ชุลมุนแผนร้าย ... ป่วนใจ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำไมเธอจะต้องมารับรู้เรื่องปวดหัวพวกนี้ด้วย!
ทั้งคนเล่นตลกกับเธอ ผีก็ยังมาเอ็นดูหลอกเธออีก
กอกานต์อยากจะกรีดร้อง หลังจากรู้ว่าเธอถูกหลอกทั้งจากคน และผี!
ในความวุ่นวายที่เธอต้องช่วยตามหาความจริง
อยู่ๆ เธอก็รักคนที่ไม่ควรรักขึ้นมา
เธอจะตัดใจจากตัวยุ่งอย่างดี??
ทั้งคนเล่นตลกกับเธอ ผีก็ยังมาเอ็นดูหลอกเธออีก
กอกานต์อยากจะกรีดร้อง หลังจากรู้ว่าเธอถูกหลอกทั้งจากคน และผี!
ในความวุ่นวายที่เธอต้องช่วยตามหาความจริง
อยู่ๆ เธอก็รักคนที่ไม่ควรรักขึ้นมา
เธอจะตัดใจจากตัวยุ่งอย่างดี??
Tags: ผี ฆาตกรรม ปิ่นนลิน
ตอน: ตอนที่ 11 - 35%
ตอนที่ 11 - 35%
กอกานต์มาทำงานที่วัสวากรุ๊ปแต่เช้าเธอยังต้องรีบจัดการหาไฟล์งานที่เจ้านายสั่งไว้เมื่อวานตอนเย็นให้ครบ แต่พอตอนสายๆ เจ้านายมาถึงโต๊ะทำงาน กอกานต์รีบเข้าไปรายงานว่ามีไฟล์งานบางไฟล์ที่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ เขายังมีเก็บไฟล์งานไว้ที่อื่นอีกหรือเปล่า
“คุณลองเปิดตู้ตัวริมนั้นดู อาจจะอยู่ในนั้นแหละ” ภาสวินท์บอกพลางปลดกระดุมเสื้อนอกแล้วนั่งลงที่หน้าคอมพิวเตอร์
“ตู้นี้ใช่ไหมคะ” กอกานต์ถามก่อนจะรีบเปิดประตูตู้เพื่อหาฮาร์ดดิสก์สำรอง แต่สิ่งสะดุดตาหญิงสาวกลับเป็นกรอบรูปที่วางอยู่บนตู้ ภายในกรอบบรรจุรูปถ่ายเด็กผู้ชายสองคนโดยมีผู้ชายหน้าตาคุ้นๆ ยืนคั่นกลาง โอบเด็กชายสองคนไว้ด้วยรอยยิ้มกว้าง
เธอเดาไม่ยากว่าเด็กสองคนคือใคร แต่ผู้ชายคนกลางนี่สิ…หน้าเหมือนใครสักคน กอกานต์ขมวดคิ้วพยายามนึก แต่ไม่ทันจะได้คำตอบก็ได้ยินเสียงเจ้าของห้องทำงานดังเรียกเธอ
“หาเจอหรือเปล่าครับคุณแก้ม”
ภาสวินท์ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ มองหญิงสาวซึ่งวันนี้สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกระโปรงสั้นสีชมพูอ่อน มัดผมครึ่งศีรษะ ผิวของเธอขาวรับกับเสื้อผ้า ทำให้ดูเป็นสาวหวานเรียบร้อย ทั้งที่บุคลิกเธอไม่ใช่สาวอ่อนหวานมากมายเท่าไร ภาสวินท์แอบเห็นความดื้อรั้น พร้อมบู๊อยู่ในดวงตากลมๆ ของกอกานต์ ที่เมื่อไหร่เธอไม่เห็นด้วย เธอจะกล้าแสดงความคิดเห็นโต้ตอบเขาอย่างมีเหตุมีผล
“ค่ะ” กอกานต์ขานรับ โดยสายตายังมองรูปบนตู้ไม่วางตา
“มองอะไรครับ” อยู่ๆ คนที่ควรอยู่หลังโต๊ะทำงานก็มายืนซ้อนด้านหลัง เสียงทุ้มถามในระยะใกล้จนทำให้กอกานต์ตกใจ หันไปก็เห็นเจ้าของเสียงยืนล้วงกระเป๋ากางเกง เลิกคิ้วมองเธออยู่
“รูปถ่ายค่ะ นี่คงคือคุณวินท์กับพี่ชาย … หรือน้องชายใช่ไหมคะ” กอกานต์ถาม เธอเกือบลืมไปเลยว่าต้องปิดเรื่องภาสวัสร์ไม่ให้ชายหนุ่มรู้ ไม่อย่างนั้นอาจจะเดือดร้อนกันได้
“ใช่ครับ รูปผมกับพี่ชาย แล้วก็พ่อ”
“พี่ชายหรือคะ หน้าคล้ายกันเลย แล้วพี่ชายคุณวินท์อยู่ที่ไหนหรือคะ” เธอแกล้งถาม
หลังจากพยายามมองหาความแตกต่างระหว่างเด็กผู้ชายสองคนในรูป คนหนึ่งสวมเสื้อยืดสีฟ้าลายก้อนเมฆยิ้มจนตาหยี ส่วนอีกคนในเสื้อยืดสีส้มลายดวงอาทิตย์กลับทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ นอกนั้นเธอก็มองไม่เห็นอะไรแตกต่างเลย ตัวก็สูงเท่ากันด้วย
“พี่วัสร์อยู่ต่างประเทศน่ะครับ”
ภาสวัสร์หยิบกรอบรูปลงมามองใกล้ๆ ด้วยรอยยิ้มแต่รอยยิ้มเขากลับค่อนข้างเศร้า กอกานต์ได้แต่สงสัยว่าทำไมภาสวินท์ถึงต้องโกหกเรื่องพี่ชายด้วย หรือจะจริงที่ว่าสองพี่น้องไม่ถูกกัน แต่ด้วยสาเหตุอะไรกันแน่นะ?
“พี่ชายผมชื่อวัสร์ ภาสวัสร์ เขาสวมเสื้อฟ้าในรูปนี่แหละ ตอนเด็กๆ เราเหมือนกันมากเลย อายุก็ห่างกันแต่ปีเดียว พอโตมา ถึงได้หน้าตาแตกต่างกัน พี่ผมจะหน้าเหมือนแม่ ส่วนผมก็หน้าเหมือนพ่อ ตรงกลางนี่พ่อของผมเอง” ภาสวินท์ยื่นรูปถ่ายให้หญิงสาวดูบ้าง
“ถ่ายตอนกี่ขวบหรือคะ” หญิงสาวถามแล้วก็เอาแต่เพ่งมองรูปถ่าย ส่วนภาสวินท์ไม่ได้มองรูปแล้ว กลับส่งสายตาอ่อนโยนให้กับคนตัวเล็กข้างๆ
“น่าจะเจ็ดหรือแปดขวบนี่แหละ ตอนนั้นผมฟันหลอไปครึ่งปากก็เลยไม่ชอบถ่ายรูป พ่อเลยกอดผมไว้แน่น ผมร้องไห้ก็ยังจะบังคับให้ผมถ่าย แต่ไปๆ มาๆ ภาพนี้ก็เป็นหนึ่งในหลายๆ ภาพที่ผมชอบที่สุด เพราะผมได้เห็นรอยยิ้มของคนที่ผมรักทั้งสองคน”
“หมายถึงคุณพ่อกับพี่ชายคุณวินท์หรือคะ” กอกานต์นึกถึงที่ภาสวัสร์เคยขู่เธอไว้ กับคำบอกที่ว่าไม่ถูกกับน้องชาย
“ใช่ พ่อผมเสียไปแล้ว ส่วนพี่ชายก็ไม่เคยยิ้มแบบในรูปอีกเลย” ภาสวินท์เล่าเสียงเศร้า
“ทำไมหรือคะ” กอกานต์ไม่ได้ตั้งใจจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของเจ้านาย เพียงแต่เธอก็ยังเห็นภาสวัสร์ยิ้มและหัวเราะกับเธออยู่
“เพราะพี่ชายผม…” เขากลับหยุดพูด และยืนนิ่งเงียบ แววตาเศร้าเสียจนโลกแทบจะร้องไห้ให้เขา
ทว่าเสียงโทรศัพท์มือถือของภาสวินท์ดังขึ้นเปลี่ยนบรรยากาศ ภาสวินท์ผละไปรับโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงาน
“ครับแม่ แม่กินอาหารเช้าแล้วหรือยังครับ” เขาถามมารดาอย่างเป็นห่วง
“เรียบร้อยแล้วจ้ะลูก” อนงค์นางตอบน้ำเสียงสดใส “วินท์ได้เข้าไปดูพี่วัสร์เขาบ้างหรือเปล่า” คราวนี้เสียงคนถามค่อนข้างกังวล
“ผมไปดูตอนเช้า พี่วัสร์สงบดีครับ ยังบอกให้ผมซื้อเกมใหม่ๆ ให้เขาอยู่”
“อย่าหาเกมรุนแรงให้พี่เขาเล่นมากนักนะลูก แม่ไม่อยากให้พี่ชายเราจำเรื่องเมื่อสิบห้าปีก่อนได้…แล้วพี่วัสร์เขาอยู่แต่ในห้องใช่ไหม”
“ทำไมแม่ถามแบบนี้ล่ะครับ พี่วัสร์จะออกไปไหนได้ ไม่มีทาง” ภาสวินท์งุนงง ทำไมทั้งหนึ่งฟ้าและมารดาถึงสงสัยว่าพี่ชายหนีเที่ยวกัน มารดานี่น่าจะรู้อาการพี่ชายเขาดีที่สุด ภาสวัสร์กลัวคนมาก จะกล้าออกมาข้างนอกได้อย่างไร
“จ้ะ แม่แค่กลัว บางทีพี่ชายเราอาจจะสงบสติไม่ได้เลยหนีเตลิดออกจากห้อง แม่คงกังวลไปเอง”
“แม่อย่าเครียดนะครับ” ภาสวินท์ไม่ลืมย้ำให้มารดามีสติเสมอๆ
“วินท์ แม่อยากให้วินท์พาพนักงานใหม่ของลูกมาหาแม่หน่อย” มารดาทำให้ลูกชายประหลาดใจอีกแล้ว
“คุณแก้มน่ะหรือครับ ทำไมแม่ถึงอยากเจอคุณแก้มล่ะครับ” ภาสวินท์ถามพลางมองกอกานต์ ตอนนี้กอกานต์ยืนคุยกับแทนไทอยู่แถวโต๊ะทำงานของเธอ
“แม่มีเรื่องอยากคุยกับเขา พามาหาแม่หน่อยนะ”
“ครับ” ภาสวินท์รับปากมารดาก่อนจะวางสาย เดินมาหากอกานต์ที่โต๊ะทำงาน
“คุณแก้ม ยังไม่ต้องหาไฟล์ต่อ เดี๋ยวคุณไปข้างนอกกับผมนะ ตอนนี้เลย”
“ค่ะ” กอกานต์รีบหยิบกระเป๋าสะพาย แล้วเดินตามชายหนุ่มไปยังรถยนต์ เขาตัดสินใจขับรถไปเอง ไม่ได้เรียกใช้คนขับรถอย่างปกติ
“คุณวินท์จะพาแก้มไปไหนหรือคะ” กอกานต์ถามเมื่อนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว
“แม่ผมอยากเจอคุณน่ะ” ภาสวินท์กลั้นขำกับตาโตๆ ของคนฟัง เขาไม่รู้เหตุผลแต่เดาจากน้ำเสียงมารดา ค่อนข้างมั่นใจว่ากอกานต์ไม่น่าถูกมารดาดุหรือตำหนิแน่นอน แต่อยู่ๆ ที่อยากแกล้งให้กอกานต์กังวล เพราะเธอกังวลทีไร เธอจะเอาแต่มองหน้าเขาทุกที
เมื่อชายหนุ่มหญิงสาวก้าวเท้าเข้าไปในห้องพักฟื้น อนงค์นางนั่งพิงหมอนกับหัวเตียงอ่านหนังสืออยู่ก็เงยหน้าขึ้นมอง พร้อมส่งยิ้มให้ลูกชาย
“มาแล้วหรือวินท์” อนงค์นางทักลูกชาย ก่อนจะมองเลยมายังหญิงสาวอีกคน “นั่นคือหนูแก้มใช่หรือเปล่า”
“ครับแม่ นี่คุณแก้ม พนักงานใหม่ที่จะมาช่วยผมทำงานพวกออกแบบต่างๆ” ภาสวินท์แนะนำ เขาค่อนข้างสบายใจกับแววตาของมารดายามมองกอกานต์
ภาสวินท์รู้จักมารดาดีว่าเป็นผู้ใหญ่เอาใจยากและเคร่งกับเรื่องมารยาทมาก ขนาดชนิณิภายังถูกมารดาบ่นให้เขาอยู่บ่อยๆ ส่วนมากก็เรื่องที่ชนิณิภาไม่รู้จักเริ่มทำงานทำการ แต่ถึงมารดาจะบ่น ก็ไม่มีผลให้มารดายกเลิกการแต่งงานระหว่างเขากับชนิณิภาอยู่ดี
“ขอแม่คุยกับหนูแก้มส่วนตัวได้ไหมวินท์”
“ครับ?” คำขอร้องของมารดาทำให้ภาสวินท์เลิกคิ้วสูง มองหน้ามารดาสลับกับกอกานต์ไปมา สีหน้าบ่งบอกว่าเป็นห่วงกอกานต์มากเสียจนมารดาต้องยืนยัน
“แม่ไม่ไล่พนักงานของลูกออกหรอกน่ะ แม่รู้ว่าวินท์ปวดหัวแค่ไหนกว่าจะหาคนถูกใจได้”
“เอ่อ ผมก็ไม่ได้คิดขนาดนั้นครับ ถ้าอย่างนั้นผมออกไปรอข้างนอกก่อนนะครับ” ภาสวินท์แก้ตัว แล้วยอมเดินออกจากห้องพักฟื้นมารดา
ในห้องจึงเหลือเพียงอนงค์นางกับกอกานต์เท่านั้น
อนงค์นางไม่รอช้า เริ่มบทสนทนาทันที “หนูมาเจอฉันที่ด้านหลังตึกได้ยังไง หนูไปที่นั่นบ่อยหรือ”
น้ำเสียงใจดี ไม่ได้ดุกล่าวว่าหญิงสาวล่วงในที่หวงห้ามอะไร
“คือหนู…หนูบังเอิญน่ะค่ะ” กอกานต์ไม่สามารถตอบความจริงได้หรอกว่าเธอเดินตามลุงศรไปเจอภาสวัสร์ ก่อนที่ภาสวัสร์จะพาเธอไปเพบอนงค์นางเป็นลมอยู่
“พอดีหนูเดินไปหาที่เงียบๆ คุยโทรศัพท์ ก็เลยพบคุณนอนสลบอยู่ค่ะ”
“อืม” อนงค์นางพยักหน้ารับรู้ เมื่อนึกย้อนกลับไปเช้าวันนั้น อนงค์นางเครียดกับเรื่องที่เพิ่งรู้จนทำให้อาการหน้ามืดกำเริบล้มทรุดลุกขึ้นไม่ไหว แต่ก็ไม่ถึงกับหมดสติจึงรับรู้ว่ารอบๆ ตัวมีใครอยู่บ้าง และใครคนนั้นก็มีรูปร่างคุ้นเคยดีเหลือเกิน
“หนูแก้ม ตอนหนูมาเจอฉัน มีใครอยู่กับฉันหรือเปล่า ฉันว่าฉันเห็นผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาประคองก่อนฉันจะล้ม”
จบตอนที่ 11 - 35%
นำนิยายมาส่งค่ะ :D
คุณแว่นใส - แล้วพี่วัสร์จะหาคำตอบเจอไหมน้าา
พบกันใหม่ตอนหน้าค่า
กอกานต์มาทำงานที่วัสวากรุ๊ปแต่เช้าเธอยังต้องรีบจัดการหาไฟล์งานที่เจ้านายสั่งไว้เมื่อวานตอนเย็นให้ครบ แต่พอตอนสายๆ เจ้านายมาถึงโต๊ะทำงาน กอกานต์รีบเข้าไปรายงานว่ามีไฟล์งานบางไฟล์ที่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ เขายังมีเก็บไฟล์งานไว้ที่อื่นอีกหรือเปล่า
“คุณลองเปิดตู้ตัวริมนั้นดู อาจจะอยู่ในนั้นแหละ” ภาสวินท์บอกพลางปลดกระดุมเสื้อนอกแล้วนั่งลงที่หน้าคอมพิวเตอร์
“ตู้นี้ใช่ไหมคะ” กอกานต์ถามก่อนจะรีบเปิดประตูตู้เพื่อหาฮาร์ดดิสก์สำรอง แต่สิ่งสะดุดตาหญิงสาวกลับเป็นกรอบรูปที่วางอยู่บนตู้ ภายในกรอบบรรจุรูปถ่ายเด็กผู้ชายสองคนโดยมีผู้ชายหน้าตาคุ้นๆ ยืนคั่นกลาง โอบเด็กชายสองคนไว้ด้วยรอยยิ้มกว้าง
เธอเดาไม่ยากว่าเด็กสองคนคือใคร แต่ผู้ชายคนกลางนี่สิ…หน้าเหมือนใครสักคน กอกานต์ขมวดคิ้วพยายามนึก แต่ไม่ทันจะได้คำตอบก็ได้ยินเสียงเจ้าของห้องทำงานดังเรียกเธอ
“หาเจอหรือเปล่าครับคุณแก้ม”
ภาสวินท์ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ มองหญิงสาวซึ่งวันนี้สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกระโปรงสั้นสีชมพูอ่อน มัดผมครึ่งศีรษะ ผิวของเธอขาวรับกับเสื้อผ้า ทำให้ดูเป็นสาวหวานเรียบร้อย ทั้งที่บุคลิกเธอไม่ใช่สาวอ่อนหวานมากมายเท่าไร ภาสวินท์แอบเห็นความดื้อรั้น พร้อมบู๊อยู่ในดวงตากลมๆ ของกอกานต์ ที่เมื่อไหร่เธอไม่เห็นด้วย เธอจะกล้าแสดงความคิดเห็นโต้ตอบเขาอย่างมีเหตุมีผล
“ค่ะ” กอกานต์ขานรับ โดยสายตายังมองรูปบนตู้ไม่วางตา
“มองอะไรครับ” อยู่ๆ คนที่ควรอยู่หลังโต๊ะทำงานก็มายืนซ้อนด้านหลัง เสียงทุ้มถามในระยะใกล้จนทำให้กอกานต์ตกใจ หันไปก็เห็นเจ้าของเสียงยืนล้วงกระเป๋ากางเกง เลิกคิ้วมองเธออยู่
“รูปถ่ายค่ะ นี่คงคือคุณวินท์กับพี่ชาย … หรือน้องชายใช่ไหมคะ” กอกานต์ถาม เธอเกือบลืมไปเลยว่าต้องปิดเรื่องภาสวัสร์ไม่ให้ชายหนุ่มรู้ ไม่อย่างนั้นอาจจะเดือดร้อนกันได้
“ใช่ครับ รูปผมกับพี่ชาย แล้วก็พ่อ”
“พี่ชายหรือคะ หน้าคล้ายกันเลย แล้วพี่ชายคุณวินท์อยู่ที่ไหนหรือคะ” เธอแกล้งถาม
หลังจากพยายามมองหาความแตกต่างระหว่างเด็กผู้ชายสองคนในรูป คนหนึ่งสวมเสื้อยืดสีฟ้าลายก้อนเมฆยิ้มจนตาหยี ส่วนอีกคนในเสื้อยืดสีส้มลายดวงอาทิตย์กลับทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ นอกนั้นเธอก็มองไม่เห็นอะไรแตกต่างเลย ตัวก็สูงเท่ากันด้วย
“พี่วัสร์อยู่ต่างประเทศน่ะครับ”
ภาสวัสร์หยิบกรอบรูปลงมามองใกล้ๆ ด้วยรอยยิ้มแต่รอยยิ้มเขากลับค่อนข้างเศร้า กอกานต์ได้แต่สงสัยว่าทำไมภาสวินท์ถึงต้องโกหกเรื่องพี่ชายด้วย หรือจะจริงที่ว่าสองพี่น้องไม่ถูกกัน แต่ด้วยสาเหตุอะไรกันแน่นะ?
“พี่ชายผมชื่อวัสร์ ภาสวัสร์ เขาสวมเสื้อฟ้าในรูปนี่แหละ ตอนเด็กๆ เราเหมือนกันมากเลย อายุก็ห่างกันแต่ปีเดียว พอโตมา ถึงได้หน้าตาแตกต่างกัน พี่ผมจะหน้าเหมือนแม่ ส่วนผมก็หน้าเหมือนพ่อ ตรงกลางนี่พ่อของผมเอง” ภาสวินท์ยื่นรูปถ่ายให้หญิงสาวดูบ้าง
“ถ่ายตอนกี่ขวบหรือคะ” หญิงสาวถามแล้วก็เอาแต่เพ่งมองรูปถ่าย ส่วนภาสวินท์ไม่ได้มองรูปแล้ว กลับส่งสายตาอ่อนโยนให้กับคนตัวเล็กข้างๆ
“น่าจะเจ็ดหรือแปดขวบนี่แหละ ตอนนั้นผมฟันหลอไปครึ่งปากก็เลยไม่ชอบถ่ายรูป พ่อเลยกอดผมไว้แน่น ผมร้องไห้ก็ยังจะบังคับให้ผมถ่าย แต่ไปๆ มาๆ ภาพนี้ก็เป็นหนึ่งในหลายๆ ภาพที่ผมชอบที่สุด เพราะผมได้เห็นรอยยิ้มของคนที่ผมรักทั้งสองคน”
“หมายถึงคุณพ่อกับพี่ชายคุณวินท์หรือคะ” กอกานต์นึกถึงที่ภาสวัสร์เคยขู่เธอไว้ กับคำบอกที่ว่าไม่ถูกกับน้องชาย
“ใช่ พ่อผมเสียไปแล้ว ส่วนพี่ชายก็ไม่เคยยิ้มแบบในรูปอีกเลย” ภาสวินท์เล่าเสียงเศร้า
“ทำไมหรือคะ” กอกานต์ไม่ได้ตั้งใจจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของเจ้านาย เพียงแต่เธอก็ยังเห็นภาสวัสร์ยิ้มและหัวเราะกับเธออยู่
“เพราะพี่ชายผม…” เขากลับหยุดพูด และยืนนิ่งเงียบ แววตาเศร้าเสียจนโลกแทบจะร้องไห้ให้เขา
ทว่าเสียงโทรศัพท์มือถือของภาสวินท์ดังขึ้นเปลี่ยนบรรยากาศ ภาสวินท์ผละไปรับโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงาน
“ครับแม่ แม่กินอาหารเช้าแล้วหรือยังครับ” เขาถามมารดาอย่างเป็นห่วง
“เรียบร้อยแล้วจ้ะลูก” อนงค์นางตอบน้ำเสียงสดใส “วินท์ได้เข้าไปดูพี่วัสร์เขาบ้างหรือเปล่า” คราวนี้เสียงคนถามค่อนข้างกังวล
“ผมไปดูตอนเช้า พี่วัสร์สงบดีครับ ยังบอกให้ผมซื้อเกมใหม่ๆ ให้เขาอยู่”
“อย่าหาเกมรุนแรงให้พี่เขาเล่นมากนักนะลูก แม่ไม่อยากให้พี่ชายเราจำเรื่องเมื่อสิบห้าปีก่อนได้…แล้วพี่วัสร์เขาอยู่แต่ในห้องใช่ไหม”
“ทำไมแม่ถามแบบนี้ล่ะครับ พี่วัสร์จะออกไปไหนได้ ไม่มีทาง” ภาสวินท์งุนงง ทำไมทั้งหนึ่งฟ้าและมารดาถึงสงสัยว่าพี่ชายหนีเที่ยวกัน มารดานี่น่าจะรู้อาการพี่ชายเขาดีที่สุด ภาสวัสร์กลัวคนมาก จะกล้าออกมาข้างนอกได้อย่างไร
“จ้ะ แม่แค่กลัว บางทีพี่ชายเราอาจจะสงบสติไม่ได้เลยหนีเตลิดออกจากห้อง แม่คงกังวลไปเอง”
“แม่อย่าเครียดนะครับ” ภาสวินท์ไม่ลืมย้ำให้มารดามีสติเสมอๆ
“วินท์ แม่อยากให้วินท์พาพนักงานใหม่ของลูกมาหาแม่หน่อย” มารดาทำให้ลูกชายประหลาดใจอีกแล้ว
“คุณแก้มน่ะหรือครับ ทำไมแม่ถึงอยากเจอคุณแก้มล่ะครับ” ภาสวินท์ถามพลางมองกอกานต์ ตอนนี้กอกานต์ยืนคุยกับแทนไทอยู่แถวโต๊ะทำงานของเธอ
“แม่มีเรื่องอยากคุยกับเขา พามาหาแม่หน่อยนะ”
“ครับ” ภาสวินท์รับปากมารดาก่อนจะวางสาย เดินมาหากอกานต์ที่โต๊ะทำงาน
“คุณแก้ม ยังไม่ต้องหาไฟล์ต่อ เดี๋ยวคุณไปข้างนอกกับผมนะ ตอนนี้เลย”
“ค่ะ” กอกานต์รีบหยิบกระเป๋าสะพาย แล้วเดินตามชายหนุ่มไปยังรถยนต์ เขาตัดสินใจขับรถไปเอง ไม่ได้เรียกใช้คนขับรถอย่างปกติ
“คุณวินท์จะพาแก้มไปไหนหรือคะ” กอกานต์ถามเมื่อนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว
“แม่ผมอยากเจอคุณน่ะ” ภาสวินท์กลั้นขำกับตาโตๆ ของคนฟัง เขาไม่รู้เหตุผลแต่เดาจากน้ำเสียงมารดา ค่อนข้างมั่นใจว่ากอกานต์ไม่น่าถูกมารดาดุหรือตำหนิแน่นอน แต่อยู่ๆ ที่อยากแกล้งให้กอกานต์กังวล เพราะเธอกังวลทีไร เธอจะเอาแต่มองหน้าเขาทุกที
เมื่อชายหนุ่มหญิงสาวก้าวเท้าเข้าไปในห้องพักฟื้น อนงค์นางนั่งพิงหมอนกับหัวเตียงอ่านหนังสืออยู่ก็เงยหน้าขึ้นมอง พร้อมส่งยิ้มให้ลูกชาย
“มาแล้วหรือวินท์” อนงค์นางทักลูกชาย ก่อนจะมองเลยมายังหญิงสาวอีกคน “นั่นคือหนูแก้มใช่หรือเปล่า”
“ครับแม่ นี่คุณแก้ม พนักงานใหม่ที่จะมาช่วยผมทำงานพวกออกแบบต่างๆ” ภาสวินท์แนะนำ เขาค่อนข้างสบายใจกับแววตาของมารดายามมองกอกานต์
ภาสวินท์รู้จักมารดาดีว่าเป็นผู้ใหญ่เอาใจยากและเคร่งกับเรื่องมารยาทมาก ขนาดชนิณิภายังถูกมารดาบ่นให้เขาอยู่บ่อยๆ ส่วนมากก็เรื่องที่ชนิณิภาไม่รู้จักเริ่มทำงานทำการ แต่ถึงมารดาจะบ่น ก็ไม่มีผลให้มารดายกเลิกการแต่งงานระหว่างเขากับชนิณิภาอยู่ดี
“ขอแม่คุยกับหนูแก้มส่วนตัวได้ไหมวินท์”
“ครับ?” คำขอร้องของมารดาทำให้ภาสวินท์เลิกคิ้วสูง มองหน้ามารดาสลับกับกอกานต์ไปมา สีหน้าบ่งบอกว่าเป็นห่วงกอกานต์มากเสียจนมารดาต้องยืนยัน
“แม่ไม่ไล่พนักงานของลูกออกหรอกน่ะ แม่รู้ว่าวินท์ปวดหัวแค่ไหนกว่าจะหาคนถูกใจได้”
“เอ่อ ผมก็ไม่ได้คิดขนาดนั้นครับ ถ้าอย่างนั้นผมออกไปรอข้างนอกก่อนนะครับ” ภาสวินท์แก้ตัว แล้วยอมเดินออกจากห้องพักฟื้นมารดา
ในห้องจึงเหลือเพียงอนงค์นางกับกอกานต์เท่านั้น
อนงค์นางไม่รอช้า เริ่มบทสนทนาทันที “หนูมาเจอฉันที่ด้านหลังตึกได้ยังไง หนูไปที่นั่นบ่อยหรือ”
น้ำเสียงใจดี ไม่ได้ดุกล่าวว่าหญิงสาวล่วงในที่หวงห้ามอะไร
“คือหนู…หนูบังเอิญน่ะค่ะ” กอกานต์ไม่สามารถตอบความจริงได้หรอกว่าเธอเดินตามลุงศรไปเจอภาสวัสร์ ก่อนที่ภาสวัสร์จะพาเธอไปเพบอนงค์นางเป็นลมอยู่
“พอดีหนูเดินไปหาที่เงียบๆ คุยโทรศัพท์ ก็เลยพบคุณนอนสลบอยู่ค่ะ”
“อืม” อนงค์นางพยักหน้ารับรู้ เมื่อนึกย้อนกลับไปเช้าวันนั้น อนงค์นางเครียดกับเรื่องที่เพิ่งรู้จนทำให้อาการหน้ามืดกำเริบล้มทรุดลุกขึ้นไม่ไหว แต่ก็ไม่ถึงกับหมดสติจึงรับรู้ว่ารอบๆ ตัวมีใครอยู่บ้าง และใครคนนั้นก็มีรูปร่างคุ้นเคยดีเหลือเกิน
“หนูแก้ม ตอนหนูมาเจอฉัน มีใครอยู่กับฉันหรือเปล่า ฉันว่าฉันเห็นผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาประคองก่อนฉันจะล้ม”
จบตอนที่ 11 - 35%
นำนิยายมาส่งค่ะ :D
คุณแว่นใส - แล้วพี่วัสร์จะหาคำตอบเจอไหมน้าา
พบกันใหม่ตอนหน้าค่า
ปิ่นนลิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ส.ค. 2560, 21:16:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ส.ค. 2560, 21:18:28 น.
จำนวนการเข้าชม : 941
<< ตอนที่ 10-100% | ตอนที่ 11 - 75% >> |
แว่นใส 3 ส.ค. 2560, 21:38:17 น.
แม่สงสัยละ
แม่สงสัยละ
kaelek 3 ส.ค. 2560, 22:36:51 น.
พี่วัสร์แม่สงสัยแล้วอ่ะ หยุดเที่ยวสักพักมั้ย
พี่วัสร์แม่สงสัยแล้วอ่ะ หยุดเที่ยวสักพักมั้ย