ชุลมุนแผนร้าย ... ป่วนใจ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำไมเธอจะต้องมารับรู้เรื่องปวดหัวพวกนี้ด้วย!
ทั้งคนเล่นตลกกับเธอ ผีก็ยังมาเอ็นดูหลอกเธออีก
กอกานต์อยากจะกรีดร้อง หลังจากรู้ว่าเธอถูกหลอกทั้งจากคน และผี!
ในความวุ่นวายที่เธอต้องช่วยตามหาความจริง
อยู่ๆ เธอก็รักคนที่ไม่ควรรักขึ้นมา
เธอจะตัดใจจากตัวยุ่งอย่างดี??
ทั้งคนเล่นตลกกับเธอ ผีก็ยังมาเอ็นดูหลอกเธออีก
กอกานต์อยากจะกรีดร้อง หลังจากรู้ว่าเธอถูกหลอกทั้งจากคน และผี!
ในความวุ่นวายที่เธอต้องช่วยตามหาความจริง
อยู่ๆ เธอก็รักคนที่ไม่ควรรักขึ้นมา
เธอจะตัดใจจากตัวยุ่งอย่างดี??
Tags: ผี ฆาตกรรม ปิ่นนลิน
ตอน: ตอนที่ 10 - 75%
ตอนที่ 10 - 75%
ก่อนจะเข้าประชุมที่ห้องใหญ่ชั้นบนของตึกวัสวากรุ๊ปอยู่ๆ เจ้าเพื่อนรักก็โทรศัพท์มาเล่าอะไรแปลกๆ ภาสวินท์หัวเราะขำขณะตอบกลับเพื่อนซี้ เวลานี้เขาหลบแทนไทมาคุยโทรศัพท์เป็นการส่วนตัว
“นายน่ะตาฝาดแล้วไอ้หนึ่ง พี่วัสร์จะไปห้างฉันได้ยังไง แถมยังนั่นกินข้าวกับผู้หญิง … คือ …นายก็รู้ว่าพี่วัสร์ไม่มีทางออกไปไหนมาไหนได้ แถมเรื่องเพื่อนผู้หญิง ยิ่งไม่มีทาง”
ภาสวินท์คิดว่าหนึ่งฟ้าคงเห็นคนหน้าคล้ายพี่ชายเขามากกว่า ในเมื่อภาสวัสร์ไม่ได้ออกนอกห้องมาสิบกว่าปีเพราะโรคกลัวคน ขนาดเขาจะพาออกมาเดินห้างติดกับบ้าน พี่ชายยังไม่ยอม มีหรือจะหนีเที่ยวคนเดียว แถมยังในห้างใกล้ๆ เขาด้วยอีกเนี่ยนะ …เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!
“ตาฝาดหรือวะ อาจจะใช่มั้ง” หนึ่งฟ้าไม่เถียง ไม่กล้าฟันธงว่าใช่พี่ชายเพื่อนรักเสียทีเดียว
“เอ้อ หนึ่ง ฉันขอบใจเรื่องน้องรินนะ ฉันรับปากว่าจะดูแลหลานของนายอย่างดีเลย น้องรินจะได้ทำงานอย่างที่อยากทำด้วย โดยไม่ต้องเกาะติดกับน้าอย่างแก”
ภาสวินท์เปรยกับหนึ่งฟ้าวันก่อนว่าอยากได้คนมาช่วยงานด้านออกแบบ หนึ่งฟ้าจึงแนะนำหลานสาวนอกสายเลือดมาให้ ซึ่งก็คือ คิราริน ที่ภาสวินท์พอจะเคยพบหน้าอยู่บ้าง ล่าสุดก็ตอนน้องสาวของหนึ่งฟ้าแต่งงาน คิรารินเป็นญาติคนหนึ่งที่ไปร่วมงานแต่งงานนั้นด้วย
ปัญหาของคิรารินก็คือชอบทะเลาะกับน้าชาย น้าชายเลยส่งให้มาทำงานข้างนอกเสียเลย จะได้ตัดปัญหากวนหูไปได้บ้าง
ภาสวินท์มองนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าใกล้ถึงเวลาประชุมแล้ว
“งั้นแค่นี้ก่อนนะ ฉันต้องเข้าประชุมว่ะ ไว้นัดกินข้าวกัน บาย”
หลังจากวางสายจากหนึ่งฟ้า เจ้าตัวมั่นใจว่าพี่ชายไม่มีทางออกไปไหนมาไหนเองแน่ๆ แต่ก็อดจะห่วงไม่ได้จริงๆ จึงโทรศัพท์ไปหาสิริมา รอสายไม่นานสิริมาก็รับสาย
“คะคุณวินท์” น้ำเสียงสิริมาค่อนข้างเบา เธอไม่ลืมบอกเหตุผลที่ต้องพูดเสียงค่อยด้วย “คุณวัสร์นอนหลับค่ะ ให้กินยาแก้ปวดหัวไปก็หลับเลย”
“พี่วัสร์ไม่สบายหรือครับ” ภาสวินท์ถามกลับ “เป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“ก็เดิมๆ ค่ะ คุณวัสร์ไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว มีไข้ขึ้นนิดหน่อย แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ ส้มให้กินยา เดี๋ยวก็ดีขึ้นค่ะ ว่าแต่คุณวินท์มีอะไรกับส้มหรือคะ” มัวแต่คุยกัน สิริมาเลยไม่รู้เลยว่าภาสวินท์โทรศัพท์หาเธอทำไม
“อ่อ …ผมแค่อยากจะถามว่าพี่โอเคไหม คือแม่คงต้องนอนโรงพยาบาลอีกสองสามวัน ผมกลัวพี่วัสร์จะถามหาแม่น่ะครับ” ภาสวินท์หาเหตุผลข้ออื่น ที่ดูจะสมเหตุสมผลอยู่ ปกติมารดาจะเข้าไปเยี่ยมไปคุยกับภาสวัสร์ทุกๆ คืน ถ้ามารดาหาไป ภาสวัสร์อาจจะสงสัยก็ได้
“ไม่ต้องห่วงนะคะ ส้มจะหาวิธีบอกคุณวัสร์ให้ค่ะ”
ภาสวินท์วางสาย เดินกลับไปยังห้องประชุม เจอเดชาเดินตรงมาพอดี เห็นระยะห่างแล้วก็เบาใจว่าเดชาไม่มีทางได้ยินบทสนทนาของเขากับสิริมาแน่นอน
“สวัสดีครับคุณลุง” ภาสวินท์ยกมือไหว้ทักทายอีกฝ่าย เดชามีหุ้นในวัสวากรุ๊ปสัดส่วนรองจากมารดาร่วมกับเขา ปกติเดชาจะไม่เข้ามาวุ่นวายกับการบริหารห้างวัสวากรุ๊ป นอกจากจะมาประชุมรับรู้ผลการดำเนินงานหรือผลประกอบการธุรกิจบางครั้งเท่านั้น
น่าแปลกที่ครั้งนี้ไม่ใช่ประชุมใหญ่ แต่เดชาก็แจ้งความประสงค์อยากเข้าฟังด้วย โดยให้เหตุผลว่าจะพาลูกสาวมาหัดเรียนรู้งานบ้าง
“ได้ยินว่าคุณลุงจะพานิกกี้มาด้วย” ภาสวินท์ถาม ตอนนี้เห็นเดชามาเพียงลำพัง ไม่มีชนิณิภาติดสอยห้อยตามมาเลย
“เมื่อกี้บอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำนะ เดี๋ยวก็คงเดินตามมา จริงสิ เมื่อกี้ลุงไปเยี่ยมแม่เรามา แม่เราดูดีขึ้นเยอะ เดี๋ยวก็คงหายดีแล้วนะ” เดชาตบไหล่คนหนุ่มกว่าเบาๆ เชิงให้กำลังใจ
“ขอบคุณครับคุณลุง” ภาสวินท์ตอบ ในสมองก็คิดห่วงพี่ชายจนเผลอหันไปมองบ้านผ่านหน้าต่าง เดชายังคงชวนคุยอยู่หน้าประตูห้องประชุม
“จริงๆ ลุงไม่อยากจะยุ่งเรื่องในบ้านของวินท์หรอกนะ” เดชาเอ่ยด้วยเสียงลำบากใจ แต่ก็แสดงออกว่าเป็นห่วงภาสวินท์จริงๆ
“แต่ลุงว่าวินท์ควรให้วัสร์กลับมาช่วยงาน ตอนนี้อะไรๆ ก็ผ่านไปแล้ว ที่นี่ก็มีชีวิตชีวามากขึ้น วินท์เองก็จะได้พักผ่อนบ้าง”
ภาสวินท์รู้ดีแก่ใจว่าทำไมภาสวัสร์ถึงมาทำงานที่วัสวากรุ๊ปไม่ได้ แต่อีกฝ่ายทราบแค่ว่าภาสวัสร์ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ ไม่อยากกลับไทยแค่นั้น ภาสวินท์ก็ต้องใช้เหตุผลเดิมๆ ในการตอบเดชา
“ผมตามใจพี่วัสร์เขาน่ะครับ เขาไม่อยากกลับ ผมก็ไม่อยากบังคับเขา …เอ่อ … คนพร้อมแล้ว เราเข้าไปประชุมกันดีกว่านะครับ”
เดชาไม่ถามเรื่องภาสวัสร์อีก และชนิณิภาก็ไม่โผล่เข้าห้องประชุมตลอดสองชั่วโมงเลยด้วย
“นี่พี่แนทคะ พี่วินท์ประชุมถึงกี่โมงหรือคะ อืม งั้นนิกกี้รอในห้องพี่วินท์นะคะ” เสียงแหลมเล็กของผู้หญิงเรียกสายตาของทั้งกอกานต์และคิรารินจากจอคอมพิวเตอร์ ชะโงกมองไปยังโต๊ะทำงานของรุจิราซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าห้องภาสวิท์ฝั่งแผนกการตลาด
ภาพหญิงสาวผมยาวถึงกลางหลัง หุ่นสะโอดสะอง ส่วนโค้งเว้าของรูปร่างชัดเจน อกเป็นอก ก้นเป็นก้น เอวคอด ขาเรียว ยิ่งรวมเดรสเกาะอกกระโปรงสั้นรัดรูปสีชมพูยิ่งเน้นหุ่นยั่วสายตาชายหนุ่มแถวนั้นให้แอบมอง แม้มีเสื้อนอกคลุมไหล่ไว้แต่ก็ปกปิดอกอึ๋มไม่มิด ใบหน้าสวยค่อนข้างเก๋แต่งแต้มเครื่องสำอางจัดเต็ม ขนตาเด้งเห็นแต่ไกล ริมฝีปากอิ่มเคลือบสีชมพูแข่งกับชุดของเจ้าตัว แขนซ้ายคนสวยหุ่นดีมีถุงกระดาษร้านเสื้อผ้าคล้องอยู่ ส่วนอีกมือถือแก้วกาแฟเย็น ท่าทางหยิ่งเชิดน่าดู
“โอ้โห เจอกี่ทีๆ ก็ยังหุ่นดีไม่เปลี่ยน ไม่รู้วันๆ กินอะไรบ้าง” คิรารินพูดขึ้นขณะจ้องสาวชุดชมพู น้ำเสียงคนพูดชื่นชมในความพยายามรักษาหุ่นของคนในสายตา
“ใครหรือคะ” กอกานต์ถามอย่างสนใจ
“จะใคร ยัยนิกกี้ คู่หมั้นพี่วินท์ยังไงล่ะ” คิรารินเคยเจอภาสวินท์ควงออกงานมาสามปี และรู้จักชนิณิภาผ่านคำบอกเล่าของหนึ่งฟ้า ชนิณิภาเป็นคุณหนูจอมเอาแต่ใจสมบูรณ์แบบ ขัดใจอะไรนิดอะไรหน่อยก็กลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตได้ ภาสวินท์คงเอือมระอาไม่น้อย แต่จะทำอย่างไรในเมื่อผู้ใหญ่สองฝ่ายจัดการให้เสร็จสรรพ
“อ่อ คนนี้นี่เอง เคยได้ยินคุณแทนพูดถึงหลายครั้ง แต่ไม่เคยเห็นหน้าค่ะ” พอได้เห็นหน้าชนิณิภา กอกานต์คิดว่าคู่หมั้นของเจ้านายเป็นคนสวยมากจริงๆ และออร่าชวนปวดหัวก็ชัดมากด้วย มิน่าแทนไทถึงชอบบ่นสงสารเวลาเจ้านายต้องไปพบคู่หมั้น
“อยู่ห่างๆ ไว้เป็นดีค่ะน้องแก้ม อย่าไปคุยด้วยมาก ปวดหัวค่ะ” คิรารินเตือนแล้วต้องหยุดเมาท์เมื่อชนิณิภาเดินตรงมายังพวกเธอ
“สวัสดีค่ะ นี่น่ะหรือคะพนักงานที่คุณแม่บอกว่าจะมาช่วยพี่วินท์ ทำไมไม่เห็นรู้เลยว่าเป็นผู้หญิง” ชนิณิภาเขม่นมองสองสาวแผนกออกแบบ
ใครจะตอบได้ …กอกานต์ถามกลับแค่ในใจ เธอมองก็รู้ว่าไม่ควรสาวความยาวความยืดกับคู่หมั้นเจ้านาย เดี๋ยวเกิดขัดใจเข้าอาจจะตกงานได้ง่ายๆ
“ฉันชื่อนิกกี้ เป็นแฟนพี่วินท์ เธอชื่ออะไรกันบ้างเหรอ” ชนิณิภายืนอยู่ตรงประตูระหว่างห้องทำงานของคู่หมั้นกับแผนกออกแบบ
“ฉันชื่อรินค่ะ ส่วนน้องคนนี้ชื่อแก้ม” คิรารินเป็นคนตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ค่ะ ถ้ายังไงก็อยู่ช่วยพี่วินท์เยอะๆ นะคะ พี่วินท์จะได้ทำงานน้อยลงบ้าง” พูดจบ ชนิณิภาก็เหยียดยิ้มเชิดๆ ก่อนจะหมุนตัวเพื่อกลับไปนั่งรอในห้องคู่หมั้น ทว่าอยู่ดีๆ เจ้าหล่อนก็ล้มคะมำไปข้างหน้า ร้องว้ายดังลั่น ทำให้ทั้งกอกานต์ และคนอื่นๆ ต่างลุกขึ้นมอง คิรารินกับรุจิราเป็นคนแรกๆ ที่พุ่งเข้าไปหาคนเจ็บซึ่งร้องโอดโอยเพราะเข่ากระแทกกับพื้นอย่างแรง
ส่วนกอกานต์ยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นขณะคนอื่นกำลังแตกตื่น ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีน้ำใจต่อชนิณิภาหรืออย่างไร หากภาพที่เห็นก่อนหน้าชนิณิภาล้มทำให้เธอขยับเท้าไม่ออกมากกว่า
ดวงตากลมของกอกานต์เบิกค้างกับวิญญาณผีสาวคอหักในชุดกระโปรงลายดอกเก่าๆ ที่ค่อยๆ หันมาสบตา ใบหน้าวิญญาณดวงนั้นที่เอียงข้างพับผิดรูปยกมุมปากเกิดเป็นรอยยิ้มก่อนจะลอยผ่านหน้าเธอออกไปทางประตูแล้วหายไปในอากาศ
นี่กอกานต์ตาฝาดไปเองหรือเปล่า เธอเห็นผีสาวยืนขวางขณะชนิณิภากำลังเดิน แล้วอยู่ๆ ชนิณิภาก็ล้มหน้าคะมำ!
กว่ากอกานต์จะดึงสติกลับมาและเลิกความสนใจจากผีสาวคอหักได้ก็ตอนได้ยินเสียงชนิณิภาโวยวายออดอ้อนภาสวินท์แว่วเข้าหู
เกือบสองชั่วโมงให้หลัง ภาสวินท์กลับมาที่ออฟฟิศอีกครั้ง เขาพาชนิณิภาไปทำแผลและคงปลอบใจอยู่พักใหญ่ ซึ่งพอเขากลับมาก็ถึงเวลาเลิกงานแล้ว ทำให้คนในแผนกการตลาดเหลือเพียงไม่กี่คนที่ยังนั่งเคลียร์งานอยู่
ส่วนกอกานต์ไม่มีสมาธิในการทำงานเลย เอาแต่คิดถึงภาพวิญญาณผู้หญิงคอหักที่เห็น ทำไมผีสาวถึงต้องแกล้งชนิณิภาด้วย ผีตัวนั้นต้องการอะไรกันแน่
“แก้ม” คิรารินส่งเสียงเรียก กอกานต์หลุดออกจากความคิด หันไปถามคนเรียกอย่างตื่นๆ
“พี่ริน มีอะไรหรือคะ”
“ตาลอยเชียว เหม่ออะไร หรือว่าคิดถึงแฟน” คิรารินแอบสังเกตว่ากอกานต์นั่งเหม่อใจลอย สงสัยอาจจะคิดถึงหนุ่มในร้านอาหาร
“คะ? พี่รินหมายถึงแก้มน่ะหรือคะที่คิดถึงแฟน” กอกานต์สงสัยว่าทำไมอยู่ๆ คิรารินถึงแซวแบบนี้ เธอไปมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่
“ใช่ หนุ่มแว่นในร้านอาหารที่พี่เจอไงล่ะ หน้าตาดีนะ แอบอิจฉาเลย นั่งจับมือกันด้วยอ่ะ หวานมาก” คิรารินทำหน้าเคลิ้มกับภาพกอกานต์นั่งจับมือชายหนุ่มในร้านอาหาร แต่เพราะนั่งไกลและสวมหมวกแก๊ปเลยมองหน้าชายหนุ่มของเพื่อนร่วมงานไม่ชัด เห็นแค่ใส่แว่นกับผิวขาว จมูกโด่งเท่านั้นเอง
“พี่รินคะ แก้มไม่ …” กอกานต์จะแก้ความเข้าใจผิด แต่ภาสวินท์เดินมาวางแฟ้มลงบนโต๊ะเธอเสียก่อน ทำให้กอกานต์ละสายตาจากคิรารินไปมองเจ้านาย หัวใจของกอกานต์วูบกับดวงตาดุคมเหมือนมีดแหลมๆ ของเจ้านายที่มองเธอ
“น้องริน ไอ้หนึ่งมันมารอข้างล่างแล้ว รีบกลับเถอะ” ภาสวินท์พูดกับคิรารินน้ำเสียงปกติ แววตาก็ใจดีธรรมดา ก่อนจะกลับมาตวัดตาดุใส่กอกานต์
“คุณแก้ม ผมต้องการให้คุณหาไฟล์งานที่อยู่ในแฟ้มนี้ให้เจอภายในวันนี้ มันอยู่ในฮาร์ดดิสก้อนที่ผมเคยให้คุณ ถ้าหาเจอแล้วก็เซฟลงคอมไว้นะครับ”
น้ำเสียงดุผิดกับที่คุยกับคิราริน จนกอกานต์งงไปหมดว่า … นี่เธอทำอะไรผิดหรือเปล่า?
ตอนที่ 10 - 75%
นำนิยายมาส่งค่าา วันหยุดยาวไปเที่ยวไหนกันหรือเปล่าคะ ^^
คุณแว่นใส - พี่วัสร์เกือบซวยเลยค่ะ แต่แก้มซวยไปก่อนแล้ว ฮี่ๆ
ตุณ kaelek - อยู่ๆ พี่วินท์มามาดโหด แก้มได้แต่งง 5555
พบกันใหม่ตอนหน้าค่า ขอบคุณสำหรับการติดตามค่า
ก่อนจะเข้าประชุมที่ห้องใหญ่ชั้นบนของตึกวัสวากรุ๊ปอยู่ๆ เจ้าเพื่อนรักก็โทรศัพท์มาเล่าอะไรแปลกๆ ภาสวินท์หัวเราะขำขณะตอบกลับเพื่อนซี้ เวลานี้เขาหลบแทนไทมาคุยโทรศัพท์เป็นการส่วนตัว
“นายน่ะตาฝาดแล้วไอ้หนึ่ง พี่วัสร์จะไปห้างฉันได้ยังไง แถมยังนั่นกินข้าวกับผู้หญิง … คือ …นายก็รู้ว่าพี่วัสร์ไม่มีทางออกไปไหนมาไหนได้ แถมเรื่องเพื่อนผู้หญิง ยิ่งไม่มีทาง”
ภาสวินท์คิดว่าหนึ่งฟ้าคงเห็นคนหน้าคล้ายพี่ชายเขามากกว่า ในเมื่อภาสวัสร์ไม่ได้ออกนอกห้องมาสิบกว่าปีเพราะโรคกลัวคน ขนาดเขาจะพาออกมาเดินห้างติดกับบ้าน พี่ชายยังไม่ยอม มีหรือจะหนีเที่ยวคนเดียว แถมยังในห้างใกล้ๆ เขาด้วยอีกเนี่ยนะ …เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!
“ตาฝาดหรือวะ อาจจะใช่มั้ง” หนึ่งฟ้าไม่เถียง ไม่กล้าฟันธงว่าใช่พี่ชายเพื่อนรักเสียทีเดียว
“เอ้อ หนึ่ง ฉันขอบใจเรื่องน้องรินนะ ฉันรับปากว่าจะดูแลหลานของนายอย่างดีเลย น้องรินจะได้ทำงานอย่างที่อยากทำด้วย โดยไม่ต้องเกาะติดกับน้าอย่างแก”
ภาสวินท์เปรยกับหนึ่งฟ้าวันก่อนว่าอยากได้คนมาช่วยงานด้านออกแบบ หนึ่งฟ้าจึงแนะนำหลานสาวนอกสายเลือดมาให้ ซึ่งก็คือ คิราริน ที่ภาสวินท์พอจะเคยพบหน้าอยู่บ้าง ล่าสุดก็ตอนน้องสาวของหนึ่งฟ้าแต่งงาน คิรารินเป็นญาติคนหนึ่งที่ไปร่วมงานแต่งงานนั้นด้วย
ปัญหาของคิรารินก็คือชอบทะเลาะกับน้าชาย น้าชายเลยส่งให้มาทำงานข้างนอกเสียเลย จะได้ตัดปัญหากวนหูไปได้บ้าง
ภาสวินท์มองนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าใกล้ถึงเวลาประชุมแล้ว
“งั้นแค่นี้ก่อนนะ ฉันต้องเข้าประชุมว่ะ ไว้นัดกินข้าวกัน บาย”
หลังจากวางสายจากหนึ่งฟ้า เจ้าตัวมั่นใจว่าพี่ชายไม่มีทางออกไปไหนมาไหนเองแน่ๆ แต่ก็อดจะห่วงไม่ได้จริงๆ จึงโทรศัพท์ไปหาสิริมา รอสายไม่นานสิริมาก็รับสาย
“คะคุณวินท์” น้ำเสียงสิริมาค่อนข้างเบา เธอไม่ลืมบอกเหตุผลที่ต้องพูดเสียงค่อยด้วย “คุณวัสร์นอนหลับค่ะ ให้กินยาแก้ปวดหัวไปก็หลับเลย”
“พี่วัสร์ไม่สบายหรือครับ” ภาสวินท์ถามกลับ “เป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“ก็เดิมๆ ค่ะ คุณวัสร์ไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว มีไข้ขึ้นนิดหน่อย แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ ส้มให้กินยา เดี๋ยวก็ดีขึ้นค่ะ ว่าแต่คุณวินท์มีอะไรกับส้มหรือคะ” มัวแต่คุยกัน สิริมาเลยไม่รู้เลยว่าภาสวินท์โทรศัพท์หาเธอทำไม
“อ่อ …ผมแค่อยากจะถามว่าพี่โอเคไหม คือแม่คงต้องนอนโรงพยาบาลอีกสองสามวัน ผมกลัวพี่วัสร์จะถามหาแม่น่ะครับ” ภาสวินท์หาเหตุผลข้ออื่น ที่ดูจะสมเหตุสมผลอยู่ ปกติมารดาจะเข้าไปเยี่ยมไปคุยกับภาสวัสร์ทุกๆ คืน ถ้ามารดาหาไป ภาสวัสร์อาจจะสงสัยก็ได้
“ไม่ต้องห่วงนะคะ ส้มจะหาวิธีบอกคุณวัสร์ให้ค่ะ”
ภาสวินท์วางสาย เดินกลับไปยังห้องประชุม เจอเดชาเดินตรงมาพอดี เห็นระยะห่างแล้วก็เบาใจว่าเดชาไม่มีทางได้ยินบทสนทนาของเขากับสิริมาแน่นอน
“สวัสดีครับคุณลุง” ภาสวินท์ยกมือไหว้ทักทายอีกฝ่าย เดชามีหุ้นในวัสวากรุ๊ปสัดส่วนรองจากมารดาร่วมกับเขา ปกติเดชาจะไม่เข้ามาวุ่นวายกับการบริหารห้างวัสวากรุ๊ป นอกจากจะมาประชุมรับรู้ผลการดำเนินงานหรือผลประกอบการธุรกิจบางครั้งเท่านั้น
น่าแปลกที่ครั้งนี้ไม่ใช่ประชุมใหญ่ แต่เดชาก็แจ้งความประสงค์อยากเข้าฟังด้วย โดยให้เหตุผลว่าจะพาลูกสาวมาหัดเรียนรู้งานบ้าง
“ได้ยินว่าคุณลุงจะพานิกกี้มาด้วย” ภาสวินท์ถาม ตอนนี้เห็นเดชามาเพียงลำพัง ไม่มีชนิณิภาติดสอยห้อยตามมาเลย
“เมื่อกี้บอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำนะ เดี๋ยวก็คงเดินตามมา จริงสิ เมื่อกี้ลุงไปเยี่ยมแม่เรามา แม่เราดูดีขึ้นเยอะ เดี๋ยวก็คงหายดีแล้วนะ” เดชาตบไหล่คนหนุ่มกว่าเบาๆ เชิงให้กำลังใจ
“ขอบคุณครับคุณลุง” ภาสวินท์ตอบ ในสมองก็คิดห่วงพี่ชายจนเผลอหันไปมองบ้านผ่านหน้าต่าง เดชายังคงชวนคุยอยู่หน้าประตูห้องประชุม
“จริงๆ ลุงไม่อยากจะยุ่งเรื่องในบ้านของวินท์หรอกนะ” เดชาเอ่ยด้วยเสียงลำบากใจ แต่ก็แสดงออกว่าเป็นห่วงภาสวินท์จริงๆ
“แต่ลุงว่าวินท์ควรให้วัสร์กลับมาช่วยงาน ตอนนี้อะไรๆ ก็ผ่านไปแล้ว ที่นี่ก็มีชีวิตชีวามากขึ้น วินท์เองก็จะได้พักผ่อนบ้าง”
ภาสวินท์รู้ดีแก่ใจว่าทำไมภาสวัสร์ถึงมาทำงานที่วัสวากรุ๊ปไม่ได้ แต่อีกฝ่ายทราบแค่ว่าภาสวัสร์ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ ไม่อยากกลับไทยแค่นั้น ภาสวินท์ก็ต้องใช้เหตุผลเดิมๆ ในการตอบเดชา
“ผมตามใจพี่วัสร์เขาน่ะครับ เขาไม่อยากกลับ ผมก็ไม่อยากบังคับเขา …เอ่อ … คนพร้อมแล้ว เราเข้าไปประชุมกันดีกว่านะครับ”
เดชาไม่ถามเรื่องภาสวัสร์อีก และชนิณิภาก็ไม่โผล่เข้าห้องประชุมตลอดสองชั่วโมงเลยด้วย
“นี่พี่แนทคะ พี่วินท์ประชุมถึงกี่โมงหรือคะ อืม งั้นนิกกี้รอในห้องพี่วินท์นะคะ” เสียงแหลมเล็กของผู้หญิงเรียกสายตาของทั้งกอกานต์และคิรารินจากจอคอมพิวเตอร์ ชะโงกมองไปยังโต๊ะทำงานของรุจิราซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าห้องภาสวิท์ฝั่งแผนกการตลาด
ภาพหญิงสาวผมยาวถึงกลางหลัง หุ่นสะโอดสะอง ส่วนโค้งเว้าของรูปร่างชัดเจน อกเป็นอก ก้นเป็นก้น เอวคอด ขาเรียว ยิ่งรวมเดรสเกาะอกกระโปรงสั้นรัดรูปสีชมพูยิ่งเน้นหุ่นยั่วสายตาชายหนุ่มแถวนั้นให้แอบมอง แม้มีเสื้อนอกคลุมไหล่ไว้แต่ก็ปกปิดอกอึ๋มไม่มิด ใบหน้าสวยค่อนข้างเก๋แต่งแต้มเครื่องสำอางจัดเต็ม ขนตาเด้งเห็นแต่ไกล ริมฝีปากอิ่มเคลือบสีชมพูแข่งกับชุดของเจ้าตัว แขนซ้ายคนสวยหุ่นดีมีถุงกระดาษร้านเสื้อผ้าคล้องอยู่ ส่วนอีกมือถือแก้วกาแฟเย็น ท่าทางหยิ่งเชิดน่าดู
“โอ้โห เจอกี่ทีๆ ก็ยังหุ่นดีไม่เปลี่ยน ไม่รู้วันๆ กินอะไรบ้าง” คิรารินพูดขึ้นขณะจ้องสาวชุดชมพู น้ำเสียงคนพูดชื่นชมในความพยายามรักษาหุ่นของคนในสายตา
“ใครหรือคะ” กอกานต์ถามอย่างสนใจ
“จะใคร ยัยนิกกี้ คู่หมั้นพี่วินท์ยังไงล่ะ” คิรารินเคยเจอภาสวินท์ควงออกงานมาสามปี และรู้จักชนิณิภาผ่านคำบอกเล่าของหนึ่งฟ้า ชนิณิภาเป็นคุณหนูจอมเอาแต่ใจสมบูรณ์แบบ ขัดใจอะไรนิดอะไรหน่อยก็กลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตได้ ภาสวินท์คงเอือมระอาไม่น้อย แต่จะทำอย่างไรในเมื่อผู้ใหญ่สองฝ่ายจัดการให้เสร็จสรรพ
“อ่อ คนนี้นี่เอง เคยได้ยินคุณแทนพูดถึงหลายครั้ง แต่ไม่เคยเห็นหน้าค่ะ” พอได้เห็นหน้าชนิณิภา กอกานต์คิดว่าคู่หมั้นของเจ้านายเป็นคนสวยมากจริงๆ และออร่าชวนปวดหัวก็ชัดมากด้วย มิน่าแทนไทถึงชอบบ่นสงสารเวลาเจ้านายต้องไปพบคู่หมั้น
“อยู่ห่างๆ ไว้เป็นดีค่ะน้องแก้ม อย่าไปคุยด้วยมาก ปวดหัวค่ะ” คิรารินเตือนแล้วต้องหยุดเมาท์เมื่อชนิณิภาเดินตรงมายังพวกเธอ
“สวัสดีค่ะ นี่น่ะหรือคะพนักงานที่คุณแม่บอกว่าจะมาช่วยพี่วินท์ ทำไมไม่เห็นรู้เลยว่าเป็นผู้หญิง” ชนิณิภาเขม่นมองสองสาวแผนกออกแบบ
ใครจะตอบได้ …กอกานต์ถามกลับแค่ในใจ เธอมองก็รู้ว่าไม่ควรสาวความยาวความยืดกับคู่หมั้นเจ้านาย เดี๋ยวเกิดขัดใจเข้าอาจจะตกงานได้ง่ายๆ
“ฉันชื่อนิกกี้ เป็นแฟนพี่วินท์ เธอชื่ออะไรกันบ้างเหรอ” ชนิณิภายืนอยู่ตรงประตูระหว่างห้องทำงานของคู่หมั้นกับแผนกออกแบบ
“ฉันชื่อรินค่ะ ส่วนน้องคนนี้ชื่อแก้ม” คิรารินเป็นคนตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ค่ะ ถ้ายังไงก็อยู่ช่วยพี่วินท์เยอะๆ นะคะ พี่วินท์จะได้ทำงานน้อยลงบ้าง” พูดจบ ชนิณิภาก็เหยียดยิ้มเชิดๆ ก่อนจะหมุนตัวเพื่อกลับไปนั่งรอในห้องคู่หมั้น ทว่าอยู่ดีๆ เจ้าหล่อนก็ล้มคะมำไปข้างหน้า ร้องว้ายดังลั่น ทำให้ทั้งกอกานต์ และคนอื่นๆ ต่างลุกขึ้นมอง คิรารินกับรุจิราเป็นคนแรกๆ ที่พุ่งเข้าไปหาคนเจ็บซึ่งร้องโอดโอยเพราะเข่ากระแทกกับพื้นอย่างแรง
ส่วนกอกานต์ยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นขณะคนอื่นกำลังแตกตื่น ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีน้ำใจต่อชนิณิภาหรืออย่างไร หากภาพที่เห็นก่อนหน้าชนิณิภาล้มทำให้เธอขยับเท้าไม่ออกมากกว่า
ดวงตากลมของกอกานต์เบิกค้างกับวิญญาณผีสาวคอหักในชุดกระโปรงลายดอกเก่าๆ ที่ค่อยๆ หันมาสบตา ใบหน้าวิญญาณดวงนั้นที่เอียงข้างพับผิดรูปยกมุมปากเกิดเป็นรอยยิ้มก่อนจะลอยผ่านหน้าเธอออกไปทางประตูแล้วหายไปในอากาศ
นี่กอกานต์ตาฝาดไปเองหรือเปล่า เธอเห็นผีสาวยืนขวางขณะชนิณิภากำลังเดิน แล้วอยู่ๆ ชนิณิภาก็ล้มหน้าคะมำ!
กว่ากอกานต์จะดึงสติกลับมาและเลิกความสนใจจากผีสาวคอหักได้ก็ตอนได้ยินเสียงชนิณิภาโวยวายออดอ้อนภาสวินท์แว่วเข้าหู
เกือบสองชั่วโมงให้หลัง ภาสวินท์กลับมาที่ออฟฟิศอีกครั้ง เขาพาชนิณิภาไปทำแผลและคงปลอบใจอยู่พักใหญ่ ซึ่งพอเขากลับมาก็ถึงเวลาเลิกงานแล้ว ทำให้คนในแผนกการตลาดเหลือเพียงไม่กี่คนที่ยังนั่งเคลียร์งานอยู่
ส่วนกอกานต์ไม่มีสมาธิในการทำงานเลย เอาแต่คิดถึงภาพวิญญาณผู้หญิงคอหักที่เห็น ทำไมผีสาวถึงต้องแกล้งชนิณิภาด้วย ผีตัวนั้นต้องการอะไรกันแน่
“แก้ม” คิรารินส่งเสียงเรียก กอกานต์หลุดออกจากความคิด หันไปถามคนเรียกอย่างตื่นๆ
“พี่ริน มีอะไรหรือคะ”
“ตาลอยเชียว เหม่ออะไร หรือว่าคิดถึงแฟน” คิรารินแอบสังเกตว่ากอกานต์นั่งเหม่อใจลอย สงสัยอาจจะคิดถึงหนุ่มในร้านอาหาร
“คะ? พี่รินหมายถึงแก้มน่ะหรือคะที่คิดถึงแฟน” กอกานต์สงสัยว่าทำไมอยู่ๆ คิรารินถึงแซวแบบนี้ เธอไปมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่
“ใช่ หนุ่มแว่นในร้านอาหารที่พี่เจอไงล่ะ หน้าตาดีนะ แอบอิจฉาเลย นั่งจับมือกันด้วยอ่ะ หวานมาก” คิรารินทำหน้าเคลิ้มกับภาพกอกานต์นั่งจับมือชายหนุ่มในร้านอาหาร แต่เพราะนั่งไกลและสวมหมวกแก๊ปเลยมองหน้าชายหนุ่มของเพื่อนร่วมงานไม่ชัด เห็นแค่ใส่แว่นกับผิวขาว จมูกโด่งเท่านั้นเอง
“พี่รินคะ แก้มไม่ …” กอกานต์จะแก้ความเข้าใจผิด แต่ภาสวินท์เดินมาวางแฟ้มลงบนโต๊ะเธอเสียก่อน ทำให้กอกานต์ละสายตาจากคิรารินไปมองเจ้านาย หัวใจของกอกานต์วูบกับดวงตาดุคมเหมือนมีดแหลมๆ ของเจ้านายที่มองเธอ
“น้องริน ไอ้หนึ่งมันมารอข้างล่างแล้ว รีบกลับเถอะ” ภาสวินท์พูดกับคิรารินน้ำเสียงปกติ แววตาก็ใจดีธรรมดา ก่อนจะกลับมาตวัดตาดุใส่กอกานต์
“คุณแก้ม ผมต้องการให้คุณหาไฟล์งานที่อยู่ในแฟ้มนี้ให้เจอภายในวันนี้ มันอยู่ในฮาร์ดดิสก้อนที่ผมเคยให้คุณ ถ้าหาเจอแล้วก็เซฟลงคอมไว้นะครับ”
น้ำเสียงดุผิดกับที่คุยกับคิราริน จนกอกานต์งงไปหมดว่า … นี่เธอทำอะไรผิดหรือเปล่า?
ตอนที่ 10 - 75%
นำนิยายมาส่งค่าา วันหยุดยาวไปเที่ยวไหนกันหรือเปล่าคะ ^^
คุณแว่นใส - พี่วัสร์เกือบซวยเลยค่ะ แต่แก้มซวยไปก่อนแล้ว ฮี่ๆ
ตุณ kaelek - อยู่ๆ พี่วินท์มามาดโหด แก้มได้แต่งง 5555
พบกันใหม่ตอนหน้าค่า ขอบคุณสำหรับการติดตามค่า
ปิ่นนลิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ก.ค. 2560, 03:12:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ก.ค. 2560, 03:21:14 น.
จำนวนการเข้าชม : 834
<< ตอนที่ 10-50% | ตอนที่ 10-100% >> |
kaelek 30 ก.ค. 2560, 07:03:50 น.
ง่ะ!! หึงหราพี่วินท์ อารมณ์มาเต็ม
ง่ะ!! หึงหราพี่วินท์ อารมณ์มาเต็ม
แว่นใส 30 ก.ค. 2560, 07:37:33 น.
หึงอะดิ โถ
หึงอะดิ โถ