข้องกันได้...และยิ่งไม่ควรเกี่ยวข้องกันด้วย...



หากเขายิ่งดึงดันก็จะยิ่งเป็นการบีบให้ฟรานต้องเผชิญอันตราย แต่ในฐานะเพื่อน เขาก็ไม่อาจเมินเฉยไม่สนใจได้เช่นกัน



ทว่าการกระทำของฟรานในครั้งนี้กลับเป็นการตัดทางรอดเส้นเดียวของตัวเองทิ้งในพริบตาเดียว หากคิดจะอยู่รอดก็ต้องมีปีกบินได้เท่านั้น แต่มันกลับไม่คิดจะดิ้นรนติดปีกให้ตัวเองเลยสักนิด คิดจะยืนอยู่ตรงทางตันนั้นคนเดียว



เรื่องโง่เขลาพรรค์นี้...คนไม่มีรักไม่มีทางคิดได้แน่...



“คุณเจ้าจันทร์กลับมารึยังวะ” ฟรานเปลี่ยนเรื่องไปในทันที เพราะรู้ตัวว่าไม่มีคำตอบดีๆ จะให้เพื่อน ทั้งยังไม่มีสติจะคิดเรื่องเดิมอีกต่อไปแล้วด้วย



“หลังๆ นี่แกถามถึงเมียฉันบ่อยนะ” หยางหลงขึ้นเสียงถามพร้อมกับยกมือชี้หน้าเพื่อนคล้ายกับฉุนขึ้นมาจริงๆ



“ก็เมียแกสวยนี่หว่า” ฟรานอมยิ้มจางๆ กลบเกลื่อนไปเรื่อยเปื่อย เพราะรู้ว่าเพื่อนรักเข้าใจดีว่าตนกำลังถามถึงเรื่องอะไร



“เมียฉันหรือเพื่อนเมียฉันกันแน่วะ” มาเฟียหนุ่มถามกลับอย่างรู้ทัน



“...” เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ตอบแต่เสมองไปทางอื่นกลบเกลื่อน คนจับได้ไล่ทันจึงรีบเอ่ยขึ้นต่อ



“อยู่บ้านย่าเขาโน่น เห็นว่าวันมะรืนจะเปิดพินัยกรรม”



“อืม” ร่างสูงขานรับสั้นๆ คล้ายไม่ใส่ใจนัก เปลือกตาหนาหลับพริ้มลงพลางเอนตัวพิงพนักที่หัวเตียงอย่างอ่อนแรง ก่อนจะเอ่ยถามเพื่อนทั้งที่ยังหลับตาอยู่



“มีไรกินบ้างวะ”



“เออ เดี๋ยวลงไปดูให้” หยางหลงรับอาสาด้วยน้ำเสียงตัดรำคาญ แล้วลุกเดินออกจากห้องลงไปยังครัวชั้นล่างทันที โดยหารู้ไม่ว่าคนเพิ่งฟื้นไข้บนเตียงนั้นไร้ซึ่งความอยากอาหารโดยสิ้นเชิง ถึงลงไปเอาอาหารเลิศรสขึ้นมาในตอนนี้ ก็คงเหลือแค่หมอนข้างในห้องนอนเท่านั้นที่อยู่รอกิน







ดอกราตรีสีขาวอมเขียวช่อเล็กท้ายเรือนแข่งกันบานรับแสงจันทร์ในยามรัตติกาล ดูราวกับดาริกาบนฟากฟ้ากว้าง ส่งกลิ่นหอมเย็นยวนใจขับกล่อมนิทราของคนในเรือน ทว่าผ่านไปถึงครึ่งค่อนคืนแล้ว ร่างบางร่างหนึ่งกลับไม่อาจข่มตาหลับลงได้ ในใจเฝ้าคิดถึงแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น แม้จะไม่เหลือน้ำตาให้ไหลอีกต่อไป แต่เสียงสะอื้นในใจก็ใช่ว่าจะเงียบลง



เธอกระชับผ้าคลุมไหล่สีขาวนวลให้แน่นขึ้นอีกครั้งเพื่อกันน้ำค้างเย็นๆ ไม่ให้ตกลงจับผิวเนื้อมากนัก จากนั้นค่อยหลับตาแหงนหน้าฟังเสียงลมแม่น้ำเอื่อยๆ แว่วผ่านหูไปเป็นระลอกราวกับตกอยู่ในภวังค์ห้วงหนึ่ง และด้วยกำแพงภวังค์อันนั้น ร่างบางในชุดนอนกระโปรงแขนกุดสีขาวจึงไม่ทันรู้ตัว ว่าใครคนหนึ่งได้เดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆ นานแล้ว



“บ้านย่าคุณอากาศดีนะ” ฟรานแหงนหน้ารับลมเลียนแบบหญิงสาวข้างกาย ขณะที่มือทั้งสองก็ล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ด้วยท่าทีสบายๆ



“คะ...คุณ!!! มาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้ว...แล้วเข้ามาได้ยัง” เพียงน้ำพลอยเบิกตาสะดุ้งโหยง แล้วชี้หน้าถามผู้บุกรุกเสียงตื่นตระหนก



“เข้ามาได้แล้วกัน” ฟรานแกล้งหันมองไปทางอื่นอย่างไม่ยี่หระต่อข้อกล่าวหา ก่อนจะลอบหันมามองสายตาหวาดหวั่นของคนข้างกายแล้วอมยิ้มบางๆ



“ได้ยินว่าคุณจะเปิดพินัยกรรม” เขาแสร้งหันกลับขึ้นไปมองดาวบนฟ้า พลางเปิดบทสนทนาขึ้นอย่างเรียบง่าย



“พี่ฉันเขาอยากเปิดน่ะ” หญิงสาวแค่นจมูกสมเพชตัวเองเบาๆ ก่อนจะบอกพลางยิ้มเฝื่อนๆ ทว่าพอพูดออกไปแล้วกลับไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องบอกกล่าวเรื่องราวในครอบครัวให้เขารู้ด้วย



“ว่าแต่คุณเถอะ มาทำอะไร” เธอหันไปถามด้วยสายตาเอาเรื่อง



“แล้วคุณว่ามาทำอะไรล่ะ”



“นี่ ฉันถามก็ช่วยตอบมาดีๆ สักครั้งได้มั้ย” เพียงน้ำพลอยเริ่มขึ้นเสียงอย่างเหลืออด



“คุณซักผมเองนะ ใช่ว่าผมอยากบอกคุณ”



“...” เธอไม่เอ่ยอะไรต่อ แต่จ้องตาเขากลับอย่างท้าทาย



“ผมคิดถึงคุณ” เสียงทุ้มทรงเสน่ห์เจือแหบพร่าตอบอย่างเรียบง่าย หากก็ฟังดูทรมานใจคนไปในเวลาเดียวกัน ดวงตาสีดำสนิทสะท้อนแสงจันทร์คู่นั้นดึงดูดเธอรุนแรงจนสั่นไหว หากพอใจเธอลอยเข้าไปใกล้ กลับรู้สึกว่าเขาช่างอยู่ห่างไกลเหลือเกิน



เธอรีบถอนสายตากลับมาแล้วกวาดไล่ความคิดไร้สาระออกไปให้พ้นสมอง จากนั้นก็รีบเอ่ยตัดบทขึ้นทันที ไม่เปิดโอกาสให้น้ำเสียงหวานหู นัยน์ตาหวานเชื่อมของเขาทำจนเสียสมาธิอีก



“ถามจริงๆ เถอะ คุณไม่มีที่ไปแล้วรึไงถึงได้มาคอยกวนฉันอยู่ได้”



ฟรานได้แต่ฟังพลางนิ่วหน้าราวกับเด็กขี้น้อยใจ



เขาน่ะหรือไม่มีที่ไป...ที่มาหาเธอถึงนี่ก็ไม่ใช่เพราะไม่อยากไปที่อื่นหรือไง...



“ฉันไม่อยากเจอใครทีไรเป็นต้องเจอคุณทุกที” เพียงน้ำพลอยกอดอกพึมพำอยู่ในลำคอ พร้อมกับหันหน้าหนีไปทางอื่นคล้ายรำคาญคนข้างๆ เต็มทน



“ก็ตอนคุณไม่เจอใคร ผมอยากเจอคุณนี่” เสียงทุ้มนุ่มตอบเรียบง่ายขึ้นอีกครั้ง ทว่ากลับดึงดูดให้ดวงตากลมโตดุจไข่มุกดำให้หันกลับมามองได้ในทันที



แต่เพียงชั่วครู่สั้นๆ เธอก็หันหน้าหนีไปทางอื่นอีกครั้ง



ไม่รู้เธอไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้กันแน่...



คำตอบของเขา มันเข้าใจได้ยากนักหรือไง...





###########################################################


เนื่องด้วยปัญหาติดขัดทางด้านอารมณ์ ตอนนี้เลยออกช้าไปหน่อยอย่าโกรธกันน้าา

อีเฮียฟรานของเราเริ่มรุกแร้ววววว เรื่องราวจะเป็นยังไงอย่าลืมมาติดตามกันต่อน้าา

เรื่องนี้ยังเม้นไม่ถึงไหนเลยย ฮือออออTT
ยังไงก็ขอเม้นท์เป็นกำลังใจให้คนเขียนหน่อยน้าา คนเขียนจะได้มีแรงปั่นต่อเนอะ

อย่าลืมเม้น+จิ้มโหวตเป็นกำลังใจให้เค้าด้วยน้าาา^^














พริมสิตางศุ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ส.ค. 2560, 20:50:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ส.ค. 2560, 15:47:22 น.

จำนวนการเข้าชม : 901





<< Chapter 11 : คว้ามือ   Chapter 13 : กระต่ายน้อยสีขาวกับเจ้าหมาป่า >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account