ชุลมุนแผนร้าย ... ป่วนใจ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำไมเธอจะต้องมารับรู้เรื่องปวดหัวพวกนี้ด้วย!
ทั้งคนเล่นตลกกับเธอ ผีก็ยังมาเอ็นดูหลอกเธออีก
กอกานต์อยากจะกรีดร้อง หลังจากรู้ว่าเธอถูกหลอกทั้งจากคน และผี!
ในความวุ่นวายที่เธอต้องช่วยตามหาความจริง
อยู่ๆ เธอก็รักคนที่ไม่ควรรักขึ้นมา
เธอจะตัดใจจากตัวยุ่งอย่างดี??
ทั้งคนเล่นตลกกับเธอ ผีก็ยังมาเอ็นดูหลอกเธออีก
กอกานต์อยากจะกรีดร้อง หลังจากรู้ว่าเธอถูกหลอกทั้งจากคน และผี!
ในความวุ่นวายที่เธอต้องช่วยตามหาความจริง
อยู่ๆ เธอก็รักคนที่ไม่ควรรักขึ้นมา
เธอจะตัดใจจากตัวยุ่งอย่างดี??
Tags: ผี ฆาตกรรม ปิ่นนลิน
ตอน: ตอนที่ 13
ตอนที่ 13
ยามเช้าของบ้านวัสวาธีระนนท์ประธานหญิงแห่งวัสวากรุ๊ป เจ้าของห้างสรรพสินค้าหรูหลายสาขาทั่วประเทศลงมาจากห้องนอนในเวลาเดิมๆ เช่นทุกวัน
แม้วันนี้จะเป็นวันเสาร์ อนงค์นางก็ชอบจะตื่นมารับมื้อเช้าเวลาเดิมเหมือนตอนออกไปทำงาน ร่างกายอายุมากขึ้น โรคความดันที่เกิดจากความเครียดสะสม ซ้ำด้วยทำงานหนักมาหลายสิบปี ทำให้พอลูกชายเข้ามาทำงานเต็มตัว อนงค์นางมีเวลาหันมาใส่ใจสุขภาพตัวเองมากกว่าเก่า ลูกชายก็แสนดีเสมอต้นเสมอปลาย ต่อให้งานหนักนอนดึกทุกคืน ภาสวินท์ยังตื่นมากินข้าวเช้ากับเธอเพราะกลัวเธอเหงา
พอตัดความโชคร้ายสามีที่จากไปแอบนอกใจเธอมานาน อนงค์นางก็โชคดีที่มีลูกชายน่ารักอย่างภาสวินท์ คงจะดีถ้าหากภาสวัสร์ไม่ป่วยทางจิตจนเธอต้องกลายเป็นแม่ใจร้าย คงจะดีถ้าภาสวัสร์หายดีดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องห่วงอย่างทุกวันนี้
เช้านี้ภาสวินท์มานั่งรอที่โต๊ะอาหารก่อนอนงค์นางจะเดินมาถึงเสียอีก บนโต๊ะพรั่งพร้อมด้วยข้าวต้มส่งกลิ่นหอม ภาสวินท์วางถ้วยกาแฟทันทีที่มารดาเดินมาถึง
“อรุณสวัสดิ์ครับแม่” ภาสวินท์พยายามทักทายมารดาอย่างสดใสที่สุด เท่าที่ทำได้ ที่จริงเวลานี้เขาค่อนข้างไม่สบายใจ มีหลายเรื่องที่เขายังติดใจอยู่
“อรุณสวัสดิ์จ้ะ เมื่อคืนเขาจัดของตกแต่งที่ลานน้ำพุเรียบร้อยดีไหมวินท์” อนงค์นางถามพลางตักข้าวต้มเครื่องใส่ปาก
“แทนบอกว่าเรียบร้อยดีครับ” ภาสวินท์ตอบแค่สิ่งที่แม่ถาม ไม่คิดอยากเล่าเรื่องที่กอกานต์หายตัวไปเมื่อคืนให้มารดาฟัง ยังกำชับให้แทนไท พวกพนักงานรักษาความปลอดภัย รวมถึงเจ้าหน้าที่ในสถานที่เวลานั้นปิดปากเรื่องนี้ให้เงียบ เพื่อไม่ให้แม่ไม่พอใจหรือไม่สบายใจจนล้มป่วยอีก
“ถ้าเรียบร้อยดี ทำไมทำหน้าไม่สดใสเลยล่ะลูก มีอะไรหรือเปล่า อยากเล่าให้แม่ฟังไหม”
คนถูกถามไม่รู้สึกตัวเลยว่ากำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ เขาทำหน้าเครียด คิ้วขมวดมากไปหรือไง มารดาถึงจับพิรุธได้เนี่ย
“ผมนอนไม่พอเฉยๆ ครับ” ภาสวินท์ไม่ได้โกหก เพียงแต่การนอนไม่พอไม่ใช่สาเหตุของความเครียดเช้านี้ หากเป็นเรื่องที่พี่ชายโดนล่ามโซ่ไว้ต่างหาก
เมื่อคืนหลังจากวิ่งวุ่นตามหาภาสวัสร์ แล้วไปพบเจ้าตัวนอนหลับในห้องดูหนัง ก็จัดการพาพี่ชายกลับไปนอนในห้อง สิริมาไม่ลืมที่จะเอาโซ่คล้องข้อเท้าพี่ชาย ซึ่งเป็นภาพบีบหัวใจภาสวินท์มาก ต้องร้องขอกับคนดูแลสาว
‘ส้ม ไม่ล่ามพี่วัสร์ได้ไหม ดูสิ ข้อเท้าพี่เป็นแผลหมดแล้ว’
‘ไม่ได้หรอกค่ะคุณวินท์ ถ้าคุณนางรู้ คุณนางมีหวังทำมากกว่านี้แน่ๆ ค่ะ … งั้นส้มไปเอาผ้ามารองโซ่ไว้นะคะ’ สิริมาผละไปอีกมุมห้องเพื่อหาผ้าในลิ้นชัก
‘พี่วัสร์เป็นมากถึงกับต้องล่ามไว้แบบนี้เลยหรือ หรือตอนผมไปทำงาน พี่วัสร์อาละวาดหรือครับ’ ภาสวินท์สงสัยว่าตัวเองมัวแต่ยุ่งกับงานที่ห้าง จนไม่รู้เรื่องพี่ชายอาการหนักหรือเปล่า
‘กันไว้ดีกว่าแก้ค่ะ คุณนางกลัวจะหนีออกจากบ้านไปไหนก็ไม่รู้’
สิริมาตอบไปตามที่อนงค์นางระแวง ตัวเธอเห็นมาตลอดว่าภาสวัสร์ดีขึ้นมาก แม้ยังเพ้อ ยังเห็นภาพหลอน
และถ้าคืนไหน สิริมาลองลดปริมาณยากล่อมประสาทลง ภาสวัสร์มักฝันร้ายในคืนนั้นตลอด
แต่ใช่ว่าภาสวัสร์จะอาการแย่ไม่มีสติ อนงค์นางเองก็ไม่เคยเชื่อว่าภาสวัสร์อาการดีจนสามารถใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นได้แล้ว เลยเอาแต่ขังภาสวัสร์เหมือนเลี้ยงเด็กเล็กๆ
‘แล้วแม่เคยทำมากกว่านี้หรือเปล่าส้ม’ ภาสวินท์ถามอย่างสงสัย มีอะไรอีกหรือที่เขาไม่รู้
‘สมัยตอนพาคุณวัสร์กลับมาบ้านใหม่ๆ คุณวัสร์มีภาพหลอนหนักกว่าตอนนี้เยอะมาก บอกว่ามีผีผู้หญิงมายืนตรงหน้าต่างบ้าง น่ากลัวค่ะ คุณนางก็เลยให้คุณหมอมาฉีดยาอย่างที่คุณวินท์เคยเห็นค่ะ คุณวัสร์กลัวลนลาน ส้มก็ไม่อยากให้คุณวัสร์ถูกฉีดยาบ่อย ยาพวกนั้นจะทำลายสมองคุณวัสร์นะคะ อย่างน้อยถูกล่ามไว้แบบนี้ คุณวัสร์ก็ยังมีสติ คิดทำอะไรได้เอง ดูสิคะ ยังสะเดาะกุญแจโซ่เองได้เลย’
‘แต่ผมรับไม่ได้จริงๆ ผมจะลองคุยกับแม่ดู’ ภาสวินท์พูดอย่างเด็ดขาด อยู่ดีๆ ภาสวัสร์ก็ลืมตาพร้อมยื่นมือออกมาจับข้อมือเขาแน่น แล้วเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
‘วินท์ ไม่ต้องพูดกับแม่หรอก พี่โอเค ขอแค่นายไม่เล่าให้แม่ฟังว่าโซ่แค่นี้เอาพี่ไม่อยู่ ขังพี่ไว้ไม่ได้ก็พอ’ แววตาภาสวัสร์อ่อนโยนปนเศร้า
‘แต่ว่า …’ ภาสวินท์ยังหนักใจที่จะรับปากพี่ชาย จนพี่ชายต้องร้องขอ
‘ทำตามพี่บอกเถอะนะ พี่สบายใจที่จะอยู่ในห้องเงียบๆ แบบนี้’
น้องชายถอนหายใจ แล้วก็ต้องรับปากอย่างช่วยไม่ได้
เรื่องพี่ชายทำให้ภาสวินท์นอนไม่หลับจนเช้า อึดอัดแทบทนไม่ไหว จะลองพูดกับแม่ สิริมาก็ไม่เห็นด้วยกลัวมารดาจะยิ่งระแวงภาสวัสร์มากกว่าเดิม
“เดี๋ยวแม่จะไปวัด แล้วเลยไปเยี่ยมพวกคุณยายที่บ้านด้วย คืนนี้แม่อาจจะกลับดึกหน่อยนะวินท์” อนงค์นางบอกพลางหยิบผ้ามาซับปากหลังข้าวต้มหมดชามแล้ว ภาสวินท์คงไม่สะดวกจะตามมารดาไปบ้านพวกคุณยายที่ต่างจังหวัดจึงได้แต่บอกมารดา
“ได้ครับ แม่เดินทางดีๆ นะครับ ผมมีนัดกินข้าวกับคุณลุงเดชาและนิกกี้ตอนเที่ยง ตอนสายๆ ก็เลยจะไปนั่งคุยกับพี่วัสร์น่ะครับ” ภาสวินท์ลอบสังเกตปฏิกริยามารดา มารดาพยักหน้ายิ้มๆ ไม่ได้แปลกไปกว่าปกติเลย
“ดีแล้วล่ะ พี่เขาอาจจะเหงา วินท์ไปชวนคุยบ้างก็ดี”
“มีวันหยุดยาวใกล้จะถึงนี้ ผมน่าจะเคลียร์งานได้ เลยคิดว่าอยากจะพาแม่กับพี่ไปเที่ยวทะเลบ้าง แม่ว่าไงครับ” ภาสวินท์ทำทีชวนไปพักผ่อนหย่อนใจ เผื่อว่ามารดาจะเห็นดีเห็นงามด้วย แต่ก็ไม่ มารดายังคงไม่เปลี่ยนใจเรื่องภาสวัสร์
“แม่ว่าพี่วัสร์ยังไม่พร้อมจะออกไปข้างนอก ลูกก็อย่าเพิ่งฝืนพี่เลยนะ แม่ไม่อยากให้พี่เขาเครียดจนแย่ลง … แม่ไปก่อนนะ”
อนงค์นางลุกแล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมป้านุ่ม เหลือเพียงภาสวินท์นั่ยังคงคิดหนักเรื่องแม่กับพี่ชายอยู่ที่โต๊ะอาหาร ไม่ว่าจะแม่พรือพี่ก็ต่างเปลี่ยนใจยากกันทั้งนั้น
คนกลุ้มใจไม่นั่งดื่มกาแฟหรือกินอาหารเช้าต่อ เขาลุกแล้วตรงไปยังห้องนอนพี่ชาย เจ้าของห้องยังหลับสนิท บรรยากาศจึงในห้องเงียบสงบทำให้จิตใจสับสนของภาสวินท์เริ่มสงบลง ภาสวินท์จึงกดโทรศัพท์ไปหากอกานต์ เขายังไม่ได้ติดต่อหญิงสาวเลยตั้งแต่เมื่อคืน
“แก้มไม่เป็นไรแล้วค่ะคุณวินท์” เธอตอบเขาหลายคำถาม รวมทั้งฟังคำขอโทษของเขาหลายครั้ง
“ผมขอโทษนะที่ไม่ได้ตามหาคุณ ผมมีปัญหาที่บ้านจนปลีกตัวไปไม่ได้” ภาสวินท์รู้สึกผิดจริงๆ “แล้ววันนี้คุณจะทำอะไรครับ” ภาสวินท์ชวนคุยเรื่องอื่น
“แก้มนัดพี่รินที่ห้างฯ ค่ะ จะไปเดินดูงานกัน”
“อืม งานออกร้านที่ห้างน่าสนใจมากนะ เสียดายจังวันนี้ผมมีธุระ ไม่อย่างนั้นจะไปแจมด้วย … ไปเดินเล่นกันก็ดูแลตัวเองดีๆ นะครับ”
“ค่ะ” กอกานต์รับปาก ก่อนจะวางสายจากกัน
หลังจากวางสายไม่นาน อยู่ดีๆ พี่ชายก็โวยวายทั้งที่ยังหลับตาอยู่
“ไม่! พ่ออย่า พ่อ! พ่ออย่า!!” ภาสวัสร์นอนบนเตียงส่งเสียงร้องห้าม มือยื่นขึ้นมาไล่คว้าอากาศเป็นการใหญ่ ภาสวินท์จึงรีบจับมือคนละเมอ แล้วปลุกให้ได้สติ
“พี่วัสร์!! พี่วัสร์”
“วินท์!” ภาสวัสร์ตื่นเต็มสองตา ไม่รอให้น้องชายถาม ก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “พ่อมาหาพี่อีกแล้ว”
“อีกแล้ว?” ภาสวินท์มองพี่ชายอย่างไม่เข้าใจ
“วินท์เชื่อไหมว่าพ่อยังอยู่ที่ห้าง …” ภาสวัสร์จ้องตาหลังจากถามออกไป สังเกตเห็นแววตาน้องชายเปลี่ยนจากสงสัยกลายเป็นเฉยชา
“ไม่เชื่อครับ พ่อไม่อยู่แล้ว … ผมว่าผมไปตามส้มจัดอาหารเช้ากับยาให้พี่ดีกว่านะ” ภาสวินท์เหนื่อยใจกับเรื่องลี้ลับ ไม่ว่าจะที่ทำงานหรือที่บ้าน ขนาดรู้ว่าพี่ชายสมองไม่ปกติ ภาสวินท์ยังหลุดเสียงแข็งแสดงอาการไม่พอใจใส่พี่ชาย
พอน้องชายจะผละตัวออก ภาสวัสร์ก็เป็นฝ่ายยึดข้อมือน้องชายไว้แทน ถามกลับเสียงหนักแน่น
“แล้วถ้าพ่อยังอยู่ ที่อยู่ก็เพราะพ่อต้องการจะบอกความจริงกับเรา แล้วถ้าผีสายสุดาก็อยู่ล่ะ … พี่เห็น พวกเขาชอบมายืนอยู่ตรงสนามนั่น” คนพูดชี้ไปที่สนามนอกหน้าต่าง
“อีกแล้วหรือคะคุณวัสร์” สิริมายกอาหารเช้าเข้ามาได้ยินพอดี “พูดแบบนี้อีกแล้ว” พร้อมทำหน้ากลุ้มใจ
“ก็มันจริงนี่ ทำไมไม่มีใครเชื่อบ้าง” ภาสวัสร์โวยวายทั้งน้องชายและคนดูแล
“พี่ตาฝาดไปเองครับ ผีไม่มีจริง พ่อกับสายสุดาก็ไม่อยู่แล้ว” ภาสวินท์พยายามใจเย็นอย่างที่สุด ถ้าเป็นคนอื่น เขาคงจะดุใส่ไปแล้ว
“แต่ว่า …”
“พี่วัสร์!” ภาสวินท์เสียงดังหลังจากหมดความอดทน ทำให้ทั้งพี่ชายและสิริมานิ่งไปทันที
“พ่อไม่อยู่แล้วครับ พ่อทิ้งพวกเราให้อยู่กับหนี้กองโต จนแม่ต้องทำงานหนัก จนผมต้องมาถูกจับคู่เพราะต้องตอบแทนลุงเดชา … แต่ถ้าพ่อยังอยู่อย่างที่พี่บอกผม ผมก็อยากจะถามพ่อว่าพ่อทำได้ยังไง พ่อทิ้งพวกเราไปแบบนั้นได้ยังไง …”
“แต่พี่ …” ภาสวัสร์ไม่พูดต่อ เพราะน้องชายสะบัดหน้าและตัวเดินหนี ไม่รับฟัง รู้ดีว่าถึงพูดไปก็ไม่มีประโยชน์
“ผมจะออกไปข้างนอก ฝากส้มดูพี่วัสร์ด้วยนะ วันนี้ถึงพี่จะเบื่อยังไง พี่ก็อย่าออกจากห้องนี้เลย แม่จะได้เลิกล่ามโซ่พี่แบบนี้สักที”
ภาสวินท์เดินออกจากพร้อมอารมณ์ขุ่นมัว
“คุณวินท์ …” สิริมาถอนหายใจ ขณะที่ภาสวัสร์เบิกตากว้างขณะหันไปมองที่สนามหญ้า เมื่อเห็นวิญญาณบิดาปรากฏขึ้น
… พ่อ … พ่อคงได้ยินที่ภาสวินท์พูด …
ตอนนี้สีหน้าบิดาจึงเศร้ามากจนภาสวัสร์ต้องหลบตาลง แต่เมื่อเงยหน้ามองไปอีกครั้ง สนามหญ้าก็เหลือเพียงความว่างเปล่า
ภาสวัสร์สงสัยมากกว่าเดิม … พ่อยังอยู่ และมาให้เขาเห็นแบบนี้ต้องการบอกอะไรเขาหรือเปล่า?
เรื่องน่ากลัวของผีกับเรื่องที่ฝันทำให้กอกานต์นอนไม่หลับทั้งคืนกว่าจะหลับก็เกือบฟ้าสาง จนมาสะดุ้งตื่นตอนสายๆ เพราะรับสายโทรศัพท์จากภาสวินท์
ตั้งแต่ตื่นนอน จนเดินทางมาถึงห้างวัสวา กอกานต์ก็อดนึกถึงเหตุการณ์ในห้องนั้นไม่ได้ แล้วยังเสียงของภาสกรหล่นตามผู้หญิงที่ชื่อสายสุดาลงไปจากตึกตามหลอกหลอนกอกานต์ไม่เลิกอีก
“ทำไมเราต้องฝันอะไรแบบนี้ แล้วนี่ความฝันหรืออะไร” กอกานต์สงสัยมาก เธอไม่เคยเห็นหน้าภาสกรมาก่อน กระทั่งเห็นจากรูปภาพของภาสวินท์ในห้องทำงาน แล้วภาสวัสร์ตอนเป็นเด็กนักเรียนอีกล่ะ
ทำไม … กอกานต์เอาแต่ถามและคิดหาสาเหตุอยู่นาน จนปวดหัวก็ไม่ได้คำตอบสักที
“แก้มจ๊ะ”
เสียงเรียกของคิรารินดังขึ้น ทำให้กอกานต์หยุดความคิดแล้วรีบเงยหน้า ส่งยิ้มให้เพื่อนร่วมงานสาวรุ่นพี่ คิรารินกับเธอนัดกันมาดูงานอีเวนท์ที่ห้างวัสวาในช่วงเวลาก่อนเที่ยง แม้คิรารินจะบอกให้กอกานต์พักผ่อน หากกอกานต์ก็ไม่อยากอยู่นิ่งๆ เดี๋ยวจะคิดมากปวดหัวอีก
อีกอย่างเวลากลางวัน ห้างวัสวาไม่ได้น่ากลัวเหมือนในออฟฟิศตอนกลางคืนหรอก
เวลานี้จึงยึดร้านกาแฟในห้างนั่งพูดคุยกันก่อนจะออกไปดูอีเวนท์ตรงลานน้ำพุ
“น้องแก้มดีขึ้นแล้วจริงๆ ใช่ไหม พี่ตกใจแทบแย่เลยนะ พี่ขอโทษที่ไม่รู้อะไรทำให้พี่ลืม ไม่สิ ตอนนั้นพี่แทบไม่ได้รู้สึกว่าน้องแก้มหายไปเลย คุณแทนเองก็เหมือนกัน ขอโทษจริงๆ นะ” คิรารินเอ่ยด้วยน้ำเสียงทั้งรู้สึกผิดปนประหลาดใจ
“ไม่ใช่ความผิดพี่รินหรือคุณแทนสักหน่อยค่ะ จังหวะนั้นทุกคนยุ่งกันมากค่ะ แก้มเข้าใจ” กอกานต์พูดตามความคิดจริงๆ เธอต่างหากที่ไม่ควรเดินไปเพียงลำพังเลยทำให้ทุกคนต้องทิ้งงานมาตามเธอกัน พอนึกถึงงาน กอกานต์ที่ไม่ได้อยู่จนงานเสร็จก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“พี่ริน แล้วเมื่อคืนงานติดตั้งเสร็จกี่โมงหรือคะ เรียบร้อยดีใช่หรือเปล่าคะ”
“เรียบร้อยดี เดี๋ยวเราเดินไปดูด้วยกันนะ แต่ขอรอใครอีกคนหนึ่งก่อน เขาออกไปเข้าห้องน้ำน่ะ” คิรารินพูดจบ ก็เห็นผู้ชายผิวสีเข้มหน้าตาดีร่างสูงในเสื้อยืดแขนสั้นกางเกงยีนส์เดินเข้ามาหา
“น้าหนึ่งมาพอดี รินจะแนะนำให้น้าหนึ่งรู้จักแก้มค่ะ แก้มเป็นเพื่อนร่วมงานรินเอง” แนะนำแค่นี้ หนึ่งฟ้าก็เข้าใจ
“สวัสดีครับคุณแก้ม” หนึ่งฟ้ากล่าวทักทายด้วยท่าทางเป็นมิตร อีกฝ่ายอาจะไม่รู้ตัวว่าในสายตาที่หนึ่งฟ้ามองนั้นคือการสังเกต เพราะได้ยินภาสวินท์พูดถึงอยู่บ่อยๆ
หนึ่งฟ้ารู้ดีว่ามีผู้หญิงไม่เยอะหรอกที่เพื่อนจอมทึ่มของเขาจะสนใจขนาดมาเล่าให้เขาฟัง
พอเห็นกอกานต์ หนึ่งฟ้าค่อนข้างแปลกใจที่รสนิยมภาสวินท์จะเป็นผู้หญิงใสๆ ตาแป๋วๆ แม้ไร้ความเซ็กซี่แต่ก็น่าค้นหา … มิน่าถึงได้เฉยเมยด้านชากับการแต่งตัววาบหวิวของชนิณิภา
“ส่วนนี่น้าหนึ่งเป็นเพื่อนพี่วินท์มาตั้งแต่มัธยมนู่นแน่ะ แต่อย่าแปลกใจนะว่าทำไมพี่ถึงเรียกพี่วินท์ว่าพี่ ก็พี่วินท์บ่นว่าไม่อยากแก่เหมือนน้าหนึ่งน่ะ” คิรารินแนะนำน้าชายให้กอกานต์รู้จักบ้าง
หนึ่งฟ้าเป็นน้องชายคนเล็ก เป็นลูกหลงที่อายุห่างจากมารดาคิรารินสิบเจ็ดปี มารดาของคิรารินแต่งงานตั้งแต่จบปริญญาตรีแถมมีลูกไว หนึ่งฟ้าเลยไม่เคยทำตัวเป็นน้าชาย แต่มักจะเล่นกับคิรารินเหมือนพี่น้องกันมากกว่า
“งั้นเราไปดูงานกันเลยดีกว่าไหมคะ เดี๋ยวจะได้ไปหาอาหารเที่ยงกินกันด้วย” คิรารินเป็นคนลุกจากโต๊ะคนแรก ตามด้วยกอกานต์กับหนึ่งฟ้า
หลังจากเดินในงานไปได้ครู่ใหญ่ผ่านร้านรวงที่มาออกบูธ กอกานต์อาศัยจังหวะที่คิรารินสนใจกระเป๋าหนังในบูธหนึ่ง มาเลียบๆ เคียงๆ คุยกับหนึ่งฟ้าเป็นการส่วนตัว
“คุณหนึ่งฟ้าเป็นเพื่อนคุณวินท์มานานมากเลยนะคะ” กอกานต์ถามเหมือนชวนคุยธรรมดา ซุกซ่อนความสงสัยไว้ด้วยน้ำเสียงใส เพราะเธอยังติดใจภาพในฝันอยู่ไม่หาย การได้คุยกับคนที่รู้จักภาสวินท์มานาน เธออาจจะได้เบาะแสอะไรบ้าง
“ก็รู้จักกันมานาน จนมาสนิทกันตอนมอปลายน่ะ ตอนนั้นไอ้วินท์มันเรียนเก่ง ผมก็เลยพยายามสนิทเพื่อลอกการบ้านน่ะ ฮ่า” หนึ่งฟ้าเล่าอย่างคนอารมณ์ดี “แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยก็แยกย้ายกันไป”
“คุณหนึ่งอยู่ในช่วงที่ท่านประธานคนเก่าเสียชีวิต”
“ใช่ ผมอยู่ในช่วงนั้น ผมสงสารวินท์เขามาก คิดดูสิ พ่อมาฆ่าตัวตายกะทันหัน ต้องมารู้ว่าธุรกิจที่บ้านกำลังแย่ จากมีทุกอย่างกลายเป็นติดลบ เกือบไม่ได้เรียนต่อ แถมพี่ชายยัง …” หนึ่งฟ้ารีบงับปากตัวเอง ไม่ให้หลุดเล่าเรื่องไม่ควรออกมา
“พี่ชาย … ทำไมหรือคะ” กอกานต์เห็นคนเล่าเงียบไปเฉยๆ ก็สงสัย
“ไม่มีอะไรหรอก ผมไม่ควรพูดเรื่องคนอื่นน่ะ ขอโทษทีนะ” หนึ่งฟ้าถอนหายใจ เกือบผิดสัญญากับเพื่อนไปแล้ว!!
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ … จริงๆ แก้มได้ยินมาว่าคุณวินท์มีพี่ชาย แต่แก้มไม่เคยเจอพี่ชายคุณวินท์เลย เขาไม่ได้อยู่ด้วยกันหรือคะ” กอกานต์แกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าสองพี่น้องอาจจะมีเรื่องผิดใจกันอยู่
“ได้ยินจากไหนมาล่ะ” ถามหญิงสาวกลับ
“แก้มเคยเห็นรูปถ่ายในห้องทำงานของคุณวินท์ค่ะ คุณวินท์เล่าว่ามีพี่ชาย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก”
“คือว่า …” หนึ่งฟ้าทำหน้าลำบากใจ แม้จะคิดแล้วคิดอีก หนึ่งฟ้าก็ไม่สามารถเล่าหรือตอบอะไรเรื่องของเพื่อนสนิทได้ “พี่ชายวินท์เขาอยู่ต่างประเทศน่ะ”
“ต่างประเทศหรือคะ” กอกานต์มุ่นคิ้ว คำตอบเหมือนภาสวินท์บอกเธอ หรือภาสวินท์บอกคนอื่นๆ ว่าพี่ชายอยู่ต่างประเทศ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย
“คุณแก้มครับ” อยู่ดีๆ หนึ่งฟ้าก็เป็นฝ่ายเรียกชื่อและมองหน้าเธอจริงจัง
“มีอะไรหรือคะ” คนถูกจ้องทำหน้าสงสัย
“ถ้าเกิดว่าวินท์มีบางอย่างที่ไม่สมบูรณ์แบบ คุณจะรังเกียจเพื่อนผมหรือเปล่า”
“ทำไมอยู่ๆ คุณหนึ่งถึงถามแบบนี้ล่ะคะ” กอกานต์ไม่เข้าใจ
“ผมว่าผมรู้เรื่องระหว่างคุณกับนายวินท์” คำตอบทำให้ใบหน้าหญิงสาวเห่อร้อน หลบตาชายหนุ่มลงมองอย่างอื่น “นายวินท์น่าสงสารนะ ถึงหมอนั่นจะมีพร้อมทุกอย่าง แต่จริงๆ สิ่งที่มันขาดสิ่งสำคัญที่สุดไป นั่นคือ ความอิสระและความสุข ผมอยากให้คุณเป็นสองสิ่งนั้นให้กันนายวินท์เขา”
กอกานต์เงยหน้าสบดวงตาของคนพูด เธอไม่เข้าใจว่าทำไมหนึ่งฟ้าถึงบอกเรื่องนี้กับเธอ ยังไม่ทันได้ถาม คิรารินก็โผเข้ามาร่วมวงด้วย ทำให้กอกานต์ติดกับความสงสัยตลอดมื้อเที่ยง กระทั่งแยกกับสองน้าหลานเพื่อจะกลับบ้าน
ตอนนั้นเองที่เธอคล้ายจะนึกคำพูดเก่าๆ ของภาสวัสร์ได้
‘จีบน้องชายผมได้ไหม ผมอยากให้น้องชายผมมีความสุข เขาทำเพื่อคนอื่นมามาก’
กอกานต์คิดถึงภาสวัสร์ขึ้นมา เขาเป็นคนมาช่วยเธอหลังจากเจอผีหลอกในลิฟท์นี่นา แล้วเขาก็ยังเป็นคนปลอบไม่ให้เธอกลัวจนลนลาน น่าแปลกที่พอคิดถึงแววตา น้ำเสียงของภาสวัสร์เมื่อคืนก่อน อยู่ดีๆ ก็เกิดความอบอุ่นแปลกๆ ขึ้นในหัวใจ
ความรู้สึกอบอุ่นไร้ที่มา ที่ไม่ควรเกิดขึ้นทำให้กอกานต์รีบสะบัดหน้าไปมา และนั่นทำให้เธอเดินชนเข้ากับคนตัวสูงคนหนึ่ง
“ขอโทษค่ะ …” กอกานต์เงยหน้าบอกอีกฝ่าย และก็ต้องอ้าปากค้าง เพราะเจ้าของร่างสูงตรงหน้าคือคนในความคิด! “คุณภาส-สะ- “
“ชู่ว์!” ภาสวัสร์ยกนิ้วชี้จรดริมฝีปาก … ปากหญิงสาวนะ ไม่ใช่ปากเขาเอง แล้วก้มหน้าลงมากระซิบใกล้ๆ “บอกแล้วไงว่าให้เรียกพี่หมี!”
“ก็ … ก็ตกใจนี่คะ” เธอบอกตามตรง ขณะมองร่างสูงในเสื้อยืดแขนยาวสีดำ กางเกงขายาวสีเทาเข้มทำด้วยผ้าคล้ายกางเกงกีฬา เขายังคงสวมหมวกแก๊ปและแว่นสายตาเหมือนทุกครั้ง ผิวของภาสวัสร์ขาวเหมือนคนไม่ค่อยโดนแดด ร่างกายค่อนข้างผอม ถ้าเพิ่มน้ำหนักสักหน่อยคงหล่อทิ้งน้องชายไปไกลเลยล่ะ
“แล้วจะยืนมองกันอีกนานไหม ผมหล่อล่ะสิ” ภาสวัสร์ยิ้มยั่ว น่าแปลกที่กอกานต์ไม่แหวแว้ดใส่อย่างที่เคย เธอพยักหน้าตอบเขาอีก
“ก็เกือบหล่อค่ะ คุณผอมไป ควรกินเยอะๆ กว่านี้ ดูสิ ข้อมือแค่นี้เอง” กอกานต์คว้าข้อมือชายหนุ่มขึ้นมา ก่อนจะหัวเราะเมื่อแก้มของจอมกวนแดงระเรื่อ “คุณหมีเขินหรือคะ”
“ใครว่า!” ภาสวัสร์เถียงพร้อมสะบัดมือจนหลุด ค้อนใส่กอกานต์ที่กำลังล้อเลียนเขาผ่านสายตาวาววับ
“ไหนๆ ก็เจอกันแล้ว ผมมีเรื่องจะคุยด้วย ผมมีเวลาไม่นาน เรารีบไปหาที่อื่นนั่งคุยกันดีกว่า”
ภาสวัสร์รีบเปลี่ยนเรื่อง เขาอาศัยจังหวะอ้อนสิริมาให้ออกมาซื้อขนมแล้วแอบสะเดาะกุญแจ ออกมาตามหาหญิงสาว เขาได้ยินน้องชายคุยกับกอกานต์ชัดเจนว่าเธอมาเดินงานออกร้านที่ห้าง
โชคดีจังที่ตามหากันจนเจอ!
“ได้สิคะ … แล้วนี่คุณจะเดินหนีฉันทำไม รอฉันด้วยสิ นี่คุณหมี!”
พอเห็นคนที่ปกติจะชอบจูงมือให้เธอเดินตาม วันนี้ไม่ทำเช่นนั้น เขาเอาสองมือซุกกระเป๋ากางเกง เดินก้มหน้าแดงๆ นำเธอไปก็อดหัวเราะแกล้งเขากลับไม่ได้ น่าแปลกเพราะเธอลืมอาการกลัวผีไปหมดเลย
โดยกอกานต์กับภาสวัสร์ไม่รู้ตัวเลยว่าทั้งสองเดินผ่านร้านอาหารจีนที่ภาสวินท์กับเดชามารับประทานอาหารเที่ยงด้วยกัน
จานอาหารถูกเก็บไปจนหมด เหลือเพียงถ้วยน้ำชา และผลไม้หลังมื้ออาหารอยู่บนโต๊ะ
“เดี๋ยวนิกกี้ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ” ชนิณิภาจึงลุกออกจากโต๊ะ ทำให้เดชาเห็นจังหวะที่จะคุยเรื่องสำคัญกับว่าที่ลูกเขย
“วินท์ … ลุงถามวินท์จริงๆ นะ ถ้าลุงอยากให้วินท์แต่งงานกับนิกกี้ปีนี้ วินท์ติดขัดอะไรไหม”
ภาสวินท์ค่อนข้างตกใจกับคำถาม แม้รู้ดีว่าเดชากับแม่ของเขานัดแนะหาฤกษ์ยามกันบ้างแล้ว ก็ยังเครียดจนเผลอกำมือบนตักแน่น หัวใจกับสมองร้องลั่นว่าเขาไม่ได้อยากแต่งงานกับชนิณิภา แต่กลับพูดไม่ออก มารดาเขาจะต้องไม่ยอมให้เขาปฏิเสธแน่ๆ
“วินท์คิดยังไงกับนิกกี้กันแน่ รักน้องแบบไหน” เดชาถามด้วยน้ำเสียงอ่อน เป็นมิตร คล้ายอยากฟังความจริง ไม่ใช่การตวาดหรือโมโหที่เขาไม่สามารถให้คำตอบได้
“ผมเห็นนิกกี้เป็นน้องสาวเสมอมาครับ” ภาสวินท์ตอบตามความจริง ก่อนชี้แจงเพิ่มอีกว่า “ผมไม่อยากทำร้ายอนาคตของนิกกี้ เพราะถ้าแต่งงานกันไป ผมไม่รู้เลยว่าชีวิตคู่ของผมกับนิกกี้จะจบลงแบบไหน”
“ก็ดี …” เดชาพยายามข่มอารมณ์โทสะไว้ คิดว่าเรื่องเป็นแบบนี้ก็ง่ายดี “ขอบใจนะที่ยอมบอกความจริง นิกกี้จะได้มองคนอื่น … ไม่ต้องห่วง ลุงจะคุยกับแม่เราเอง ให้ยกเลิกการหมั้นระหว่างวินท์กับนิกกี้ซะ ขอบใจวินที่ดูแลนิกกี้มาตลอดนะ”
“ครับ ขอบคุณคุณลุงด้วยนะครับ แล้วก็ขอโทษที่ผมไม่ได้รักนิกกี้แบบนั้น” ภาสวินท์ตอบ ด้วยความรู้สึกแปลกที่ไม่ได้ดีใจหรือโล่งใจ ทั้งที่เขาเครียดเรื่องชนิณิภามาตลอด ภาสวินท์รู้สึกเหมือนได้กลิ่นความผิดปกติจากการยกเลิกสถานะคู่หมั้นอย่างง่ายดายนี้ … เขาได้แต่คาดหวังว่าเขาแค่คิดมากไปเอง …
จบตอนที่ 13
ขอโทษที่หายไปนานค่า พอดีเดินทางไปมา ไม่ได้เล่นหรือจับคอมพ์เลย
อาจจะมาๆ หายๆ บ้างนะคะ งานเยอะมว้ากมายยย
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า ^^
ยามเช้าของบ้านวัสวาธีระนนท์ประธานหญิงแห่งวัสวากรุ๊ป เจ้าของห้างสรรพสินค้าหรูหลายสาขาทั่วประเทศลงมาจากห้องนอนในเวลาเดิมๆ เช่นทุกวัน
แม้วันนี้จะเป็นวันเสาร์ อนงค์นางก็ชอบจะตื่นมารับมื้อเช้าเวลาเดิมเหมือนตอนออกไปทำงาน ร่างกายอายุมากขึ้น โรคความดันที่เกิดจากความเครียดสะสม ซ้ำด้วยทำงานหนักมาหลายสิบปี ทำให้พอลูกชายเข้ามาทำงานเต็มตัว อนงค์นางมีเวลาหันมาใส่ใจสุขภาพตัวเองมากกว่าเก่า ลูกชายก็แสนดีเสมอต้นเสมอปลาย ต่อให้งานหนักนอนดึกทุกคืน ภาสวินท์ยังตื่นมากินข้าวเช้ากับเธอเพราะกลัวเธอเหงา
พอตัดความโชคร้ายสามีที่จากไปแอบนอกใจเธอมานาน อนงค์นางก็โชคดีที่มีลูกชายน่ารักอย่างภาสวินท์ คงจะดีถ้าหากภาสวัสร์ไม่ป่วยทางจิตจนเธอต้องกลายเป็นแม่ใจร้าย คงจะดีถ้าภาสวัสร์หายดีดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องห่วงอย่างทุกวันนี้
เช้านี้ภาสวินท์มานั่งรอที่โต๊ะอาหารก่อนอนงค์นางจะเดินมาถึงเสียอีก บนโต๊ะพรั่งพร้อมด้วยข้าวต้มส่งกลิ่นหอม ภาสวินท์วางถ้วยกาแฟทันทีที่มารดาเดินมาถึง
“อรุณสวัสดิ์ครับแม่” ภาสวินท์พยายามทักทายมารดาอย่างสดใสที่สุด เท่าที่ทำได้ ที่จริงเวลานี้เขาค่อนข้างไม่สบายใจ มีหลายเรื่องที่เขายังติดใจอยู่
“อรุณสวัสดิ์จ้ะ เมื่อคืนเขาจัดของตกแต่งที่ลานน้ำพุเรียบร้อยดีไหมวินท์” อนงค์นางถามพลางตักข้าวต้มเครื่องใส่ปาก
“แทนบอกว่าเรียบร้อยดีครับ” ภาสวินท์ตอบแค่สิ่งที่แม่ถาม ไม่คิดอยากเล่าเรื่องที่กอกานต์หายตัวไปเมื่อคืนให้มารดาฟัง ยังกำชับให้แทนไท พวกพนักงานรักษาความปลอดภัย รวมถึงเจ้าหน้าที่ในสถานที่เวลานั้นปิดปากเรื่องนี้ให้เงียบ เพื่อไม่ให้แม่ไม่พอใจหรือไม่สบายใจจนล้มป่วยอีก
“ถ้าเรียบร้อยดี ทำไมทำหน้าไม่สดใสเลยล่ะลูก มีอะไรหรือเปล่า อยากเล่าให้แม่ฟังไหม”
คนถูกถามไม่รู้สึกตัวเลยว่ากำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ เขาทำหน้าเครียด คิ้วขมวดมากไปหรือไง มารดาถึงจับพิรุธได้เนี่ย
“ผมนอนไม่พอเฉยๆ ครับ” ภาสวินท์ไม่ได้โกหก เพียงแต่การนอนไม่พอไม่ใช่สาเหตุของความเครียดเช้านี้ หากเป็นเรื่องที่พี่ชายโดนล่ามโซ่ไว้ต่างหาก
เมื่อคืนหลังจากวิ่งวุ่นตามหาภาสวัสร์ แล้วไปพบเจ้าตัวนอนหลับในห้องดูหนัง ก็จัดการพาพี่ชายกลับไปนอนในห้อง สิริมาไม่ลืมที่จะเอาโซ่คล้องข้อเท้าพี่ชาย ซึ่งเป็นภาพบีบหัวใจภาสวินท์มาก ต้องร้องขอกับคนดูแลสาว
‘ส้ม ไม่ล่ามพี่วัสร์ได้ไหม ดูสิ ข้อเท้าพี่เป็นแผลหมดแล้ว’
‘ไม่ได้หรอกค่ะคุณวินท์ ถ้าคุณนางรู้ คุณนางมีหวังทำมากกว่านี้แน่ๆ ค่ะ … งั้นส้มไปเอาผ้ามารองโซ่ไว้นะคะ’ สิริมาผละไปอีกมุมห้องเพื่อหาผ้าในลิ้นชัก
‘พี่วัสร์เป็นมากถึงกับต้องล่ามไว้แบบนี้เลยหรือ หรือตอนผมไปทำงาน พี่วัสร์อาละวาดหรือครับ’ ภาสวินท์สงสัยว่าตัวเองมัวแต่ยุ่งกับงานที่ห้าง จนไม่รู้เรื่องพี่ชายอาการหนักหรือเปล่า
‘กันไว้ดีกว่าแก้ค่ะ คุณนางกลัวจะหนีออกจากบ้านไปไหนก็ไม่รู้’
สิริมาตอบไปตามที่อนงค์นางระแวง ตัวเธอเห็นมาตลอดว่าภาสวัสร์ดีขึ้นมาก แม้ยังเพ้อ ยังเห็นภาพหลอน
และถ้าคืนไหน สิริมาลองลดปริมาณยากล่อมประสาทลง ภาสวัสร์มักฝันร้ายในคืนนั้นตลอด
แต่ใช่ว่าภาสวัสร์จะอาการแย่ไม่มีสติ อนงค์นางเองก็ไม่เคยเชื่อว่าภาสวัสร์อาการดีจนสามารถใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นได้แล้ว เลยเอาแต่ขังภาสวัสร์เหมือนเลี้ยงเด็กเล็กๆ
‘แล้วแม่เคยทำมากกว่านี้หรือเปล่าส้ม’ ภาสวินท์ถามอย่างสงสัย มีอะไรอีกหรือที่เขาไม่รู้
‘สมัยตอนพาคุณวัสร์กลับมาบ้านใหม่ๆ คุณวัสร์มีภาพหลอนหนักกว่าตอนนี้เยอะมาก บอกว่ามีผีผู้หญิงมายืนตรงหน้าต่างบ้าง น่ากลัวค่ะ คุณนางก็เลยให้คุณหมอมาฉีดยาอย่างที่คุณวินท์เคยเห็นค่ะ คุณวัสร์กลัวลนลาน ส้มก็ไม่อยากให้คุณวัสร์ถูกฉีดยาบ่อย ยาพวกนั้นจะทำลายสมองคุณวัสร์นะคะ อย่างน้อยถูกล่ามไว้แบบนี้ คุณวัสร์ก็ยังมีสติ คิดทำอะไรได้เอง ดูสิคะ ยังสะเดาะกุญแจโซ่เองได้เลย’
‘แต่ผมรับไม่ได้จริงๆ ผมจะลองคุยกับแม่ดู’ ภาสวินท์พูดอย่างเด็ดขาด อยู่ดีๆ ภาสวัสร์ก็ลืมตาพร้อมยื่นมือออกมาจับข้อมือเขาแน่น แล้วเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
‘วินท์ ไม่ต้องพูดกับแม่หรอก พี่โอเค ขอแค่นายไม่เล่าให้แม่ฟังว่าโซ่แค่นี้เอาพี่ไม่อยู่ ขังพี่ไว้ไม่ได้ก็พอ’ แววตาภาสวัสร์อ่อนโยนปนเศร้า
‘แต่ว่า …’ ภาสวินท์ยังหนักใจที่จะรับปากพี่ชาย จนพี่ชายต้องร้องขอ
‘ทำตามพี่บอกเถอะนะ พี่สบายใจที่จะอยู่ในห้องเงียบๆ แบบนี้’
น้องชายถอนหายใจ แล้วก็ต้องรับปากอย่างช่วยไม่ได้
เรื่องพี่ชายทำให้ภาสวินท์นอนไม่หลับจนเช้า อึดอัดแทบทนไม่ไหว จะลองพูดกับแม่ สิริมาก็ไม่เห็นด้วยกลัวมารดาจะยิ่งระแวงภาสวัสร์มากกว่าเดิม
“เดี๋ยวแม่จะไปวัด แล้วเลยไปเยี่ยมพวกคุณยายที่บ้านด้วย คืนนี้แม่อาจจะกลับดึกหน่อยนะวินท์” อนงค์นางบอกพลางหยิบผ้ามาซับปากหลังข้าวต้มหมดชามแล้ว ภาสวินท์คงไม่สะดวกจะตามมารดาไปบ้านพวกคุณยายที่ต่างจังหวัดจึงได้แต่บอกมารดา
“ได้ครับ แม่เดินทางดีๆ นะครับ ผมมีนัดกินข้าวกับคุณลุงเดชาและนิกกี้ตอนเที่ยง ตอนสายๆ ก็เลยจะไปนั่งคุยกับพี่วัสร์น่ะครับ” ภาสวินท์ลอบสังเกตปฏิกริยามารดา มารดาพยักหน้ายิ้มๆ ไม่ได้แปลกไปกว่าปกติเลย
“ดีแล้วล่ะ พี่เขาอาจจะเหงา วินท์ไปชวนคุยบ้างก็ดี”
“มีวันหยุดยาวใกล้จะถึงนี้ ผมน่าจะเคลียร์งานได้ เลยคิดว่าอยากจะพาแม่กับพี่ไปเที่ยวทะเลบ้าง แม่ว่าไงครับ” ภาสวินท์ทำทีชวนไปพักผ่อนหย่อนใจ เผื่อว่ามารดาจะเห็นดีเห็นงามด้วย แต่ก็ไม่ มารดายังคงไม่เปลี่ยนใจเรื่องภาสวัสร์
“แม่ว่าพี่วัสร์ยังไม่พร้อมจะออกไปข้างนอก ลูกก็อย่าเพิ่งฝืนพี่เลยนะ แม่ไม่อยากให้พี่เขาเครียดจนแย่ลง … แม่ไปก่อนนะ”
อนงค์นางลุกแล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมป้านุ่ม เหลือเพียงภาสวินท์นั่ยังคงคิดหนักเรื่องแม่กับพี่ชายอยู่ที่โต๊ะอาหาร ไม่ว่าจะแม่พรือพี่ก็ต่างเปลี่ยนใจยากกันทั้งนั้น
คนกลุ้มใจไม่นั่งดื่มกาแฟหรือกินอาหารเช้าต่อ เขาลุกแล้วตรงไปยังห้องนอนพี่ชาย เจ้าของห้องยังหลับสนิท บรรยากาศจึงในห้องเงียบสงบทำให้จิตใจสับสนของภาสวินท์เริ่มสงบลง ภาสวินท์จึงกดโทรศัพท์ไปหากอกานต์ เขายังไม่ได้ติดต่อหญิงสาวเลยตั้งแต่เมื่อคืน
“แก้มไม่เป็นไรแล้วค่ะคุณวินท์” เธอตอบเขาหลายคำถาม รวมทั้งฟังคำขอโทษของเขาหลายครั้ง
“ผมขอโทษนะที่ไม่ได้ตามหาคุณ ผมมีปัญหาที่บ้านจนปลีกตัวไปไม่ได้” ภาสวินท์รู้สึกผิดจริงๆ “แล้ววันนี้คุณจะทำอะไรครับ” ภาสวินท์ชวนคุยเรื่องอื่น
“แก้มนัดพี่รินที่ห้างฯ ค่ะ จะไปเดินดูงานกัน”
“อืม งานออกร้านที่ห้างน่าสนใจมากนะ เสียดายจังวันนี้ผมมีธุระ ไม่อย่างนั้นจะไปแจมด้วย … ไปเดินเล่นกันก็ดูแลตัวเองดีๆ นะครับ”
“ค่ะ” กอกานต์รับปาก ก่อนจะวางสายจากกัน
หลังจากวางสายไม่นาน อยู่ดีๆ พี่ชายก็โวยวายทั้งที่ยังหลับตาอยู่
“ไม่! พ่ออย่า พ่อ! พ่ออย่า!!” ภาสวัสร์นอนบนเตียงส่งเสียงร้องห้าม มือยื่นขึ้นมาไล่คว้าอากาศเป็นการใหญ่ ภาสวินท์จึงรีบจับมือคนละเมอ แล้วปลุกให้ได้สติ
“พี่วัสร์!! พี่วัสร์”
“วินท์!” ภาสวัสร์ตื่นเต็มสองตา ไม่รอให้น้องชายถาม ก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “พ่อมาหาพี่อีกแล้ว”
“อีกแล้ว?” ภาสวินท์มองพี่ชายอย่างไม่เข้าใจ
“วินท์เชื่อไหมว่าพ่อยังอยู่ที่ห้าง …” ภาสวัสร์จ้องตาหลังจากถามออกไป สังเกตเห็นแววตาน้องชายเปลี่ยนจากสงสัยกลายเป็นเฉยชา
“ไม่เชื่อครับ พ่อไม่อยู่แล้ว … ผมว่าผมไปตามส้มจัดอาหารเช้ากับยาให้พี่ดีกว่านะ” ภาสวินท์เหนื่อยใจกับเรื่องลี้ลับ ไม่ว่าจะที่ทำงานหรือที่บ้าน ขนาดรู้ว่าพี่ชายสมองไม่ปกติ ภาสวินท์ยังหลุดเสียงแข็งแสดงอาการไม่พอใจใส่พี่ชาย
พอน้องชายจะผละตัวออก ภาสวัสร์ก็เป็นฝ่ายยึดข้อมือน้องชายไว้แทน ถามกลับเสียงหนักแน่น
“แล้วถ้าพ่อยังอยู่ ที่อยู่ก็เพราะพ่อต้องการจะบอกความจริงกับเรา แล้วถ้าผีสายสุดาก็อยู่ล่ะ … พี่เห็น พวกเขาชอบมายืนอยู่ตรงสนามนั่น” คนพูดชี้ไปที่สนามนอกหน้าต่าง
“อีกแล้วหรือคะคุณวัสร์” สิริมายกอาหารเช้าเข้ามาได้ยินพอดี “พูดแบบนี้อีกแล้ว” พร้อมทำหน้ากลุ้มใจ
“ก็มันจริงนี่ ทำไมไม่มีใครเชื่อบ้าง” ภาสวัสร์โวยวายทั้งน้องชายและคนดูแล
“พี่ตาฝาดไปเองครับ ผีไม่มีจริง พ่อกับสายสุดาก็ไม่อยู่แล้ว” ภาสวินท์พยายามใจเย็นอย่างที่สุด ถ้าเป็นคนอื่น เขาคงจะดุใส่ไปแล้ว
“แต่ว่า …”
“พี่วัสร์!” ภาสวินท์เสียงดังหลังจากหมดความอดทน ทำให้ทั้งพี่ชายและสิริมานิ่งไปทันที
“พ่อไม่อยู่แล้วครับ พ่อทิ้งพวกเราให้อยู่กับหนี้กองโต จนแม่ต้องทำงานหนัก จนผมต้องมาถูกจับคู่เพราะต้องตอบแทนลุงเดชา … แต่ถ้าพ่อยังอยู่อย่างที่พี่บอกผม ผมก็อยากจะถามพ่อว่าพ่อทำได้ยังไง พ่อทิ้งพวกเราไปแบบนั้นได้ยังไง …”
“แต่พี่ …” ภาสวัสร์ไม่พูดต่อ เพราะน้องชายสะบัดหน้าและตัวเดินหนี ไม่รับฟัง รู้ดีว่าถึงพูดไปก็ไม่มีประโยชน์
“ผมจะออกไปข้างนอก ฝากส้มดูพี่วัสร์ด้วยนะ วันนี้ถึงพี่จะเบื่อยังไง พี่ก็อย่าออกจากห้องนี้เลย แม่จะได้เลิกล่ามโซ่พี่แบบนี้สักที”
ภาสวินท์เดินออกจากพร้อมอารมณ์ขุ่นมัว
“คุณวินท์ …” สิริมาถอนหายใจ ขณะที่ภาสวัสร์เบิกตากว้างขณะหันไปมองที่สนามหญ้า เมื่อเห็นวิญญาณบิดาปรากฏขึ้น
… พ่อ … พ่อคงได้ยินที่ภาสวินท์พูด …
ตอนนี้สีหน้าบิดาจึงเศร้ามากจนภาสวัสร์ต้องหลบตาลง แต่เมื่อเงยหน้ามองไปอีกครั้ง สนามหญ้าก็เหลือเพียงความว่างเปล่า
ภาสวัสร์สงสัยมากกว่าเดิม … พ่อยังอยู่ และมาให้เขาเห็นแบบนี้ต้องการบอกอะไรเขาหรือเปล่า?
เรื่องน่ากลัวของผีกับเรื่องที่ฝันทำให้กอกานต์นอนไม่หลับทั้งคืนกว่าจะหลับก็เกือบฟ้าสาง จนมาสะดุ้งตื่นตอนสายๆ เพราะรับสายโทรศัพท์จากภาสวินท์
ตั้งแต่ตื่นนอน จนเดินทางมาถึงห้างวัสวา กอกานต์ก็อดนึกถึงเหตุการณ์ในห้องนั้นไม่ได้ แล้วยังเสียงของภาสกรหล่นตามผู้หญิงที่ชื่อสายสุดาลงไปจากตึกตามหลอกหลอนกอกานต์ไม่เลิกอีก
“ทำไมเราต้องฝันอะไรแบบนี้ แล้วนี่ความฝันหรืออะไร” กอกานต์สงสัยมาก เธอไม่เคยเห็นหน้าภาสกรมาก่อน กระทั่งเห็นจากรูปภาพของภาสวินท์ในห้องทำงาน แล้วภาสวัสร์ตอนเป็นเด็กนักเรียนอีกล่ะ
ทำไม … กอกานต์เอาแต่ถามและคิดหาสาเหตุอยู่นาน จนปวดหัวก็ไม่ได้คำตอบสักที
“แก้มจ๊ะ”
เสียงเรียกของคิรารินดังขึ้น ทำให้กอกานต์หยุดความคิดแล้วรีบเงยหน้า ส่งยิ้มให้เพื่อนร่วมงานสาวรุ่นพี่ คิรารินกับเธอนัดกันมาดูงานอีเวนท์ที่ห้างวัสวาในช่วงเวลาก่อนเที่ยง แม้คิรารินจะบอกให้กอกานต์พักผ่อน หากกอกานต์ก็ไม่อยากอยู่นิ่งๆ เดี๋ยวจะคิดมากปวดหัวอีก
อีกอย่างเวลากลางวัน ห้างวัสวาไม่ได้น่ากลัวเหมือนในออฟฟิศตอนกลางคืนหรอก
เวลานี้จึงยึดร้านกาแฟในห้างนั่งพูดคุยกันก่อนจะออกไปดูอีเวนท์ตรงลานน้ำพุ
“น้องแก้มดีขึ้นแล้วจริงๆ ใช่ไหม พี่ตกใจแทบแย่เลยนะ พี่ขอโทษที่ไม่รู้อะไรทำให้พี่ลืม ไม่สิ ตอนนั้นพี่แทบไม่ได้รู้สึกว่าน้องแก้มหายไปเลย คุณแทนเองก็เหมือนกัน ขอโทษจริงๆ นะ” คิรารินเอ่ยด้วยน้ำเสียงทั้งรู้สึกผิดปนประหลาดใจ
“ไม่ใช่ความผิดพี่รินหรือคุณแทนสักหน่อยค่ะ จังหวะนั้นทุกคนยุ่งกันมากค่ะ แก้มเข้าใจ” กอกานต์พูดตามความคิดจริงๆ เธอต่างหากที่ไม่ควรเดินไปเพียงลำพังเลยทำให้ทุกคนต้องทิ้งงานมาตามเธอกัน พอนึกถึงงาน กอกานต์ที่ไม่ได้อยู่จนงานเสร็จก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“พี่ริน แล้วเมื่อคืนงานติดตั้งเสร็จกี่โมงหรือคะ เรียบร้อยดีใช่หรือเปล่าคะ”
“เรียบร้อยดี เดี๋ยวเราเดินไปดูด้วยกันนะ แต่ขอรอใครอีกคนหนึ่งก่อน เขาออกไปเข้าห้องน้ำน่ะ” คิรารินพูดจบ ก็เห็นผู้ชายผิวสีเข้มหน้าตาดีร่างสูงในเสื้อยืดแขนสั้นกางเกงยีนส์เดินเข้ามาหา
“น้าหนึ่งมาพอดี รินจะแนะนำให้น้าหนึ่งรู้จักแก้มค่ะ แก้มเป็นเพื่อนร่วมงานรินเอง” แนะนำแค่นี้ หนึ่งฟ้าก็เข้าใจ
“สวัสดีครับคุณแก้ม” หนึ่งฟ้ากล่าวทักทายด้วยท่าทางเป็นมิตร อีกฝ่ายอาจะไม่รู้ตัวว่าในสายตาที่หนึ่งฟ้ามองนั้นคือการสังเกต เพราะได้ยินภาสวินท์พูดถึงอยู่บ่อยๆ
หนึ่งฟ้ารู้ดีว่ามีผู้หญิงไม่เยอะหรอกที่เพื่อนจอมทึ่มของเขาจะสนใจขนาดมาเล่าให้เขาฟัง
พอเห็นกอกานต์ หนึ่งฟ้าค่อนข้างแปลกใจที่รสนิยมภาสวินท์จะเป็นผู้หญิงใสๆ ตาแป๋วๆ แม้ไร้ความเซ็กซี่แต่ก็น่าค้นหา … มิน่าถึงได้เฉยเมยด้านชากับการแต่งตัววาบหวิวของชนิณิภา
“ส่วนนี่น้าหนึ่งเป็นเพื่อนพี่วินท์มาตั้งแต่มัธยมนู่นแน่ะ แต่อย่าแปลกใจนะว่าทำไมพี่ถึงเรียกพี่วินท์ว่าพี่ ก็พี่วินท์บ่นว่าไม่อยากแก่เหมือนน้าหนึ่งน่ะ” คิรารินแนะนำน้าชายให้กอกานต์รู้จักบ้าง
หนึ่งฟ้าเป็นน้องชายคนเล็ก เป็นลูกหลงที่อายุห่างจากมารดาคิรารินสิบเจ็ดปี มารดาของคิรารินแต่งงานตั้งแต่จบปริญญาตรีแถมมีลูกไว หนึ่งฟ้าเลยไม่เคยทำตัวเป็นน้าชาย แต่มักจะเล่นกับคิรารินเหมือนพี่น้องกันมากกว่า
“งั้นเราไปดูงานกันเลยดีกว่าไหมคะ เดี๋ยวจะได้ไปหาอาหารเที่ยงกินกันด้วย” คิรารินเป็นคนลุกจากโต๊ะคนแรก ตามด้วยกอกานต์กับหนึ่งฟ้า
หลังจากเดินในงานไปได้ครู่ใหญ่ผ่านร้านรวงที่มาออกบูธ กอกานต์อาศัยจังหวะที่คิรารินสนใจกระเป๋าหนังในบูธหนึ่ง มาเลียบๆ เคียงๆ คุยกับหนึ่งฟ้าเป็นการส่วนตัว
“คุณหนึ่งฟ้าเป็นเพื่อนคุณวินท์มานานมากเลยนะคะ” กอกานต์ถามเหมือนชวนคุยธรรมดา ซุกซ่อนความสงสัยไว้ด้วยน้ำเสียงใส เพราะเธอยังติดใจภาพในฝันอยู่ไม่หาย การได้คุยกับคนที่รู้จักภาสวินท์มานาน เธออาจจะได้เบาะแสอะไรบ้าง
“ก็รู้จักกันมานาน จนมาสนิทกันตอนมอปลายน่ะ ตอนนั้นไอ้วินท์มันเรียนเก่ง ผมก็เลยพยายามสนิทเพื่อลอกการบ้านน่ะ ฮ่า” หนึ่งฟ้าเล่าอย่างคนอารมณ์ดี “แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยก็แยกย้ายกันไป”
“คุณหนึ่งอยู่ในช่วงที่ท่านประธานคนเก่าเสียชีวิต”
“ใช่ ผมอยู่ในช่วงนั้น ผมสงสารวินท์เขามาก คิดดูสิ พ่อมาฆ่าตัวตายกะทันหัน ต้องมารู้ว่าธุรกิจที่บ้านกำลังแย่ จากมีทุกอย่างกลายเป็นติดลบ เกือบไม่ได้เรียนต่อ แถมพี่ชายยัง …” หนึ่งฟ้ารีบงับปากตัวเอง ไม่ให้หลุดเล่าเรื่องไม่ควรออกมา
“พี่ชาย … ทำไมหรือคะ” กอกานต์เห็นคนเล่าเงียบไปเฉยๆ ก็สงสัย
“ไม่มีอะไรหรอก ผมไม่ควรพูดเรื่องคนอื่นน่ะ ขอโทษทีนะ” หนึ่งฟ้าถอนหายใจ เกือบผิดสัญญากับเพื่อนไปแล้ว!!
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ … จริงๆ แก้มได้ยินมาว่าคุณวินท์มีพี่ชาย แต่แก้มไม่เคยเจอพี่ชายคุณวินท์เลย เขาไม่ได้อยู่ด้วยกันหรือคะ” กอกานต์แกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าสองพี่น้องอาจจะมีเรื่องผิดใจกันอยู่
“ได้ยินจากไหนมาล่ะ” ถามหญิงสาวกลับ
“แก้มเคยเห็นรูปถ่ายในห้องทำงานของคุณวินท์ค่ะ คุณวินท์เล่าว่ามีพี่ชาย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก”
“คือว่า …” หนึ่งฟ้าทำหน้าลำบากใจ แม้จะคิดแล้วคิดอีก หนึ่งฟ้าก็ไม่สามารถเล่าหรือตอบอะไรเรื่องของเพื่อนสนิทได้ “พี่ชายวินท์เขาอยู่ต่างประเทศน่ะ”
“ต่างประเทศหรือคะ” กอกานต์มุ่นคิ้ว คำตอบเหมือนภาสวินท์บอกเธอ หรือภาสวินท์บอกคนอื่นๆ ว่าพี่ชายอยู่ต่างประเทศ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย
“คุณแก้มครับ” อยู่ดีๆ หนึ่งฟ้าก็เป็นฝ่ายเรียกชื่อและมองหน้าเธอจริงจัง
“มีอะไรหรือคะ” คนถูกจ้องทำหน้าสงสัย
“ถ้าเกิดว่าวินท์มีบางอย่างที่ไม่สมบูรณ์แบบ คุณจะรังเกียจเพื่อนผมหรือเปล่า”
“ทำไมอยู่ๆ คุณหนึ่งถึงถามแบบนี้ล่ะคะ” กอกานต์ไม่เข้าใจ
“ผมว่าผมรู้เรื่องระหว่างคุณกับนายวินท์” คำตอบทำให้ใบหน้าหญิงสาวเห่อร้อน หลบตาชายหนุ่มลงมองอย่างอื่น “นายวินท์น่าสงสารนะ ถึงหมอนั่นจะมีพร้อมทุกอย่าง แต่จริงๆ สิ่งที่มันขาดสิ่งสำคัญที่สุดไป นั่นคือ ความอิสระและความสุข ผมอยากให้คุณเป็นสองสิ่งนั้นให้กันนายวินท์เขา”
กอกานต์เงยหน้าสบดวงตาของคนพูด เธอไม่เข้าใจว่าทำไมหนึ่งฟ้าถึงบอกเรื่องนี้กับเธอ ยังไม่ทันได้ถาม คิรารินก็โผเข้ามาร่วมวงด้วย ทำให้กอกานต์ติดกับความสงสัยตลอดมื้อเที่ยง กระทั่งแยกกับสองน้าหลานเพื่อจะกลับบ้าน
ตอนนั้นเองที่เธอคล้ายจะนึกคำพูดเก่าๆ ของภาสวัสร์ได้
‘จีบน้องชายผมได้ไหม ผมอยากให้น้องชายผมมีความสุข เขาทำเพื่อคนอื่นมามาก’
กอกานต์คิดถึงภาสวัสร์ขึ้นมา เขาเป็นคนมาช่วยเธอหลังจากเจอผีหลอกในลิฟท์นี่นา แล้วเขาก็ยังเป็นคนปลอบไม่ให้เธอกลัวจนลนลาน น่าแปลกที่พอคิดถึงแววตา น้ำเสียงของภาสวัสร์เมื่อคืนก่อน อยู่ดีๆ ก็เกิดความอบอุ่นแปลกๆ ขึ้นในหัวใจ
ความรู้สึกอบอุ่นไร้ที่มา ที่ไม่ควรเกิดขึ้นทำให้กอกานต์รีบสะบัดหน้าไปมา และนั่นทำให้เธอเดินชนเข้ากับคนตัวสูงคนหนึ่ง
“ขอโทษค่ะ …” กอกานต์เงยหน้าบอกอีกฝ่าย และก็ต้องอ้าปากค้าง เพราะเจ้าของร่างสูงตรงหน้าคือคนในความคิด! “คุณภาส-สะ- “
“ชู่ว์!” ภาสวัสร์ยกนิ้วชี้จรดริมฝีปาก … ปากหญิงสาวนะ ไม่ใช่ปากเขาเอง แล้วก้มหน้าลงมากระซิบใกล้ๆ “บอกแล้วไงว่าให้เรียกพี่หมี!”
“ก็ … ก็ตกใจนี่คะ” เธอบอกตามตรง ขณะมองร่างสูงในเสื้อยืดแขนยาวสีดำ กางเกงขายาวสีเทาเข้มทำด้วยผ้าคล้ายกางเกงกีฬา เขายังคงสวมหมวกแก๊ปและแว่นสายตาเหมือนทุกครั้ง ผิวของภาสวัสร์ขาวเหมือนคนไม่ค่อยโดนแดด ร่างกายค่อนข้างผอม ถ้าเพิ่มน้ำหนักสักหน่อยคงหล่อทิ้งน้องชายไปไกลเลยล่ะ
“แล้วจะยืนมองกันอีกนานไหม ผมหล่อล่ะสิ” ภาสวัสร์ยิ้มยั่ว น่าแปลกที่กอกานต์ไม่แหวแว้ดใส่อย่างที่เคย เธอพยักหน้าตอบเขาอีก
“ก็เกือบหล่อค่ะ คุณผอมไป ควรกินเยอะๆ กว่านี้ ดูสิ ข้อมือแค่นี้เอง” กอกานต์คว้าข้อมือชายหนุ่มขึ้นมา ก่อนจะหัวเราะเมื่อแก้มของจอมกวนแดงระเรื่อ “คุณหมีเขินหรือคะ”
“ใครว่า!” ภาสวัสร์เถียงพร้อมสะบัดมือจนหลุด ค้อนใส่กอกานต์ที่กำลังล้อเลียนเขาผ่านสายตาวาววับ
“ไหนๆ ก็เจอกันแล้ว ผมมีเรื่องจะคุยด้วย ผมมีเวลาไม่นาน เรารีบไปหาที่อื่นนั่งคุยกันดีกว่า”
ภาสวัสร์รีบเปลี่ยนเรื่อง เขาอาศัยจังหวะอ้อนสิริมาให้ออกมาซื้อขนมแล้วแอบสะเดาะกุญแจ ออกมาตามหาหญิงสาว เขาได้ยินน้องชายคุยกับกอกานต์ชัดเจนว่าเธอมาเดินงานออกร้านที่ห้าง
โชคดีจังที่ตามหากันจนเจอ!
“ได้สิคะ … แล้วนี่คุณจะเดินหนีฉันทำไม รอฉันด้วยสิ นี่คุณหมี!”
พอเห็นคนที่ปกติจะชอบจูงมือให้เธอเดินตาม วันนี้ไม่ทำเช่นนั้น เขาเอาสองมือซุกกระเป๋ากางเกง เดินก้มหน้าแดงๆ นำเธอไปก็อดหัวเราะแกล้งเขากลับไม่ได้ น่าแปลกเพราะเธอลืมอาการกลัวผีไปหมดเลย
โดยกอกานต์กับภาสวัสร์ไม่รู้ตัวเลยว่าทั้งสองเดินผ่านร้านอาหารจีนที่ภาสวินท์กับเดชามารับประทานอาหารเที่ยงด้วยกัน
จานอาหารถูกเก็บไปจนหมด เหลือเพียงถ้วยน้ำชา และผลไม้หลังมื้ออาหารอยู่บนโต๊ะ
“เดี๋ยวนิกกี้ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ” ชนิณิภาจึงลุกออกจากโต๊ะ ทำให้เดชาเห็นจังหวะที่จะคุยเรื่องสำคัญกับว่าที่ลูกเขย
“วินท์ … ลุงถามวินท์จริงๆ นะ ถ้าลุงอยากให้วินท์แต่งงานกับนิกกี้ปีนี้ วินท์ติดขัดอะไรไหม”
ภาสวินท์ค่อนข้างตกใจกับคำถาม แม้รู้ดีว่าเดชากับแม่ของเขานัดแนะหาฤกษ์ยามกันบ้างแล้ว ก็ยังเครียดจนเผลอกำมือบนตักแน่น หัวใจกับสมองร้องลั่นว่าเขาไม่ได้อยากแต่งงานกับชนิณิภา แต่กลับพูดไม่ออก มารดาเขาจะต้องไม่ยอมให้เขาปฏิเสธแน่ๆ
“วินท์คิดยังไงกับนิกกี้กันแน่ รักน้องแบบไหน” เดชาถามด้วยน้ำเสียงอ่อน เป็นมิตร คล้ายอยากฟังความจริง ไม่ใช่การตวาดหรือโมโหที่เขาไม่สามารถให้คำตอบได้
“ผมเห็นนิกกี้เป็นน้องสาวเสมอมาครับ” ภาสวินท์ตอบตามความจริง ก่อนชี้แจงเพิ่มอีกว่า “ผมไม่อยากทำร้ายอนาคตของนิกกี้ เพราะถ้าแต่งงานกันไป ผมไม่รู้เลยว่าชีวิตคู่ของผมกับนิกกี้จะจบลงแบบไหน”
“ก็ดี …” เดชาพยายามข่มอารมณ์โทสะไว้ คิดว่าเรื่องเป็นแบบนี้ก็ง่ายดี “ขอบใจนะที่ยอมบอกความจริง นิกกี้จะได้มองคนอื่น … ไม่ต้องห่วง ลุงจะคุยกับแม่เราเอง ให้ยกเลิกการหมั้นระหว่างวินท์กับนิกกี้ซะ ขอบใจวินที่ดูแลนิกกี้มาตลอดนะ”
“ครับ ขอบคุณคุณลุงด้วยนะครับ แล้วก็ขอโทษที่ผมไม่ได้รักนิกกี้แบบนั้น” ภาสวินท์ตอบ ด้วยความรู้สึกแปลกที่ไม่ได้ดีใจหรือโล่งใจ ทั้งที่เขาเครียดเรื่องชนิณิภามาตลอด ภาสวินท์รู้สึกเหมือนได้กลิ่นความผิดปกติจากการยกเลิกสถานะคู่หมั้นอย่างง่ายดายนี้ … เขาได้แต่คาดหวังว่าเขาแค่คิดมากไปเอง …
จบตอนที่ 13
ขอโทษที่หายไปนานค่า พอดีเดินทางไปมา ไม่ได้เล่นหรือจับคอมพ์เลย
อาจจะมาๆ หายๆ บ้างนะคะ งานเยอะมว้ากมายยย
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า ^^
ปิ่นนลิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ก.ย. 2560, 04:36:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ก.ย. 2560, 04:42:02 น.
จำนวนการเข้าชม : 956
<< ตอนที่ 12 - 100% | ตอนที่ 14 >> |
kaelek 5 ก.ย. 2560, 07:24:54 น.
อูยยยดิดถึง กลับมาแล้ว ทั้งคนเขียนและพี่วินพี่วัสร์เลย เย้ๆๆ
อูยยยดิดถึง กลับมาแล้ว ทั้งคนเขียนและพี่วินพี่วัสร์เลย เย้ๆๆ
แว่นใส 5 ก.ย. 2560, 13:26:29 น.
เขาหวังฮุบห้างไง
เขาหวังฮุบห้างไง