จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...
ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน
ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น
" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”
ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน
ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น
" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 13
----- แวะคุยกันก่อน ----
สวัสดีค่ะผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน
หลังจากเขียนลงทุกวันเป็นวันเว้นวัน
สงสัยต้องสองวันลงตอนหนึ่งแล้วมั่ง
อย่าเพิ่งหายกันไปไหนนะคะ
บทนี้ กรรมมันมาเยือนกันถ้วนหน้าแล้วคะ
มาเยือนทุกผู้ทุกเหล่าไม่มียกเ้ว้น
แล้วมาตามดูกันนะคะว่าเป็นยังไง
คราวนี้เอาเพลง http://www.youtube.com/watch?v=TW7wpWq9OVY
ไม่เคยรักใครเท่าเธอของศรีไศลมาฝาก ควรจะเอาไปฟังบทที่แล้วจะดีมาก
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะค
ปล.นิยายเรื่องนี้อาจจะเครียดไปหน่อยนะคะ เดี๋ยวไว้จะใส่หวานๆให้
ปล.2 ผู้หญิงอย่างรสานี้ผู้ชายเขาไม่อยากเอาไปทำพันธุ์นักนะคะ 55555
---------------------------------------
บทที่ ๑๓
ผ้าม่านสีขาวพลิ้วไสวตามกระแสลมโชยพัดลอดมากระทบร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มที่ยืนกอดอกทอดสายตาไปยังเมฆด้านนอก คิ้วของเขาขมวดแน่นขณะรอโทรศัพท์มือถือให้ดังขึ้น แต่จนแล้วจดรอดตลอดเช้าวันนั้นก็ไม่มีสายที่ต้องการโทรเข้ามามันจึงถูกโยนทิ้งให้กระเด้งก่อนจะนอนนิ่งบนเตียงนุ่มสะอาด
เจ้าของห้องสูดลมหายใจพลางคิดไตร่ตรองบางสิ่งในใจอยู่นานก็ตัดสินใจได้ว่าควรทำอย่างไรจึงเปิดประตูออกจากคฤหาสน์อังคพิมานตรงไปยังคฤหาสน์ร่วมรั้วเพื่อพิสูจน์ความจริงให้เห็นแน่แก่ตาตัวเองว่า งานที่มอบหมายพร้อมกับมัดจำจำนวนครึ่งหนึ่งของค่าจ้างทั้งหมดมิได้สูญเปล่า
...อย่างน้อยแค่มันบาดเจ็บก็ยังดี...
บ้านวิสุทธิ์สุนทรในเช้าวันเสาร์ค่อนข้างวุ่นวายก็ด้วยเหตุที่ทายาทคนเดียวของตระกูลตั้งใจจะพามารดาไปเที่ยวพักผ่อนต่างจังหวัด คนรับใช้คนใดทราบเรื่องนอกจากช่วยขนของแล้วยังหยิบข้าวของอื่นที่ต่างคิดว่าควรนำไปเผื่อเข้ามาล้อมหน้าหลังหญิงสาวที่กำลังให้ยามหน้าประตูช่วยยกกระเป๋าเก็บตรงท้ายรถจนกลายเป็นจลาจลย่อมๆไปในบัดดล
ศิระเดินตามทางเหลือบเห็นผู้คนวุ่นวายอยู่ตรงโรงจอดรถพอดีจึงเดินเข้าไปหา ดวงตาของเขาหรี่เล็กลงในทันทีที่เห็นคนรับใช้ขนของขึ้นรถกันเป็นระวิง
“ อ้าว คุณใหญ่ มาหาคุณเล็กหรือคะ ” ยายช้อยหันไปเห็นก็ร้องถาม...คนตัวเล็กได้ยินเข้าเลยเงยหน้ามองไปยังพี่ชายที่เดินเข้ามาใกล้
“ จะไปไหนกันเหรอครับ ” ถามกลับเสียงนุ่ม แทนที่น้องจะเป็นคนตอบกลับเป็นคนใช้ที่ประสานเสียงตอบให้
“ เล็กจะไปหัวหินหรือจ๊ะ...แล้วไปกับใคร ไปนานหรือเปล่า จะนอนค้างหรือแค่ไปเช้าเย็นกลับ ” เขาไต่ถามโดยละเอียดดังกับการไปเที่ยวข้างนอกบ้านของน้องเป็นเรื่องใหญ่
ครั้งหนึ่งคนเป็นพี่เคยเก็บรักษาน้องไว้ใกล้ตัวด้วยกลัวใครจะแย่งชิง มาบัดนี้แม้อยากห้ามหากก็ทำได้เพียงเก็บในใจ
“ แหม คุณใหญ่คะ คุณเล็กจะไปกับใครได้ ถ้าไม่ใช่ไปกับคุณภาค นี่คุณผู้หญิงเธอก็ไปด้วยนะคะ ”
คำตอบของหญิงชราทำให้คิ้วเข้มของเขาเกิดกระตุกก่อนอาศัยรอยยิ้มกลบเร้นความรู้สึกทางสีหน้า...การได้รู้ได้เห็นว่าคู่แค้นของจนยังอยู่ดีมีสุขถึงขนาดไปเที่ยวทะเลได้ ย่อมหมายความว่า เจ้าตัวยังปลอดภัยดี
“ พาป้าพิณไปตากอากาศกันนี้เอง...จะว่าไปพี่ก็ไม่ได้ไปทะเลมานานแล้ว ครั้งสุดท้ายที่ไปเที่ยวทะเลนะ เล็กโดนแก้วบาดเท้าจนเล่นน้ำไม่ได้ เล็กจำได้ไหมจ๊ะ ”
“ ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะคะ ก็วันนั้นพี่ใหญ่แบกเล็กลงทะเลจนปวดแขนตั้งหลายวันเลยนี้คะ ”
“ เสียดายที่ต่อไปนี้ พี่คงไม่มีโอกาสพาเล็กไปเที่ยวอีกแล้ว ” น้ำเสียงกับแววตาละห้อยหาของเขา พาลให้ศศิวิมลรู้สึกไม่สบายใจ อยากเอ่ยปากชวนพี่ไปเที่ยวด้วยกันก็ไม่กล้า เพราะรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างสามีในนามและพี่ชายไม่สู้ดีนักจึงทำได้เพียงยิ้มอ่อนปลอบใจ ขณะนั้นเองภาควัฒน์ก็เข็นพาอรพิณออกมาจากในบ้าน
คนป่วยมีสีหน้าสดใสมีความสุขสวมเสื้อผ้าเข้าชุดสีฟ้า พอเห็นหลานชายของเพื่อนอยู่ตรงหน้าก็รีบทักทาย
“ วันนี้ใหญ่อยู่บ้านหรือลูก ” นางเอื้อมมือไปลูบผมคนที่คุกเข่าก้มลงกราบแทบตัก กิริยาอ่อนน้อมเสมอเป็นทุนให้ผู้พบเห็นเมตตาปราณี
“ ช่วงนี้ผมทำงานหนักไม่ค่อยได้พัก แม่ใหญ่เลยบอกให้ผมหยุดอยู่บ้านบ้างนะครับ ” พูดพลางลูบแขนผอมไปมาอย่างอ่อนโยนแล้วถามต่อ “ ป้าพิณเป็นยังไงบ้างครับ ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ผมไม่ได้มาเยี่ยมป้าพิณเลย วันนี้ตั้งใจมาหา ป้าพิณก็ไปเที่ยวเสียอีก ”
“ ตาภาคเขาเห็นป้าอยู่แต่บ้านก็เลยพาไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาบ้างนะจ๊ะ ” ท่าทางการพูดจาของคนป่วยเต็มไปด้วยความภูมิใจ นางแหงนหน้ากลับไปมองลูกชายครู่หนึ่งก็ว่าต่อ “ เออ จะว่าไปไหนๆใหญ่ก็หยุดอยู่บ้าน ภาคน่าจะชวนใหญ่กับป้ามลไปเที่ยวด้วยกันกับเรานะลูก ”
ภาควัฒน์เหลือบมองใบหน้าอีกฝ่ายด้วยนัยน์ตาพราวระยับราวกับจะเย้ยหยันกันพักเดียวก็ยิ้มกว้าง
“ เราจะไปเที่ยวหัวหินกัน ถ้านายกับป้ามลว่างก็ไปเที่ยวด้วยกันสิ ไปหลายๆคนสนุกดี ” ถามขึ้นอย่างมีไมตรีจิต ลองหยิบหน้ากากสุภาพบุรุษแสนดีเช่นที่อีกคนชอบสวมมาใส่ดูบ้าง
ศิระเห็นเข้าถึงกับหน้าตึงแต่ก็ยังแสร้งแย้มริมฝีปากตอบรับ เพราะ อยากให้คนอื่นเข้าใจว่าทั้งคู่สงบศึกกันแล้ว
“ อย่าเลย ไปเที่ยวกันสามคนให้สนุกเถอะ ”
“ เสียดายจัง ” คนตัวใหญ่รำพัน ก้มลงใช้แขนสองข้างสอดลงไปอุ้มร่างมารดาไปวางลงบนเบาะนุ่มด้านหลังรถ แล้วถอยหลังมาแกล้งชี้นิ้วไปที่ปกเสื้อสีขาวก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ใช้มือปัดอากาศ ปากก็กระซิบความฝากให้
“ วันหลังจะส่งใครมาฆ่า อย่าส่งพวกกระจอกมา ”
ประโยคเรียบเย็นแฝงความยินดีนั้นทำให้คนฟังผงะ กายสูงพลันเกิดอาการชา ลมหายใจคล้ายติดขัดกะทันหัน ฝ่ายคนพูดกล่าวจบก็เดินยิ้มยกรถเข็นตามเข้าไปเก็บในรถแล้วกระแทกประตูปิดได้ก็เดินอ้อมกระโปรงรถขึ้นไป
ศศิวิมลตรวจดูข้าวของทุกอย่างเรียบร้อยก็สะพายกระเป๋าจนตัวเอียง ยื่นมือไปจับแขนพี่ชายไว้แน่น
“ พักนี้พี่ใหญ่ผอมมากนะคะ อย่าหักโหมทำงานมาก ล้มหมอนนอนเสื่อขึ้นมาจะแย่นะคะ ไว้เล็กจะซื้ออาหารทะเลหรือพวกขนมอบแห้งที่กินง่ายมาฝาก เวลาทำงานแล้วเกิดหิวจะได้หยิบมากินไม่เสียเวลาทำงานด้วย ”
“ ของกินที่บ้านก็มีเยอะแยะ ไม่ต้องลำบากซื้อมาหรอกจ๊ะ ”
“ ลำบากที่ไหนกันคะ...อีกอย่างตั้งแต่เล็กอยู่บ้านนี้เล็กไม่เคยเสียเงินเลยสักบาท แถมพักนี้เล็กก็มีงานถักตุ๊กตาให้ลูกค้าเยอะแยะ ได้เงินมาก็ไม่รู้จะใช้อะไรได้แต่เก็บไว้จนตอนนี้ล้นกระปุกแล้ว ถ้าแงะออกมาซื้อของให้พี่ใหญ่สักหน่อยน้องกระปุกหมูจะได้ไม่อ้วนเกินไป ” ผู้เป็นน้องเอ่ย แกล้งยกนิ้วจี้เอวแหย่พี่ชาย
“ กินพวกนั้นในห้องแอร์ก็มีกลิ่นสิจ๊ะ แต่เอาเถอะ ถ้าเล็กซื้อมาพี่ก็จะกิน ” คนเป็นพี่ลูบผมน้องบอกอ่อนโยน
“ งั้นเล็กไปก่อนนะคะ ” หล่อนว่า วางกระเป๋าลงพื้น ยกแขนโอบพี่ไว้แน่นครั้งหนึ่งแล้วจึงเปิดประตูไปนั่งข้างคนขับ ก่อนรถจะเคลื่อนหายก็ไม่วายโบกมือล่ำลา ศิระเลยโบกมือส่งจนทุกสิ่งคล้อยหาย สีหน้าแววตายามลดมือลงข้างตัววาวหามีความอ่อนละมุนหลงเหลืออยู่
...มึงจะดวงแข็งไปแล้วไอ้ภาค...
***************
ทายาทอังคพิมานเดินกลับมายังคฤหาสน์ประจำตระกูลตนเอง เพียงผ่านประตูเข้ามาในโถงใหญ่ก็เห็นหญิงวัยกลางคนในชุดลำลองสีขาวเดินกลับไปกลับมาเหมือนเสือติดจั่นเฝ้ารอใครสักคนอยู่ และเมื่อผู้เป็นป้าเงยหน้ามาเห็นก็รีบเข้าไปหา จับแขนหลานชายแล้วถามไถ่ว่าหายไปไหนมาแต่เช้า
“ ผมตั้งใจจะไปเยี่ยมป้าพิณที่บ้านนู้น พอดีป้าพิณจะออกไปเที่ยว เลยอยู่คุยกับยายช้อยในครัวนะครับ ” สร้างความสบายใจให้ด้วยการพูดจุดประสงค์ที่หายจากบ้านไปเพียงครึ่งเดียว
“ ไปเที่ยว บ้านนั้นเขาไปเที่ยวที่ไหนกันหรือ ” นางเอ่ย แปลกใจที่ได้ทราบว่า อรพิณกำลังป่วยอย่างหนักจะสามารถออกไปข้างนอกบ้านได้อย่างไร
“ เห็นบอกว่าจะไปค้างหัวหินกัน ภาคเขายังชวนผมกับแม่ใหญ่ไปด้วยเลยนะครับ แต่ผมเห็นว่าเดี๋ยวลงไปคุมงานที่ภูเก็ตก็ได้เห็นทะเลเอง เลยปฏิเสธเขาไป ”
มลธิกาย่นหน้าผาก ความสงสัยในการพาคนป่วยไปเที่ยวต่างจังหวัดยังสู้ความประหลาดใจที่ได้ยินหลานกล่าวถึงลูกชายของเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงปกติทั้งที่เคยเกือบจะฆ่ากันให้ตายหลายครั้ง
“ แม่ใหญ่มีอะไรหรือเปล่าครับ ถึงได้มายืนรอผมอยู่ตรงนี้ ” หลังจากคุยไปไกลก็วกเข้าประเด็น
“ ใหญ่จำวันก่อนที่แม่บอกใหญ่เรื่อง ข่าวในหนังสือได้หรือเปล่า ” ถามแล้วชำเลืองมองคนตรงข้ามที่ส่ายหน้าปฏิเสธ นางถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “ แม่รู้ว่าใหญ่คงไม่ได้สนใจข่าวพวกนี้สักเท่าไหร่ แต่เรื่องนี้ทำให้หนูวิไม่สบายใจมาก จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่แน่ใจในตัวใหญ่อยู่ ”
“ แล้วยังไงครับ ” เลิกคิ้วสูงเหมือนไม่เข้าใจในความหมายในวาจานั้น
“ แม่อยากให้ใหญ่ทำดีกับหนูวิเธอเหมือนคู่หมั้นคู่อื่นเขาบ้าง แม่เลยจองแพ็กเกจล่องเรือเจ้าพระยาไว้ อยากให้ใหญ่พาหนูวิไปทานมื้อค่ำด้วยกันที่นั่น ” สุดท้ายก็เผยแผนประสานรอยร้าวระหว่างอังคพิมานและทานากะออกมา
“ นัดไว้กี่โมงครับ จะได้เตรียมตัวถูก ” ชายหนุ่มว่า ท่าทางไม่อิดออดผิดทุกคราทำให้ผู้สูงวัยกว่าทำตาโตใส่ หลังจากเกิดเรื่องประดังประเดเข้ามาจนทำให้ศิระไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่นาน มาวันนี้ดูเหมือนว่า หลานชายของนางจะคืนสติสู่ภาวะความเป็นผู้นำสมกับจะนั่งตำแหน่งประธานบริหารได้ในที่สุด
“ แม่จองเรือไว้ตอนทุ่มครึ่งจ๊ะ แต่แม่บอกหนูวิไว้ว่า ใหญ่จะไปหาเธอที่บ้านช่วงบ่าย พาไปช็อปปิ้งแล้วค่อยเลยไปทานอาหารบนเรือทีเดียว แม่คงไม่รบกวนใหญ่มากเกินไปใช่ไหมจ๊ะ ”
“ ไม่ลำบากหรอกครับ แค่ไปช็อปปิ้งกับทานข้าว ถ้ามันทำให้สถานการณ์ระหว่างเราดีขึ้น ”
คำเพียงไม่มากของศิระทำให้มลธิกาคลายใจลงไปได้มาก...นางกุมมือหลานชายหลวมๆพลางยิ้มกว้าง
“ งั้นแม่ก็ฝากใหญ่พาน้องไปเที่ยวแล้วดูแลให้ดีนะลูก ”
“ ครับ ” ทิ้งท้ายสั้นเช่นนั้นก็ก้มศีรษะให้ก่อนจะเดินขึ้นบันไดหินอ่อนตรงไปยังห้องนอนของตนเอง
ชายหนุ่มกระแทกตัวนอนลงบนเตียง หมดความกระตือรือร้นเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก กวาดสายตามองผนังและเฟอร์นิเจอร์ที่ล้วนเป็นสีขาว แทบไม่มีของประดับตกแต่งได้นอกเสียจากรูปถ่ายของน้องสาวใส่กรอบอย่างดีตั้งไว้ตรงโต๊ะทำงานและบนโต๊ะข้างเตียง
นิ้วเรียวไล้สัมผัสความเย็นบนกระจกที่กั้นรูปถ่ายไว้ มิว่าอย่างไรในยามท้อแท้สิ้นหวังก็ยังมีนางในดวงใจสถิตย์แนบเป็นขวัญกำลังใจ แม้นนางจะอยู่ไกลเกินกว่าหมายปอง หากก็ไม่เคยคิดยอมรับความจริงเลยสักครา
ที่แสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอันใดก็เพียงเพื่อให้ศัตรูตายใจ...อีกไม่นาน รอจนกว่าจะพบใครที่ต่อกรได้แน่ชัด ถึงคราวนั้นเขาจะเอาทุกอย่างที่สูญเสียไปทั้งตนทั้งดอกคืนจากผู้ชายคนนั้นให้ได้
...ต่อให้ต้องสละกระทั่งชีวิตก็ยอม...
คำปฏิญาณหนักแน่นของศิระนั้นดังกับเป็นสัญญาณเตือนภัยให้รู้ว่า เหตุการณ์ทุกอย่างที่ดำเนินต่อจากนี้จะไม่มีวันจบลงด้วยดีแน่นอน
*****************************
พนักงานยกกระเป๋านำทางพานักท่องเที่ยวทั้งสามไปตามสะพานไม้ซึ่งสร้างขึ้นเหนือสระน้ำใหญ่ ถัดไปยังสองฟากฝั่งเรียงรายด้วยพันธุ์ไม้ดอกสวยงามสลับกับตะเกียงเสาโบราณ ผ่านบ้านพักที่ออกแบบโดยใช้สถาปัตยกรรมแบบไทยมาประยุกต์ให้ทันสมัยหลายหลัง และมาสิ้นสุดตรงบ้านพักหลังใหญ่ที่เดินเพียงไม่กี่ก้าวเท้าก็สามารถสัมผัสหาดทรายซับเอาไอทะเลได้ในทันที
พนักงานที่ช่วยเข็นพาอรพิณมาส่งก้มศีรษะให้ภาควัฒน์เล็กน้อย หยิบคีย์การ์ดของห้องพักมาเปิดให้ ส่วนพนักงานอีกคนก็หิ้วกระเป๋านำไปส่งให้ถึงประตูห้องนอนพร้อมทั้งช่วยอำนวยความสะดวกด้วยการเปิดเครื่องปรับอากาศและแนะนำหมายเลขไว้ใช้สั่งอาหารหรือต้องการรับบริการอื่นเรียบร้อยก็ก้มศีรษะอีกครั้งแล้วจากไป
ศศิวิมลวางกระเป๋าสะพายไว้ตรงส่วนรับแขกก่อนจะเข็นพาคนป่วยออกสำรวจที่พัก...บ้านพักหลังใหญ่ หลังนี้นอกจากจะใช้การเล่นระดับภายในเพื่อง่ายต่อการแบ่งมุมใช้สอยแล้ว ยังตกแต่งไว้อย่างหรูหรา ครบครันด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกนานา ด้านหลังบ้านมีสระว่ายน้ำส่วนตัว ขณะที่หน้าบ้านมีระเบียงกว้างมีชิงช้าและชุดโต๊ะเก้าอี้หวายให้สามารถนั่งชมทิวทัศน์และทานอาหารได้
และก่อนที่ทั้งสามจะได้เก็บกระเป๋าเข้าห้อง ก็มีพนักงานคนหนึ่งมากดกริ่งข้างประตู ยกเอาน้ำมะพร้าวปั่นปักดอกกล้วยไม้กับพายกุ้งหอมกรุ่นมาเสิร์ฟให้ อีกครู่หนึ่งก็มีคนนำผ้าเช็ดตัวและเสื้อคลุมใหม่เอี่ยมมาเปลี่ยนกับผืนที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าแถมยังติดอุปกรณ์ในการชำระล้างร่างกายรวมทั้งครีมบำรุงผิวมาให้ พักใหญ่ก็มีคนนำบัตรใช้บริการห้องออกกำลังกายฟรีมาให้อีกจนชายหนุ่มต้องขอออกไปคุยกับพนักงานเป็นการส่วนตัว
ท่าทางพินอบพิเทาก้มศีรษะเหมือนขออภัยครั้งแล้วครั้งเล่าของพนักงานเหล่านั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกได้ถึงความพิเศษของผู้เป็นสามีที่มีราวกับเขาเป็นเจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้ แม้แต่คนป่วยเองก็ยังรู้สึกจนถึงขั้นเอ่ยปากถามกับลูกชายทันทีที่เขากลับเข้ามาว่า ร่วมลงทุนในกิจการนี้หรือ พนักงานทุกคนถึงดูอ่อนน้อมด้วยนัก
“ พอดีผมรู้จักกับเจ้าของที่นี่ เขาเลยบอกพนักงานให้ดูแลผมให้ดีเท่านั้นเอง ” เขาอธิบาย จากนั้นก็ตัดบทพาทุกคนออกไปทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารทะเลข้างนอก
หลังจากอิ่มท้อง ภาควัฒน์ก็ขับรถพาหญิงต่างวัยทั้งสองไปเที่ยวชมพระราชนิเวศน์มฤคทายวันและแวะเพลินวานใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปให้ทั้งสองอย่างจุใจ ยินเสียงหัวเราะมีความสุขตลอดทางก่อนจะกลับมาพักผ่อนต่อที่รีสอร์ทอีกครั้งตอนห้าโมงเย็น
ระหว่างที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่กับมารดาก็เห็นคนตัวเล็กเปลี่ยนจากชุดกระโปรงสีหวานมาใส่เสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้นเก่ามอ มาขออนุญาตไปเล่นน้ำทะเล คนตัวใหญ่โบกมือให้ไปได้แต่มีข้อแม้ว่าต้องให้อรพิณกับเขาไปอยู่รอที่หาดทรายด้วย
ศศิวิมลพยักหน้าตกลงให้กับข้อแม้แสนง่ายนั้นโดยไม่ต้องคิด มุ่งหน้าสู่หาดทรายสีขาวโดยมีสองแม่ลูกตามหลัง พอเท้าสัมผัสเม็ดทรายละเอียดได้ก็วิ่งลงน้ำเข้าหาคลื่นที่สาดซัดเป็นระลอกพลางหัวเราะร่วน ถึงจะเป็นการเล่นน้ำทะเลคนเดียวแต่หล่อนก็มีความสุข
อรพิณเหยียดริมฝีปากกว้างยามเห็นลูกสะใภ้เล่นน้ำเหมือนเด็กเล็ก เหลือบมองลูกชายที่พับขากางเกงทรุดลงนั่งบนพื้นทรายขาวพลางเอื้อมมืออุ่นมากุมมือผอมแห้งของนางไว้...สายสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้กำเนิดอาจเคยเปราะบางแตกหักง่ายเสียยิ่งกว่าแก้ว ทว่าแปลกที่บัดนี้มันกลับเหนียวแน่นกว่าเกลียวเชือก
“ ภาคไม่ลงไปเล่นน้ำกับเล่นเขาล่ะลูก ” ร้องถามแล้วส่งยิ้มหวานให้คนตัวเล็กที่โบกไม้โบกมือไปมาในทะเล
“ ผมโตเกินกว่าจะมาเล่นน้ำเหมือนเด็กแบบเล็กเขาแล้วล่ะครับ ” ตอบไปเช่นนั้นทั้งที่ดวงตายังจับนิ่งยังร่างบอบบางที่กระโดดโลดเต้นในผืนน้ำเพียงลำพัง
“ โตสักแค่ไหนเชียว ” นางขึ้นเสียงสูง ก่อนจะก้มลงมองมือที่ประสานกันบนหน้าตัก ดวงตาแดงก่ำคล้ายน้ำตาจะหยาดจนต้องรีบกระพริบกลับเข้าไป แล้วเอ่ยต่อ “ ภาครู้ไหมว่า แม่มองว่าภาคเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลา ถึงตอนนี้ภาคจะกลายเป็นคนเก่ง มีคนนับหน้าถือตา ภาคก็ยังเป็นเด็ก เป็นลูกชายคนเดียวที่แม่มี ”
เสียงอันสั่นเครือนั้นทำให้ภาควัฒน์ละสายตาจากคนในทะเลจึงได้เห็นน้ำตาอุ่นของผู้เป็นแม่
“ ผมพาแม่มาเที่ยวนะครับไม่ได้พาไปงานศพ แม่จะร้องไห้ไปทำไมกันครับ ” เขากล่าว ใช้ปลายนิ้วโป้งปราดน้ำอุ่นที่เฝ้าแต่จะเอ่อล้นอาบแก้มตลอดเวลา
“ แม่เสียดายเวลานะ ภาค...เสียดายที่เมื่อก่อนแม่มีเวลาตั้งมาก แต่แม่กลับไม่เคยให้ความสำคัญกับภาค มัวแต่เอาใจใส่คนอื่น แต่ไม่เคยหันมามองเลยว่า ภาคต้องทนมีชีวิตอยู่แบบไหน พอมานั่งคิดดู ถ้าพ่อเขายังอยู่ เขาก็คงรู้สึกเหมือนแม่ คงอยากขอโทษภาคในทุกสิ่งที่เคยทำลงไป ” นางเม้มริมฝีปากพยายามกลั้นสะอื้น
ตลอดเวลาหลายสิบปี มีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายในชีวิต ทว่าสิ่งเดียวที่อรพิณคิดว่าผิดพลาดมากที่สุด คือการไม่ได้อยู่เคียงข้าง ให้ความรักความอบอุ่นกับลูก
...หากมีโอกาสย้อนคืนอดีตได้ นางจะใช้ทุกวินาทีอยู่กับลูกให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะโอบกอดลูกไว้ในยามมีปัญหา จะปกป้องเขาจากความเจ็บปวดที่แผ้วพานเข้ามาใกล้ อยากมีชีวิตได้เห็นลูกประสบความสำเร็จมากกว่านี้...
“ เรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว แม่จะไปคิดถึงมันทำครับ...ไม่ต้องขอโทษ ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องร้องไห้ สำหรับผม ขอแค่ตอนนี้ได้อยู่ใกล้ๆแม่แค่นี้ก็พอแล้วล่ะครับ ” คนเป็นลูกนั่งคุกเข่าโอบร่างผอมบางของผู้ให้กำเนิดไว้ เพียงเท่านั้นคนที่ร้องไห้เจ็บปวดก็ซบหน้าลงบนไหล่กว้าง เปลี่ยนจากการสะอื้นเป็นรอยยิ้มเปี่ยมสุขสักครู่ก็สูดลมหายใจ ดันตัวเองจากอ้อมแขนใหญ่นั่งเอนหลังพิงพนักรถเข็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ภาควัฒน์เห็นเช่นนั้นก็เบาใจเกือบจะทรุดลงนั่งดังเก่า เหลือบเห็นกลุ่มวัยรุ่นชายกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้คนตัวเล็กที่เล่นน้ำอยู่คนเดียวก็ลุกพรวดจากพื้นตรงไปยังชายทะเลทันที
เพียงข้อมือรู้สึกได้ว่าถูกใครจับ ศศิวิมลหันกลับไปก็เห็นผู้เป็นสามีถือผ้าเช็ดตัวยืนอยู่ตรงนั้น
“ เล่นน้ำพอหรือยัง ” เขาถามเท่านั้นก็เหมือนเป็นการเตือนให้เลิกกิจกรรมนี้เสีย
“ ค่ะ... ” หล่อนตอบสั้น เขาสะบัดผ้าเช็ดตัวคลุมร่างนั้นแล้วจูงมือพาออกมาจากทะเล ปล่อยให้วัยรุ่นทั้งกลุ่มเกิดอาการเซ็งเตะน้ำเตะทรายไปทั่ว
สองหนุ่มสาวเดินกลับมายังรถเข็นตั้งใจจะพาคนป่วยกลับเข้าที่พัก ก่อนทั้งคู่จะตกใจรีบวิ่งอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นอรพิณไถลจากรถเข็นลงมานอนสลบ คนเป็นลูกพอถึงตัวก็ฟังเสียงหัวใจเป็นอันดับแรก ได้ยินเสียงแม่ครางเรียกชื่อเขาเหมือนคนทรมานหนักก็อุ้มแม่กลับรีสอร์ท ทิ้งทั้งรถเข็นทั้งของไว้ตรงหาดทรายโดยไม่เหลียวกลับไปสนใจมันอีกเลย
**********************************
ท่ามกลางแสงไฟระยิบระยับจากอาคารสองฟากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา บนฟากฟ้ามืดสว่างไสวด้วยลำแสงนวลตาจากพระจันทร์ทรงกลดเป็นใจให้คู่หนุ่มสาวที่นั่งรับประทานอาหารบนดาดฟ้าของเรือยอร์ชลำหรูตกอยู่ในห้วงแห่งความรักกันเป็นทิวแถว จะมีก็แต่เพียงโต๊ะซึ่งตั้งอยู่ในจุดดีที่สุดของเรือที่ฝ่ายชายจิบไวน์ทอดสายตายังสายน้ำแทบไม่หันกลับมามองคู่หมั้นสาวของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
วิกานดาเม้มริมฝีปาก สูดลมหายใจขณะวางช้อนส้อมลงบนโต๊ะ เฝ้ามองการละเลียดของเหลวสีแดงผ่านลำคอ
“ ผมขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะครับ ” คู่หมั้นหนุ่มทำลายความเงียบน่าอึดอัดระหว่างกันด้วยการลากเก้าอี้จนเกิดเสียงดังแล้วหันหลังก้าวจากโต๊ะเดินลงบันไดเกือบจะตรงไปยังห้องน้ำท้ายเรือแล้วหากไม่สังเกตเห็นคนรู้จักนั่งท่านอาหารอยู่กับผู้ชายรูปร่างท้วมหัวล้านคนหนึ่งบริเวณชั้นสองของเรือ
ตอนแรกศิระยังไม่แน่ใจว่าหญิงสาวผมม้าสวมเสื้อเชิ้ตสีโอรสกับกางเกงขายาวสีน้ำตาลจะเป็นคนเดียวกันกับเพื่อนของน้องสาว แต่ยิ่งขยับเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ก็เริ่มแน่ใจได้ว่าเป็นแม่รู้มากนั้นจริงๆ และหลังจากซุ่มดูอยู่สักพักก็เห็นชายคนนั้นลุกจากเก้าอี้ไปตักอาหาร เลยถือโอกาสเข้าไปทักทายระคนเหน็บแนมตอบแทนที่ครั้งก่อนถูกจ่อปืนใส่
รสาหยิบมีดมาตัดเนื้อปลาแซลมอนในจานฝั่งตรงข้ามออกเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนจะเห็นเงาสูงของใครคนหนึ่งพาดมาที่โต๊ะ พอเงยหน้าจากจานก็ถึงกับถอนหายใจ เบะปากอย่างเบื่อหน่ายกับการต้องโคจรมาพบกับคนโรคจิต อุตส่าห์หนีจากบนบกลงมาในน้ำยังดันเจอกันได้อีก
“ ไหนว่าตัวเองทำงานสุจริตไม่ขายตัว แล้วทำไมไม่อยู่กับเสี่ยพุงพลุ้ยอย่างนั้นได้ ” ประโยคเหยียดหยามที่หลุดจากปากชายหนุ่มรูปงาม หากเปรียบเหมือนมวยคู่ต่อสู้คงกำลังถูกฮุกซ้าย
หญิงสาวฟังแล้วก็เพียงแค่ยักไหล่ หยิบส้อมจิ้มไส้กรอกใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ ทำไม่รู้ไม่ชี้เหมือนได้ยินเสียงนกเสียงกา...คนเสียเงินมากินข้าว ไม่ได้มาทะเลาะกับใคร
อากัปกิริยาไม่ตอบสนองต่อสิ่งที่มากระทบทำให้คนพูดกอดอกขมวดคิ้ว...คราวนี้มาแปลกนอกจากจะไม่ได้ด่ากลับยังทำนิ่งเป็นพระอิฐพระปูน สงสัยจะกลัวเสี่ยที่พามาด้วยเห็นธาตุแท้แล้วจะชิ่งหนีไปเสียก่อน
“ ผมเคยคิดว่าคุณเป็นเลสเบี้ยน แต่คราวนี้คงต้องเปลี่ยนมาเรียกเป็นไบเช็กช่วลแทนแล้วล่ะมั้ง ” ยังไม่หยุดถากถาง ยิ่งเห็นนิ่งเฉยเลยนึกสนุกเอ่ยคำเย้ยหยันไปเรื่อย กระทั่งคนกินข้าวชักทนไม่ไหวเสือกส้อมที่มีมะเขือเทศสีดายัดใส่ปากคนพูดมากแล้วคาไว้เช่นนั้น
“ ถ้าคุณไม่หยุดพูดเสียบ้าง ฉันจะไม่จิ้มแค่มะเขือแต่จะจิ้มให้ทะลุคอหอยคุณด้วย ” หล่อนเอาคืนบ้าง มองชายหนุ่มสำลักพยายามคว้าข้อมือมาบีบแรงหมายจะให้ปล่อยส้อม แต่ความโมโหทำให้อีกฝ่ายยอมทนเจ็บ ขอเอาความสะใจไว้เป็นสรณะ กระทั่งเห็นคนที่ร่วมโต๊ะด้วยเดินกลับมาพร้อมกับอาหารจานใหญ่ถึงยอมดึงส้อมออกมา
ชายวัยกลางคนมองหน้าของชายหนุ่มแปลกหน้าไอโขลกเหมือนคนสำลักน้ำสลับกับหญิงสาวที่กระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้ วางส้อมที่มีมะเขือเทศไว้บนโต๊ะ แล้วใช้ช้อนตักส้มตำเข้าปากแทน
“ เฮ้ยคุณ เป็นอะไรไป ” คนแก่กว่าร้องถามพลางช่วยลูบหลังให้สำรอกของในลำคอออกมา แหงนหน้ามองหลานสาวที่ยังนั่งเฉยก็ตวาด “ สาเอ๊ย แกนั่งเฉยทำไม ออกไปตามลูกน้องลงมาดูพ่อหนุ่มคนนี้หน่อยสิ ”
“ โอ๊ยลุง...หมอนี่เขาไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่สำออยเก่งเท่านั้นเอง ”
“ สำออยอะไรของแก เขาจะตายห่าอยู่แล้วมาบอกสำออย ไอ้หลานคนนี้นี่ ” ว่าแล้วก็หันรีหันขวาง กวักมือเรียกหาพนักงานให้รีบมาดูลูกค้า แต่ชายหนุ่มกลับดึงมืออวบอ้วนให้ลดต่ำลงมาพลางโบกมือเป็นเชิงให้รู้ว่าสบายดี
“ แน่ใจนะครับว่าไม่เป็นไร ” ยังถามไม่หยุด เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าแม้จะไม่เชื่อนัก หากก็ยอมปล่อยให้เขาลุกจากพื้นเดินกลับขึ้นบันไดไปท่ามกลางสายตาคนบนเรือชั้นสองที่จ้องมองอย่างหวาดระแวงมาทางหญิงสาวที่ตักกุ้งเข้าปากไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรทั้งที่เห็นกับตาว่าเป็นคนทำร้ายชายผู้นั้น
ศิระกลับมานั่งยังโต๊ะอาหารของตนเอง ลำคอขาวแดงเถือกแสบร้อนจากกรดในกระเพาะ วิกานดามองเห็นเข้าก็ตกใจรีบส่งน้ำเปลาทั้งแก้วให้เขาดื่ม กวักมือเรียกพนักงานดูแลบนเรือให้ช่วยนำผ้าเย็นมาให้ชายหนุ่มได้เช็ดหน้าเช็ดตา
“ คุณใหญ่ไปเข้าห้องน้ำยังไงคะ ถึงเป็นแบบนี้ได้ ” หล่อนถาม ลุกจากเก้าอี้มาดูอาการของเขา
“ ไม่มีอะไรครับ แค่ผมสำลักอะไรนิดหน่อยก็เลยไอแบบนี้ ” เขาบอกปล่อยให้หญิงสาวแกะซองผ้าเช็ดมาซับลำคอโดยไม่รู้สึกหวงเนื้อหวงตัวแต่อย่างใด พออาการทุเลาก็รู้สึกตัวจึงปลดมือนุ่มของวิกานดาออกจากตัว แม้จะพยายามสัมผัสอ่อนโยนทว่าอีกฝ่ายก็รู้ได้ว่าเขาไม่ต้องการให้แตะเลยชักมือหนี กลับไปนั่งลงตามเดิม
สถานการณ์หลังจากนั้นตกอยู่ในสภาวะอึดอัดทรมาน ต่างฝ่ายต่างนั่งเงียบไม่มีใครลุกไปตักอาหารหรือสนทนา เป็นอยู่เช่นนั้นเนิ่นนานกว่าเสียงโทรศัพท์มือถือของวิกานดาจะดังขึ้น
หญิงสาวลุกจากเก้าอี้ขอตัวไปโทรศัพท์แล้วก็รีบเดินเร็วออกมาจากโต๊ะอาหาร เดินลงบันไดมาตรงชั้นสอง มองซ้ายมองขวาไม่เห็นใครก็หลบหายเข้าไปในหลังประตูห้องน้ำหญิงทันที
รสาเดินเกาหัวถือโทรศัพท์มือถือมาตั้งใจจะโทรไปถามลูกน้องว่าที่ร้านตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง จังหวะที่เดินผ่านห้องน้ำหญิงก็ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบ ด้วยความที่เคยได้ยินผู้เป็นลุงเล่าให้ฟังว่า มีคนร้องเรียนเรื่องการใช้ห้องน้ำประกอบกิจกรรมไม่เหมาะสมทำให้ต้องหยุดแนบหูลงไปฟังว่า เสียงจากข้างในนั้นไม่ใช่เสียงร้องจากความสุขสมอารมณ์หมาย
ทว่าประโยคแรกที่ได้ยินกลับเป็นเสียงของผู้หญิงสาวจากการฟังทำให้ทราบว่า คนในห้องน้ำคงหลบมาคุยโทรศัพท์เลยไม่ได้สนใจจะผละจากหน้าประตูห้องน้ำแล้วหากไม่ได้ยินชื่อโรงแรมที่หลุดออกมาจนต้องแนบหูลงไปฟังใหม่อย่างตั้งใจ
และข้อมูลใหม่ที่ได้รับก็ทำให้รสาถึงกับเบิกตากว้างแล้ววิ่งปรู๊ดไปหลบหลังเสาท้ายเรือทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตูก๊อกแก๊ก ชำเลืองมองเป็นพักๆก็เห็นชัดว่า หญิงสาวที่ออกมาจากห้องน้ำนั้น คือ ไฮโซสาวลูกครึ่งญี่ปุ่น คู่หมั้นของศิระที่ผู้เป็นป้าของเพื่อนกระสันอยากได้ตัวเป็นลูกสะใภ้ถึงขนาดยกหุ้นให้ถึงสองเปอร์เซ็นต์ หุ้นจำนวนนั้นอาจจะดูไม่มากแต่รสาเชื่อว่ามันต้องส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อธุรกิจของตระกูลอังคพิมาน
...เป็นการชักศึกเข้าบ้านที่นักธุรกิจหญิงผู้มีรางวัลการันตีความสำเร็จจากหลายสถาบันไม่เคยคิดเฉลียวใจ
“ วงการธุรกิจ มันหักเหลี่ยมเฉือนคมกันยิ่งกว่าหนังฮ่องกงอีกวะ ” หล่อนรำพันพลางถอนหายใจทอดสายตาออกไปยังแผ่นน้ำที่คล้ายจะสงบ หากสักพักน้ำก็กลับกระเพื่อมไหวซัดลำเรือเป็นระลอก
...คนโบราณเคยว่าไว้ น้ำนิ่งมักมีคลื่นก่อตัวอยู่ใต้ผืนน้ำ...เช่นเดียวกับตระกูลอังคพิมาน
อีกไม่นานคลื่นที่ก่อตัวจนเป็นคลื่นลูกใหญ่อยู่ใต้น้ำ หากไม่มีสัญญาณเตือน เมื่อถึงคราว สิ่งละอันพันละน้อยที่สู้สั่งสมมาจากรุ่นสู่รุ่นคงพังพาบหายไปในพริบตาเดียว
ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ส.ค. 2554, 05:48:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ส.ค. 2554, 05:48:37 น.
จำนวนการเข้าชม : 2084
<< บทที่ 12 | บทที่ 14 >> |
nako 17 ส.ค. 2554, 07:50:12 น.
ยังไม่หายไปไหนค้า ยังติดตามอ่านเหมือนเดิม
ยังไม่หายไปไหนค้า ยังติดตามอ่านเหมือนเดิม
ling 17 ส.ค. 2554, 13:20:33 น.
ความจริงเริ่มปรากฎแล้ว
ความจริงเริ่มปรากฎแล้ว
violette 17 ส.ค. 2554, 15:31:49 น.
เรื่องนี้ไม่มีรสานี่คงเครียดจัดพิลึกนะคะเนี่ย เข้มข้นมากกก โอ่ยลุ้นระทึก
เรื่องนี้ไม่มีรสานี่คงเครียดจัดพิลึกนะคะเนี่ย เข้มข้นมากกก โอ่ยลุ้นระทึก