ชุลมุนแผนร้าย ... ป่วนใจ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำไมเธอจะต้องมารับรู้เรื่องปวดหัวพวกนี้ด้วย!
ทั้งคนเล่นตลกกับเธอ ผีก็ยังมาเอ็นดูหลอกเธออีก

กอกานต์อยากจะกรีดร้อง หลังจากรู้ว่าเธอถูกหลอกทั้งจากคน และผี!

ในความวุ่นวายที่เธอต้องช่วยตามหาความจริง
อยู่ๆ เธอก็รักคนที่ไม่ควรรักขึ้นมา

เธอจะตัดใจจากตัวยุ่งอย่างดี??
Tags: ผี ฆาตกรรม ปิ่นนลิน

ตอน: ตอนที่ 12 - 35%

ตอนที่ 12 - 35%


เช้าวันใหม่แสนสดใส… ภาสวินท์ยิ้มให้กับตัวเองและความสดใสกว่าทุกวันหน้ากระจก เมื่อคิดว่าตัวเองในชุดทำงานดูดีแล้ว ผมเซ็ทไม่มีกระดก เสื้อผ้าเรียบเนี้ยบไร้รอยยับรอยตำหนิให้ขัดใจ ก็เดินลงไปรับประทานอาหารเช้ากับมารดา

“แม่ครับ” เขาทั้งเอ่ยทักและก้มลงหอมแก้มอนงค์นางฟอดใหญ่

“อะไรลูก ดูวันนี้อารมณ์ดีนะ” อนงค์นางสัมผัสความสดใสจากแววตาลูกชาย “มีอะไรดีๆ หรือเปล่า”

“ตอนแรกก็ว่าจะงอนแม่ที่แม่แอบออกจากโรงพยาบาลโดยไม่บอกผม แต่ผมก็สบายใจที่แม่แข็งแรงแล้ว นั่นคือเหตุผลที่ผมอารมณ์ดีแต่เช้าครับ” ภาสวินท์ยิ้มกว้างกว่าปกติ

เช้านี้คุณวินท์แปลกจริงๆ …แทนไทเองก็สงสัย

“แต่ผมไม่ได้ยกโทษให้แทนหรอกนะ” ภาสวินท์หันไปทำเสียงเข้มใส่ผู้ช่วยคนสนิท

“แม่เป็นคนสั่งแทนเอง ลูกอย่าไปว่าแทนเลย ดูสิ ตัวลีบไปหมดแล้ว” อนงค์นางขอร้องให้แทนไท

“ได้ครับ ผมจะยกโทษให้นายแทนเขา แต่ถ้ามีอีกครั้ง ผมจะไม่ให้โอกาสอีกแน่นอน” ภาสวินท์คาดโทษแทนไท

เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จ ภาสวินท์ก็บอกกับมารดา

“ผมขอตัวไปหาพี่วัสร์ก่อนนะครับ”

“จ้ะ” อนงค์นางตอบด้วยรอยยิ้ม แต่พอลูกชายกับแทนไทเดินพ้นประตูห้องรับประทานอาหาร รอยยิ้มเจื่อนหาย เหลือเพียงความเครียด เธอยังระแวงกลัวภาสวัสร์จะแอบออกไปข้างนอก ยิ่งกล้าออกจากห้องนอนแล้ว ก็มีสิทธิ์จะไปไหนไกลขึ้นเรื่อยๆ

ไม่ได้ …อนงค์นางร้อนอกร้อนใจ อาจจะโหดร้ายแต่ต้องหาทางกันไว้ก่อน …เธอจะให้ภาสวัสร์ออกไปข้างนอกไม่ได้เด็ดขาด




เสียงเปิดประตูทำให้ภาสวัสร์ซึ่งนอนตะแคงอยู่บนเตียงสะดุ้งโหยงหันมองไปทางต้นเสียงด้วยแววตาหวาดหวั่น พอเห็นเป็นน้องชาย ภาสวัสร์ก็ค่อยคลายความกลัวลง ร่างกายผ่อนคลายจนนอนพิงกับหมอน

“ผมได้ยินว่าพี่แอบขึ้นไปขโมยดีวีดีในห้องผม ถ้าพี่อยากดูอะไร พี่ก็ขึ้นไปหยิบได้เลยนะครับ ผมดีใจที่พี่กล้าออกจากห้องนอนแล้ว” ภาสวินท์มองพี่ชายที่ยังนอนห่มผ้าตั้งแต่ช่วงเอวลงไป คลุมปลายเท้ามิด หน้าตาพี่ชายค่อนข้างกังวล

“พี่วัสร์ไม่สบายหรือเปล่า” พลันยื่นมือไปแตะผิวหน้าพี่ชาย อุณหภูมิร่างกายไม่ได้ร้อน ออกจะเย็นเกินไปด้วยซ้ำ คนเป็นน้องเลยขยับผ้าห่มให้ด้วยความเป็นห่วง แต่พี่ชายขยุ้มถึงผ้าห่มขึ้นมาถึงคอก่อน

ภาสวินท์ชะงักมือ และเขาก็ได้ยินเสียงแปลกๆ จากในห้องนอนพี่ชายนี่ล่ะ แต่ไม่รู้ว่าคือเสียงอะไร

“นายไปทำงานเถอะ เดี๋ยวจะทำงานสายนะ” ภาสวัสร์บอก

“ครับ ไว้ผมจะกลับมาคุยกับพี่อีกนะ ผมมีเรื่องลูกอมจะเล่าให้ฟังเพียบเลย” ภาสวินท์พูดถึงหญิงสาว แก้มก็แดงระเรื่อ

คนฟังขมวดคิ้วแล้วถามออกไปน้ำเสียงจริงจัง “วินท์ นายกับนิกกี้จะแต่งงานกันเมื่อไหร่”

“หืม ทำไมพี่ถามเรื่องนี้ล่ะครับ” คำถามทำเอาหัวใจพองฟูของน้องชายเหี่ยวฟีบลงทันที “ไม่ใช่เร็วๆ นี้หรอกครับ นิกกี้ยังไม่พร้อมจะสร้างครอบครัวกับผมหรอก”

ภาสวินท์เริ่มมีเหตุผลว่าทำไมเขาถึงต้องยืดงานแต่งงานกับชนิณิภาออกไปให้นานที่สุดเท่าที่ทำได้ และถ้ามีหนทาง …ภาสวินท์จะล้มงานแต่งงานนี้ลง ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกอยากใช้ชีวิตกับใครอีกคนมากกว่า

“ถ้าไม่รักนิกกี้ ก็ควรบอกนิกกี้ไปนะ อย่าให้เรื่องบ้าๆ อย่าให้ใครมากำหนดชีวิตนาย นายต้องกำหนดชีวิตตัวเอง” พี่ชายแนะนำ ซึ่งเป็นเรื่องแปลก ปกติพี่ชายจะไม่พูดอะไรยาวๆ แบบนี้กับเขาเท่าไร

“ทำไมพี่วัสร์พูดจาจริงจังจังครับ”

“เพราะพี่ไม่มีทางทำได้อย่างนาย ไม่มีทางจะเลือกอะไรได้อย่างนาย” ภาสวัสร์ขยับตัวมาคว้ามือน้องชายและออกแรงบีบ ดวงตาที่มองก็แดงก่ำเหมือนกับอดกลั้นกับบางเรื่องไว้ “นายอย่าทิ้งชีวิตและความสุขเพื่อแม่ ถ้าต้องทิ้งที่นี่ไป นายก็ต้องทำ … เชื่อพี่นะ”

“พี่วัสร์ทำไมอยู่ๆ พูดอะไรแบบนี้ ผมจะทิ้งแม่ ทิ้งพี่ไปเพื่อความสุขตัวเองได้ยังไง”

ภาสวินท์นิ่วหน้ามองพี่ชายที่ปล่อยมือเขาแล้วขยับไปนอนแบบเดิม …ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ อีกแล้ว เสียงมาจากไหน เสียงเหมือนเหล็กกระทบกัน

“เสียงอะไรน่ะครับ ใครลากอะไร”

คำถามพร้อมอาการหันซ้ายแลขวาของน้องชายเหมือนมองหาอะไรบางอย่าง ทำให้ภาสวัสร์กำผ้าห่มแน่น เตือนน้องชายอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้พยายามยิ้มให้

“นายรีบไปทำงานเถอะ อย่าลืมเรื่องลูกอมนะ พี่อยากรู้ว่าลูกอมเขาชอบดูหนังแบบไหน”

“ได้สิครับ” ภาสวินท์รับปาก แล้วจึงยอมออกจากห้องเพื่อไปทำงาน

ทันทีที่ประตูห้องปิดลง ภาสวัสร์ก็ถอนหายใจก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาจนเห็นข้อเท้าที่ถูกล่ามโซ่ไว้ …เขาอดปวดใจไม่ได้ “แม่ต้องทำกับผมขนาดนี้เลยเหรอ”

คนปวดใจที่ถูกล่ามไว้ไม่ต่างกับสัตว์เลี้ยงหรือนักโทษนึกถึงเมื่อชั่วโมงก่อน เขาตื่นมาพร้อมเสียงมารดา ก่อนจะตกใจแทบช็อคกับการที่เห็นคนงานเอาโซ่เส้นใหญ่และยาวพันข้อเท้าเขาไว้ โดยมารดายืนกำกับอยู่ด้านหลังคนงาน ไม่สนเสียงของเขาเลย

‘แม่! แม่ทำอะไรผม อย่าทำแบบนี้กับผมนะ ผมไม่ใช่นักโทษ’ เขาพยายามขยับตัวหนี แต่ไม่ทัน และไม่สามารถขยับตัวไวได้เท่าใจคิด เมื่อคืนสิริมาเอายาให้เขากินมากกว่าปกติ ร่างกายเขาจึงมีเรี่ยวแรงและตอบสนองช้าอย่างน่าหงุดหงิด

‘ลูกป่วยนะ แม่ทำไปก็เพื่อลูก ลูกต้องอยู่แต่ในห้องนี้ โซ่เส้นนี้ยาวพอที่ลูกจะเข้าห้องน้ำ หรือเดินเล่นทั่วห้อง ไปที่ระเบียงได้ แต่ลูกจะออกไปนอกห้องไม่ได้ แล้ววันนี้แม่จะให้ป้านุ่มมาดูแลลูกแทนสิริมาหนึ่งวัน แม่ไม่ไว้ใจสิริมา…’

‘ไม่ไว้ใจส้ม แม่ครับ ส้มดูผมมาหกปี ดูแลผมมากกว่าแม่เข้ามาในห้องนี้ซะอีก ส้มไม่เคยกลัวผมอย่างแม่หรือป้านุ่ม ส้มเป็นเพื่อนคนเดียวที่ผมมี แม่จะว่าส้มแบบนี้ไม่ได้’ ภาสวัสร์เถียงชณะมองตัวเองถูกคนงานใช้แม่กุญแจล็อกโซ่ไว้ ปลายโซ่คือเสาปลายเตียง

มารดาไม่สนใจว่าเขาจะพูดหรือขอร้องอะไร ทุกอย่างที่มารดาเคยให้เขาก็แค่สิ่งของ มารดาอาจจะกอด หรือหอมแก้มเขาบ้าง แต่เอาเข้าจริงภาสวัสร์ไม่เคยสัมผัสความรักของมารดาเลย

‘ผมเคยสงสัยมาตลอด แต่ผมก็แน่ใจวันนี้แล้วว่าแม่เกลียดและอายที่มีผมเป็นลูก’

‘ลูกไม่สบาย แม่ไม่ถือหรอก พักผ่อนซะนะ’ มารดากลับออกไป และทิ้งเขาไว้กับเสียงครวญครางของความเจ็บปวด หนึ่งชั่วโมงให้หลังเขาสงบลงได้ก็จริง แต่ความเสียใจไม่ได้หายไปหรือลดน้อยลงเลย

ภาสวัสร์มองฟ้าแสนสดใส ด้านนอกห้อง หัวใจมีแต่ความสิ้นหวัง …นี่เขาจะต้องถูกขังไว้แบบนี้จนตายเลยหรือเปล่า?





มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อคืน …

กอกานต์ไม่กล้าสบตาเจ้านายตั้งแต่เช้า ทั้งที่เมื่อคืนเธอยอมปล่อยให้เขาจับมือเธอตลอดการขับรถไปส่งเธอถึงบ้าน กอกานต์ไม่อยากให้เจ้านายประมาทกับการขับรถมือเดียว ต้องเตือนให้เขาปล่อยมือเธอ ทำให้เธอเพิ่งรู้ว่าภาสวินท์สมองปลาทอง ผ่านไปไม่ถึงห้านาที เขาก็ดึงมือเธอไปกุมไว้อีกหลายครั้ง ตลอดทางกลับบ้านเลย

สายตาหวาน มือใหญ่ที่อบอุ่นส่งผลให้หัวใจเธอเต้นแรง เธอถึงกับนอนไม่หลับทั้งคืน จนถึงเช้านี้ หัวใจของเธอก็ยังเต้นแปลกๆ เวลาเขาเดินมาใกล้

ภาสวินท์ไม่ได้ทำตัวแปลกไป เขาสั่งงานเธอด้วยน้ำเสียงเช่นเดิม แววตาอ่อนโยนปกติ ไม่มีสัญญาณว่าเขาเพิ่งกอดเธอ จับมือ และส่งตาหวานฉ่ำ

หรือเขาจะไม่ได้รู้สึกพิเศษกับเธอ กอกานต์อาจจะคิดไปเองฝ่ายเดียว พอเวลาผ่านเขาเลยลืมเรื่องทุกอย่างไปง่ายๆ

“แก้ม” คิรารินกระซิบเรียกเพราะกอกานต์นั่งหน้าซึมเซาหน้าคอมพิวเตอร์อยู่นานสองนาน

“มีอะไรหรือคะพี่ริน” กอกานต์หันถามคิรารินด้วยน้ำเสียงหงอยๆ

“เป็นอะไรไป ป่วยหรือเปล่าเนี่ย” คิรารินแตะแขนแตะแก้มเพื่อนร่วมงานรุ่นน้อง ขณะคนถูกถามสั่นหน้าไปมา

“ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ แก้มไปชงกาแฟก่อนนะคะ” กอกานต์หยิบถ้วยน้ำ ลุกจากโต๊ะ เดินออกจากห้องทำงานไปยังห้องครัวเล็กๆ ที่อยู่ด้านนอก

คิรารินไม่เชื่อหรอกว่ากอกานต์จะปกติ “แพ้กาแฟ แต่ดันบอกจะไปชงกาแฟเนี่ยนะ”

เธออยู่เฉยไม่ไหวจึงผละจากโต๊ะไปหาเจ้านายถึงในห้อง แทนไทนั่งอยู่หน้าห้องจึงไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างคิรารินกับภาสวินท์

“พี่วินท์คะ เมื่อวานพี่วินท์ดุหรือพูดอะไรให้น้องแก้มเสียใจหรือเปล่าคะ”

“พี่หรือ เปล่านี่” ภาสวินท์เงยหน้าจากเอกสาร สายตาและสีหน้างุนงงว่าทำไมคิรารินถึงถามคำถามนี้กับเขา “ทำไมหรือ คุณแก้มเขาเป็นอะไร”

“ซึมตั้งแต่เช้าเลยค่ะ รินไม่รู้น้องเป็นอะไร” คิรารินยกมือขึ้นกอดอก ทำหน้าครุ่นคิด “หรือจะอกหัก มีปัญหากับแฟนหรือเปล่า”

“คุณแก้มไม่มีแฟน” ภาสวินท์แก้ความเข้าใจผิดแทนกอกานต์ น้ำเสียงค่อนข้างไม่พอใจ

“พี่วินท์รู้ได้ยังไงคะ” คิรารินสงสัย

“ก็ถาม … คือบางครั้งก็ต้องให้คุณแก้มทำงานดึก หรือเข้าออฟฟิศวันเสาร์อาทิตย์ พี่ก็ต้องเกรงใจแฟนเขาไง ก็เลยต้องถาม คุณแก้มก็บอกพี่ว่าเธอยังไม่ได้คบใคร” ภาสวินท์ให้เหตุผลที่ไม่ใช่เรื่องจริงเลย เพราะสายตาคิรารินเอาแต่จ้องเหมือนจับผิดเขา

“แล้วผู้ชายที่รินเห็นนั้นใครกันน้า” คิรารินยังสงสัยไม่เลิก “จับมือกันแน่นเลยนะคะ แถมมองตากันหวานเยิ้มเลย”

ภาสวินท์เองก็สงสัย อยากเห็นหน้าไอ้หนุ่มคนนั้นมาก!!

“ถ้าไม่มีแฟน รินลองแนะนำน้องแก้มให้น้าหนึ่งดีกว่า น้าหนึ่งโสดชนิดคานถามหาแล้ว” คิรารินได้ความคิดดีๆ โดยไม่ทันสังเกตว่าคนฟังเผลอขยำกระดาษแน่น

“ริน เรื่องแบบนี้อย่าคิดเอาเองสิว่าใครเหมาะกับใคร มันไม่ดี ไอ้หนึ่งไม่ได้ชอบแบบคุณแก้มหรอก คุณแก้มเองก็ทนความปากเสียของหนึ่งไม่ได้เหมือนกัน” ภาสวินท์แนะนำน้ำเสียงอ่อนด้วยรู้จักนิสัยหนึ่งฟ้า เพื่อนสนิทดี เขาต้องพยายามฝืนยิ้มให้หญิงสาว ทั้งที่เลือดร้อนปุดๆ

และเมื่อกอกานต์กลับมานั่งโต๊ะ คิรารินก็จบบทสนทนากับภาสวินท์ กลับไปนั่งทำงานอย่างเดิม กระทั่งภาสวินท์ได้ยินเสียงกอกานต์รับสายโทรศัพท์

“คะ ค่า แก้มจะลงไปเดี๋ยวนี้ค่า รอแก้มหน่อยนะคะ” เธอรับสายด้วยสีหน้าสดใส ทั้งที่คิรารินเดินมาหาว่าเขาคือต้นเหตุที่กอกานต์ซึมกะทือ

…ใครโทรมา …หรือจะเป็นไอ้หนุ่มนั่น?

ความสงสัยทำให้เขาทนนั่งได้แค่สักพักเดียว ภาสวินท์ก็เดินออกไปสั่งแทนไท “ผมจะไปข้างนอกแป๊บนึงนะแทน ถ้าไม่ใช่เรื่องด่วนมากก็ไม่ต้องโทรตาม”




จบตอนที่ 12 - 35%


โถ สงสารพี่วัสร์ คุณแม่ทำเกินไปไหมมม
ส่วนพี่วินท์ ออกอาการหวงสาวเกินไปไหมคะะะ อิอิ

ปล ยังไม่ได้ตรวจคำผิดน้า


เดี๋ยวมาคุยกันน้า



พบกันใหม่ตอนหน้าค่า



ปิ่นนลิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ส.ค. 2560, 09:57:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ส.ค. 2560, 10:05:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 1043





<< ตอนที่ 11 - 100%   ตอนที่ 12 - 75% >>
แว่นใส 7 ส.ค. 2560, 20:05:38 น.
สงสารพี่วัสร์มากเลย


kaelek 8 ส.ค. 2560, 00:05:09 น.
เหยยยยย..อ่านแล้วน้ำตาซึมอ่าาาา เชื่อว่าคุณแม่ต้องมีเหตุผลที่ลึกซึ้ง แต่มันอดสะเทือนใจไม่ได้จริงๆ ..สะเทือนใจจนความหึงหวงของพี่วินท์ไม่ซึมซับเลยอ่าา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account