ชุลมุนแผนร้าย ... ป่วนใจ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำไมเธอจะต้องมารับรู้เรื่องปวดหัวพวกนี้ด้วย!
ทั้งคนเล่นตลกกับเธอ ผีก็ยังมาเอ็นดูหลอกเธออีก
กอกานต์อยากจะกรีดร้อง หลังจากรู้ว่าเธอถูกหลอกทั้งจากคน และผี!
ในความวุ่นวายที่เธอต้องช่วยตามหาความจริง
อยู่ๆ เธอก็รักคนที่ไม่ควรรักขึ้นมา
เธอจะตัดใจจากตัวยุ่งอย่างดี??
ทั้งคนเล่นตลกกับเธอ ผีก็ยังมาเอ็นดูหลอกเธออีก
กอกานต์อยากจะกรีดร้อง หลังจากรู้ว่าเธอถูกหลอกทั้งจากคน และผี!
ในความวุ่นวายที่เธอต้องช่วยตามหาความจริง
อยู่ๆ เธอก็รักคนที่ไม่ควรรักขึ้นมา
เธอจะตัดใจจากตัวยุ่งอย่างดี??
Tags: ผี ฆาตกรรม ปิ่นนลิน
ตอน: ตอนที่ 12 - 75%
ตอนที่ 12 - 75%
กอกานต์รีบร้อนเดินออกมาหน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับ ณ ชั้นล่างของบริษัทวัสวา กรุ๊ปพอสบตากับกันต์กวีที่ยืนกอดอกมองรอบๆ ตัว ใบหน้าหม่นหมองของเธอเปลี่ยนเป็นสดใส พยายามไม่ให้พี่ชายจับผิดได้ว่าเธอมีเรื่องไม่สบายใจซ่อนอยู่
“พี่กล้า ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์ขับรถเอาเงินมาให้น้องยืม” กอกานต์ยกมือไหว้ทั้งขอบคุณและขอโทษที่รบกวนพี่ชาย เธอเบลอจนลืมกระเป๋าเงินไว้ที่บ้าน ถ้าไม่ได้พี่ชายขับรถเอาเงินมาให้ มีหวังคงลำบากแย่ โดยเฉพาะต้องอยู่ทำงานคืนวันนี้ที่มีติดตั้งดิสเพลย์ที่ลานน้ำพลุภายในห้างอีก
“ปกติก็ไม่เคยลืมของนี่นา ทำงานหนักแล้วนอนไม่พอหรือเปล่า” กันต์กวีรู้จักนิสัยน้องสาวดี กอกานต์อาจจะซุ่มซ่ามบางเรื่อง แต่เรื่องสำคัญแบบนี้ กอกานต์ไม่น่าพลาดได้
“คงเพราะเปลี่ยนกระเป๋าสะพายด้วย วันนี้น้องต้องอยู่ทำงานดึก ก็เลยเปลี่ยนเป็นกระเป๋าใบเล็กคล่องตัวกว่าค่ะ” กอกานต์ให้เหตุผล แม้จะเป็นเรื่องจริงที่อยากจะสะพายกระเป๋าแบบคล่องตัว แต่เธอไม่มีทางลืมกระเป๋าเงินแน่นอน
“จ้า ให้พี่มารับกี่โมงดีล่ะ” กันต์กวีไม่อยากให้น้องสาวนั่งแทกซี่กลับบ้านคนเดียวเลย ดึกแค่ไหนเขาก็มารับไหว ห้างก็ไม่ได้ไกลจากบ้านเท่าไหร่ด้วย
“แก้มยังไม่รู้เลยค่ะ คงทำอย่างที่บอกพี่กล้ากับป้าแพรวไว้ว่าถ้าดึกมากๆ อาจจะไปค้างกับพี่ริน” กอกานต์เล่าแผนการให้พี่ชายฟัง
“ลำบาก เอ่อ คุณรินเขาหรือเปล่า” กันต์กวีเกรงใจเพื่อนร่วมงานน้องสาว “กับพี่เป็นพี่ชาย ไม่ต้องเกรงใจพี่นะแก้ม เกรงใจคุณรินดีกว่านะ”
กอกานต์ตั้งใจแต่เดิมว่าจะกลับแทกซี่เอง ซึ่งถ้าบอกไปพี่ชายต้องไม่อนุญาตแน่ๆ แต่ถ้าจะให้พี่ชายรอรับ เธอก็ไม่แน่ใจเลยว่างานจะเสร็จกี่โมงกี่ยาม กอกานต์จึงได้ข้อสรุปว่า
“งั้นแก้มจะโทรบอกพี่กล้าอีกครั้งนะคะ”
ได้ยินสิ่งที่พอใจแล้ว พี่ชายถึงยอมกลับไปทำงาน ส่วนกอกานต์ซึ่งถือเงินไว้ในมือนั้น พอเธอหมุนตัวเตรียมกลับขึ้นข้างบนก็หันมาชนคนตัวสูงกว่า กอกานต์เงยหน้าตาตกใจมองเจ้าของร่างสูงตรงหน้า
“คุณวินท์ แก้มขอโทษค่ะ” หญิงสาวพูดพลางคลำปลายจมูกตัวเอง ชนกับแผงอกใหญ่ใต้สูทของภาสวินท์เต็มๆ เลย!!!
“คุณไม่ผิดหรอก ผมมายืนตรงนี้เอง …ว่าแต่ใครหรือ” ภาสวินท์มองตามชายหนุ่มที่เพิ่งเดินจากไป
“พี่ชายแก้มค่ะ” กอกานต์หลบตาคนถาม ด้วยไม่อยากคิดหรือถามเขาออกไป ถ้าทำได้ก็อยากจะเดินหนีไปตั้งสติให้มั่นก่อน ค่อยเจอหน้าเจ้านายอีก แต่เธอคงไม่สามารถทำได้ ภาสวินท์เอ่ยกับเธอด้วยน้ำเสียงราบเรียบหากทรงพลังในตัว
“ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว …ตามผมมานะคุณแก้ม”
ภาสวินท์พูดจบก็เดินนำไปยังลิฟท์ เขาไม่ได้เห็นหรอกว่าหญิงสาวถอนหายใจเบาๆ ในเมื่อเจ้านายสั่ง เธอก็ต้องทำตาม ซึ่งสถานที่ที่เจ้านายหนุ่มพาเธอไปนั้นคือระเบียงสวนหย่อมเล็กๆ ที่มีไว้ให้พนักงานเดินมาผ่อนคลาย แต่เวลาทำงานอย่างนี้ จึงมีเพียงภาสวินท์กับกอกานต์มาใช้บริการสวนหย่อมลอยฟ้าเท่านั้น
เจ้านายในชุดสูทหล่อเหลาเดินไปหยุดกลางลานโล่งๆ ที่ปูด้วยอิฐสีแดง รอบๆ กายเขามีต้นไม้พุ่มเล็กพุ่มน้อยสลับกับดอกไม้สีแดงเหลืองชมพูสวยงามสดใสตัดกับฟ้าสะอาด เห็นวิวสวนสาธารณะกลางเมืองอยู่ไกลๆ ส่วนกอกานต์กลับเว้นระยะห่างจากเจ้านายเกือบสองเมตร เธอได้แต่รอฟังว่าเขาจะคุยอะไรกับเธอ
ภาสวินท์เปิดบทสนทนาด้วยน้ำเสียงเครียดๆ
“เรื่องเมื่อคืน ผมรู้ว่ามันผิดนะ”
ภาสวินท์ รู้แก่ใจว่าเขาทำไม่ถูก เขามีคู่หมั้นแต่กลับปล่อยตัวทำตามใจ อีกอย่างกอกานต์เป็นพนักงานภายใต้บังคับบัญชา ภาสวินท์ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้ติดใจกอกานต์ตั้งแต่เห็นใบสมัคร เลือกเธอเข้าทำงานด้วย และสนใจเธอมากขนาดนี้
“แต่ผมไม่ขอโทษหรอกนะ เพราะผมทำไปด้วยความรู้สึกจากใจจริงๆ”
“คะ?” กอกานต์มองคนพูดตาโต เขาพูดผิด หรือเธอหูฝาดไปหรือเปล่า
“ครับ ผมรู้สึกดีๆ กับคุณ” ภาสวินท์ย้ำอีกครั้ง
กอกานต์รู้สึกเขินที่ได้ยิน เพียงแต่เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของเขากับภาพบนหน้าจอ ก็ทำให้กอกานต์กลับสู่ความจริง และหนีไม่พ้นความเศร้าหนึบในใจ
“แต่คุณก็มีคุณนิกกี้นะคะ แก้มไม่อยากเป็นมือที่สามของใคร” เธอคงไม่ต้องเตือนชายหนุ่มหรอก ด้วยสีหน้าแววตาเขาตอนนี้ ก็เหมือนจะรู้ว่าตัวเองมีคนที่หนีไม่ได้
ภาสวินท์ตัดสายชนิณิภาทิ้ง เพราะยังคุยกับกอกานต์ไม่จบ
“จริงอย่างที่คุณพูด แต่ผมกลับอยากทำตามหัวใจตัวเอง ผมรู้ว่าการแต่งงานกับนิกกี้จะทำให้แม่ยิ้มและมีความสุข แต่ตอนนี้ผมเห็นแต่ว่าตัวเองกำลังทำผิด ผิดทั้งกับแม่ ผมโกหกแม่มาตลอดว่าผมทนไหวกับการแต่งงานกับนิกกี้ แต่จริงๆ ผมทนไม่ไหวหรอก แล้วยังทำร้ายนิกกี้อีก”
กอกานต์กำลังขมวดคิ้ว มองภาสวินท์อย่างไม่เห็นด้วย
“คุณโกรธที่ได้ยินผมพูดแบบนี้ใช่ไหมคุณแก้ม”
“แก้มแค่คิดว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง คุณอาจจะแค่หวั่นไหวเพราะเราทำงานใกล้ชิดกัน …แก้มไม่อยากเป็นเหตุผลให้คุณวินท์แตกหักกับทั้งท่านประธานและคุณนิกกี้ค่ะ”
ภาสวินท์ไม่โกรธที่ได้ยินการถูกตัดรอน เขารู้ว่ากอกานต์เป็นคนแบบนี้ เธอจะแสดงความเห็นกับเรื่องไม่ถูกต้องออกมาเสมอ
แต่เขาก็ไม่อยากให้เธอเข้าใจผิด
“ไม่ใช่เพราะคุณทีเดียวหรอก คุณก็แค่ทำให้ผมเห็นตัวเองชัดขึ้น” เขาเองก็เลือกแล้ว …
“ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าหากผมจะตัดสินใจทำอะไรลงไป ทุกอย่างผมเลือกเอง นี่เป็นชีวิตผม คุณไม่ต้องคิดว่าคุณเป็นต้นเหตุ ถ้าวันข้างหน้า ผมพบแล้วว่าผมไม่ได้หวั่นไหวไปเอง และหัวใจคุณยังมีผมอยู่ ผมจะเดินหน้าจีบคุณเอง”
“คุณวินท์ แก้ม …” กอกานต์อยากสลัดความรู้สึกหวั่นไหวต่อสายตาเจ้านายทิ้ง หากทำได้ยากเย็นเหลือเกิน จึงได้แต่ขอร้องชายหนุ่มให้เห็นใจเธอ ถ้าทำได้เธอขอไม่หวั่นไหวกับเขาจะได้ไหม
“ถ้าคุณไม่มั่นใจ งั้นให้เวลาเราทั้งคู่ไหม … ถ้าเราห่างกัน เราจะเข้าใจหัวใจตัวเองมากขึ้นว่าเราแค่หวั่นไหว หรือเรารู้สึกดีต่อกันกันแน่” ภาสวินท์ถามความเห็นหญิงสาว เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เขาจะคิดเอาเองได้ และยังรู้อีกว่ากอกานต์จะต้องไม่เห็นด้วย
“ผมรู้ว่าคุณลำบากใจ แต่เรื่องนี้จะไม่กระทบงานระหว่างเราแน่นอน …กลับไปทำงานเถอะ”
กอกานต์ได้แต่ทำหน้าเครียด ก่อนหมุนตัวกลับเข้าไปในอาคาร สมองเธอกำลังสับสนจนไม่รู้จะพูดว่าควรพูดหรือแสดงออกอย่างไรดี
ด้านภาสวินท์เองก็ถึงกับยกมือปิดปากหลังจากเริ่มทบทวนว่าตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง
เขายืนคว้างอยู่กลางระเบียงสวนหย่อมด้วยอาการตกใจ ทำไมอยู่ๆ เขาถึงบ้าบิ่นสารภาพความรู้สึกอึดอัดในใจให้กอกานต์ฟัง หรือเป็นเพราะแรงยุจากพี่ชายที่พูดเมื่อก่อนออกจากบ้าน
‘ถ้าไม่รักนิกกี้ ก็ควรบอกนิกกี้ไปนะ อย่าให้เรื่องบ้าๆ อย่าให้ใครมากำหนดชีวิตนาย นายต้องกำหนดชีวิตตัวเอง’
ภาสวินท์ไม่เถียงกว่าพี่ชายพูดถูกทุกอย่าง เขาทิ้งความต้องการรวมถึงชีวิตตัวเองไปเพราะความต้องการของแม่ แต่จะให้ลืมภาพสมัยเขายังวัยรุ่น แม่ทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำส่งเสียงเขาเรียน ให้เขาและพี่กินอิ่มนอนหลับไปก็ไม่ได้ แม่เองก็คงอยากตอบแทนบุญคุณคุณลุงเดชาที่เคยช่วยเหลือสมัยลำบากด้วย
ภาสวินท์กำลังมองหาทางออกของเรื่องการแต่งงาน ถึงจะทำให้ชนิณิกาเจ็บปวดก็ดีกว่าทั้งคู่จ้องทนทรมานไปทั้งชีวิต การที่บอกไปว่า
‘ไม่ใช่เพราะคุณทีเดียวหรอก คุณก็แค่ทำให้ผมเห็นตัวเองชัดขึ้น’ ด้วยก็เช่นกัน เขาไม่ได้แก้ตัวให้ตัวเองหรือกอกานต์รู้สึกดีขึ้น ถึงแม้สุดท้ายแล้วอาจจะไม่ได้ลงเอยกับกอกานต์ ก็ควรต้องทำให้ตัวเองชัดเจนกว่าเดิมสักที
แต่เรื่องนี้จะจบลงดีหรือไม่ ภาสวินท์ยังไม่แนใจเลย
ข่าวซุบซิบหลังมื้อเที่ยงก็คือเรื่องที่ภาสวินท์จะย้ายกลับขึ้นไปนั่งทำงานชั้นผู้บริหารไม่นั่งในห้องกระจกระหว่างแผนกการตลาดกับแผนกออกแบบศิลป์แล้ว
“ทำไมอยู่ๆ พี่วินท์ถึงย้ายน้า คุณแทนทราบหรือเปล่าคะ” คิรารินสงสัย คนเดียวที่น่าจะรู้เหตุผลก็คือแทนไท ซึ่งเจ้าตัวก็ให้คำตอบไม่ได้เหมือนกัน
“ผมไม่ทราบหรอกครับคุณริน เมื่อก่อนคุณอนงค์นาง ท่านประธานขอร้องให้ขึ้นไปนั่งทำงานในห้องเป็นเรื่องเป็นราว คุณวินท์ก็ไม่เคยยอมสักครั้ง คุณวินท์เลือกนั่งในห้องนี้ก็เพราะอยากจะคุมงานออกแบบด้วยตัวเอง อยู่ๆ คุณวินท์ก็ย้ายกลับขึ้นไปนี่ ผมเองก็งงเหมือนกันครับ”
แทนไททำงานกับภาสวินท์มานาน ไม่รวมพ่อของเขาสนิทกับภาสกรอดีตผู้บริหารอีก ย่อมรู้จักนิสัยเจ้านายดี ภาสวินท์เป็นคนเนี้ยบ ทำงานเด็ดขาดก็จริง แต่เนื้อแท้ค่อนข้างสบายๆ ไม่ถือเนื้อถือตัว การได้นั่งทำงานใกล้ชิดพนักงานทำให้ภาสวินท์เป็นที่รักใคร่ยอมรับของพนักงานมากด้วย แทนไทไม่รู้แน่ชัดหรอกว่าการเปลี่ยนใจครั้งนี้เกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่
ซึ่งสาเหตุก็อาจจะยืนหัวโด่อยู่ตรงกลางแทนไทและคิราริน
กอกานต์สงสัยคำพูดของภาสวินท์เมื่อตอนสายๆ ‘ถ้าเราห่างกัน เราจะเข้าใจหัวใจตัวเองมากขึ้น’ จะเกี่ยวกับการตัดสินใจปุบปับหรือไม่นะ ซึ่งเธอไม่กล้าคิดว่าตัวเองจะมีผลกับชายหนุ่มมากขนาดนั้นหรอก …
และบ่ายวันนั้นภาสวินท์ก็ไม่ได้มีท่าทีแปลกอะไรกว่าปกติ เขายังสั่งงานกับตรวจงานเธอเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กอกานต์เองสิที่รู้สึกไม่เหมือนเดิมเลย
การจัดพรอพตกแต่งกลางลานน้ำพุเริ่มขึ้นเวลาสี่ทุ่มครึ่งหลังจากห้างวัสวาปิดให้บริการ ภาสวินท์ต้องออกไปประชุมกับลูกค้าตั้งแต่เย็นมอบหมายให้แทนไทกับ สาริต หรือ แซม ฝ่ายออกแบบอาคารดูแลประสานงานกับบริษัทที่จ้างมาทำงาน ส่วนกอกานต์กับคิรารินยังคงแค่สังเกตการณ์และให้คำแนะนำในเรื่องความสวยงามเหมาะสม
“บริษัทที่จ้างมานี่ทำงานกันเรียบร้อนดีนะคะคุณแซม” คิรารินออกความเห็นขณะสาริตเดินย้อนกลับมาทางพวกเธอ
“ครับ คุณวินท์เลยจ้างบริษัทนี้ตลอด ผมมีเรื่องขอคำแนะนำจากคุณรินและคุณแก้ม คือตรงนี้ …” สาริตกางแบบให้สองสาวดูเพื่อขอคำแนะนำ พรอพตกแต่งบางจุดดูไม่ลงตัวเมื่อมาอยู่ในสถานที่จริง
กอกานต์เพิ่งสังเกตว่าแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือเธอจะหมด แล้วเธอก็ไม่ได้หยิบแบตเตอรี่สำรองมาจากกระเป๋าสะพายบนโต๊ะทำงานอีก จึงหันไปทางคิราริน แต่คิรารินหันมาพูดขึ้นก่อน
“แก้ม พี่ว่าพี่จะไปช่วยเขาดูเขาจัดพรอพตรงนู้นกับคุณแซมนะ”
“ค่ะ เดี๋ยวแก้มไปเอาพาวเวอร์แบงค์ที่ข้างบน พี่รินจะไปด้วยกันไหมคะ”
คิรารินเฉยเมยใส่เหมือนจะไม่สนใจคำชวนของเธอแล้วเดินแยกไปกับสาริต จนกอกานต์นิ่วหน้า นี่รู้สึกไปเองหรือเปล่าที่ทุกคนเหมือนลดความสนใจในตัวเธอลง แทนไทเองก็หันมาส่งยิ้มแล้วเดินไปสั่งงานอีกจุด
กอกานต์ได้แต่เกาหัวคิดเอาเองว่าทุกคนคงยุ่งกันมาก เธอตัดสินใจเดินกลับไปที่ตึกด้านสำนักงานซึ่งบางชั้นยังมีพนักงานทำงานอยู่ ตึกเองก็เปิดไฟสว่างสไวไม่ได้น่ากลัว แต่ทำไมพอลิฟท์ชึ้นมาชั้นที่เธอทำงาน บรรยากาศกลับวังเวงจนน่ากลัวก็ไม่รู้
หญิงสาวรีบจัดการหยิบของที่ต้องการ แล้วรีบลงไปข้างล่าง ทว่าลิฟท์กลับหยุดที่ชั้นเก้า กอกานต์มองประตูลิฟท์ค่อยๆ เปิด สงสัยว่าใครกันหนอเรียกลิฟท์เวลาสี่ทุ่มเกือบห้าทุ่มเช่นนี้ เธอเกือบลืมไปเลยว่าชั้นเก้าเป็นชั้นหวงห้าม ไม่มีส่วนของออฟฟิศอยู่ กว่าจะนึกออกก็ตอนประตูลิฟท์เปิดแล้วเธอเห็นผนังที่คุ้นเคย และความว่างเปล่า ไม่มีเงาหรือใครยืนกดลิฟท์อยู่เลย
เมื่อชะโงกหน้าไปมองซ้ายขวาหน้าลิฟท์ ไม่เห็นใครสักคนเธอก็ยิ่งกลัวจนตัวสั่น ยื่นมือไปกดปิดประตูบนแผงข้างประตูลิฟท์ แต่ประตูกลับเปิดค้างไว้อย่างนั้น กอกานต์กระหน่ำกดปุ่มปิดประตูรัวเร็วกว่าเดิมก็ไม่ได้ผล ขณะนั้นเองเสียงโหยหวนก็ดังแทรกความเงียบวังเวงขึ้นมา กอกานต์หยุดการกระทำทุกอย่าง เงี่ยหูฟังเสียงด้านนอกลิฟท์อย่างตั้งใจ
“ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย ใครก็ได้ช่วยฉันด้วยเถอะ”
เสียงผู้หญิงร้องขอความช่วยเหลือ สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสารมาก กอกานต์ยืนลังเลว่าเวลาดึกอย่างนี้ใครจะมาร้องขอความช่วยเหลือกัน อีกอย่างเสียงช่างคุ้นหูเธอเหลือเกิน แล้วอยู่ดีๆ เสียงผู้หญิงโหยหวนก็ดังขึ้นเรื่อยๆ กอกานต์ถอยหลังติดผนังลิฟท์ ใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก
“ช่วยฉันด้วย …ใครก็ได้ …”
ทันใดนั้นเอง เธอก็เห็นมือผู้หญิงที่ทั้งแห้งและดำยื่นมาจับขอบประตูลิฟท์ซึ่งเปิดค้าง ก่อนใบหน้าขาวซีดกับเส้นผมยาวรกรุงรังจะค่อยๆ โผล่พ้นขอบประตู
“กรี๊ดดดดด!!! ” กอกานต์ตกใจจัด ร้องกรี๊ดออกมาดังลั่นก่อนจะสลบหมดสติไปในที่สุด!
ภาสวินท์กลับมายังห้างวัสวาอีกครั้งก็เกือบห้าทุ่มจุดแรกที่เขาไปถึงนั้นคือลานน้ำพุกลางห้าง ชายหนุ่มกวาดสายตามองรอบๆ ไม่พบกอกานต์ก็แปลกใจ
“สวัสดีครับคุณภาสวินท์” เจ้าของบริษัทตกแต่งพรอพเดินมายกมือไหว้ผู้ว่าจ้าง พอเห็นสายตาเครียดๆ ก็ถามอย่างกังวล “คุณภาสวินท์ไม่พอใจงานตรงไหนหรือเปล่าครับ”
“ไม่ครับ ก็ดูเป็นไปตามแบบที่ตกลงกันไว้” ภาสวินท์ตอบ หากสีหน้ายังไม่คลายความสงสัย “ถ้าไงก็ทำงานต่อได้เลย ผมขอไปคุยกับลูกน้องผมก่อนนะครับ”
คนพูดผละจากเจ้าของบริษัทที่จ้างมา รีบเดินตรงไปหาแทนไทด้วยอาการร้อนใจ
“แทน คุณแก้มล่ะ ทำไมมีแค่คิราริน”
แทนไทมองไปรอบๆ เห็นคิรารินยืนอยู่เพียงลำพัง ก็คล้ายเพิ่งนึกออก
“นั่นสิครับ คุณแก้มล่ะ! …คุณริน คุณแก้มล่ะครับ” แทนไทรีบเดินไปถามหญิงสาว ซึ่งคิรารินก็เป็นอีกคนที่ทำท่าเหมือนเพิ่งได้สติหันซ้ายมองขวาเลิ่กลั่ก
“อ้าว ไม่ได้อยู่กับคุณแทนหรือคะ รินได้ยินแว่วๆ ว่าแก้มอยู่กับคุณแทน”
“ไม่นะครับ ผมเห็นคุณแก้มอยู่ข้างๆ คุณรินต่างหาก”
“สรุปว่าไม่ได้อยู่กับใครสักคนงั้นหรือ! ” ภาสวินท์สรุปได้จากการเห็นแทนไทกับคิรารินเถียงกันไปมา แล้วดุใส่ทั้งสองด้วยความโมโห “คนหายไปทั้งคน พวกคุณไม่เอะใจบ้างเลยหรือไง ผมบอกไว้แล้วไงว่าให้ดูแลกันดีๆ !! ”
“ขอโทษค่ะ รินโทรหาน้องแก้มก่อนนะคะ” คิรารินกดโทรศัพท์มือถือไปหากอกานต์ แต่ก็ไม่ได้ถูกรับสาย โทรจนสายตัดไปสองรอบ ความเป็นห่วงมากขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่เฉยไม่ไหว
“รินจะไปหาแก้มนะคะ อาจจะไปเข้าห้องน้ำก็ได้” คิรารินจะขยับตัว หากภาสวินท์กลับรั้งเสียงเข้ม
“ไม่ต้องไป ดึกแล้วมันอันตราย รินอยู่กับคุณแซมที่นี่ …ให้แทนกับรปภ.ไปตามหา จะเป็นห้องน้ำหญิงหรืออะไรก็ช่าง หาให้เจอ” ภาสวินท์สั่งเสียงเฉียบ “เดี๋ยวผมจะไปดูในตึกออฟฟิศ ถ้าเจอแล้วโทรบอกผมด้วย”
แทนไทรับคำแล้วรีบวิ่งไปหาพนักงานรักษาความปลอดภัยทันที ส่วนภาสวินท์รีบกลับไปตึกออฟฟิศ ขณะนั้นเองมีสายเข้าจากสิริมา ภาสวินท์นึกห่วงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายจนต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปด้วยรับสายไปด้วย
“ครับส้ม” รับด้วยน้ำเสียงกระหืดกระหอบ หากเสียงสะอื้นของสิริมาและการขอความช่วยเหลือก็ทำให้ภาสวินท์ก้าวเท้าไม่ออก
“คุณวินท์ขา คุณวัสร์หายตัวไปจากห้องค่ะ”
“หมายความว่ายังไงน่ะส้ม เกิดอะไรขึ้น” ภาสวินท์หันไปมองทางบ้านตัวเองซึ่งอยู่ด้านหลังห้างสรรพสินค้าวัสวา ดวงตาคู่คมเบิกกว้างอย่างตกใจ
“คุณนางล่ามโซ่คุณวัสร์ไว้ตั้งแต่เช้า … แต่ … แต่ตอนนี้คุณวัสร์หายไปแล้วค่ะ คุณวัสร์หายไปจากห้องแล้วค่ะ ยาก็ไม่กินตั้งแต่เช้าด้วย คุณวินท์ช่วยหาคุณวัสร์ด้วยนะคะ!! ”
จบตอนที่ 12 - 75%
พี่วัสร์หายไปไหนน้า
แล้วพี่วินท์จะทำยังไง ด้านหนึ่งก็พี่ อีกด้านก็คนที่รัก
แต่บอกได้เลยว่างานนี้มี "ผอ สระ อี" มาเกี่ยวแน่ๆ
คุณ แว่นใส - พี่วัสร์ทนไม่ไหว หนีไปแล้ว ว่าแต่หนีไปไหนน้า แล้วหนีไปยังไงงงง
คุณ kaelek - พี่วัสร์แย่งซีนไปเต็มๆ ตอนหน้าก็เข่นกันนนน
พบกันใหม่ตอนหน้าค่าา
กอกานต์รีบร้อนเดินออกมาหน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับ ณ ชั้นล่างของบริษัทวัสวา กรุ๊ปพอสบตากับกันต์กวีที่ยืนกอดอกมองรอบๆ ตัว ใบหน้าหม่นหมองของเธอเปลี่ยนเป็นสดใส พยายามไม่ให้พี่ชายจับผิดได้ว่าเธอมีเรื่องไม่สบายใจซ่อนอยู่
“พี่กล้า ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์ขับรถเอาเงินมาให้น้องยืม” กอกานต์ยกมือไหว้ทั้งขอบคุณและขอโทษที่รบกวนพี่ชาย เธอเบลอจนลืมกระเป๋าเงินไว้ที่บ้าน ถ้าไม่ได้พี่ชายขับรถเอาเงินมาให้ มีหวังคงลำบากแย่ โดยเฉพาะต้องอยู่ทำงานคืนวันนี้ที่มีติดตั้งดิสเพลย์ที่ลานน้ำพลุภายในห้างอีก
“ปกติก็ไม่เคยลืมของนี่นา ทำงานหนักแล้วนอนไม่พอหรือเปล่า” กันต์กวีรู้จักนิสัยน้องสาวดี กอกานต์อาจจะซุ่มซ่ามบางเรื่อง แต่เรื่องสำคัญแบบนี้ กอกานต์ไม่น่าพลาดได้
“คงเพราะเปลี่ยนกระเป๋าสะพายด้วย วันนี้น้องต้องอยู่ทำงานดึก ก็เลยเปลี่ยนเป็นกระเป๋าใบเล็กคล่องตัวกว่าค่ะ” กอกานต์ให้เหตุผล แม้จะเป็นเรื่องจริงที่อยากจะสะพายกระเป๋าแบบคล่องตัว แต่เธอไม่มีทางลืมกระเป๋าเงินแน่นอน
“จ้า ให้พี่มารับกี่โมงดีล่ะ” กันต์กวีไม่อยากให้น้องสาวนั่งแทกซี่กลับบ้านคนเดียวเลย ดึกแค่ไหนเขาก็มารับไหว ห้างก็ไม่ได้ไกลจากบ้านเท่าไหร่ด้วย
“แก้มยังไม่รู้เลยค่ะ คงทำอย่างที่บอกพี่กล้ากับป้าแพรวไว้ว่าถ้าดึกมากๆ อาจจะไปค้างกับพี่ริน” กอกานต์เล่าแผนการให้พี่ชายฟัง
“ลำบาก เอ่อ คุณรินเขาหรือเปล่า” กันต์กวีเกรงใจเพื่อนร่วมงานน้องสาว “กับพี่เป็นพี่ชาย ไม่ต้องเกรงใจพี่นะแก้ม เกรงใจคุณรินดีกว่านะ”
กอกานต์ตั้งใจแต่เดิมว่าจะกลับแทกซี่เอง ซึ่งถ้าบอกไปพี่ชายต้องไม่อนุญาตแน่ๆ แต่ถ้าจะให้พี่ชายรอรับ เธอก็ไม่แน่ใจเลยว่างานจะเสร็จกี่โมงกี่ยาม กอกานต์จึงได้ข้อสรุปว่า
“งั้นแก้มจะโทรบอกพี่กล้าอีกครั้งนะคะ”
ได้ยินสิ่งที่พอใจแล้ว พี่ชายถึงยอมกลับไปทำงาน ส่วนกอกานต์ซึ่งถือเงินไว้ในมือนั้น พอเธอหมุนตัวเตรียมกลับขึ้นข้างบนก็หันมาชนคนตัวสูงกว่า กอกานต์เงยหน้าตาตกใจมองเจ้าของร่างสูงตรงหน้า
“คุณวินท์ แก้มขอโทษค่ะ” หญิงสาวพูดพลางคลำปลายจมูกตัวเอง ชนกับแผงอกใหญ่ใต้สูทของภาสวินท์เต็มๆ เลย!!!
“คุณไม่ผิดหรอก ผมมายืนตรงนี้เอง …ว่าแต่ใครหรือ” ภาสวินท์มองตามชายหนุ่มที่เพิ่งเดินจากไป
“พี่ชายแก้มค่ะ” กอกานต์หลบตาคนถาม ด้วยไม่อยากคิดหรือถามเขาออกไป ถ้าทำได้ก็อยากจะเดินหนีไปตั้งสติให้มั่นก่อน ค่อยเจอหน้าเจ้านายอีก แต่เธอคงไม่สามารถทำได้ ภาสวินท์เอ่ยกับเธอด้วยน้ำเสียงราบเรียบหากทรงพลังในตัว
“ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว …ตามผมมานะคุณแก้ม”
ภาสวินท์พูดจบก็เดินนำไปยังลิฟท์ เขาไม่ได้เห็นหรอกว่าหญิงสาวถอนหายใจเบาๆ ในเมื่อเจ้านายสั่ง เธอก็ต้องทำตาม ซึ่งสถานที่ที่เจ้านายหนุ่มพาเธอไปนั้นคือระเบียงสวนหย่อมเล็กๆ ที่มีไว้ให้พนักงานเดินมาผ่อนคลาย แต่เวลาทำงานอย่างนี้ จึงมีเพียงภาสวินท์กับกอกานต์มาใช้บริการสวนหย่อมลอยฟ้าเท่านั้น
เจ้านายในชุดสูทหล่อเหลาเดินไปหยุดกลางลานโล่งๆ ที่ปูด้วยอิฐสีแดง รอบๆ กายเขามีต้นไม้พุ่มเล็กพุ่มน้อยสลับกับดอกไม้สีแดงเหลืองชมพูสวยงามสดใสตัดกับฟ้าสะอาด เห็นวิวสวนสาธารณะกลางเมืองอยู่ไกลๆ ส่วนกอกานต์กลับเว้นระยะห่างจากเจ้านายเกือบสองเมตร เธอได้แต่รอฟังว่าเขาจะคุยอะไรกับเธอ
ภาสวินท์เปิดบทสนทนาด้วยน้ำเสียงเครียดๆ
“เรื่องเมื่อคืน ผมรู้ว่ามันผิดนะ”
ภาสวินท์ รู้แก่ใจว่าเขาทำไม่ถูก เขามีคู่หมั้นแต่กลับปล่อยตัวทำตามใจ อีกอย่างกอกานต์เป็นพนักงานภายใต้บังคับบัญชา ภาสวินท์ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้ติดใจกอกานต์ตั้งแต่เห็นใบสมัคร เลือกเธอเข้าทำงานด้วย และสนใจเธอมากขนาดนี้
“แต่ผมไม่ขอโทษหรอกนะ เพราะผมทำไปด้วยความรู้สึกจากใจจริงๆ”
“คะ?” กอกานต์มองคนพูดตาโต เขาพูดผิด หรือเธอหูฝาดไปหรือเปล่า
“ครับ ผมรู้สึกดีๆ กับคุณ” ภาสวินท์ย้ำอีกครั้ง
กอกานต์รู้สึกเขินที่ได้ยิน เพียงแต่เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของเขากับภาพบนหน้าจอ ก็ทำให้กอกานต์กลับสู่ความจริง และหนีไม่พ้นความเศร้าหนึบในใจ
“แต่คุณก็มีคุณนิกกี้นะคะ แก้มไม่อยากเป็นมือที่สามของใคร” เธอคงไม่ต้องเตือนชายหนุ่มหรอก ด้วยสีหน้าแววตาเขาตอนนี้ ก็เหมือนจะรู้ว่าตัวเองมีคนที่หนีไม่ได้
ภาสวินท์ตัดสายชนิณิภาทิ้ง เพราะยังคุยกับกอกานต์ไม่จบ
“จริงอย่างที่คุณพูด แต่ผมกลับอยากทำตามหัวใจตัวเอง ผมรู้ว่าการแต่งงานกับนิกกี้จะทำให้แม่ยิ้มและมีความสุข แต่ตอนนี้ผมเห็นแต่ว่าตัวเองกำลังทำผิด ผิดทั้งกับแม่ ผมโกหกแม่มาตลอดว่าผมทนไหวกับการแต่งงานกับนิกกี้ แต่จริงๆ ผมทนไม่ไหวหรอก แล้วยังทำร้ายนิกกี้อีก”
กอกานต์กำลังขมวดคิ้ว มองภาสวินท์อย่างไม่เห็นด้วย
“คุณโกรธที่ได้ยินผมพูดแบบนี้ใช่ไหมคุณแก้ม”
“แก้มแค่คิดว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง คุณอาจจะแค่หวั่นไหวเพราะเราทำงานใกล้ชิดกัน …แก้มไม่อยากเป็นเหตุผลให้คุณวินท์แตกหักกับทั้งท่านประธานและคุณนิกกี้ค่ะ”
ภาสวินท์ไม่โกรธที่ได้ยินการถูกตัดรอน เขารู้ว่ากอกานต์เป็นคนแบบนี้ เธอจะแสดงความเห็นกับเรื่องไม่ถูกต้องออกมาเสมอ
แต่เขาก็ไม่อยากให้เธอเข้าใจผิด
“ไม่ใช่เพราะคุณทีเดียวหรอก คุณก็แค่ทำให้ผมเห็นตัวเองชัดขึ้น” เขาเองก็เลือกแล้ว …
“ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าหากผมจะตัดสินใจทำอะไรลงไป ทุกอย่างผมเลือกเอง นี่เป็นชีวิตผม คุณไม่ต้องคิดว่าคุณเป็นต้นเหตุ ถ้าวันข้างหน้า ผมพบแล้วว่าผมไม่ได้หวั่นไหวไปเอง และหัวใจคุณยังมีผมอยู่ ผมจะเดินหน้าจีบคุณเอง”
“คุณวินท์ แก้ม …” กอกานต์อยากสลัดความรู้สึกหวั่นไหวต่อสายตาเจ้านายทิ้ง หากทำได้ยากเย็นเหลือเกิน จึงได้แต่ขอร้องชายหนุ่มให้เห็นใจเธอ ถ้าทำได้เธอขอไม่หวั่นไหวกับเขาจะได้ไหม
“ถ้าคุณไม่มั่นใจ งั้นให้เวลาเราทั้งคู่ไหม … ถ้าเราห่างกัน เราจะเข้าใจหัวใจตัวเองมากขึ้นว่าเราแค่หวั่นไหว หรือเรารู้สึกดีต่อกันกันแน่” ภาสวินท์ถามความเห็นหญิงสาว เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เขาจะคิดเอาเองได้ และยังรู้อีกว่ากอกานต์จะต้องไม่เห็นด้วย
“ผมรู้ว่าคุณลำบากใจ แต่เรื่องนี้จะไม่กระทบงานระหว่างเราแน่นอน …กลับไปทำงานเถอะ”
กอกานต์ได้แต่ทำหน้าเครียด ก่อนหมุนตัวกลับเข้าไปในอาคาร สมองเธอกำลังสับสนจนไม่รู้จะพูดว่าควรพูดหรือแสดงออกอย่างไรดี
ด้านภาสวินท์เองก็ถึงกับยกมือปิดปากหลังจากเริ่มทบทวนว่าตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง
เขายืนคว้างอยู่กลางระเบียงสวนหย่อมด้วยอาการตกใจ ทำไมอยู่ๆ เขาถึงบ้าบิ่นสารภาพความรู้สึกอึดอัดในใจให้กอกานต์ฟัง หรือเป็นเพราะแรงยุจากพี่ชายที่พูดเมื่อก่อนออกจากบ้าน
‘ถ้าไม่รักนิกกี้ ก็ควรบอกนิกกี้ไปนะ อย่าให้เรื่องบ้าๆ อย่าให้ใครมากำหนดชีวิตนาย นายต้องกำหนดชีวิตตัวเอง’
ภาสวินท์ไม่เถียงกว่าพี่ชายพูดถูกทุกอย่าง เขาทิ้งความต้องการรวมถึงชีวิตตัวเองไปเพราะความต้องการของแม่ แต่จะให้ลืมภาพสมัยเขายังวัยรุ่น แม่ทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำส่งเสียงเขาเรียน ให้เขาและพี่กินอิ่มนอนหลับไปก็ไม่ได้ แม่เองก็คงอยากตอบแทนบุญคุณคุณลุงเดชาที่เคยช่วยเหลือสมัยลำบากด้วย
ภาสวินท์กำลังมองหาทางออกของเรื่องการแต่งงาน ถึงจะทำให้ชนิณิกาเจ็บปวดก็ดีกว่าทั้งคู่จ้องทนทรมานไปทั้งชีวิต การที่บอกไปว่า
‘ไม่ใช่เพราะคุณทีเดียวหรอก คุณก็แค่ทำให้ผมเห็นตัวเองชัดขึ้น’ ด้วยก็เช่นกัน เขาไม่ได้แก้ตัวให้ตัวเองหรือกอกานต์รู้สึกดีขึ้น ถึงแม้สุดท้ายแล้วอาจจะไม่ได้ลงเอยกับกอกานต์ ก็ควรต้องทำให้ตัวเองชัดเจนกว่าเดิมสักที
แต่เรื่องนี้จะจบลงดีหรือไม่ ภาสวินท์ยังไม่แนใจเลย
ข่าวซุบซิบหลังมื้อเที่ยงก็คือเรื่องที่ภาสวินท์จะย้ายกลับขึ้นไปนั่งทำงานชั้นผู้บริหารไม่นั่งในห้องกระจกระหว่างแผนกการตลาดกับแผนกออกแบบศิลป์แล้ว
“ทำไมอยู่ๆ พี่วินท์ถึงย้ายน้า คุณแทนทราบหรือเปล่าคะ” คิรารินสงสัย คนเดียวที่น่าจะรู้เหตุผลก็คือแทนไท ซึ่งเจ้าตัวก็ให้คำตอบไม่ได้เหมือนกัน
“ผมไม่ทราบหรอกครับคุณริน เมื่อก่อนคุณอนงค์นาง ท่านประธานขอร้องให้ขึ้นไปนั่งทำงานในห้องเป็นเรื่องเป็นราว คุณวินท์ก็ไม่เคยยอมสักครั้ง คุณวินท์เลือกนั่งในห้องนี้ก็เพราะอยากจะคุมงานออกแบบด้วยตัวเอง อยู่ๆ คุณวินท์ก็ย้ายกลับขึ้นไปนี่ ผมเองก็งงเหมือนกันครับ”
แทนไททำงานกับภาสวินท์มานาน ไม่รวมพ่อของเขาสนิทกับภาสกรอดีตผู้บริหารอีก ย่อมรู้จักนิสัยเจ้านายดี ภาสวินท์เป็นคนเนี้ยบ ทำงานเด็ดขาดก็จริง แต่เนื้อแท้ค่อนข้างสบายๆ ไม่ถือเนื้อถือตัว การได้นั่งทำงานใกล้ชิดพนักงานทำให้ภาสวินท์เป็นที่รักใคร่ยอมรับของพนักงานมากด้วย แทนไทไม่รู้แน่ชัดหรอกว่าการเปลี่ยนใจครั้งนี้เกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่
ซึ่งสาเหตุก็อาจจะยืนหัวโด่อยู่ตรงกลางแทนไทและคิราริน
กอกานต์สงสัยคำพูดของภาสวินท์เมื่อตอนสายๆ ‘ถ้าเราห่างกัน เราจะเข้าใจหัวใจตัวเองมากขึ้น’ จะเกี่ยวกับการตัดสินใจปุบปับหรือไม่นะ ซึ่งเธอไม่กล้าคิดว่าตัวเองจะมีผลกับชายหนุ่มมากขนาดนั้นหรอก …
และบ่ายวันนั้นภาสวินท์ก็ไม่ได้มีท่าทีแปลกอะไรกว่าปกติ เขายังสั่งงานกับตรวจงานเธอเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กอกานต์เองสิที่รู้สึกไม่เหมือนเดิมเลย
การจัดพรอพตกแต่งกลางลานน้ำพุเริ่มขึ้นเวลาสี่ทุ่มครึ่งหลังจากห้างวัสวาปิดให้บริการ ภาสวินท์ต้องออกไปประชุมกับลูกค้าตั้งแต่เย็นมอบหมายให้แทนไทกับ สาริต หรือ แซม ฝ่ายออกแบบอาคารดูแลประสานงานกับบริษัทที่จ้างมาทำงาน ส่วนกอกานต์กับคิรารินยังคงแค่สังเกตการณ์และให้คำแนะนำในเรื่องความสวยงามเหมาะสม
“บริษัทที่จ้างมานี่ทำงานกันเรียบร้อนดีนะคะคุณแซม” คิรารินออกความเห็นขณะสาริตเดินย้อนกลับมาทางพวกเธอ
“ครับ คุณวินท์เลยจ้างบริษัทนี้ตลอด ผมมีเรื่องขอคำแนะนำจากคุณรินและคุณแก้ม คือตรงนี้ …” สาริตกางแบบให้สองสาวดูเพื่อขอคำแนะนำ พรอพตกแต่งบางจุดดูไม่ลงตัวเมื่อมาอยู่ในสถานที่จริง
กอกานต์เพิ่งสังเกตว่าแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือเธอจะหมด แล้วเธอก็ไม่ได้หยิบแบตเตอรี่สำรองมาจากกระเป๋าสะพายบนโต๊ะทำงานอีก จึงหันไปทางคิราริน แต่คิรารินหันมาพูดขึ้นก่อน
“แก้ม พี่ว่าพี่จะไปช่วยเขาดูเขาจัดพรอพตรงนู้นกับคุณแซมนะ”
“ค่ะ เดี๋ยวแก้มไปเอาพาวเวอร์แบงค์ที่ข้างบน พี่รินจะไปด้วยกันไหมคะ”
คิรารินเฉยเมยใส่เหมือนจะไม่สนใจคำชวนของเธอแล้วเดินแยกไปกับสาริต จนกอกานต์นิ่วหน้า นี่รู้สึกไปเองหรือเปล่าที่ทุกคนเหมือนลดความสนใจในตัวเธอลง แทนไทเองก็หันมาส่งยิ้มแล้วเดินไปสั่งงานอีกจุด
กอกานต์ได้แต่เกาหัวคิดเอาเองว่าทุกคนคงยุ่งกันมาก เธอตัดสินใจเดินกลับไปที่ตึกด้านสำนักงานซึ่งบางชั้นยังมีพนักงานทำงานอยู่ ตึกเองก็เปิดไฟสว่างสไวไม่ได้น่ากลัว แต่ทำไมพอลิฟท์ชึ้นมาชั้นที่เธอทำงาน บรรยากาศกลับวังเวงจนน่ากลัวก็ไม่รู้
หญิงสาวรีบจัดการหยิบของที่ต้องการ แล้วรีบลงไปข้างล่าง ทว่าลิฟท์กลับหยุดที่ชั้นเก้า กอกานต์มองประตูลิฟท์ค่อยๆ เปิด สงสัยว่าใครกันหนอเรียกลิฟท์เวลาสี่ทุ่มเกือบห้าทุ่มเช่นนี้ เธอเกือบลืมไปเลยว่าชั้นเก้าเป็นชั้นหวงห้าม ไม่มีส่วนของออฟฟิศอยู่ กว่าจะนึกออกก็ตอนประตูลิฟท์เปิดแล้วเธอเห็นผนังที่คุ้นเคย และความว่างเปล่า ไม่มีเงาหรือใครยืนกดลิฟท์อยู่เลย
เมื่อชะโงกหน้าไปมองซ้ายขวาหน้าลิฟท์ ไม่เห็นใครสักคนเธอก็ยิ่งกลัวจนตัวสั่น ยื่นมือไปกดปิดประตูบนแผงข้างประตูลิฟท์ แต่ประตูกลับเปิดค้างไว้อย่างนั้น กอกานต์กระหน่ำกดปุ่มปิดประตูรัวเร็วกว่าเดิมก็ไม่ได้ผล ขณะนั้นเองเสียงโหยหวนก็ดังแทรกความเงียบวังเวงขึ้นมา กอกานต์หยุดการกระทำทุกอย่าง เงี่ยหูฟังเสียงด้านนอกลิฟท์อย่างตั้งใจ
“ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย ใครก็ได้ช่วยฉันด้วยเถอะ”
เสียงผู้หญิงร้องขอความช่วยเหลือ สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสารมาก กอกานต์ยืนลังเลว่าเวลาดึกอย่างนี้ใครจะมาร้องขอความช่วยเหลือกัน อีกอย่างเสียงช่างคุ้นหูเธอเหลือเกิน แล้วอยู่ดีๆ เสียงผู้หญิงโหยหวนก็ดังขึ้นเรื่อยๆ กอกานต์ถอยหลังติดผนังลิฟท์ ใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก
“ช่วยฉันด้วย …ใครก็ได้ …”
ทันใดนั้นเอง เธอก็เห็นมือผู้หญิงที่ทั้งแห้งและดำยื่นมาจับขอบประตูลิฟท์ซึ่งเปิดค้าง ก่อนใบหน้าขาวซีดกับเส้นผมยาวรกรุงรังจะค่อยๆ โผล่พ้นขอบประตู
“กรี๊ดดดดด!!! ” กอกานต์ตกใจจัด ร้องกรี๊ดออกมาดังลั่นก่อนจะสลบหมดสติไปในที่สุด!
ภาสวินท์กลับมายังห้างวัสวาอีกครั้งก็เกือบห้าทุ่มจุดแรกที่เขาไปถึงนั้นคือลานน้ำพุกลางห้าง ชายหนุ่มกวาดสายตามองรอบๆ ไม่พบกอกานต์ก็แปลกใจ
“สวัสดีครับคุณภาสวินท์” เจ้าของบริษัทตกแต่งพรอพเดินมายกมือไหว้ผู้ว่าจ้าง พอเห็นสายตาเครียดๆ ก็ถามอย่างกังวล “คุณภาสวินท์ไม่พอใจงานตรงไหนหรือเปล่าครับ”
“ไม่ครับ ก็ดูเป็นไปตามแบบที่ตกลงกันไว้” ภาสวินท์ตอบ หากสีหน้ายังไม่คลายความสงสัย “ถ้าไงก็ทำงานต่อได้เลย ผมขอไปคุยกับลูกน้องผมก่อนนะครับ”
คนพูดผละจากเจ้าของบริษัทที่จ้างมา รีบเดินตรงไปหาแทนไทด้วยอาการร้อนใจ
“แทน คุณแก้มล่ะ ทำไมมีแค่คิราริน”
แทนไทมองไปรอบๆ เห็นคิรารินยืนอยู่เพียงลำพัง ก็คล้ายเพิ่งนึกออก
“นั่นสิครับ คุณแก้มล่ะ! …คุณริน คุณแก้มล่ะครับ” แทนไทรีบเดินไปถามหญิงสาว ซึ่งคิรารินก็เป็นอีกคนที่ทำท่าเหมือนเพิ่งได้สติหันซ้ายมองขวาเลิ่กลั่ก
“อ้าว ไม่ได้อยู่กับคุณแทนหรือคะ รินได้ยินแว่วๆ ว่าแก้มอยู่กับคุณแทน”
“ไม่นะครับ ผมเห็นคุณแก้มอยู่ข้างๆ คุณรินต่างหาก”
“สรุปว่าไม่ได้อยู่กับใครสักคนงั้นหรือ! ” ภาสวินท์สรุปได้จากการเห็นแทนไทกับคิรารินเถียงกันไปมา แล้วดุใส่ทั้งสองด้วยความโมโห “คนหายไปทั้งคน พวกคุณไม่เอะใจบ้างเลยหรือไง ผมบอกไว้แล้วไงว่าให้ดูแลกันดีๆ !! ”
“ขอโทษค่ะ รินโทรหาน้องแก้มก่อนนะคะ” คิรารินกดโทรศัพท์มือถือไปหากอกานต์ แต่ก็ไม่ได้ถูกรับสาย โทรจนสายตัดไปสองรอบ ความเป็นห่วงมากขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่เฉยไม่ไหว
“รินจะไปหาแก้มนะคะ อาจจะไปเข้าห้องน้ำก็ได้” คิรารินจะขยับตัว หากภาสวินท์กลับรั้งเสียงเข้ม
“ไม่ต้องไป ดึกแล้วมันอันตราย รินอยู่กับคุณแซมที่นี่ …ให้แทนกับรปภ.ไปตามหา จะเป็นห้องน้ำหญิงหรืออะไรก็ช่าง หาให้เจอ” ภาสวินท์สั่งเสียงเฉียบ “เดี๋ยวผมจะไปดูในตึกออฟฟิศ ถ้าเจอแล้วโทรบอกผมด้วย”
แทนไทรับคำแล้วรีบวิ่งไปหาพนักงานรักษาความปลอดภัยทันที ส่วนภาสวินท์รีบกลับไปตึกออฟฟิศ ขณะนั้นเองมีสายเข้าจากสิริมา ภาสวินท์นึกห่วงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายจนต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปด้วยรับสายไปด้วย
“ครับส้ม” รับด้วยน้ำเสียงกระหืดกระหอบ หากเสียงสะอื้นของสิริมาและการขอความช่วยเหลือก็ทำให้ภาสวินท์ก้าวเท้าไม่ออก
“คุณวินท์ขา คุณวัสร์หายตัวไปจากห้องค่ะ”
“หมายความว่ายังไงน่ะส้ม เกิดอะไรขึ้น” ภาสวินท์หันไปมองทางบ้านตัวเองซึ่งอยู่ด้านหลังห้างสรรพสินค้าวัสวา ดวงตาคู่คมเบิกกว้างอย่างตกใจ
“คุณนางล่ามโซ่คุณวัสร์ไว้ตั้งแต่เช้า … แต่ … แต่ตอนนี้คุณวัสร์หายไปแล้วค่ะ คุณวัสร์หายไปจากห้องแล้วค่ะ ยาก็ไม่กินตั้งแต่เช้าด้วย คุณวินท์ช่วยหาคุณวัสร์ด้วยนะคะ!! ”
จบตอนที่ 12 - 75%
พี่วัสร์หายไปไหนน้า
แล้วพี่วินท์จะทำยังไง ด้านหนึ่งก็พี่ อีกด้านก็คนที่รัก
แต่บอกได้เลยว่างานนี้มี "ผอ สระ อี" มาเกี่ยวแน่ๆ
คุณ แว่นใส - พี่วัสร์ทนไม่ไหว หนีไปแล้ว ว่าแต่หนีไปไหนน้า แล้วหนีไปยังไงงงง
คุณ kaelek - พี่วัสร์แย่งซีนไปเต็มๆ ตอนหน้าก็เข่นกันนนน
พบกันใหม่ตอนหน้าค่าา
ปิ่นนลิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ส.ค. 2560, 01:27:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ส.ค. 2560, 01:41:12 น.
จำนวนการเข้าชม : 1037
<< ตอนที่ 12 - 35% | ตอนที่ 12 - 100% >> |
kaelek 13 ส.ค. 2560, 07:47:45 น.
พี่วัสร์มีวิธีสะเดาะโซ่ด้วย ..ผีคุณสายแน่ๆ มาขอให้ช่วย หรือมาแกล้งเนี่ย แก้มเอ้ยย ลิฟท์หนีบแล้วมั้ย?
พี่วัสร์มีวิธีสะเดาะโซ่ด้วย ..ผีคุณสายแน่ๆ มาขอให้ช่วย หรือมาแกล้งเนี่ย แก้มเอ้ยย ลิฟท์หนีบแล้วมั้ย?
แว่นใส 13 ส.ค. 2560, 07:54:02 น.
เจอที่ห้องนั้นมั้ง
เจอที่ห้องนั้นมั้ง