ปิ่นใจกะรัตพลอย (ชุด ลูกไม้ลายหงส์)
แม้จะต้องปะทะลมฝนรุนแรงขนาดไหน เธอก็ยังนับเป็นหงส์เหินที่งามสง่า แต่ใครจะคิดว่าสักวันนึง...ลมปากคนจะหักปีกหงส์ได้จริงๆ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: Chapter 13 : กระต่ายน้อยสีขาวกับเจ้าหมาป่า

The three things that a guys should want to change about his girl, is her last name, address,
and her viewpoint on men.

มีสามสิ่งที่ผู้ชายควรจะต้องการเปลี่ยนเกี่ยวกับผู้หญิงของเขา นั่นก็คือ นามสกุล ที่อยู่
และทัศนคติที่เธอมีต่อผู้ชาย
Cr. mystandards.tumblr



ข่าวการเปิดพินัยกรรมของทายาทตระกูลโรจน์รวีเตชานนท์แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ราวกับมีประกาศปิดไปทั่วทุกหัวมุมถนน ภายในสองวัน แม้แต่เด็กสองขวบก็ยังรู้ว่าทายาทสองคนที่เหลืออยู่ของตระกูล กำลังจะเปิดพินัยกรรมแบ่งสมบัติตั้งแต่ศพพ่อแม่ยังไม่ทันเผา



ยิ่งคิดเพียงน้ำพลอยก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นเกียรติเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูลเสียจริง!



รถเบนซ์คันหรูเคลื่อนตัวมาถึงหน้าตึกสูงตระหง่านของอาณาจักรโรจน์รวีเตชานนท์ สื่อมวลชนนับร้อยยืนเบียดเสียดต่อสู้กับพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทจนดูคล้ายฝูงจลาจล ทันทีรถจอดสนิทลงที่หน้าประตูบริษัท ฝูงชนนั้นก็พุ่งถลาเข้ามาตะปบประตูรถอย่างแรง ไม่ยั้งแรงผลักแรงเบียดเพื่อจับจองพื้นที่ที่ใกล้ที่สุด จะได้จ่อไมค์ที่ริมฝีปากคนดังได้ถนัดถนี่ ราวกับว่าความหวาดกลัวเชื้ออัปมงคลที่เคยมีในใจหายวับไปภายในเวลาไม่กี่วัน



เธอยังจำตอนที่ตัวเองเพิ่งกลับมาจากฮ่องกงได้ดี ตอนนั้น เธอต้องรับรู้ว่าตัวเองเสียบุพการีทั้งสองไปอย่างไม่มีวันกลับ มีสื่อมวลชนมากมายพุ่งเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มากมายขนาดนี้ เธอยังแอบได้ยินเด็กรับใช้ในบ้านคุยกันว่า ที่ไม่มีสื่อมวลชนมาทำข่าวอย่างล้นหลามเหมือนที่คิดไว้ ก็เพราะบางคนกลัวว่าตัวเองจะตายตกไปตอนทำข่าวเสียก่อน ทำเอาเธอสงสัยนักว่า ทำไมตอนนี้พวกเขาถึงได้เกิดขวัญกล้าขึ้นมาเสียแล้ว



เพียงน้ำพลอยสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อเรียกความกล้าในเบื้องลึกขึ้นมา ขณะเดียวกันก็ซึมซับความรู้สึกปลงตกที่ชักจะเด่นชัดขึ้นทุกทีให้แผ่ซ่านไปทั่วทั้งใจ จากนั้นค่อยก้าวลงจากรถ หยัดยืนอย่างมั่นคง กล้ำกลืนความขมขื่นที่พุ่งพรวดขึ้นมาพร้อมกับม่านน้ำตาบางๆ ลงไปให้ลึกที่สุด แล้วเชิดคางเดินตรงไปเข้าไปในบริษัท ราวกับไม่มีฝูงสื่อมวลชนนับร้อยรายล้อมจนคล้ายกำแพงมนุษย์



ดวงตากลมโตราวไข่มุกดำค่อยๆ เย็นเยียบขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกคล้ายว่าความโกลาหลจากหน้าบริษัทเป็นเพียงเสียงแว่วๆ ที่ดังมาแต่ไกลเท่านั้น ดวงหน้าขาวละเอียดไม่แสดงออกความรู้สึกใดมากนัก ไม่ต่างจากใจดวงน้อยที่รู้สึกเจ็บน้อยลงทุกทีๆ พอเดินไปหลายก้าวเข้าก็แทบไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว จนเธออดคิดไม่ได้ว่าความหน้าด้านหน้าทนของตัวเองคงเข้าขั้นบรรลุแล้วกระมัง



เพียงน้ำพลอยลงลิฟต์ไปยังชั้นใต้ดินอันเป็นที่ตั้งห้องประชุมลับของบริษัท ตลอดโถงทางเดินไปยังห้องประชุมลับ เธอสังเกตเห็นชายฉกรรจ์ในชุดสูทสีดำสองคนยืนประจำอยู่ทุกๆ 2 เมตร เมื่อเห็นเธอเดินผ่านจะเหลือบมามองเล็กน้อย ค้อมศีรษะให้เธอพอเป็นพิธี แต่สีหน้ากลับไม่ปรากฏความเคารพนบน้อมแต่อย่างใด ทำเอาเธอชักกังขาเสียแล้วว่า เวลาสั้นๆ ที่ผ่านไปไม่กี่วันทำให้เธอตกอยู่ในสถานะไหนของตระกูลกันแน่ คนพวกนี้ถึงได้ทำเหมือนเธอเป็นผู้ต้องหาคนใหม่ของเรือนจำยังไงยังงั้น



เพียงเพราะต้องการเขี่ยเธอทิ้ง เพียงเพราะต้องการกอดผลประโยชน์ไว้กับตัว พี่น้องร่วมท้องเดียวกัน กอดคอโตมาด้วยกันยังทำกันได้ถึงขนาดนี้...



ร่างบางระหงเดินมาจนสุดทางของชั้นใต้ดิน จนมาหยุดอยู่หน้าห้องประชุมลับซึ่งไม่ค่อยมีโอกาสมาเยือนนัก ตั้งแต่เกิดมาจนป่านนี้ เธอจำได้ว่าตัวเองเคยมาที่นี่แค่สามครั้งเท่านั้น ซึ่งทั้งสามครั้งนั้นล้วนเป็นไปด้วยเหตุผลความอยู่รอดของบริษัท ใครจะคิดว่าครั้งที่สี่ที่มาที่นี่ เธอจะกลายเป็นตัวแปรของความอยู่รอดนั้นเสียเอง



มือบางยื่นนิ้วหัวแม่มือไปสแกนลายนิ้วมือที่แป้นไฟสีเขียวตรงขอบประตู เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณบอกถึงความถูกต้อง ค่อยยื่นนิ้วหัวแม่มืออีกข้างไปสแกนด้วย จากนั้นค่อยยื่นหน้าเข้าไปใกล้กล้องที่ติดอยู่เหนือแป้นไฟสีเขียวเพื่อสแกนดวงตายืนยันตัวตน



เพียงเสี้ยววินาที ประตูโลหะหนากว่าคืบก็ปลดล็อกออกโดยอัตโนมัติ ผละออกจากขอบประตูเข้าไปด้านในห้อง เพียงน้ำพลอยจึงออกแรงผลักมันเข้าในห้องเบาๆ แล้วก้าวไปข้างในอย่างเยือกเย็น ก่อนจะเห็นว่าดุจน้ำเพชรและญาติพี่น้องคนอื่นๆ มาถึงกันก่อนแล้ว ทันใดนั้นเอง ประตูเหล็กหนากว่าคืบนั้นก็ถูกคนด้านนอกดึงกลับไป และเข้าสู่ระบบล็อกจากด้านในอย่างอัตโนมัติทันที



ดุจน้ำเพชรนั่งอยู่ติดกับหัวโต๊ะทางด้านขวา และเว้นที่ตรงกันข้ามไว้ให้เธอ ส่วนที่นั่งตรงหัวโต๊ะเป็นของทนายประจำตระกูล และที่อื่นๆ ซึ่งอยู่ถัดลงมาเป็นของญาติผู้ใหญ่ในครอบครัวที่ถือหุ้นอยู่ในบริษัทด้วย ทุกคนย้ายสายตามาวางไว้ที่เธอเป็นจุดเดียว บ้างส่งความเกลียดชังมาผ่านสายตา บ้างส่งแววตำหนิติเตียน บ้างขยาดกลัว และมีบ้างที่เวทนา แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นล้วนบีบคั้นให้เธอต้องเอ่ยคำขอโทษออกมาอย่างเสียไม่ได้



“ขอโทษที่สายค่ะ” หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับค้อมศีรษะให้อย่างสุภาพ



“นั่งสิ” ดุจน้ำเพชรเอ่ยคล้ายออกคำสั่ง พลางตวัดสายตามายังที่นั่งฝั่งตรงข้าม แล้วพยักหน้าให้ผู้อาวุโสที่หัวโต๊ะเตรียมตัวเปิดพินัยกรรมได้



เพียงน้ำพลอยแสร้งไม่เห็นสายตาของเครือญาติในที่ประชุมแล้วเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับดุจน้ำเพชรอย่างว่าง่าย เพียงไม่ถึงนาที ทนายประจำตระกูลซึ่งยืนอยู่หัวโต๊ะก็ปลดล็อกกระเป๋าเอกสาร แล้วหยิบซองสีน้ำตาลอ่อนปิดผนึกแน่นหนาออกมาแกะท่ามกลางสายตาลุ้นระทึกของคนในตระกูลโรจน์รวีเตชานนท์เกือบสิบชีวิต



เสียงแหบแห้งของผู้อาวุโสหน้าห้องประชุมค่อยๆ เอื้อนเอ่ยถ้อยแถลงจากพินัยกรรมในมืออย่างชัดถ้อยชัดคำ หากกระนั้นก็ยังดูจะไม่ทันใจคนที่รอฟังอย่างทรมาน



“ข้าพเจ้า นายตฤณ โรจน์รวีเตชานนท์ ขอทำคำสั่งครั้งสุดท้ายของข้าพเจ้าไว้ในพินัยกรรมฉบับนี้ ดังต่อไปนี้ เมื่อข้าพเจ้าถึงแก่ความตายแล้ว ข้าพเจ้าขอยกทรัพย์สิน อันได้แก่ บรรดาอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ทั้งหมดอันเป็นกรรมสิทธิ์ของข้าพเจ้า รวมทั้งบรรดาทรัพย์สินใดๆ ทั้งหลายที่ข้าพเจ้ามีหรืออาจมีในภายหน้าให้แก่ นางแก้วกาญจน์ โรจน์รวีเตชานนท์ ภรรยาของข้าพเจ้า จำนวน 1 ส่วน อันได้แก่ อสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ที่ข้าพเจ้าเป็นเจ้าของ และนางสาว ดุจน้ำเพชร โรจน์รวีเตชานนท์ บุตรสาวของข้าพเจ้า...” ทนายความประจำตระกูลเว้นจังหวะหายใจเล็กน้อย เป็นช่องว่างให้ผู้ถูกเอ่ยชื่อคนแรกหันมากระหยิ่มยิ้มย่องให้เพียงน้ำพลอย เมื่อเห็นว่าทุกอย่างไม่ได้ผิดไปจากที่คาดไว้แม้แต่น้อย



แต่เพียงเสี้ยววินาทีต่อมา ทนายความสูงวัยก็เอ่ยขึ้นต่อ



“...จำนวน 3 ส่วน อันได้แก่ หุ้นในบริษัท อาร์ทูเอ็น โลจิสติกส์ของข้าพเจ้า และนางสาวเพียงน้ำพลอย โรจน์รวีเตชานนท์ จำนวน 6 ส่วน อันได้แก่ หุ้นในบริษัท อาร์ทูเอ็น คอร์เปอร์เรชั่นกรุ๊ปของข้าพเจ้า”



สิ้นเสียงประกาศข้อความในวรรคแรกจบ ทุกคนในที่ประชุมพลันหันขวับมาหาหญิงสาวผู้มีชื่อถัดจากดุจน้ำเพชร แต่มีสัดส่วนมรดกมากกว่าใครเพื่อนเป็นตาเดียว โดยเฉพาะดุจน้ำเพชรที่แทบยั้งตัวเองไม่ให้พุ่งเข้าไปฉีกทึ้งพินัยกรรมเป็นชิ้นๆ ไว้ไม่อยู่



“ส่วนบ้านเลขที่ XX ถนน AA ซอย TT อำเภอ RR จังหวัดกรุงเทพมหานคร ขอยกให้นางแก้วกาญจน์ โรจน์รวีเตชานนท์ นางสาวดุจน้ำเพชร โรจน์รวีเตชานนท์ และนางสาวเพียงน้ำพลอย โรจน์รวีเตชานนท์ เป็นเจ้าของร่วมกัน”



“หากข้าพเจ้าถึงแก่ความตายแล้ว ให้แต่งตั้ง นางแก้วกาญจน์ โรจน์รวีเตชานนท์ เป็นผู้จัดการมรดกของข้าพเจ้า หากปรากฏว่า นางแก้วกาญจน์ โรจน์รวีเตชานนท์ ถึงแก่กรรมพร้อมกันกับหรือก่อนข้าพเจ้า ให้นางสาวเพียงน้ำพลอย โรจน์รวีเตชานนท์ เป็นผู้จัดการมรดกของข้าพเจ้าแทนต่อไป”



“บรรดาค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการจัดการงานศพของข้าพเจ้า ให้หักออกจากกองมรดกของข้าพเจ้าเสียก่อน ส่วนที่เหลือทั้งหมดจึงให้ตกเป็นของภริยาและบุตรทั้งสองของข้าพเจ้าดังกล่าวข้างต้น”



“ข้าพเจ้าขอรับรองว่า ในเวลาที่ทำพินัยกรรมฉบับนี้ ข้าพเจ้ามีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ทุกประการ...”



ดุจน้ำเพชรรู้สึกคล้ายกับตัวเองถูกฟ้าผ่าโดยไม่ทั้งตั้งตัว ดวงตาทั้งสองข้างเบิกโพลงจนแดงก่ำ แม้แต่คำบริภาษสักคำก็ยังไม่มีเรี่ยวแรงจะปล่อยออกไป ครั้นจะพุ่งเข้าไปทำลายพินัยกรรมโสโครกนั่นให้ย่อยยับก็สายเกินไปเสียแล้ว เพราะเธอเป็นฝ่ายเรียกร้องให้เปิดพินัยกรรมต่อหน้าทุกคนในตระกูลเอง และเพราะอย่างนั้น ทุกคนถึงได้มารับรู้โดยทั่วกันว่าเธอเป็นลูกสาวคนโตที่พ่อแม่ไม่รักเลยสักนิด ผิดกับน้องสาวที่ทำลายทุกอย่าง แต่กลับได้ทุกอย่างคืนมาภายในชั่วข้ามคืน



แท้ที่จริงแล้วเธอยังเป็นลูกของพวกท่านทั้งสองหรือไม่!



เธอไม่ดีที่ตรงไหน พ่อกับแม่ถึงไม่เคยเห็นตัวตนเธอเลยสักครั้ง แม้แต่ในวาระสุดท้ายพวกท่านก็ยังเห็นเธอเป็นแค่ฝุ่นที่ลอยมาติดรูปครอบครัวเท่านั้น...



บริษัทโลจิสติกส์บ้าบอนั่นเป็นแค่บริษัทลูกเท่านั้น ทั้งยังเพิ่งก่อตั้งขึ้นมาได้ไม่ถึงห้าปีดีด้วยซ้ำ แม้จะมีแนวโน้มผลกำไรดีขึ้นเรื่อยๆ แต่หากเทียบกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่เป็นกิจการหลักของตระกูลโรจน์รวีเตชานนท์มาแต่ดั้งเดิมแล้ว มันก็เป็นแค่เศษเงินไม่กี่สตางค์ที่พ่อกับแม่โยนให้เธอเพราะความสงสารเท่านั้น



ดุจน้ำเพชรข่มใจให้เยือกเย็นที่สุด ก่อนจะค่อยๆ หยัดยืนขึ้นช้าๆ แล้วเอ่ยกับน้องสาวร่วมอุทร แต่มีโชคชะตาต่างกันลิบลับด้วยน้ำเสียงลอดไรฟัน



“ยินดีด้วยนะคะ... ‘ท่านประธาน’...”



เพียงน้ำพลอยรู้สึกคล้ายกับตัวเองขนลุกซู่ไปทั่วทั้งร่าง เมื่อได้ยินน้ำเสียงเย็นยะเยือกจนเกือบจะเหี้ยมเกรียมของพี่สาว มือบางคู่นั้นกำหมัดแน่นจนขาวซีด และเพียงไม่กี่วินาทีที่ไร้ซึ่งคำเอื้อยเอ่ยใดๆ นั้น กลับมีของเหลวสีแดงสดไหลซึมออกมา ทว่าเจ้าตัวก็ยังคงจ้องเธอไม่ละสายตา



ดวงตาที่เบิกโพลงคู่นั้นทั้งเสียใจ โกรธแค้น อาฆาต น้อยเนื้อต่ำใจ และอดสูตัวเองไปในเวลาเดียวกัน ทำเอาเพียงน้ำพลอยอดสะท้านเฮือกขึ้นมาไม่ได้ หากก็ไม่รู้จะเอ่ยกับอีกฝ่ายด้วยคำพูดไหนดี หากปลอบโยนอีกฝ่ายก็คงคิดว่าเธอเยาะเย้ย แต่หากจะเดินผ่านเลยไป ปล่อยให้พี่สาวอยู่ในสภาพอารมณ์เช่นนี้ เธอก็วางใจไม่ลงเช่นกัน



ไม่รู้เนิ่นนานเท่าไหร่ ที่คนในห้องประชุมทยอยเดินออกไปจนหมด กระทั่งเหลือเพียงแค่เธอกับพี่สาวเท่านั้น เธอจำได้ไม่แน่ชัดนักว่าญาติพี่น้องเข้ามากล่าวอะไรกับเธอและพี่สาวบ้าง รู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่ดุจน้ำเพชรกลั้นน้ำตาหยาดสุดท้ายไว้ไม่อยู่ ปล่อยให้มันร่วงลงอาบแก้ม แล้วเบือนหน้าหนีเดินออกจากห้องไปในที่สุด



ชั่ววินาทีที่พี่สาวปรายตามองเธอครั้งสุดท้ายนั้น ใจที่เหมือนจะด้านชาไปแล้วของเธอพลันหวิวขึ้นมาชั่วขณะ ราวกับถูกทิ้งลงมาจากที่สูง เหน็บหนาวจนได้ยินเสียงหวีดหวิวของสัญชาตญาณว่า สายตาคมๆ คู่นั้นได้ตัดสะบั้นสายสัมพันธ์ของครอบครัวจนขาดสิ้นแล้วจริงๆ



ภายในเวลาไม่กี่วัน ไม่กี่ชั่วโมง เธอผ่านการสูญเสียมากี่ครั้งแล้วกันนะ...



เธอเสียบุพการีไปพร้อมกัน เสียคนรักที่เหลือเพียงอีกก้าวเดียวก็จะกลายเป็นคู่ชีวิต



และตอนนี้แม้แต่พี่สาวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว...ก็กลายเป็นไม่เหลืออยู่แล้ว...





2 สัปดาห์ผ่านไป...



หลังจากจัดการเรื่องพิธีศพบุพการีทั้งสองเสร็จสิ้นแล้ว เพียงน้ำพลอยก็กลับไปทำงานที่บริษัทตามเดิม ทว่าเป็นในฐานะนายหญิงคนใหม่ของอาณาจักรโรจน์รวีเตชานนท์ ท่ามกลางคำครหาที่ว่าเธอเป็นลูกอกตัญญูจนเหลือจะรับ ฆ่าพ่อกับแม่ตัวเองตายศพยังไม่ทันเย็นก็ฉีกทึ้งซองพินัยกรรม เพื่อให้ตัวเองได้ครอบครองทรัพย์ศฤงคารอันมหาศาลที่พ่อแม่สร้างไว้ให้



เธอไม่อาจแสร้งไม่รับรู้เสียงครหาพวกนั้นไปได้ตลอด แต่ก็ยังนับถือตัวเองที่ฟังมันได้อย่างเยือกเย็นมากขึ้น จนบ่อยครั้งเข้าก็ไม่มีน้ำตารื้นจนคลอเบ้าให้ใครเห็นแล้ว หากสำหรับคนอื่นคงไม่มีใครมาชื่นชมในความเข้มแข็งของเธอนักหรอก ข้อนั้นเธอเองก็กระจ่างแก่ใจดี และอ่อนแรงเกินกว่าจะร้องขอความเข้าใจจากใครอีก



ร่างบางนั่งอยู่ที่ตำแหน่งหัวโต๊ะในห้องประชุมใหญ่บนชั้นสูงสุดของตึกอาร์ทูเอ็น คอร์เปอร์เรชั่นกรุ๊ป แผ่นหลังบางเหยียดตรงอย่างสง่างาม แววตาที่เคยอ่อนโยนดูสุขุมและเยือกเย็นจนเกือบจะเย็นเยียบขึ้นหลายส่วน ใบหน้าสวยหวานราวเครื่องแก้วเจียระไนไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ทว่านั่นกลับยิ่งทำให้เลขาสาวร่างเล็กที่ยืนอยู่ด้านหลังหายใจไม่ทั่วท้องมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก



“กึก...กึก...กึก...กึก...” เสียงปลายนิ้วชี้เคาะลงบนโต๊ะเป็นช่วงจังหวะเท่ากัน ฟังดูไม่ต่างจากเสียงนาฬิกาสั่นประสาทเลยสักนิด ทำเอา ‘สิตา’ เลขาสาวผู้ขวัญอ่อนไม่รู้ว่าตัวเองควรจะโพล่งยอมรับความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อออกไป หรือใจแข็งฟังเสียงเคาะโต๊ะสั่นประสาทแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะหยุดดี หากน่ากลัวว่าถ้าเธอเลือกทางหลัง เข่าเธออาจจะทรุดลงกับพื้นก่อนก็ได้



เธอเป็นเลขาของคุณหนูคนรองผู้นี้มาตั้งแต่ที่ท่านประธานคนก่อนยังมีชีวิตอยู่ การย้ายจากตำแหน่งเลขารองประธานบริษัท มาเป็นเลขาประธานบริษัทจึงไม่นับว่าต้องปรับตัวอะไรมากนัก ในเมื่อเจ้านายที่ต้องทำงานให้ยังคงคุณหนูสาวผู้อ่อนโยนเช่นเดิม



หากใครจะคิดว่าภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ เจ้านายสาวมากความสามารถ ทว่าอ่อนโยนราวสายน้ำ อ่อนหวานละมุนละไม เปราะบางราวเครื่องแก้วของเธอ จะกลายเป็นหญิงสาวผู้เย็นชาราวกับก้อนน้ำแข็งได้ขนาดนี้



ดวงตากลมโตดุจไข่มุกดำคู่นั้น...นับวันก็ยิ่งว่างเปล่าขึ้นเรื่อยๆ...



“คุณสิตา คุณไม่ได้แจ้งผู้ถือหุ้นหรอกเหรอว่าฉันนัดประชุมวันนี้” สิตาแทบหยุดหายใจเมื่อเสียงเคาะโต๊ะเป็นจังหวะนั้นสิ้นสุดลง หากก็ต้องสะดุ้งเฮือกขึ้นอีกครั้ง เมื่อเสียงเย็นๆ ของท่านประธานสาวดังขึ้นมาแทน



“สิตาแจ้งเรียบแล้วนะคะคุณน้ำพลอย แต่ว่า...” สิตาไม่กล้าเอ่ยจนจบประโยค ได้แต่หลุบตาลงเพราะไม่กล้าสู้สายตาคมๆ ของผู้เป็นนายต่อไป



ทว่าเธอก็รู้ดีแก่ใจว่าเรื่องที่กระทั่งเธอยังกระจ่างแจ้งแก่ใจดี มีหรือที่ผู้ที่เป็นถึงประธานบริษัทจะไม่รู้...



คนพวกนั้นรวบหัวกันหักหน้าท่านประธานของเธอ!



และจนกว่าเพียงน้ำพลอยจะขายหุ้นให้ดุจน้ำเพชรผู้เป็นพี่สาว ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้าก็จะไม่มีใครหน้าไหนมาร่วมประชุมทั้งนั้น!!



“เข้าใจแล้ว คุณออกไปก่อน” เพียงน้ำพลอยบอกเลขาสาวข้างกายสั้นๆ เสียงแผ่ว



“ค่ะ” สิตารับคำอย่างนอบน้อม ก่อนจะปลีกตัวออกจากห้องประชุมใหญ่ ปล่อยให้นายจ้างสาวนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ในนั้นตามลำพัง เช่นเดียวกันกับสองครั้งก่อนหน้าที่การประชุมล่มไม่เป็นท่า เพราะไม่มีใครมาประชุมนอกจากท่านประธาน



สิ้นเสียงปิดประตูห้องประชุม เพียงน้ำพลอยเอนหลังที่เคยเหยียดตรงลงบนพนักพิงเก้าอี้ เปลือกตาบางหลับพริ้มลงอย่างเหนื่อยอ่อน ปล่อยให้สมองและใจที่อ่อนล้าของตัวเองกู่ก้องตะโกนระบายความโกรธเคืองอยู่ในใจ



เธอเปิดประชุมผู้ถือหุ้นมาแล้วสามครั้ง...ห้องประชุมก็ว่างเปล่ามาแล้วสามครั้ง... เธอไม่ใช่เด็กอนุบาลถึงจะไม่รู้ความหมายที่กลุ่มผู้ถือหุ้นซึ่งนำโดยพี่สาวแท้ๆ ของตัวเองต้องการจะสื่อ แต่คนพวกนั้นจะเข้าใจความหมายของเธอบ้างรึเปล่า ใช่ว่าเธออยากได้ทรัพย์สมบัติอะไรของพ่อกับแม่นักหนา กล่าวโดยสัตย์จริงแล้ว เธอเหนื่อยล้าและบอบช้ำจนไม่อยากจะเจอหน้าใครแล้วด้วยซ้ำ แต่เพราะรู้ดีว่าดุจน้ำเพชรพี่สาวของเธอนั้นเป็นคนจับจด และใจร้อนขนาดไหน น่ากลัวว่าหากยกทุกอย่างให้อีกฝ่ายไปจริงๆ โรจน์รวีเตชานนท์จะเหลือเพียงแต่ชื่อเท่านั้น...



พอได้สงบสติอารมณ์จนควันไฟจากความโกรธเริ่มจางลง เพียงน้ำพลอยจึงโน้มตัวไปหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องบางบนโต๊ะขึ้นมากดโทรออกหาพี่สาวเพื่อเจรจาเป็นครั้งที่สาม ทว่ายังไม่ทันจะได้กรอกเสียงลงไปในสาย คนปลายสายก็เอ่ยทักทายขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบนาบทว่าเชือดเฉือนเสียก่อน



‘ได้ยินว่าวันนี้เปิดประชุมเหรอ สนุกมั้ยล่ะ’



“ต้องทำอย่างนี้จริงๆ เหรอคะ” เพียงน้ำพลอยถามกลับด้วยน้ำเสียงอดทนอดกลั้น



‘งั้นทำยังไงดีล่ะ แกแนะนำฉันหน่อยสิ’ คนปลายสายไม่ตอบแต่ถามต่ออย่างเริงร่า ไม่ทุกข์ไม่ร้อนเสียจนไฟเดือดดาลในอกเพียงน้ำพลอยเริ่มปะทุขึ้นมาอีกครั้ง



“ตอนนี้โครงการที่ต้องผ่านมติการประชุมทำอะไรไม่ได้ และถ้าเราทำตามที่เซ็นสัญญาไปไม่ได้ เราจะโดนปรับกี่สิบกี่ร้อยล้าน และขาดทุนไปอีกตั้งเท่าไหร่ พี่เพชรคิดบ้างรึเปล่า” น้ำเสียงรอมชอมที่เคยเอ่ยเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ อย่างคุมไม่อยู่ หากคนปลายสายก็ยังไม่มีวี่แววจะร้อนใจขึ้นมาแต่อย่างใด



‘แล้วแกล่ะคิดบ้างรึเปล่า ถ้าแกถอนตัวตั้งแต่แรก เรื่องมันก็ไม่ยากขนาดนี้หรอก’



“พี่เพชรคะ...” เพียงน้ำพลอยแย้งขึ้นยังไม่ทันจบคำ ดุจน้ำเพชรก็สวนขึ้นทันควัน



‘คุณพ่อท่านอาจเลอะเลือน แต่ฉันไม่! และก็ไม่มีผู้ถือหุ้นคนไหนเลอะเลือนเหมือนคุณพ่อด้วย ไม่มีใครอยากตายเป็นรายต่อไป ถ้าแกมีความรับผิดชอบจริงอย่างว่าก็ถอยไปซะ อย่าบีบให้ฉันต้องไม่เห็นแกเป็นน้องเลย’



“...” ใบหน้าขาวละเอียดซีดเผือดจนเริ่มแดงเรื่อขึ้นอีกครั้ง ด้วยทั้งโกรธ ทั้งน้อยใจ ทั้งเสียใจ ผสมปนเปกันจนจุกอก ไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกไปดี



“หึ...เกิดคิดได้ขึ้นมาแล้วรึไง” ดุจน้ำเพชรแค่นหัวเราะเสียงเย็นชา เมื่อเห็นว่าน้องสาวเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง



“เห็นเป็นน้อง...ฉันเคยได้เป็นน้องพี่ด้วยเหรอ...” เสียงแผ่วเบาเจือแววสั่นเครือเล็กน้อยเอ่ยออกไปอย่างยากเย็น กลั้นใจเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจออกไปผ่านคำพูดเพียงไม่กี่คำ ก่อนจะกดตัดสายไปในทันที



เธอไม่น่าเลยจริงๆ... ไม่น่าจะทวงถามในสิ่งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าไม่มีวันได้มันมา...







เพียงน้ำพลอยกลับไปหยิบของในห้องทำงานสองสามอย่างใส่กระเป๋า ก่อนจะมุ่งหน้าลงไปยังลานจอดรถโดยไม่สนใจเสียงร้องเรียกของเลขาสาวหน้าห้องแต่อย่างใด ออกรถมุ่งหน้าสู่ร้านเบเกอรี่ชื่อดังใจกลางเมืองที่ตนเป็นหุ้นส่วนอยู่ ทว่าครั้นรถเบนซ์สีดำวับมาจอดสนิทยังลานจอดรถของร้านแล้ว ร่างบางในชุดเดรสแขนกุดสีน้ำเงินเข้มกลับทำได้แค่ซบหน้าผากมนลงกับพวงมาลัยรถ ผ่านไปเนิ่นนานจึงค่อยระบายความเดือดพล่านออกมาผ่านลมหายใจร้อนระอุ เปลือกตาบางหลับพริ้ม มีเพียงเสียงหัวเราะเย้ยหยันตัวเองที่ดังขึ้นเบาๆ เท่านั้น ที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่ได้หลับไหล



แสงแดดจ้าลามเลียผ่านฟิล์มทึบและกระจกรถจนผิวขาวละเอียดรู้สึกแสบนิดๆ พวงแก้มนวลเนียนแดงเรื่อขึ้นด้วยไอร้อน จนกระทั่งไอร้อนเริ่มอุ่น จนกลายเป็นเย็นยะเยือกเมื่อท้องฟ้าเริ่มระบายด้วยสีเข้มขึ้น และผ่านไปเนิ่นนานจนพระจันทร์เสี้ยวนวลผ่องสว่างอยู่กลางท้องฟ้ารัตติกาล ร่างบางจึงได้ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา เมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยไปจนถึงสี่ทุ่มกว่าแล้ว จึงหันไปคว้ากระเป๋าถือเตรียมลงจากรถ



เหตุที่ต้องขลุกอยู่ในรถจนดึกดื่นขนาดนี้ ก็เป็นเพราะเธอพ่ายแพ้เพื่อนสาวทั้งสองคนอย่างหมดรูปเรื่องการถอนหุ้น ทั้งที่เธออ้อนวอนเพื่อนสาวทั้งสองทุกวิถีทางแล้ว ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งล้วนงัดมาใช้หมดแล้ว เพราะไม่อยากให้ร้านได้รับผลกระทบเพราะเรื่องของตัวเองไปมากกว่านี้ ทว่าเพื่อนรักทั้งสองคนกลับหัวแข็งยิ่งกว่า ครั้นพอเธอถามว่า ‘จะรอให้ร้านมันเจ๊งก่อนรึไง!’ เพื่อนสุดที่รักของเธอกลับตอกเธอกลับมาในทันควันว่า ‘เออ! ฉันจะรอให้มันเจ๊งก่อน ใครจะทำไม’



ช่างเข้าอกเข้าใจกันเหลือเกิน!



หนำซ้ำยังขู่เข็ญเธอว่า หากเธอคิดจะขายหุ้นให้คนอื่น เพื่อนทั้งสองของเธอก็จะขายด้วยเหมือนกัน หากเธออยากให้ร้านนี้กลายเป็นของคนอื่นโดยสมบูรณ์จะลองงัดข้อกันดูสักตั้งก็ได้



ข้อสรุปสุดท้ายของเรื่องนี้จึงจบลงที่ว่า เธอไม่อาจถอนหุ้น ไม่อาจขายหุ้น ทำได้เพียงเข้าร้านหลังจากร้านปิดแล้ว และหากมีใครถามถึงเธอ ต้องตอบไปว่าเธอถอนหุ้นไปแล้ว ซึ่งสิ่งที่ทำได้สองประการนี้ เธอก็ต้องต่อรองจนหืดขึ้นคอกว่าจะได้มันมา จากตั้งใจมาเจรจาด้วยความแน่วแน่เด็ดเดี่ยว แต่สุดท้ายต้องมาจำนนอย่างจนใจ เรื่องมันกลับตาลปัตรมาเป็นอย่างนี้ได้ยังไง เธอเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก



รองเท้าส้นสูงสีน้ำเงินเข้มเกือบดำส่งเสียงกริกๆ เมื่อร่างบางระหงก้าวเดินไปข้างหน้า ชายกระโปรงจากจีบพองๆ พริ้วไหวเป็นริ้วคลื่นตามจังหวะย่างเดิน ร่างบางทั้งสองย่อตัวลงไขกุญแจแล้วยกประตูเหล็กม้วนขึ้นครึ่งหนึ่ง ก่อนจะก้มตัวลงไขกุญแจกระจกแล้วผลักประตูเข้าไปในร้านตามความเคยชิน พลันรู้สึกว่าสถานที่ที่อยู่แล้วสบายใจในยามปลอดคนแบบนี้ ชวนให้รู้สึกดีเหลือเกิน



ไม่มีใครจ้องมอง ไม่มีเสียงซุบซิบนินทา ไม่มีใครยกโทรศัพท์ขึ้นมาแอบถ่ายรูป



มีแค่ตัวเธอเองกับกลิ่นเนยจางๆ ที่ยังอวลหอมกรุ่น กับกลิ่นกาแฟที่ชวนให้รู้สึกปลอดโปร่ง...



บางที...ชีวิตเธออาจยืดยาวไปอีกวันด้วยบรรยากาศแบบนี้...



ร่างบางระหงเดินไปถอดรองเท้าส้นสูงไว้ที่มุมหนึ่งของร้านอย่างง่ายๆ ก่อนจะวิ่งเข้าไปในครัวด้วยเท้าเปล่า หยิบตะเกียบสองอันขึ้นมาเกล้าผมยาวสลวยจนถึงสะโพกขึ้นเป็นมวยหลวมๆ จากนั้นค่อยล้างไม้ล้างมือเตรียมวัตถุดิบอุปกรณ์อย่างคล่องแคล่วจนเรียบร้อย แล้วยกออกมาหน้าร้าน เพื่อเตรียมแต่งหน้าสามก้อนที่น้ำผึ้งพระจันทร์ทิ้งไว้ให้



เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ มือบางจึงเอื้อมมือไปหยิบรีโมตขึ้นมากดเปิดเพลงคลอระหว่างทำงาน เมื่อเพลงล่าสุดที่เครื่องเล่นเปิดค้างไว้ดังขึ้น หญิงสาวก็จึงเริ่มดีดนิ้วเป็นจังหวะ ก่อนจะยกมือขยับโยกย้ายสะโพกกลมกลึงไปตามเสียงเพลงอย่างเป็นธรรมชาติ ปากก็ส่งเสียงร้องเพลงออกมาไม่หยุด ครั้นพอหันไปเห็นเงาตัวเองในกระจกก็ขยิบตาให้ตัวเองอย่างซุกซน



I love you baby and if it's quite all right I need you baby to warm the lonely nights

(ฉันรักคุณนะที่รัก...ถ้าไม่เป็นไรล่ะก็ ฉันต้องการคุณมาอุ่นคืนที่เหน็บหนาวนี้ให้ฉัน)

I love you baby, trust in me when I say
(ฉันรักคุณนะที่รัก เชื่อที่ฉันพูดเถอะ)

Oh pretty baby, don't bring me down I pray
(อย่าทำให้ฉันผิดหวังเลยนะที่รัก)

Oh pretty baby, now that I've found you stay
(ที่รัก...ตอนนี้ฉันหาคุณพบแล้ว)

And let me love you baby, let me love you
(ให้ฉันได้รักคุณเถอะนะ...)

Can't Take My Eyes off You - Frankie Valli and The 4 Seasons



ร่างบางระหงเต้นรำด้วยเท้าเปล่าไปทั่วร้านราวกับมีคู่เต้นเป็นตัวเป็นตนอยู่จริงๆ จนดวงหน้าสวยหวานเริ่มซับสีกุหลาบระเรื่อขึ้นด้วยความเหนื่อยหอบ ทว่าเจ้าตัวก็ยังไม่อยากหยุดตัวเองลง อยากปล่อยให้เสียงเพลงกลืนกินเรื่องหนักหน่วงในสมองจนหมด แล้วปล่อยใจเต้นรำท่ามกลางแสงไฟสลัวๆ นี้คนเดียวต่อไปเรื่อยๆ



ทว่าใครจะคิดว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียวอย่างที่คิด...



ทันทีที่เสียงเพลงโน้ตสุดท้ายเงียบลง หญิงสาวหอบจนตัวโยน ได้แต่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นทาบหน้าอกเพราะกลัวตัวเองหายใจไม่ทัน ในขณะเดียวกันก็หัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความเคอะเขิน เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะเสียสติได้ถึงขั้นเต้นคนเดียวอย่างเป็นบ้าเป็นหลังขนาดนี้ หากทันใดนั้นเองเสียงทุ้มรื่นหูชวนเคลิบเคลิ้มของใครบางคนก็ดังขึ้นที่ข้างหูเธอ



“I wanna warm your lonely night...”

(ผมอยากอุ่นคืนที่เหน็บหนาวนี้ให้คุณนะ)



เพียงน้ำพลอยสะดุ้งเฮือกจนสุดตัว รีบหันขวับไปหาเจ้าของเสียงทุ้มที่ย่องมาอยู่ด้านหลัง โดยไม่ทันคิดว่าเขาจะยื่นริมฝีปากมาใกล้เสียขนาดนี้ ริมฝีปากบางจึงสัมผัสกับริมฝีปากร้อนระอุนั้นจนได้



“ทำบ้าอะไรของคุณห้ะ!!” เพียงน้ำพลอยผลักแผงอกแกร่งนั้นสุดแรง ก่อนจะแว้ดขึ้นสุดเสียงแล้วขยี้ปากตัวเองสุดชีวิต



“นี่คุณ เบาๆ หน่อย เดี๋ยวปากก็หลุดติดมือออกมาหรอก” คนร่างสูงพูดกลั้วเสียงหัวเราะ ก่อนจะหันหลังไปหยิบกระดาษทิชชู่บนเคาน์เตอร์มาเช็ดรอยลิปสติกที่เลอะให้เธอ ทว่ายังไม่ทันจะได้เอื้อมไปถึงใบหน้าสวยหวานนั้น เจ้าตัวก็ปัดมือเขาทิ้งแล้วแหวเอาเรื่องเขาขึ้นอีกรอบ



“มา...มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่ให้สุ่มให้เสียง” เพียงน้ำพลอยทั้งโกรธทั้งอาย ไม่รู้จะหยิบประเด็นไหนขึ้นมาเอาเรื่องเขาก่อนดี ก็ใครจะไปคิดว่าคนที่หายหน้าหายตาไปตั้งนาน อยู่ๆ จะโผล่มาเอาตอนนี้ได้



“ก็ดูคุณเต้นได้สักพักนั่นแหละ” ฟรานตอบพลางอมยิ้มเจ้าเล่ห์



“ไม่ได้กวนประสาทวันนึงฉันจะขาดใจตายใช่มั้ย!! ไปแล้วทำไมไม่รู้จักไปลับ กลับมาทำไมไม่ทราบห้ะ!!!” เพียงน้ำพลอยคว้าไม้พายได้ก็วิ่งไล่ตีคนร่างสูงจนทั่วร้าน ปากก็ร้องตะโกนด่าทอไม่ขาดสาย จนคนถูกตีร้องโวยวายไปทั่วยกมือปัดป้องเป็นพัลวัน หากก็ยังไม่วายหันกลับมายั่วโมโหคนอายจนโกรธต่อ



“สรุปแล้วคุณโกรธที่ผมกวน หรือโกรธที่ผมหายไปกันแน่” ฟรานหันมาถามหน้าทะเล้น ก่อนจะยกมุมปากขึ้นอย่างยียวน



เขาหายหน้าหายตาไปเป็นสองอาทิตย์ คิดแล้วคิดอีกก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่ายัยแม่ชีบ้าเลือดจะคิดถึงเขาบ้างรึเปล่า พอทราบข่าวจากน้ำผึ้งพระจันทร์ว่าเธอมาทำงานที่ร้านหลังร้านปิดถึงได้ตามมาที่นี่ ใครจะคิดว่ามองผ่านกระจกร้านที่ถูกบดบังลงมาจนเหลือครึ่งเดียวจะเห็นปลีน่องขาวๆ ขยับไปมาเป็นจังหวะ กับชายกระโปรงสีน้ำเงินเข้มตัดผิวขาวจัดพริ้วไหวเป็นระลอก เห็นแล้วก็ชวนให้อมยิ้มและชวนให้คิดเป็นอื่นไปในเวลาเดียวกัน เขาจึงค่อยๆ ลอดประตูเหล็กม้วนเข้ามาลอบเปิดประตูกระจก แล้วเข้ามาแอบดูอยู่ในร้านเงียบๆ ได้สักพักใหญ่แล้ว แต่คาดว่าเป็นเพราะเสียงเพลงดังสนั่นลั่นร้านนั่นเองที่ทำให้เธอไม่ได้ยินเสียงหัวเราะด้วยความเอ็นดูของเขา



“คุณจะหายไปไหนมันก็เรื่องของคุณ ฉันจะติดอยู่อย่างเดียวก็ตรงที่คุณกลับมานี่แหละ” เพียงน้ำพลอยถลึงตาสวนกลับด้วยความโมโห



“นี่คุณ พูดดีๆ กับผมไม่เป็นรึไงห้ะ” ฟรานถามด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ ทว่าใบหน้าหล่อเหลาราวรูปปั้นสลักนั้นกลับยังฉายแววอารมณ์ดีอยู่ไม่คลาย



“ก่อนจะให้คนอื่นเขาพูดดีด้วย ดูตัวเองก่อนเถอะว่าพูดยังไง” เพียงน้ำพลอยโต้กลับหน้างอ



“ผมก็พูดดีกับคุณตลอดนั่นแหละ” นัยน์ตาคมสีเขม่าควันมองใบหน้าสวยหวานที่แปรสภาพเป็นเด็กหญิงหัวรั้นไม่ละสายตา จนสุดท้ายคนร่างบางต้องเป็นฝ่ายร้อนรนเบือนหน้าหนีสายตาชวนร้อนผ่าวไปทั้งร่างเสียเอง



ดวงตาสีเขม่าดุจจ่าฝูงหมาป่าคู่นั้นทั้งลึกล้ำสุดจะหยั่ง ไม่ว่าจะครั้งแรกที่เจอกัน หรือกระทั่งครั้งนี้ที่ผ่านมาร่วมสองปี เธอก็ยังไม่เคยอ่านความรู้สึกใดๆ จากหน้าต่างหัวใจบานนั้นออก รู้เพียงแต่ว่ามันชักน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งผ่านไปนานวัน ไอร้อนจากเปลวไฟในดวงตาคู่นั้นก็ยิ่งพวยพุ่งมาลามเลียจนลวกผิวแก้มเธอมากขึ้นทุกที



เมื่อตั้งสติได้ว่าตัวเองไม่มีเหตุจะต้องหลบตาเขา ดวงเนตรดำขลับดุจไข่มุกดำจึงช้อนสายตาขึ้นไปมองเขาครั้งหนึ่ง แล้วก็พบว่าเขายังคงทิ้งสายตาไว้ที่ใบหน้าของเธอไม่แปรเปลี่ยน สมองเธอจึงเริ่มขุดคุ้ยหาประโยคล่าสุดที่เขาพูดกับเธอไว้ก่อนหน้าขึ้นมาคิด เพื่อจะได้ตอบออกไป บรรยากาศอึดอัดชวนใจเต้นไม่เป็นจังหวะนี้จะได้หายไปสักที



แต่พอยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดออกจะมีเหตุผลอยู่ เท่าที่เธอจำได้ พักหลังๆ นี้เขามักจะพูดดีกับเธอมากขึ้นกว่าแต่ก่อน แม้จะยังไม่วายกวนประสาทบ้างตามวิสัย แต่ก็นับว่าดีกว่าแต่ก่อนที่ตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับเธอตลอดเวลา ยิ่งคราวล่าสุดที่เจอกัน เขาถึงขั้นล้างเท้าหวีผมให้เธอเองกับมือ ทั้งยังเรียกเธอเสียหวานหูว่า ‘คุณพลอย’ พอมานึกๆ ดูแล้ว ก็เหมือนจะจริงอย่างที่เขาพูด ว่ามีแต่เธอที่พูดไม่ดีกับเขาอยู่ฝ่ายเดียว



“ก็...ก็แล้วคุณมาทำอะไร” เมื่อคิดได้ดังนั้นเพียงน้ำพลอยจึงรามือไม่ทุบตีเขาอีก พลางพยายามปรับน้ำเสียงให้นุ่มขึ้นเล็กน้อย จะได้ไม่เกรี้ยวกราดจนเกินไปนัก



“ผม...มาหากาแฟกิน” ฟรานงัดข้ออ้างสุดเรียบง่ายที่เพื่อนรักอย่างหยางหลงเคยใช้ได้ผลมาแล้วออกมาใช้อย่างหน้าตาเฉย



“ปิดแล้ว ไปกินร้านอื่น” เธอบอกปัดอย่างเย็นชา ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปยังโต๊ะที่วางของเตรียมแต่งหน้าเค้กเอาไว้



“น่าคุณ...นะๆ...คาปูชิโน่ร้อนแก้วเดียวเอง กินเสร็จผมก็ไปแล้ว” ฟรานเดินตามไปยื่นหน้าต่อรอง พร้อมกับตีหน้าซื่อเรียกความเห็นใจสุดชีวิต



“วุ่นวายไม่มีใครเกิน” เพียงน้ำพลอยบ่นอุบอิบอยู่ในลำคอพลางช้อนสายตามองคนต้นเรื่องตาขวาง หากสุดท้ายก็ยังเดินไปทำหน้าที่บาริสต้าให้เขาอยู่ดี ทำเอาคนร่างสูงดีใจจนแทบกลั้นยิ้มไม่อยู่ รีบกระโดดไปยืนใกล้โต๊ะบาร์เพื่อดูเธอชงกาแฟใกล้ๆ



ดวงหน้าสวยหวานก้มลงเล็กน้อย กวาดตามองอุปกรณ์และวัตถุดิบบนโต๊ะพลางหยิบโน่นผสมนี่อย่างชำนาญ สองมือบางๆ นั้นดูเปราะบางราวเครื่องแก้วทว่าว่องไวเสียจนเขามองตามแทบไม่ทัน กลิ่นกาแฟหอมอวลตามควันที่ลอยขึ้นเป็นสาย ดูคล้ายม่านบางๆ ที่ผุดขึ้นมากั้นไม่ให้เขามองเธอได้ถนัดนัก ทว่ามันกลับยิ่งสวยงามขึ้นกว่าเดิมจนเขาเกือบเผลอเอื้อมมือไปสัมผัส



ดวงตากลมโตดำขลับคู่นั้น ยามกวาดมองวัตถุดิบบนโต๊ะอ่อนโยนลงหลายส่วน จนดูคล้ายมีรอยยิ้มจางๆ อยู่ในแววตา แม้จะมีกลิ่นกาแฟอวลกรุ่นมารบกวน เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของเธอ ปอยผมเส้นเล็กร่วงลงจากปอยเดียวกันที่ทัดไว้บนใบหู คลอเคลียอยู่บนแก้มเนียนใสระเรื่อสีกุหลาบจางๆ จากลำคอระหงขาวผ่องน่าหลงใหลลงมาถึงไหปลาร้าได้รูปราวแกะสลัก ทำให้ชายหนุ่มได้แต่อมยิ้มให้กับใจเต้นกระหน่ำราวกับกลองรัวของตัวเอง



สวยกว่านี้...คนอย่างเขามีหรือจะไม่เคยเห็น...



ว่าง่ายกว่านี้...มีหรือเขาจะไม่เคยเจอ...



แต่น่าหลงใหลขนาดนี้...ทั้งโลกนี้คงมีแค่คนเดียว...



“ได้แล้ว” เพียงน้ำพลอยว่าพลางวางแก้วกาแฟร้อนไว้บนบาร์เครื่องดื่ม ก่อนจะเดินออกไปเตรียมแต่งหน้าเค้กให้เสร็จ ไม่คิดว่าคนบางคนจะถือแก้วกาแฟเดินตามมานั่งด้วยอีกจนได้ แต่เพราะได้ยินจากปากเขาเองว่าพอเขากินเสร็จก็จะรีบจากไปทันที เธอจึงไม่อยากออกปากไล่เขาให้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนพูดจาไม่ดีอีก



“มีอะไรให้ผมช่วยมั้ยคุณ” ฟรานเอ่ยขึ้นทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องปฏิเสธ แต่เขาก็ยังตั้งใจจะถามออกไปอย่างนั้น เพราะอยากได้ยินเธอพูดด้วยอีกสักประโยคก็ยังดี



“ช่วยเงียบๆ ไปเถอะ แล้วก็รีบกิน รีบจ่าย จะได้รีบไป” เพียงน้ำพลอยเน้นหนักสองวลีหลัง เพื่อให้คุณลูกค้าไม่ได้รับเชิญยามวิกาลรู้ว่าเธอไม่ได้ใจดีทำให้เขากินฟรี และไม่ได้คิดจะอยู่เป็นเพื่อนจิบกาแฟกับเขาทั้งคืนด้วย



“รู้แล้วน่า” ฟรานตอบยิ้มๆ ก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นจิบอย่างว่าง่าย พร้อมกันนั้นก็ดูเธอลงมือแต่งหน้าเค้กไปเรื่อยๆ โดยไม่ส่งเสียงรบกวนอีก จนกระทั่งมือบางแสนคล่องแคล่วนั้นแต่งหน้าเค้กก้อนที่สามจนเสร็จเรียบร้อย ดวงหน้าสวยหวานถึงได้เงยหน้าขึ้นมาหาคนร่างสูงที่ยังนั่งมองเธออย่างใจจดใจจ่อ



“นี่คุณยังกินไม่เสร็จอีกเหรอ!” เพียงน้ำพลอยถามเสียงดัง เมื่อเห็นว่าเขายังประคองแก้วกาแฟไว้ด้วยสองมือ ท่าทางเหมือนเด็กกินนมอุ่นก่อนนอนไม่มีผิด ซ้ำนัยน์ตาดำสนิทคู่นั้นยังเอาแต่จ้องเธอตาแป๋วอีกด้วย



“ก็มันร้อนนี่” ฟรานแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ หากก็ยังตีหน้าซื่ออย่างแนบเนียน ราวกับสิ่งที่พูดออกไปน่าเชื่อถือเสียเต็มประดา



“ไม่อยากกินร้อน ทำไมไม่สั่งเย็น” หญิงสาวเท้าสะเอวเอาเรื่อง เมื่อเริ่มรู้สึกว่าตัวเองอาจโดนเขาแกล้งอะไรสักอย่างเข้าอีก



“ก็มันหนาวอ่ะ” ฟรานเถียงข้างๆ คูๆ



“เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวอะไรของคุณ ไข้กลับรึไง” เพียงน้ำพลอยแหวขึ้นเสียงดัง



“ก็คุณจะทำอะไรก็ทำไปเถอะน่า ผมกินเสร็จเมื่อไหร่ผมก็ไปเองนั่นแหละ” ฟรานว่าแล้วก็หันหน้าหนีราวกับไม่ได้สนใจหญิงสาวตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย เพียงน้ำพลอยเองก็คร้านจะเถียงกับคนไม่รู้จักโต จึงเอาเค้กเข้าไปเก็บในครัว แล้วเตรียมของออกมาจัดต้นเคริสต์มาสต์หน้าร้าน ฟรานเห็นเข้าจึงรีบวางแก้วกาแฟ แล้วเข้าไปช่วยหญิงสาวยกลังของขวัญกับของตกแต่งทันที



คนร่างสูงเห็นหญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม แล้วหยิบกล่องเปล่าในลังขึ้นมาเตรียมห่อของขวัญไว้สำหรับวางใต้ต้นคริสต์มาสต์ จึงออกปากเสนอความช่วยเหลือขึ้นอีกครั้ง



“ผมช่วยนะ”



“รีบกินกาแฟคุณไปเถอะ” เพียงน้ำพลอยตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง



“ผมห่อของขวัญเก่งนะคุณ” ฟรานเสนอคุณสมบัติตัวเองขึ้นอย่างกระตือรือร้น



“ก็คงจริง อย่างคุณคงห่อของขวัญให้ผู้หญิงมาเยอะล่ะสิท่า” เพียงน้ำพลอยห่อของขวัญไปพลาง หัวเราะเบาๆ ไปพลาง เพราะคิดว่าคนอย่างเขาต่อให้มีพรสวรรค์เรื่องนี้จริงอย่างที่พูด จุดประสงค์ก็คงไม่พ้นเรื่องพรรค์นั้นอยู่วันยังค่ำ



“ทั้งชีวิตผมเคยห่อของขวัญให้คนแค่สามคน” ฟรานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ต่างไปจากเดิม จนเพียงน้ำพลอยต้องหยุดมือจากสิ่งที่ทำอยู่ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา ขณะที่ในใจก็เริ่มระแวดระวังว่าเขาจะเล่นลูกไม้อะไรกับตัวเองอีกรึเปล่า



“หยางหลง พ่อหยางหลง แล้วก็แม่หยางหลง” ฟรานถือวิสาสะเอื้อมไปคว้ากล่องของขวัญมาห่อเสียเอง ก่อนจะขยายความประโยคก่อนหน้าให้หญิงสาวตรงหน้าเข้าใจ



“...”เพียงน้ำพลอยไม่เอ่ยอะไรต่อ แล้วปล่อยให้แย่งของขวัญไปจากมือโดยไม่ท้วงติงอะไร คล้ายกำลังรอให้เขาอธิบายต่อไปอย่างใจเย็น ทว่าในขณะเดียวกันก็กำลังชั่งใจอยู่ว่าเขากำลังเล่านิทานหลอกเด็กให้เธอฟังอยู่รึเปล่า แต่ครั้นจะคิดอย่างนั้น ประกายในดวงตาสีเขม่าควันคู่นั้นก็ดูจะหม่นแสงลงหลายส่วน จนเธออดคิดไม่ได้ว่าวัยเด็กของเขาอาจไม่ได้สวยงามจริงๆ



“ตั้งแต่เด็กผมจะได้ของขวัญคริสต์มาสต์แค่สามกล่อง และได้ให้ของขวัญคนแค่สามคน ทั้งคนให้และคนรับของผมก็คือครอบครัวหยางหลง ผมเห็นเด็กๆ ในทีวีได้ของขวัญกันเยอะ บางคนแทบนอนจมลงไปในกองของขวัญ ผมอยากได้บ้าง พอถึงช่วงเทศกาลให้ของขวัญทีไร ก็เลยเอาของทุกอย่างในบ้านมาใส่กล่องห่อของขวัญจนหมด ทุกวันนี้หลับตาห่อยังได้เลย” น้ำเสียงทุ้มที่เคยรื่นหูชวนฟังยามบอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้น ฟังดูคล้ายเสียงที่ดังมาแต่ไกล แม้จะยังน่าฟังอยู่เช่นเดิม ทว่ากลับดูแผ่วหวิวและโดดเดี่ยวเหลือเกิน ชั่วขณะนั้น เพียงน้ำพลอยคล้ายกับได้ยินเสียงหัวเราะขื่นๆ ในลำคอเขาหลุดออกมาเบาๆ



ร่างบางทำทีราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่เขาเอ่ยออกมาเมื่อครู่ เพียงหยิบกล่องของขวัญอีกกล่องขึ้นมาห่อไปเรื่อยๆ จนเสร็จแล้วเลื่อนไปให้เขาอย่างง่ายๆ



“อ่ะ ของคุณ” ดวงตากลมโตดำขลับช้อนขึ้นมองดวงเนตรคมๆ นั้นเพียงครู่เดียว ก็หลุบตาลงมามองกระดาษห่อของขวัญบนโต๊ะเช่นเดิมราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงไม่ทันสังเกตว่าใครอีกคนยังคงเบิกตากว้างอย่างแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง



“ให้...ผมเหรอ...” ฟรานถามย้ำอีกครั้ง เพราะยังไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองนักว่าเขาจะมีวันได้ของขวัญวันคริสต์มาสต์จากคนอื่นด้วย ซ้ำยังมาจากคนที่เอาแต่ขับไล่ไสส่งเขาทุกสามนาทีด้วย



“เมอร์รี่คริสต์มาสต์” เพียงน้ำพลอยเอ่ยเรียบๆ



เธอเพียงแค่สงสาร...หรือไม่ก็แค่เวทนาคนไม่มีใครอย่างเขาเท่านั้น...เรื่องนั้นเขาเองก็รู้ดีแก่ใจ ทว่าถึงอย่างนั้น คำสั้นๆ เพียงไม่กี่คำนั้นก็ยังแผ่ไออุ่นซ่านไปทั่วทั้งใจเขา คล้ายเตาผิงน้อยๆ แผ่ไออุ่นหลอมละลายใจที่ถูกถมด้วยหิมะจนหนาวเหน็บ...



มือหนาค่อยๆ เอื้อมไปหยิบกล่องของขวัญสีเงินบนโต๊ะที่หญิงสาวเลื่อนมาให้ตรงหน้ามาเขย่าดูเบาๆ แล้วก็พบว่าในนั้นมีของอยู่จริงๆ ดวงเนตรคมกริบจึงยิ่งฉายแววประหลาดจริงยิ่งกว่าเดิม เพราะปกติแล้วกล่องของขวัญที่ว่างประดับตกแต่งนั้นมักจะเป็นเพียงแค่กล่องเปล่า หรือไม่ก็กล่องยัดกระดาษเท่านั้น คนร่างบางที่ยังก้มหน้าก้มตาห่อของขวัญเองก็รับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงเอ่ยขึ้นโดยไม่รอให้อีกฝ่ายถาม



“ฉันไม่ใช่คุณนะ ที่จะหลอกแกล้งคนอื่นได้ตลอดเวลา ถึงมันจะไม่ได้มีราคาค่างวดอะไร แต่ถ้าฉันบอกว่าจะให้ของขวัญ มันก็ต้องมีของขวัญ” เพียงน้ำพลอยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเดิม



แน่นอนว่ามันต้องมีของอยู่ในนั้นแน่... เพราะเธอแอบเอาช็อคโกแลตบาร์ที่ตั้งใจว่าจะเอาออกมากินเองใส่ลงไปในกล่อง ก่อนจะรีบห่อมันตอนที่เขาก้มหน้าก้มตาแย่งของขวัญเธอไปห่อ แม้ตัวเธอเองจะไม่ได้มีช่วงเวลาดีๆ ในชีวิตมากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในช่วงนี้ ที่หาเรื่องดีไม่ได้เลยสักเรื่อง แต่นั่นก็ยิ่งทำให้เธอรู้ว่าช่วงเวลาที่ย่ำแย่ คนที่เข้าใจและคอยอยู่เคียงข้างกันนั้นมีค่ามากแค่ไหน ถึงเธอกับเขาจะไม่ได้มีความสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อกันขนาดนั้น แต่จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา เธอกับเขาก็คงพอจะนับเป็นเพื่อนห่างๆ กันได้ สำหรับเธอแล้ว ให้ช็อคโกแลตเพื่อนสักแท่งก็ไม่นับว่านักหนาอะไร



แต่ที่เธอนึกไม่ถึงก็คือเขาจะดีอกดีใจได้ขนาดนี้ รอยยิ้มที่เคยมากเล่ห์เพทุบายในยามนี้กลับดูเจิดจ้าสดใส มือทั้งสองมือกอดกล่องของขวัญไม่ต่างจากเด็กตัวเล็กๆ ดวงตาทั้งดวงฉายแววดีใจจนแทบทำอะไรไม่ถูก ไม่เหลือคราบชายหนุ่มเจ้าชู้มากเล่ห์อยู่แม้แต่น้อย



หลังจากห่อของขวัญและตกแต่งต้นคริสต์มาสต์จนเสร็จ เพียงน้ำพลอยจึงเงยหน้าขึ้นมองแขกคนสุดท้ายของร้านพลางถอนหายใจอย่างระอา เมื่อเห็นว่าจนแล้วจนรอดเขาก็ยังกินกาแกแฟแก้วนั้นไม่หมด ทว่าพอตั้งท่าจะอ้าปากตวาดเขาอีกรอบ คนร่างสูงจอมยียวนที่ดูจะสงบปากสงบคำขึ้นเล็กน้อยหลังจากได้ของขวัญ ก็ยกแก้วกาแฟขึ้นกระดกรวดเดียวจนหมดแล้ววางแก้วเปล่าลงตรงหน้าเธอ ทำเอาเธอได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกระลอกแล้วหยิบแก้วไปเก็บในครัว หลังจากคิดเงินเขาเสร็จเรียบร้อย เธอจึงเก็บข้าวของเตรียมกลับบ้าน ส่วนเขาเองก็ยังกอดกล่องของขวัญสีเงินนั้นไม่ยอมวาง และรอเธอออกไปจากร้านพร้อมกัน



หลังจากปิดล็อกกุญแจร้านจนเสร็จเรียบร้อย เพียงน้ำพลอยก็เตรียมเดินตรงไปยังลานจอดรถ โดยไม่ได้สนใจเขาอีก เพราะคิดว่าเขาคงจะเดินแยกไปตามที่พูดแล้ว แต่ระหว่างทางไปลานจอดรถนั้น มีคนไม่น้อยหยุดมองหน้าเธอแล้วหันไปซุบซิบนินทากับคนข้างๆ บ้างก็ลอบหยิบกล้องถ่ายรูปออกมาถ่ายรูปเธอไว้ เธอจึงได้แต่ก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วรีบเดินให้เร็วขึ้น



ทว่าทันใดนั้น กลับมีมือหนาข้างหนึ่งเอื้อมมาคว้าไหล่บางๆ ของเธอไว้ พอเธอเงยหน้าขึ้นไปมองถึงได้เห็นว่าเป็นคนที่ควรไปแต่ยังไม่ไปนั่นเอง หากยังไม่ทันจะได้เอ่ยถาม หมวกแก๊ปสีดำใบหนึ่งก็วางลงมาสวมครอบศีรษะเธอเสียก่อน และพร้อมกันนั้น มือที่เคยคว้าไหล่เธอไว้ก็เปลี่ยนมากุมมือเธอเข้าไปไว้ในกระเป๋าเสื้อแจ๊กเก็ตหนังสีดำ ทำเอาดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ และรู้สึกว่านับวันเขายิ่งทำตัวรุ่มร่ามกับเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ครั้นพอจะเอ่ยปาก คนร่างสูงก็คล้ายกับอ่านใจเธอได้ยังไงยังงั้น พลันโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหูเธอเบาๆ



“เขาเรียกกลยุทธ์การเบี่ยงเบนความสนใจหรอกน่า” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ย ทว่าเมื่อดวงหน้าสวยหวานซับสีแดงระเรื่อนั้นเบือนหนีไป เป็นสัญญาณว่าไม่ได้ติดใจอะไรอีก รอยยิ้มมุมปากแสนเจ้าเล่ห์นั้นจึงยกขึ้นอีกครั้ง



‘น่ารักเนอะ...’



‘อิจฉาาา’



‘ผู้งานดีมากอ่ะ’



เสียงซุบซิบนินทาที่ถูกเบี่ยงประเด็นไปตามที่คนร่างสูงพูด เริ่มดังหนาหูขึ้นเรื่อยๆ จนเพียงน้ำพลอยรู้สึกเหมือนตัวเองถูกไฟลนที่สองข้างแก้ม ใบหน้าที่เคยคิดว่าจะได้เงยขึ้นดีๆ หลังจากได้ใส่หมวกบดบังใบหน้า กลับกลายเป็นว่าสุดท้ายต้องก้มหน้ามองเท้าตัวเองยิ่งกว่าเดิม ขณะที่คนบางคนนั้นดูจะมีความสุขเหลือเกิน ไม่มีวี่แววว่าจะทุกข์ร้อนอย่างเธอสักนิด เธอจึงกลั้นใจสาวเท้าเดินไปยังลานจอดรถอย่างเร็วรี่ หวังว่าจะให้ตัวเองอยู่ห่างจากเขาสักหนึ่งช่วงก้าวก็ยังดี จนใจที่สุดท้ายแล้วขาเขาก็ยังยาวกว่าเธออยู่วันยังค่ำ ต่อให้ออกวิ่งอย่างสุดฝีเท้าน่ากลัวว่าเขาก็คงวิ่งไปตัดหน้าเธอได้อยู่ดี



การเดินทางอันยาวนานในระยะทางแสนสั้นจบลงเมื่อเพียงน้ำพลอยกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาจนลานจอดรถ เธอกระชากมือตัวเองออกจากกระเป๋าเสื้อแจ๊กเก็ตเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบเอ่ยปากบอกลาเขาสั้นๆ เพื่อจะได้รีบไปให้พ้นๆ หน้าเขาสักที



“ขอบคุณนะที่เดินมาส่ง ฉันกลับล่ะ” เพียงน้ำพลอยเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แม้แต่ตัวเองก็ยังสัมผัสได้ว่าลุกลี้ลุกลน แต่สุดท้ายมันก็หลุดออกจากปากไปแล้ว เธอจึงตัดสินใจหันหลังเปิดประตูเตรียมขึ้นรถหนีสถานการณ์ชวนอึดอัดนี้มันเลยเสียดีกว่า



หากชั่วเสี้ยววินาทีนั้นเอง มือหนาทั้งสองข้างก็เอื้อมมาดันประตูรถเข้าไปตามเดิมแล้วโน้มไปค้ำยันมันไว้ กักขังเธอไว้ในวงแขนกว้างของเขา ใบหน้าหล่อเหลาดุจรูปปั้นสลักโน้มเข้ามาใกล้จนปลายจมูกโด่งเป็นสันนั้นเกือบจะแตะกับปลายจมูกของเธอ ลมหายใจร้อนระอุของเขาแทบเผาผลาญสติสัมปชัญญะของเธอจนหมดสิ้น รู้สึกคล้ายกับว่าตัวเองตวาดเขาออกไปเสียงดังลั่น ทว่าแท้ที่จริงแล้วแม้แต่ลมหายใจของเธอก็ยังถูกกลั้นเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว



“เมอร์รี่คริสต์มาสต์ครับ คุณพลอย...” ร่างสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย นัยน์ตาสีเขม่าควันคู่นั้นปรากฏคลื่นอารมณ์หลากหลายลูกโหมกระหน่ำจนเพียงน้ำพลอยอ่านไม่ออก รู้เพียงแต่ว่าเจ้าตัวคงมีหลายเรื่องที่โรมรันพันตูกันอยู่ในหัว และกว่าครึ่งหนึ่งในนั้นก็คงจะเป็นเรื่องดีๆ ที่ทำให้เขามีความสุขได้กระมัง ไออุ่นสายหนึ่งถึงได้แผ่ซ่านออกมาจนเธอรู้สึกได้



และครั้นพอได้ยินคำเรียกขานแสนหวานนั้นอีกครั้ง...หัวใจทั้งดวงที่คล้ายกับว่าไม่มีอยู่แล้วก็เกิดสั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง...



“ขอบคุณค่ะ” ร่างบางกล่าวขอบคุณเสียงแผ่ว ก่อนจะรีบหันไปกระชากประตูรถออกแล้วบึ่งรถออกไปทันที ทิ้งให้ชายหนุ่มร่างสูงอมยิ้มอยู่กับตัวเองเพียงลำพัง เมื่อเห็นว่ารถเบนซ์สีดำสนิทของเธอไปไกลจนลับตาแล้ว จึงค่อยออกรถไปยังบ้านตระกูลเฉียนหาครอบครัวของเพื่อนรักจอมมาเฟีย เพื่อยืนยันถึงสิ่งที่เคยติดต่อไว้ก่อนหน้านี้...







วันต่อมา...



แสงอุ่นๆ ในยามสายแผ่ซ่านมาไล่ไอหนาวพร้อมกับกลิ่นไม้เถาเลื้อยชมนาดจากรั้วหลังบ้านที่อวลมาจนถึงตัวเรือน หญิงชราวัยเหยียบเก้าสิบในเสื้อคอกระเช้าสีครีมกับโจงกระเบนหลวมโคร่งสีเขียวเข้ม นั่งพับเพียบเอนตัวพิงหมอนผ้าไหมทรงสามเหลี่ยม กำลังใช้สายตาที่เริ่มฟากฟางม้วนหมากพลูอยู่ในศาลากลางยกพื้นสูงกลางเรือน ด้านข้างมีอุ่นซึ่งนางต้นห้องคอยปรนนิบัติพัดวีอยู่ไม่ห่าง



ตั้งแต่เช้ามานี้ คุณหญิงพุดกรองโอดครวญปวดเมื่อยไปตามประสา แต่ก็ยังไม่ยอมเข้าไปเอนหลังข้างในห้องหับดีๆ พอถูกหลานสาวสุดรักรบเร้าหนักเข้า เธอจึงสั่งให้หลานเข้าไปดูขนมตาลที่นึ่งอยู่ในครัวเสียเลย จะได้ไม่รบกวนการรอคอยอย่างใจจดใจจ่อของเธอ คนเป็นหลานไม่รู้อะไรเป็นอะไรจึงรับคำอย่างว่าง่าย ปล่อยให้คุณย่าวัยชราของตนอยู่กับเชี่ยนหมากของตนต่อไป



และหลังจากไล่เพียงน้ำพลอยหลานสาวผู้ว่าง่ายเข้าไปในครัวแล้ว คุณหญิงพุดกรองก็ไม่ทันได้รอถึงชั่วอึดใจ บ่าวข้างล่างก็วิ่งขึ้นมารายงานเสียแล้ว



“คุณท่านเจ้าคะ คุณเจ้าจันทร์มาถึงเจ้าค่ะ” บ่าววัยแรกรุ่นวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมารายงานจนลืมเรื่องรักษากิริยาไปจนหมดสิ้น คุณหญิงพุดกรองจึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา หากก็นี่ก็ไม่ใช่เวลามาอบรมบ่าวไพร่ จึงออกปากไล่คนไปเตรียมน้ำท่ามาต้อนรับแขกให้เรียบร้อย



เพียงไม่กี่นาทีต่อมา หญิงสาวร่างเล็กก็ค่อยๆ ย่างขึ้นเรือนมา เมื่อเข้ามาใกล้ตัวศาลาจึงค่อยคลานเข้าไปกราบคุณหญิงผู้สูงวัยอย่างมีมารยาท ส่วนคนร่างสูงอีกคนที่ตามมานั้นก็ยังจับต้นชนปลายไม่ค่อยจะถูกนัก แต่เพราะถูกอีกคนที่มาด้วยบอกไว้ก่อนหน้าแล้วว่า หากมีอะไรไม่เข้าใจให้ทำตามเธอไปก่อนเป็นใช้ได้ เขาจึงค่อยๆ คลานเข้าไปยกมือไหว้หญิงสูงวัยตรงหน้าเลียนแบบเธอ



“ไหว้พระเถอะพ่อ” คุณหญิงพุดกรองอมยิ้มมองชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาหล่อเหลาข้างกายเพื่อนหลานสาวด้วยแววเอ็นดู



“นี่น่ะรึแม่เปี๊ยก คนที่หามาให้ย่าน่ะ” คุณหญิงสูงวัยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ ทว่าชัดถ้อยชัดคำ



“ค่ะคุณย่า เขาเป็นเพื่อนสนิทสามีเจ้าจันทร์เอง ไว้ใจได้แน่นอนค่ะ” น้ำผึ้งพระจันทร์รับประกันกับผู้ใหญ่สูงวัยอย่างมั่นอกมั่นใจ



“ดูท่าทางไม่ใช่คนไทย แล้วจะพูดจะจากันรู้เรื่องรึ” คุณหญิงพุดกรองเอียงคอมองเค้าโครงหน้าตาหล่อเหลานั้นอย่างประหลาดใจ หากก็มีแววชอบพออยู่หลายส่วนอย่างเห็นได้ชัด



“เขามาเมืองไทยบ่อยค่ะ ฟังภาษาไทยรู้เรื่อง ขอแค่พูดช้าหน่อยก็พอ” น้ำผึ้งพระจันทร์ตอบเสียงเจื้อยแจ้ว ก่อนจะหันไปหาคนร่างสูงข้างกาย เป็นสัญญาณให้เริ่มแนะนำตัวกับผู้ใหญ่ได้แล้ว



“สะ...สวัสดีครับ...ผม...ผมชื่อฟรานครับ” ฟรานยกมือไหว้หญิงชราตรงหน้าอีกครั้ง แล้วเริ่มแนะนำตัวด้วยภาษาไทยกระท่อนกระแท่นของตัวเอง ครั้นพอพูดจบก็ส่งยิ้มละไมให้อีกฝ่ายอย่างสุภาพ



“หน้าตาหล่อเหลาดีนะพ่อ ว่าแต่...มาทำอะไรที่เมืองไทยล่ะ” คุณหญิงพุดกรองถามพลางชมเปราะ



“ผมชอบ...เมืองไทยครับ อยากมาอยู่ครับ” ฟรานตอบไปพลางส่งยิ้มไปพลาง ทำเอาคุณหญิงผู้สูงวัยชักรู้สึกชื่นชมในอัธยาศัยของอีกฝ่าย



“งั้นรึ...แล้วพ่อทำงานทำการอะไรล่ะ มาอยู่ที่นี่ งานการจะไม่เสียหายรึ”



“ทำครับ ทำที่นี่ได้” ฟรานตอบกระท่อนกระแท่น แล้วหันไปให้น้ำผึ้งพระจันทร์ช่วยอธิบาย



“คุณฟรานเขาเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์น่ะค่ะ แล้วก็เป็นหุ้นส่วนกับบริษัทกับสามีเจ้าจันทร์เอง เรื่องงานเขาทำที่บ้านได้ค่ะคุณย่า” น้ำผึ้งพระจันทร์อธิบายอย่างคล่องแคล่ว ทั้งที่ความจริงแล้วเธอก็เพิ่งรู้จากเจ้าตัวเมื่อคืนนี้เองว่าเขาทำมาหากินอะไร



“อ่อ งั้นก็ดี มาอยู่ที่นี่ ฉันค่อนข้างมีระเบียบแบบแผนของฉัน พ่อจะอยู่ได้ใช่มั้ย” คุณหญิงพุดกรองถามย้ำอีกครั้ง เพราะกลัวอีกฝ่ายจะรับไม่ได้กับวิถีชีวิตที่สวนทางกับโลกภายนอกของที่นี่



“ได้ครับ...ผมชอบแบบนี้” ฟรานตอบพลางพยายามข่มอาการลิงโลดไว้ในใจ



“งั้นก็มาอยู่ซะที่นี่ ส่วนเรื่องค่าเช่าแม่เปี๊ยกเขาคงบอกแล้ว ฉันจะให้คนพาไปดูที่เรือนเล็ก ถ้าพ่อถูกใจ ก็เซ็นสัญญากันวันนี้เลย” คุณหญิงพุดกรองเจรจาธุรกิจอย่างรวบรัด หากก็ได้ใจความไม่ขาดไม่เกิน



“ขอบคุณครับ...” ยังไม่ทันที่ฟรานจะได้เอ่ยจนจบประโยค เสียงนุ่มหวานหูที่ยามนี้เจือแววขุ่นเคืองไปกว่าแปดส่วนก็ดังขึ้นเสียก่อน



“ดูเรือนเล็กอะไรคะคุณย่า” เพียงน้ำพลอยโพล่งถามขึ้นเสียงดัง เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ตรงหน้าเริ่มมีเค้าลางไม่ดี



คุณย่าเธอปิดปากเงียบตั้งแต่เช้า เธอถามว่ารอใครอยู่ก็ไม่ยอมพูด เอาแต่ไล่เธอไปไกลๆ แถมตอนนี้ยังมียัยแม่มดเพื่อนรักของเธอมานั่งอยู่กลางบ้าน และที่สำคัญที่สุดก็คือมีหมาป่าเจ้าเล่ห์ตัวนั้นมานั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ด้วย



ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ไม่มีทางมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นได้แน่!



ทันใดนั้นหางตาเธอก็เหลือบไปเห็นสิ่งแปลกปลอมบนตัวชายหนุ่มร่างสูงแสนคุ้นตาในเสื้อเชิ้ตสีขาวนั้น...



สวรรค์!! จี้สร้อยข้อมือดินเผารูปกระต่ายขาวของเธอ กลายเป็นจี้สร้อยคอเขาไปได้ยังไงกัน!



ระหว่างที่ความคิดร้อยแปดสู้รบกันอยู่ในหัว มือบางก็รีบคว้าข้อมือตัวเองขึ้นมาตรวจสอบ ก่อนจะก็พบว่ามีจี้รูปกระต่ายตัวหนึ่งหลุดหายไปจริงๆ และทันใดนั้นเองเสียงอธิบายเนิบนาบของผู้เป็นย่าก็ดังขึ้น คล้ายกริชตัดฟางเส้นสุดท้ายของเธอให้ขาดสะบั้นลง



“เสียงดังเชียวแม่พลอย ย่าแค่ให้แม่เปี๊ยกเขาช่วยหาคนมาเช่าเรือนเล็กของเราเท่านั้นเอง เจ้ามีปัญหาตรงไหนรึ”



“เช่าบ้าน!!!!” เพียงน้ำพลอยตาเบิกโพลง แหวขึ้นสุดเสียงด้วยความตกใจ



ทว่าพอครั้นหันไปมองคนมาเช่าบ้านร่างสูงคนนั้น



เขากลับยิ้มกริ่มอย่างเจ้าเล่ห์ ราวจ่าฝูงหมาป่าผู้กุมชัยชนะไว้ในมือยังไงยังงั้น...





หือออออ คิดถึงเฮียฟรานกับน้ำพลอยมากกก หายไปเป็นสามสี่เดือนเลย เป็นเทอมที่ไม่ได้อัพนิยายเลยสักตอน อยากจะบอกว่าไรท์พยายามแล้วจริงๆ น้าา แต่มันไม่มีเวลาเลย TT ปีสี่ปีสุดท้ายในชีวิตมหาลัยนี้หนักหนาสาหัสจริงๆ แต่ปิดเทอมแล้วคิดว่าคงมีเวลามากขึ้นเนอะ

ไม่รู้จะมีใครยังจำเฮียฟรานกับน้ำพลอยได้อยู่รึเปล่า ไม่รู้จะลืมไรท์กันไปแล้วรึยัง
แต่ถึงยังไงไรท์ก็ยังอยากจะเขียนต่อไป ใครยังไม่ลืมกันก็เป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยน้าา



##รุกคืบเข้าบ้านเขาแล้ววววว##

น้ำพลอยจะทำยังต่อไป กระต่ายน้อยจะหลุดพ้นเงื้อมมือหมาป่ารึเปล่า

อย่าลืมมาติดตามตอนต่อไปกันน้าา^^


อย่าลืมเม้น+โหวตเป็นกำลังใจให้กันด้วยน้าา



พริมสิตางศุ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ธ.ค. 2560, 02:02:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ธ.ค. 2560, 02:02:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 790





<< Chapter 12 : ฉันมักเจอคุณเวลาไม่อยากเจอใคร   Chapter 14 : รุกฆาต (50%) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account