เล่ห์รัก..กับดักนายพราน (รีไรท์)
Tags: อิศนะ วรดา ไร่ส้ม เชียงราย
ตอน: ตอนที่ 2.
“ไม่ใช่เด็กแกหรอกหรือ นึกว่ามาด้วยกันซะอีก”
พอเลี้ยวรถพ้นออกมาจากหน้าโรงแรมแห่งนั้นชุมพลก็เอ่ยปากถามขึ้นมาทันทีทันใด อิศนะยิ้มนิดเดียวก่อนจะสั่นหน้า
“เปล่า เจอกันบนรถทัวร์ พอดีเขาให้ช่วยแนะนำที่พักให้”
ชุมพลพยักหน้าหงึกหงักทำทีว่าเข้าใจ เรื่องราวต่างๆทะลุปรุโปร่ง
“แกก็เลยจัดการหาลูกค้าเข้าโรงแรมของตัวเองซะเลย”
“โรงแรมของฉันที่ไหน ของแม่ฉันต่างหาก ที่จริงแม่ก็เป็นแค่ผู้ถือหุ้นสี่สิบเปอร์เซ็นต์เอง”
“สี่สิบเปอร์เซ็นต์นั่นมันก็ผู้ถือหุ้นรายใหญ่แล้วนะ แล้วไอ้สี่สิบเปอร์เซ็นต์นั่นไม่ใช่หรือที่มันช่วยให้แกเดินกร่าง เข้านอกออกในโรงแรมนั้นได้ ราวกับเป็นเจ้าของโรงแรมเสียเอง ฉันว่าน้องคนสวยนี่ต้องเป็นเพื่อนของยายอิงแน่เลย สงสัยจะมาร่วมงานแต่งวันพรุ่งนี้”
“งั้นมั้ง”
อิศนะตอบเรียบๆสายตายังจับนิ่งอยู่ที่ถนนตรงหน้า ชุมพลยังคุยต่ออย่างอารมณ์ดี
“สเป็คฉันเลยนะนั่น ขาวๆตัวเล็กๆตาโตๆหน้าหวานๆแถมยังมีลักยิ้มที่แก้มด้วย ไม่ยักรู้ว่ายายอิงมีเพื่อนหน้าตาสวยๆอย่างนี้ด้วย ว่าแต่น้องน้องเค้าชื่ออะไรวะ เจอกันที่งานจะได้เข้าไปทักสักหน่อย”
“ไม่รู้ ไม่ได้ถาม ถ้าแกอยากรู้ก็โน้น วนรถกลับไปถามเลยไป๊”
“หงุดหงิดอะไรของแกแต่หัววัน อ๋อ รู้ล่ะ อารมณ์เสียเพราะกำลังจะได้เจอกับว่าที่น้องเขยสุดที่รักล่ะสิ”
“เออ! รู้แล้วก็ไม่ต้องเสือกถามมาก หุบปากแล้วก็ขับรถของแกไป”
นั่นแหละชุมพลจึงได้ยอมเลิกราหุบปากนิ่งสนิทมานับแต่นั้น ครึ่งชั่วโมงต่อมารถของชุมพลก็แล่นเข้าสู่ถนนคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างดีทอดตรงไปสิ้นสุดที่บริเวณเรือนไม้สักหลังเขื่องสร้างตามแบบล้านนาขนานแท้ รอบๆบริเวณเต็มไปด้วยสวนไม้ดอกเมืองหนาวนานาพันธุ์ที่กำลังแข่งขันอวดโฉมกันอย่างเต็มที่
อิศนะชะโงกหน้าออกไปมองผู้คนมากมายที่กำลังสาละวนอยู่กับการจัดแต่งสถานที่เมื่อรถจอดสนิทที่หน้าเรือนไม้สักหลังใหญ่สาวใช้แต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองก็กระวีกระวาดมารับกระเป๋าเป้จากมือของอิศนะขึ้นไปเก็บที่บนเรือนอย่างรู้หน้าที่
“โอ้โห้! ท่าทางงานนี้จะงานช้าง”
อิศนะเปรยเย้ยๆสอดมือทั้งสองข้างซุกลงในกระเป๋ากางเกง ขณะมองสำรวจไปทั่วบริเวณบ้านซึ่งบัดนี้ถูกจัดแต่งเป็นซุ้มๆทั้งซุ้มเครื่องดื่ม ซุ้มอาหาร ใต้ต้นพะยอมต้นใหญ่คือเวทีเล็กๆประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสี
“ก็แน่ละ งานแต่งงานน้องสาวคนเดียวของแกนี่นา”
อิศนะเดินนำชุมพลออกมาที่ระเบียงกว้างมีหลังคาเป็นโครงไม้มีเถาเครือของใบระบาดแผ่ขยายปกคลุมมิดชิดต่างหลังคา นอกจากนี้ยังมีเถาไม้เลื้อยชนิดอื่นๆขึ้นพันกันอยากรกรื้นเช่นพวงคราม สายน้ำผึ้ง และรกฟ้าดอกจิ๋วสีแดงสดขึ้นแซมอยู่เป็นระยะๆ
“เออนะ แล้วดูแกทำ คนที่นี่เขาวุ่นวายเตรียมงานกันโกลาหล ส่วนแก นู้น...เกิดอารมณ์อยากจะเข้าป่าเป็นนายรพินทร์ ไพรวัลย์ พ่อยอดพรานไพรแห่งเพชรพระอุมา อยากจะเข้าป่าขึ้นห้างส่องสัตว์บ้าบออะไรกันตอนนี้ก็ไม่รู้ อะไรมันก็ไม่แย่เท่ากับแกขับรถยังไงให้หม้อน้ำมันระเบิด ดูสิ! เดือดร้อนมาถึงฉันต้องทิ้งงานทิ้งการขับรถไปรับแกถึงขนส่ง”
“แกจะบ่นทำไม ดีเท่าไหร่แล้วที่ฉันไม่ให้แกไปรับฉันที่ลำปาง”
“ไอ้บ้า! คนอื่นเขาก็มีงานมีการทำ ฉันเพื่อนแกนะ ไม่ใช่คนขับรถ”
พอชุมพลเป็นฝ่ายโวยบ้าง อิศนะก็เงียบเสียงลงทันที สองหนุ่มเดินมาทรุดตัวลงนั่งที่ชุดม้านั่งแบบซาฟารีไม้สักที่ประกอบขึ้นเองจากฝีมือของคนงานภายในไร่
“ถามจริงๆเถอะ แกเซ็งมากเลยหรือที่จะได้นายภานุมาเป็นน้องเขย”
“ไม่น่าถาม แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบหน้าหมอนั่น”
“เขาก็ดูรักน้องสาวแกดีไม่ใช่หรือ”
“มันรักยายอิง หรือรักเงินของยายอิงกันแน่ จนป่านนี้ฉันก็ยังข้องใจอยู่”
“แต่เท่าที่ฉันเห็นนายภานุเขาก็ขยันขันแข็งเอาการเอางานดีออก ถึงจะดูเคร่งขรึมไปสักนิดก็เถอะ นายนั่นอาจจะมีข้อด้อยคือไม่รวย แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นแกเที่ยวตัดสินคนอื่นโดยใช้แค่ตัวเลขในบัญชีธนาคารเลยนี่นา”
“ไม่รู้สิ ก็คนมันไม่ถูกชะตา”
“ไอ้อิศเอ๊ย แกมันก็ไม่เคยถูกชะตากับใครสักคนที่เข้ามาจีบน้องสาวแกนั่นละ อย่างว่าแหละ ทำกับผู้หญิงอื่นเอาไว้เยอะ เลยกลัวว่าน้องตัวเองจะโดนบ้างล่ะสิ แต่ฉันว่ายายอิงของเราก็ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ อายุก็ตั้งยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปีเข้าไปแล้ว แกจะไปห่วงอะไรน้องมันนักหนา”
“แกไม่มีน้องสาว แกไม่เข้าใจหรอกไอ้ชุม”
อิศนะตัดบทพร้อมทั้งถอนหายใจยาวเหยียดทอดสายตามองออกไปไกล ต่อให้อิงอรอายุสามสิบ อิศนะก็ยังคงเห็นน้องสาวของตนเป็นเด็กอยู่นั่นเอง
“ฉันว่าแกห่วงแล้วก็หวงยายอิงมากเกินไปนะอิศ”
“ของมันแน่อยู่แล้ว ยายอิงน่ะ ฉันดูแลของฉันมาตั้งแต่เขายังเล็กๆมาถึงตอนนี้ ตอนที่จะต้องส่งมอบหน้าที่นี้ให้คนอื่นทำ ฉันจะมั่นใจได้ยังไงว่าไอ้ผู้ชายคนนั้นมันจะดูแลน้องสาวของฉันได้ดีอย่างที่ปากมันพูด”
“ไอ้ของแบบนี้มันก็ต้องดูๆกันไป”
ชุมพลกล่าวออกไปตามที่ตนเองคิดเห็น อิศนะเหยียดริมฝีปากทำเสียงขึ้นจมูก
“หึ! ฉันบอกแกเอาไว้ตรงนี้เลยนะชุม ถ้าไอ้หน้าขรึมนั่น มันทำน้องสาวฉันเจ็บเมื่อไหร่ ฉันกระทืบมันตายคาตีนแน่ แกคอยดู”
ชุมพลหัวเราะเบาๆกับสรรพนามที่อิศนะใช้เรียกว่าที่น้องเขย ก็พอจะรู้มาบ้างว่าอิศนะกับภานุไม่ค่อยจะลงรอยกันนัก ดีแต่ว่าภานุผู้มีบุคลิกเงียบขรึม ไม่ช่างพูด ไม่ช่างต่อความกับใคร ได้พยายามหลบเลี่ยงอีกฝ่ายอยู่เสมอ ทำให้ทั้งสองหนุ่มคลาดแคล้วต่อการมีเรื่องมีราวกันมาหลายต่อหลายครั้ง หากแต่ชุมพลกลับเชื่ออยู่ลึกๆว่า ไม่วันใดก็วันหนึ่ง คนเลือดร้อนอย่างอิศนะคงจะหาเรื่องยั่วโมโหภานุได้สำเร็จสักวัน
เสียงโหวกเหวกสั่งงานดังก้องมาจากภายในบ้าน ชั่วไม่กี่อึดใจก็ปรากฏร่างค่อนข้างท้วมของหญิงกลางคนวัยห้าสิบเศษเดินนำขบวนสาวใช้แต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองตรงดิ่งมายังทิศทางที่สองหนุ่มกำลังนั่งสนทนากันอยู่ ชุมพลรีบพนมมือขึ้นไหว้มารดาของเพื่อนรักอย่างมีมารยาท
“อ้าว ชุมพลมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่จ๊ะ”
“มาถึงพร้อมๆเจ้าอิศมันละครับแม่เลี้ยง”
นางกันยารับไหว้ชุมพลด้วยสีหน้าแย้มยิ้มก่อนจะตวัดหางตาไปมองบุตรชายด้วยสีหน้าท่าทางที่เรียกได้ว่าตรงกันข้ามจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยทีเดียว
“นี่แกใช้ให้ชุมพลไปรับแกหรือเจ้าอิศ แล้วรถแกล่ะ แกเอาโฟร์วิลไปไม่ใช่หรือ”
“หม้อน้ำพัง ผมทิ้งไว้ที่อู่ลำปางโน้น เดี๋ยวมะรืนจะให้หนานคำลงไปดู ถ้าซ่อมเสร็จก็ให้ขับกลับมาเลย ถ้าไม่เสร็จก็ทิ้งไว้ก่อนอีกอาทิตย์ค่อยลงไปดูใหม่”
“แกนี่ละน๊า หาเรื่องให้ฉันปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน ดูสิ น้องนุ่งจะแต่งงาน แทนที่จะอยู่ช่วยกันคิดช่วยกันปรึกษาหารือว่าจะทำยังไง ดั๊น หายหัวไปสนุกสนานอยู่คนเดียว”
“ก็บอกแล้วว่าให้จัดเล็กๆ เชิญเฉพาะญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่สนิทหน่อยก็พอ นี่อะไร เล่นเชิญคนมางานเกือบทั้งจังหวัด ถ้าแม่ไม่เหนื่อย ไม่ปวดหัว ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว นี่มันงานแต่งงานนะครับ ไม่ใช่งานกาชาดประจำปี” อิศนะสวนกลับมารดาอย่างไม่ยอมลดละ
“เอาเถอะ ไว้รองานแต่งของแกก่อนเถอะ ฉันจะจัดให้มันยิ่งใหญ่กว่านี้ เชิญคนทั้งจังหวัดนี่มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ หนูเมย์น่ะเขาเป็นถึงลูกสาวท่านรองผู้ว่าฯ แขกเหรื่อรวมกันทั้งฝ่ายเขาฝ่ายเราคงจะเยอะกว่านี้แน่ๆ”
อิศนะพ่นลมออกจากปากอย่างเซ็งๆ
“ผมเคยบอกเมื่อไหร่ ว่าผมจะแต่งงานกับยายหนูเมย์ของแม่”
ชุมพลเหลือบมองหน้ามุ่ยๆของเพื่อนหนุ่มแล้วแอบอมยิ้ม ก่อนจะหันไปสนใจกับชุดของว่างที่สาวใช้เพิ่งจะนำมาเสริฟ์และทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีมานับแต่นั้น
“ไม่รู้ล่ะ ยังไงฉันก็จะให้แกแต่ง”
“ไม่มีทาง ผมไม่แต่งกะเด็กนั่นแน่!”
“แต่ฉันจะให้แกแต่ง หนูเมย์น่ะเขาเหมาะที่จะเป็นสะใภ้ของฉันมากที่สุด ผู้หญิงคนอื่นๆของแกฉันมองยังไงก็ไม่เห็นจะมีใครเข้าตาสักคน บางคนก็สวยดีอยู่หรอก แต่ไม่มีรอยหยักในสมองนี่สิ แกจะเอามาทำไม”
“ปลูกเรือนเขาก็ต้องตามใจผู้อยู่ แม่นี่ยังไงกัน เมียคนเดียว ผมหาของผมเองได้ แม่ไม่ต้องมาเดือดร้อนลำบากลำบนหาให้ผมได้มั้ย”
“ฉันไม่มีวันยอมให้แกหาเมียแบบชุ่ยๆหรอกนะเจ้าอิศ ยังไงแกก็ต้องแต่งกับหนูเมย์”
มารดายังคงย้ำคำเดิม อิศนะถอนหายใจเฮือกสบตามารดาแล้วกล่าวอย่างเอือมๆ
“ก็ตามใจ ในเมื่อแม่อยากจะจัดงานแต่งให้มันยิ่งใหญ่อลังการนักก็เอาเลย เชิญจัดไปได้เลย แต่ผมขอบอกแม่ตั้งแต่เนิ่นๆเลยนะ ว่าวันงาน แม่เตรียมหาปี๊บใบใหญ่ๆเอาไว้ด้วยล่ะ เพราะงานนี้มีคนได้อายแน่ เคยเห็นแต่เจ้าสาวหนีงานแต่งมานักต่อนักล่ะ คราวนี้เป็นทีเจ้าบ่าวบ้าง อยากจะรู้เหมือนกันว่าแม่เลี้ยงกันยาผู้ยิ่งใหญ่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เวลาที่โฆษกในงานประกาศเรียกหาเจ้าบ่าวแล้วมันดันหายหัวไร้วี่แววน่ะ”
“เจ้าอิศ หน๊อย ไอ้ลูกเวร!”
แล้วเสียงทะเลาะกันของสองแม่ลูกก็ดังลั่นไร่เทพปกรณ์ อันเป็นเหตุการณ์ปกติที่เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนผู้คนภายในไร่ต่างก็ชาชินเสียแล้ว
+++++++++++++++++
บรรดาแขกเหรื่อทั้งหลายเริ่มทยอยมางานนับตั้งแต่หัวค่ำชั่วเวลาไม่ถึงสองทุ่มดีแขกเหรื่อในงานก็แน่นขนัด แม่เลี้ยงกันยาเจ้าภาพใหญ่ของงานวิวาห์ในค่ำคืนนี้วิ่งวุ่นคอยต้อนรับแขกผู้ใหญ่ อิศนะเองก็ต้องคอยเก็บตกรับรองแขกเหรื่อชั้นรองๆลงมาจนกระทั่งแขกคนสำคัญๆมาถึงงานกันหมดแล้ว ชายหนุ่มจึงหลบออกมายืนคุยกับชุมพลอยู่ที่ซุ้มกุหลาบบริเวณหน้างาน
“มากันหมดเสียที เหนื่อยจริงวุ้ย!”
“ถ้าเป็นงานแต่งของแกกับคุณเมย์ ฉันว่าแกจะเหนื่อยกว่านี้อีก”
“งานแต่งบ้าบออะไร ไม่เคยมีอยู่ในสารระบบชีวิตฉัน”
“แกจะหวงความโสดของแกไปทำไม๊ คุณเมย์เขาก็ออกจะน่ารักน่าฟัดขนาดนั้น ไม่อยากเป็นเขยท่านรองผู้ว่าฯ รึไงวะ”
“ไม่อยาก ถ้าแกอยากก็ไปยื่นใบสมัครเสียสิคงพอจะมีสิทธ์ลุ้นบ้างหรอก”
“คุณเมย์เธอสนฉันที่ไหนล่ะ ทุกวันนี้เขาเพ้อหาแต่พี่อิศๆ ใครมันจะกล้าไปสู้รบปรบมือกับแกล่ะ คนอะไรก็ไม่รู้ ทั้งหล่อ ทั้งรวย ทั้งเลว เกิดมาได้ยังไง”
“เฮ้ย! อันหลังนี่ แกด่าฉันนี่หว่า”
“เออ! ด่า..แล้วมีอะไรหรือเปล่า”
อิศนะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันตั้งใจจะถวายเตะให้เพื่อนแต่ชุมพลรีบสะกิดแขนเพื่อนรักเสียก่อนท่าทีของชายหนุ่มดูตื่นเต้นจนเห็นได้ชัด
“เฮ๊ย! ไอ้อิศ คุณเมย์เดินมาทางนี้แล้ว ฉันว่าเขาต้องมาตามหาแกแน่เลย”
“งั้นแกรับหน้าไปก่อนนะชุม ฉันชิ่งละ”
“เฮ๊ย! ไอ้อิศ ยังไม่ทันได้คุยกันเลยนะ วะ ไอ้นี่เร็วยังกะปรอท” ชุมพลส่ายหน้าให้กับหลังไวๆของเพื่อนหนุ่มก่อนจะรีบปรับเปลี่ยนสีหน้าและท่าทีเป็นยิ้มแย้มรับสาวสวยที่กำลังเดินตรงเข้ามาหา
“พี่อิศไปไหนแล้วคะพี่ชุม เมื่อกี้เมย์ยังเห็นยืนอยู่ตรงนี้เลย”
“อ๋อ...ท้องเสียครับคุณเมย์ มาถึงไม่ทันได้คุยอะไรกันเลย มันก็รีบแจ้นไปเข้าห้องน้ำเสียแล้ว”
“ตายจริง พี่อิศไปทานอะไรผิดสำแดงเข้าหรือคะ”
“ไม่ทราบเหมือนกันครับ คุณเมย์มีธุระอะไรกับมันหรือเปล่า”
“แม่เลี้ยงท่านให้มาตามพี่อิศไปพบคุณพ่อค่ะ ไม่เป็นไร รอให้พี่อิศเสร็จธุระก่อนก็ได้ แล้วเดี๋ยวเมย์ค่อยมาตามพี่อิศใหม่ เมย์ขอตัวก่อนนะคะ”
ชุมพลรีบพยักหน้ารับหงึกหงัก เมื่อสาวสวยนามว่าเมสินีเดินจากไปแล้วชุมพลก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยิ้มขำในความกระล่อนของเพื่อนรัก
++++++++++++++++++++++++++++++
อิศนะเอามือทั้งสองข้างซุกลงในกระเป๋ากางเกงเดินทอดน่องเรื่อยไปตามทางเดินยาวกระทั่งไปสิ้นสุดลงที่ศาลาหลังเล็กกลางสวนดอกไม้นานาพันธุ์ของมารดา อิศนะทรุดตัวลงนั่งบนม้านั่งยาวตบกระเป๋ากางเกงควานหาบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบทั้งๆที่เคยคิดและเคยพยายามจะเลิกสูบมาหลายครั้งแล้วแต่ก็อดไม่ได้สักที อาจเป็นเพราะอิศนะไม่เคยตั้งกฎเกณฑ์อะไรให้กับตัวเองมากมาย เลิกได้ก็เลิก เลิกไม่ได้เขาก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร
“เมื่อไหร่พี่อิศจะเลิกสูบบุหรี่เสียที ไม่เห็นจะดีตรงไหนเลย เหม็นจะตาย”
“นั่นสิ สูบมากๆเข้า เดี๋ยวก็เป็นมะเร็งตายเหมือนพ่อแกหรอก”
พออิงอรนำขบวน มารดาของเขาก็มักจะถือโอกาสผสมโรงเอ็ดเขาตามไปด้วยเสมอ อิศนะหัวเราะเบาๆในความมืดเมื่อนึกถึงมารดา แม่เลี้ยงกันยา ผู้หญิงแกร่งแห่งเมืองเชียงราย
มีใครในแถบนี้บ้างที่จะไม่รู้จักแม่ของเขา แม่เลี้ยงใหญ่ผู้เป็นเจ้าของไร่เทพปกรณ์เจ้าของไร่ส้มขนาดใหญ่ที่ตอนนี้ธุรกิจกำลังเจริญเติบโตรุดหน้าไม่เป็นสองรองใครในจังหวัด แม้ว่าพ่อเลี้ยงอรรณพ บิดาของเขาจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในปอดไปเมื่อหลายปีก่อนจนทำให้กิจการภายในไร่ซบเซาลงไปพักหนึ่ง แต่นางกันยาก็ได้พยายามฟื้นฟูกิจการของสามีให้กลับมายิ่งใหญ่ดังเดิมได้ จะว่าไปแล้วมันเป็นงานที่แสนเหน็ดเหนื่อยและเกินกำลังของผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งแต่มารดาของเขาก็ได้พิสูจน์ตนเองให้ประจักษ์แก่สายตาของใครต่อใครแล้วว่านางทำได้
อิงอร น้องสาวผู้ได้รับช่วงความขยันอุตสาหะมาจากมารดาอย่างเต็มเปี่ยม อิงอรทำงานเก่งฉลาดเฉลียวคล่องแคล่ว หล่อนเรียนจบเกษตรศาสตร์จากมหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อที่สุดในเขตภาคเหนือและยังนำความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาปรับใช้กับธุรกิจไร่ส้มของตนเองจนกิจการเจริญรุดหน้า ใครมันจะไปเชื่อว่าหญิงสาวตัวเล็กๆบางๆ ท่าทางเหมือนเด็กขี้โรคอย่างอิงอรแท้จริงแล้วหล่อนอดทนและเอาถ่านกว่าพี่ชายอยู่มากโข
อิศนะเป็นลูกชายคนโตของบ้านที่ดูจะไม่เป็นโล้เป็นพายอะไรเลยเมื่อเทียบกับน้องสาว เขาเอาแต่ใจตัวเองมาตั้งแต่เล็กๆ เกเรจนขึ้นชื่อ ย้ายโรงเรียนบ่อยเสียจนแทบจะจำหน้าครูบาอาจารย์เพื่อนฝูงไม่ได้ เรียนจบปริญญาตรีมาได้แบบฟลุคๆ ก่อนจะถูกส่งตัวไปเรียนต่อปริญญาโทที่อเมริกาเพราะมารดากลัวว่าเขาจะถูกผู้หญิงที่ตามล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ในขณะนั้น จับ เสียก่อนที่จะทันมีความรับผิดชอบเต็มตัว
กว่าที่เขาจะหอบปริญญาใบที่สองด้านการบริหารกลับมาอวดมารดาได้สำเร็จอิศนะก็ต้องเสียเวลาไปหลายปีเทียบได้เป็นสองเท่ากับเพื่อนพ้องในรุ่นเดียวกัน เขาผลาญเงินมารดาทิ้งไปเปล่าๆปลี้ๆหลายสิบล้านบาทไปกับการเที่ยวเตร่สำมะเลเทเมา ครั้นกลับมาถึงเมืองไทยเขาก็ยังคงดำเนินชีวิตในรูปแบบเดิมๆเป็นแบดบอยเต็มขั้นงานการแทบจะไม่เคยจับต้องจนแม่เลี้ยงใหญ่ออกอาการอ่อนอกอ่อนใจ
แต่แล้วอิศนะก็จำต้องหยุดทุกอย่างลงในทันทีเมื่อหมอบอกกับเขาว่าตรวจพบมะเร็งระยะสุดท้ายในกระเพาะอาหารของมารดา วันนั้นนางกันยาขอร้องบุตรชายให้ปรับปรุงตนเองเสียใหม่ อิศนะรับปากมารดาทันทีและหลังจากนั้นเขาก็มุ่งมั่นทำงานตั้งใจที่จะทำทุกๆอย่างเพื่อให้ไร่ส้มของเขายังคงอยู่ต่อไปแม้ว่าจะไม่มีมารดาคอยอยู่ชื่นชมความสำเร็จของเขาก็ตาม
หมอเคยบอกกับเขาว่านางกันยาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินหกเดือน นี่ก็ผ่านพ้นมาแล้วเกือบสามปีมารดาของเขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่และใช้ชีวิตอย่างปกติสุขที่สุด อิศนะหัวเราะหึๆในความมืด เขาไม่น่าโง่ให้มารดาหลอกเลยจริงๆ ทำไมเขาไม่ฉุกใจคิดสักนิดว่าคนที่ดูแลตัวเองอยู่ตลอดเวลา คนที่กินอาหารดีๆทุกมื้อ ออกกำลังกายสม่ำเสมอและมีสุขภาพจิตดีอยู่เป็นนิจอย่างมารดาของเขาน่ะหรือจะมีเพื่อนสนิทเป็นโรคมะเร็ง
ใช่แล้ว! งานนี้อิศนะถูกมารดาหลอกเต็มๆ ทั้งหมดนั่นมันคือแผนการปรับเปลี่ยนนิสัยของมารดา ท่านแม่เลี้ยงใหญ่ยอมลงทุนแช่งชักตนเองให้เป็นโรคมะเร็งเพื่อดัดนิสัยลูกชายให้หันมาเอาใจใส่หน้าที่การงาน และมันก็ได้ผลเพราะทุกวันนี้อิศนะกลายเป็นหัวแรงใหญ่ของมารดาไปเสียแล้วอย่างไม่ตั้งใจเช่นกัน
อิศนะให้สัญญากับตัวเองเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าต่อแต่นี้ไปเขาจะไม่มีวันยอมเสียรู้ให้กับมารดาอีก ฉะนั้นเมื่อมารดาออกอาการจะเข้ามายุ่มย่ามบงการชีวิตของเขาด้วยการพยายามจะจับเขาคลุมถุงชนกับหญิงสาวคนที่นางพึงพอใจอิศนะก็รีบปฏิเสธมารดาอย่างไร้เยื่อใย แม่เลี้ยงกันยาหมายมั่นปั้นมือจะได้เมสินี ลูกสาวคนเล็กของท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายมาเป็นสะใภ้แต่อิศนะกลับไม่เคยให้ความสนใจหญิงสาวผู้นั้น
“ทำไมย่ะ หนูเมย์เขามีอะไรเสียหาย สวยก็สวย รวยก็รวย กิริยามารยาทเขารึก็ดี ฐานะทางสังคมเขาก็ไม่ใช่ธรรมดา ที่สำคัญ หนูเมย์เขาปลื้มแกมากรู้มั้ยเจ้าอิศ”
“แล้วไง ผมไม่ได้ปลื้มเขานี่”
“หน๊อย ถ้าอย่างหนูเมย์แกไม่ปลื้ม แกจะไปปลื้มนางฟ้านางสวรรค์ที่ไหนกันย่ะ ผู้หญิงแบบไหนกันที่แกอยากจะได้มาทำเมียน่ะหึ ลองบอกฉันมาหน่อยสิ ไอ้คนไม่รักดี”
วูบหนึ่งที่ใบหน้าสวยๆกับรอยยิ้มหวานๆที่มีรอยบุ๋มอยู่ข้างริมฝีปากของใครบางคนเด่นชัดขึ้นมาในความรู้สึก..ไม่รู้สิ.. จู่ๆอิศนะก็นึกถึงผู้หญิงคนนั้น.. มันบอกความรู้สึกไม่ถูก..อิศนะคิดว่าเขาชอบรูปร่างหน้าตาและลักษณะบางอย่างของผู้หญิงคนนั้น ถ้าหากเขาจะต้องเลือกผู้หญิงสักคนมาทำเมียละก็ อิศนะคิดว่าเขาก็อยากจะได้ผู้หญิงที่มีหน้าตารูปลักษณ์คล้ายๆแบบนั้นนั่นแหละ
ตั้งแต่พิธีตักบาตรตอนเช้า อิศนะพยายามสอดส่ายสายตามองหาแม่สาวหน้าหวานชวนฝันคนนั้น พิธีการต่างๆดำเนินมาเรื่อยจวนเจียนจะสามทุ่มเข้าไปแล้ว แม่คนยิ้มสวยนั่นก็ยังไม่ยอมโผล่หน้ามาให้เขาเห็น ไม่รู้ว่าหล่อนไปหลงทางอยู่ที่ไหน
หรือว่าหล่อนจะไม่ใช่เพื่อนของอิงอรอย่างที่เขาเข้าใจ แต่หล่อนบอกกับเขาเองนี่นาว่าหล่อนจะมาหาเพื่อนของหล่อนที่ไร่เทพปกรณ์วันนี้ ถ้าอิงอรไม่ใช่เพื่อนของหล่อนก็แล้วใครกันที่เป็นเพื่อนของหญิงสาวคนนั้น
อิศนะนั่งสูบบุหรี่หมดไปม้วนหนึ่งก็ผุดลุกเดินออกมาจากศาลา ตั้งใจจะกลับเข้าไปภายในงานแต่พอออกเดินมาได้แค่ครึ่งทางก็เกือบจะชนเข้ากับ ร.ป.ภ.นายหนึ่งที่ปรี่ออกมาจากพุ่มไม้ใกล้ๆ สีหน้าและท่าทางรีบเร่งของฝ่ายนั้นทำให้อิศนะต้องเอ่ยปากถามออกไปอย่างสงสัย
“ยะหยังฟั่ง” (จะรีบร้อนไปไหน)
“ผมกะลังฟั่งไปโตยหาคุณภานุครับป้อเลี้ยง มีแม่ยิงมาขอปะครับ”
“แขกของเปิ้นก่ะ หยังบ่เชิญเปิ้นเข้าไปในงาน”
“ผมเจิ้นเปิ้นละ แต่เปิ้นบ่ะยอมไป๋”
อิศนะย่นคิ้วอย่างสงสัย
“แล้วตอนนี้แม่ยิงนั่นอยู่ตี้ไหน”
“รออยู่ตี้ศาลาเล็ก หลังป้อมปู้นละครับ”
อิศนะพยักหน้ารับรู้ก่อนจะโบกมือไล่ ลับร่างของร.ป.ภ.นายนั้น อิศนะก็ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น มีผู้หญิงมาขอพบภานุในคืนวันแต่งงาน เป็นเวลาจวนเจียนจะถึงฤกษ์ส่งตัวเข้าหอเสียด้วย เท่าที่อิศนะเคยรับทราบมาภานุไม่เหลือญาติโยมที่ไหนอีกแล้วทั้งสิ้น
ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร...
จากที่ตั้งใจจะเดินกลับเข้าไปภายในงานอิศนะเปลี่ยนความตั้งใจเดิมเสียสิ้น เขาหมุนตัวกลับและออกเดินมุ่งหน้าไปทางป้อมยามอย่างเงียบเชียบ
พอเลี้ยวรถพ้นออกมาจากหน้าโรงแรมแห่งนั้นชุมพลก็เอ่ยปากถามขึ้นมาทันทีทันใด อิศนะยิ้มนิดเดียวก่อนจะสั่นหน้า
“เปล่า เจอกันบนรถทัวร์ พอดีเขาให้ช่วยแนะนำที่พักให้”
ชุมพลพยักหน้าหงึกหงักทำทีว่าเข้าใจ เรื่องราวต่างๆทะลุปรุโปร่ง
“แกก็เลยจัดการหาลูกค้าเข้าโรงแรมของตัวเองซะเลย”
“โรงแรมของฉันที่ไหน ของแม่ฉันต่างหาก ที่จริงแม่ก็เป็นแค่ผู้ถือหุ้นสี่สิบเปอร์เซ็นต์เอง”
“สี่สิบเปอร์เซ็นต์นั่นมันก็ผู้ถือหุ้นรายใหญ่แล้วนะ แล้วไอ้สี่สิบเปอร์เซ็นต์นั่นไม่ใช่หรือที่มันช่วยให้แกเดินกร่าง เข้านอกออกในโรงแรมนั้นได้ ราวกับเป็นเจ้าของโรงแรมเสียเอง ฉันว่าน้องคนสวยนี่ต้องเป็นเพื่อนของยายอิงแน่เลย สงสัยจะมาร่วมงานแต่งวันพรุ่งนี้”
“งั้นมั้ง”
อิศนะตอบเรียบๆสายตายังจับนิ่งอยู่ที่ถนนตรงหน้า ชุมพลยังคุยต่ออย่างอารมณ์ดี
“สเป็คฉันเลยนะนั่น ขาวๆตัวเล็กๆตาโตๆหน้าหวานๆแถมยังมีลักยิ้มที่แก้มด้วย ไม่ยักรู้ว่ายายอิงมีเพื่อนหน้าตาสวยๆอย่างนี้ด้วย ว่าแต่น้องน้องเค้าชื่ออะไรวะ เจอกันที่งานจะได้เข้าไปทักสักหน่อย”
“ไม่รู้ ไม่ได้ถาม ถ้าแกอยากรู้ก็โน้น วนรถกลับไปถามเลยไป๊”
“หงุดหงิดอะไรของแกแต่หัววัน อ๋อ รู้ล่ะ อารมณ์เสียเพราะกำลังจะได้เจอกับว่าที่น้องเขยสุดที่รักล่ะสิ”
“เออ! รู้แล้วก็ไม่ต้องเสือกถามมาก หุบปากแล้วก็ขับรถของแกไป”
นั่นแหละชุมพลจึงได้ยอมเลิกราหุบปากนิ่งสนิทมานับแต่นั้น ครึ่งชั่วโมงต่อมารถของชุมพลก็แล่นเข้าสู่ถนนคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างดีทอดตรงไปสิ้นสุดที่บริเวณเรือนไม้สักหลังเขื่องสร้างตามแบบล้านนาขนานแท้ รอบๆบริเวณเต็มไปด้วยสวนไม้ดอกเมืองหนาวนานาพันธุ์ที่กำลังแข่งขันอวดโฉมกันอย่างเต็มที่
อิศนะชะโงกหน้าออกไปมองผู้คนมากมายที่กำลังสาละวนอยู่กับการจัดแต่งสถานที่เมื่อรถจอดสนิทที่หน้าเรือนไม้สักหลังใหญ่สาวใช้แต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองก็กระวีกระวาดมารับกระเป๋าเป้จากมือของอิศนะขึ้นไปเก็บที่บนเรือนอย่างรู้หน้าที่
“โอ้โห้! ท่าทางงานนี้จะงานช้าง”
อิศนะเปรยเย้ยๆสอดมือทั้งสองข้างซุกลงในกระเป๋ากางเกง ขณะมองสำรวจไปทั่วบริเวณบ้านซึ่งบัดนี้ถูกจัดแต่งเป็นซุ้มๆทั้งซุ้มเครื่องดื่ม ซุ้มอาหาร ใต้ต้นพะยอมต้นใหญ่คือเวทีเล็กๆประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสี
“ก็แน่ละ งานแต่งงานน้องสาวคนเดียวของแกนี่นา”
อิศนะเดินนำชุมพลออกมาที่ระเบียงกว้างมีหลังคาเป็นโครงไม้มีเถาเครือของใบระบาดแผ่ขยายปกคลุมมิดชิดต่างหลังคา นอกจากนี้ยังมีเถาไม้เลื้อยชนิดอื่นๆขึ้นพันกันอยากรกรื้นเช่นพวงคราม สายน้ำผึ้ง และรกฟ้าดอกจิ๋วสีแดงสดขึ้นแซมอยู่เป็นระยะๆ
“เออนะ แล้วดูแกทำ คนที่นี่เขาวุ่นวายเตรียมงานกันโกลาหล ส่วนแก นู้น...เกิดอารมณ์อยากจะเข้าป่าเป็นนายรพินทร์ ไพรวัลย์ พ่อยอดพรานไพรแห่งเพชรพระอุมา อยากจะเข้าป่าขึ้นห้างส่องสัตว์บ้าบออะไรกันตอนนี้ก็ไม่รู้ อะไรมันก็ไม่แย่เท่ากับแกขับรถยังไงให้หม้อน้ำมันระเบิด ดูสิ! เดือดร้อนมาถึงฉันต้องทิ้งงานทิ้งการขับรถไปรับแกถึงขนส่ง”
“แกจะบ่นทำไม ดีเท่าไหร่แล้วที่ฉันไม่ให้แกไปรับฉันที่ลำปาง”
“ไอ้บ้า! คนอื่นเขาก็มีงานมีการทำ ฉันเพื่อนแกนะ ไม่ใช่คนขับรถ”
พอชุมพลเป็นฝ่ายโวยบ้าง อิศนะก็เงียบเสียงลงทันที สองหนุ่มเดินมาทรุดตัวลงนั่งที่ชุดม้านั่งแบบซาฟารีไม้สักที่ประกอบขึ้นเองจากฝีมือของคนงานภายในไร่
“ถามจริงๆเถอะ แกเซ็งมากเลยหรือที่จะได้นายภานุมาเป็นน้องเขย”
“ไม่น่าถาม แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบหน้าหมอนั่น”
“เขาก็ดูรักน้องสาวแกดีไม่ใช่หรือ”
“มันรักยายอิง หรือรักเงินของยายอิงกันแน่ จนป่านนี้ฉันก็ยังข้องใจอยู่”
“แต่เท่าที่ฉันเห็นนายภานุเขาก็ขยันขันแข็งเอาการเอางานดีออก ถึงจะดูเคร่งขรึมไปสักนิดก็เถอะ นายนั่นอาจจะมีข้อด้อยคือไม่รวย แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นแกเที่ยวตัดสินคนอื่นโดยใช้แค่ตัวเลขในบัญชีธนาคารเลยนี่นา”
“ไม่รู้สิ ก็คนมันไม่ถูกชะตา”
“ไอ้อิศเอ๊ย แกมันก็ไม่เคยถูกชะตากับใครสักคนที่เข้ามาจีบน้องสาวแกนั่นละ อย่างว่าแหละ ทำกับผู้หญิงอื่นเอาไว้เยอะ เลยกลัวว่าน้องตัวเองจะโดนบ้างล่ะสิ แต่ฉันว่ายายอิงของเราก็ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ อายุก็ตั้งยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปีเข้าไปแล้ว แกจะไปห่วงอะไรน้องมันนักหนา”
“แกไม่มีน้องสาว แกไม่เข้าใจหรอกไอ้ชุม”
อิศนะตัดบทพร้อมทั้งถอนหายใจยาวเหยียดทอดสายตามองออกไปไกล ต่อให้อิงอรอายุสามสิบ อิศนะก็ยังคงเห็นน้องสาวของตนเป็นเด็กอยู่นั่นเอง
“ฉันว่าแกห่วงแล้วก็หวงยายอิงมากเกินไปนะอิศ”
“ของมันแน่อยู่แล้ว ยายอิงน่ะ ฉันดูแลของฉันมาตั้งแต่เขายังเล็กๆมาถึงตอนนี้ ตอนที่จะต้องส่งมอบหน้าที่นี้ให้คนอื่นทำ ฉันจะมั่นใจได้ยังไงว่าไอ้ผู้ชายคนนั้นมันจะดูแลน้องสาวของฉันได้ดีอย่างที่ปากมันพูด”
“ไอ้ของแบบนี้มันก็ต้องดูๆกันไป”
ชุมพลกล่าวออกไปตามที่ตนเองคิดเห็น อิศนะเหยียดริมฝีปากทำเสียงขึ้นจมูก
“หึ! ฉันบอกแกเอาไว้ตรงนี้เลยนะชุม ถ้าไอ้หน้าขรึมนั่น มันทำน้องสาวฉันเจ็บเมื่อไหร่ ฉันกระทืบมันตายคาตีนแน่ แกคอยดู”
ชุมพลหัวเราะเบาๆกับสรรพนามที่อิศนะใช้เรียกว่าที่น้องเขย ก็พอจะรู้มาบ้างว่าอิศนะกับภานุไม่ค่อยจะลงรอยกันนัก ดีแต่ว่าภานุผู้มีบุคลิกเงียบขรึม ไม่ช่างพูด ไม่ช่างต่อความกับใคร ได้พยายามหลบเลี่ยงอีกฝ่ายอยู่เสมอ ทำให้ทั้งสองหนุ่มคลาดแคล้วต่อการมีเรื่องมีราวกันมาหลายต่อหลายครั้ง หากแต่ชุมพลกลับเชื่ออยู่ลึกๆว่า ไม่วันใดก็วันหนึ่ง คนเลือดร้อนอย่างอิศนะคงจะหาเรื่องยั่วโมโหภานุได้สำเร็จสักวัน
เสียงโหวกเหวกสั่งงานดังก้องมาจากภายในบ้าน ชั่วไม่กี่อึดใจก็ปรากฏร่างค่อนข้างท้วมของหญิงกลางคนวัยห้าสิบเศษเดินนำขบวนสาวใช้แต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองตรงดิ่งมายังทิศทางที่สองหนุ่มกำลังนั่งสนทนากันอยู่ ชุมพลรีบพนมมือขึ้นไหว้มารดาของเพื่อนรักอย่างมีมารยาท
“อ้าว ชุมพลมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่จ๊ะ”
“มาถึงพร้อมๆเจ้าอิศมันละครับแม่เลี้ยง”
นางกันยารับไหว้ชุมพลด้วยสีหน้าแย้มยิ้มก่อนจะตวัดหางตาไปมองบุตรชายด้วยสีหน้าท่าทางที่เรียกได้ว่าตรงกันข้ามจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยทีเดียว
“นี่แกใช้ให้ชุมพลไปรับแกหรือเจ้าอิศ แล้วรถแกล่ะ แกเอาโฟร์วิลไปไม่ใช่หรือ”
“หม้อน้ำพัง ผมทิ้งไว้ที่อู่ลำปางโน้น เดี๋ยวมะรืนจะให้หนานคำลงไปดู ถ้าซ่อมเสร็จก็ให้ขับกลับมาเลย ถ้าไม่เสร็จก็ทิ้งไว้ก่อนอีกอาทิตย์ค่อยลงไปดูใหม่”
“แกนี่ละน๊า หาเรื่องให้ฉันปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน ดูสิ น้องนุ่งจะแต่งงาน แทนที่จะอยู่ช่วยกันคิดช่วยกันปรึกษาหารือว่าจะทำยังไง ดั๊น หายหัวไปสนุกสนานอยู่คนเดียว”
“ก็บอกแล้วว่าให้จัดเล็กๆ เชิญเฉพาะญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่สนิทหน่อยก็พอ นี่อะไร เล่นเชิญคนมางานเกือบทั้งจังหวัด ถ้าแม่ไม่เหนื่อย ไม่ปวดหัว ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว นี่มันงานแต่งงานนะครับ ไม่ใช่งานกาชาดประจำปี” อิศนะสวนกลับมารดาอย่างไม่ยอมลดละ
“เอาเถอะ ไว้รองานแต่งของแกก่อนเถอะ ฉันจะจัดให้มันยิ่งใหญ่กว่านี้ เชิญคนทั้งจังหวัดนี่มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ หนูเมย์น่ะเขาเป็นถึงลูกสาวท่านรองผู้ว่าฯ แขกเหรื่อรวมกันทั้งฝ่ายเขาฝ่ายเราคงจะเยอะกว่านี้แน่ๆ”
อิศนะพ่นลมออกจากปากอย่างเซ็งๆ
“ผมเคยบอกเมื่อไหร่ ว่าผมจะแต่งงานกับยายหนูเมย์ของแม่”
ชุมพลเหลือบมองหน้ามุ่ยๆของเพื่อนหนุ่มแล้วแอบอมยิ้ม ก่อนจะหันไปสนใจกับชุดของว่างที่สาวใช้เพิ่งจะนำมาเสริฟ์และทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีมานับแต่นั้น
“ไม่รู้ล่ะ ยังไงฉันก็จะให้แกแต่ง”
“ไม่มีทาง ผมไม่แต่งกะเด็กนั่นแน่!”
“แต่ฉันจะให้แกแต่ง หนูเมย์น่ะเขาเหมาะที่จะเป็นสะใภ้ของฉันมากที่สุด ผู้หญิงคนอื่นๆของแกฉันมองยังไงก็ไม่เห็นจะมีใครเข้าตาสักคน บางคนก็สวยดีอยู่หรอก แต่ไม่มีรอยหยักในสมองนี่สิ แกจะเอามาทำไม”
“ปลูกเรือนเขาก็ต้องตามใจผู้อยู่ แม่นี่ยังไงกัน เมียคนเดียว ผมหาของผมเองได้ แม่ไม่ต้องมาเดือดร้อนลำบากลำบนหาให้ผมได้มั้ย”
“ฉันไม่มีวันยอมให้แกหาเมียแบบชุ่ยๆหรอกนะเจ้าอิศ ยังไงแกก็ต้องแต่งกับหนูเมย์”
มารดายังคงย้ำคำเดิม อิศนะถอนหายใจเฮือกสบตามารดาแล้วกล่าวอย่างเอือมๆ
“ก็ตามใจ ในเมื่อแม่อยากจะจัดงานแต่งให้มันยิ่งใหญ่อลังการนักก็เอาเลย เชิญจัดไปได้เลย แต่ผมขอบอกแม่ตั้งแต่เนิ่นๆเลยนะ ว่าวันงาน แม่เตรียมหาปี๊บใบใหญ่ๆเอาไว้ด้วยล่ะ เพราะงานนี้มีคนได้อายแน่ เคยเห็นแต่เจ้าสาวหนีงานแต่งมานักต่อนักล่ะ คราวนี้เป็นทีเจ้าบ่าวบ้าง อยากจะรู้เหมือนกันว่าแม่เลี้ยงกันยาผู้ยิ่งใหญ่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เวลาที่โฆษกในงานประกาศเรียกหาเจ้าบ่าวแล้วมันดันหายหัวไร้วี่แววน่ะ”
“เจ้าอิศ หน๊อย ไอ้ลูกเวร!”
แล้วเสียงทะเลาะกันของสองแม่ลูกก็ดังลั่นไร่เทพปกรณ์ อันเป็นเหตุการณ์ปกติที่เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนผู้คนภายในไร่ต่างก็ชาชินเสียแล้ว
+++++++++++++++++
บรรดาแขกเหรื่อทั้งหลายเริ่มทยอยมางานนับตั้งแต่หัวค่ำชั่วเวลาไม่ถึงสองทุ่มดีแขกเหรื่อในงานก็แน่นขนัด แม่เลี้ยงกันยาเจ้าภาพใหญ่ของงานวิวาห์ในค่ำคืนนี้วิ่งวุ่นคอยต้อนรับแขกผู้ใหญ่ อิศนะเองก็ต้องคอยเก็บตกรับรองแขกเหรื่อชั้นรองๆลงมาจนกระทั่งแขกคนสำคัญๆมาถึงงานกันหมดแล้ว ชายหนุ่มจึงหลบออกมายืนคุยกับชุมพลอยู่ที่ซุ้มกุหลาบบริเวณหน้างาน
“มากันหมดเสียที เหนื่อยจริงวุ้ย!”
“ถ้าเป็นงานแต่งของแกกับคุณเมย์ ฉันว่าแกจะเหนื่อยกว่านี้อีก”
“งานแต่งบ้าบออะไร ไม่เคยมีอยู่ในสารระบบชีวิตฉัน”
“แกจะหวงความโสดของแกไปทำไม๊ คุณเมย์เขาก็ออกจะน่ารักน่าฟัดขนาดนั้น ไม่อยากเป็นเขยท่านรองผู้ว่าฯ รึไงวะ”
“ไม่อยาก ถ้าแกอยากก็ไปยื่นใบสมัครเสียสิคงพอจะมีสิทธ์ลุ้นบ้างหรอก”
“คุณเมย์เธอสนฉันที่ไหนล่ะ ทุกวันนี้เขาเพ้อหาแต่พี่อิศๆ ใครมันจะกล้าไปสู้รบปรบมือกับแกล่ะ คนอะไรก็ไม่รู้ ทั้งหล่อ ทั้งรวย ทั้งเลว เกิดมาได้ยังไง”
“เฮ้ย! อันหลังนี่ แกด่าฉันนี่หว่า”
“เออ! ด่า..แล้วมีอะไรหรือเปล่า”
อิศนะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันตั้งใจจะถวายเตะให้เพื่อนแต่ชุมพลรีบสะกิดแขนเพื่อนรักเสียก่อนท่าทีของชายหนุ่มดูตื่นเต้นจนเห็นได้ชัด
“เฮ๊ย! ไอ้อิศ คุณเมย์เดินมาทางนี้แล้ว ฉันว่าเขาต้องมาตามหาแกแน่เลย”
“งั้นแกรับหน้าไปก่อนนะชุม ฉันชิ่งละ”
“เฮ๊ย! ไอ้อิศ ยังไม่ทันได้คุยกันเลยนะ วะ ไอ้นี่เร็วยังกะปรอท” ชุมพลส่ายหน้าให้กับหลังไวๆของเพื่อนหนุ่มก่อนจะรีบปรับเปลี่ยนสีหน้าและท่าทีเป็นยิ้มแย้มรับสาวสวยที่กำลังเดินตรงเข้ามาหา
“พี่อิศไปไหนแล้วคะพี่ชุม เมื่อกี้เมย์ยังเห็นยืนอยู่ตรงนี้เลย”
“อ๋อ...ท้องเสียครับคุณเมย์ มาถึงไม่ทันได้คุยอะไรกันเลย มันก็รีบแจ้นไปเข้าห้องน้ำเสียแล้ว”
“ตายจริง พี่อิศไปทานอะไรผิดสำแดงเข้าหรือคะ”
“ไม่ทราบเหมือนกันครับ คุณเมย์มีธุระอะไรกับมันหรือเปล่า”
“แม่เลี้ยงท่านให้มาตามพี่อิศไปพบคุณพ่อค่ะ ไม่เป็นไร รอให้พี่อิศเสร็จธุระก่อนก็ได้ แล้วเดี๋ยวเมย์ค่อยมาตามพี่อิศใหม่ เมย์ขอตัวก่อนนะคะ”
ชุมพลรีบพยักหน้ารับหงึกหงัก เมื่อสาวสวยนามว่าเมสินีเดินจากไปแล้วชุมพลก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยิ้มขำในความกระล่อนของเพื่อนรัก
++++++++++++++++++++++++++++++
อิศนะเอามือทั้งสองข้างซุกลงในกระเป๋ากางเกงเดินทอดน่องเรื่อยไปตามทางเดินยาวกระทั่งไปสิ้นสุดลงที่ศาลาหลังเล็กกลางสวนดอกไม้นานาพันธุ์ของมารดา อิศนะทรุดตัวลงนั่งบนม้านั่งยาวตบกระเป๋ากางเกงควานหาบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบทั้งๆที่เคยคิดและเคยพยายามจะเลิกสูบมาหลายครั้งแล้วแต่ก็อดไม่ได้สักที อาจเป็นเพราะอิศนะไม่เคยตั้งกฎเกณฑ์อะไรให้กับตัวเองมากมาย เลิกได้ก็เลิก เลิกไม่ได้เขาก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร
“เมื่อไหร่พี่อิศจะเลิกสูบบุหรี่เสียที ไม่เห็นจะดีตรงไหนเลย เหม็นจะตาย”
“นั่นสิ สูบมากๆเข้า เดี๋ยวก็เป็นมะเร็งตายเหมือนพ่อแกหรอก”
พออิงอรนำขบวน มารดาของเขาก็มักจะถือโอกาสผสมโรงเอ็ดเขาตามไปด้วยเสมอ อิศนะหัวเราะเบาๆในความมืดเมื่อนึกถึงมารดา แม่เลี้ยงกันยา ผู้หญิงแกร่งแห่งเมืองเชียงราย
มีใครในแถบนี้บ้างที่จะไม่รู้จักแม่ของเขา แม่เลี้ยงใหญ่ผู้เป็นเจ้าของไร่เทพปกรณ์เจ้าของไร่ส้มขนาดใหญ่ที่ตอนนี้ธุรกิจกำลังเจริญเติบโตรุดหน้าไม่เป็นสองรองใครในจังหวัด แม้ว่าพ่อเลี้ยงอรรณพ บิดาของเขาจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในปอดไปเมื่อหลายปีก่อนจนทำให้กิจการภายในไร่ซบเซาลงไปพักหนึ่ง แต่นางกันยาก็ได้พยายามฟื้นฟูกิจการของสามีให้กลับมายิ่งใหญ่ดังเดิมได้ จะว่าไปแล้วมันเป็นงานที่แสนเหน็ดเหนื่อยและเกินกำลังของผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งแต่มารดาของเขาก็ได้พิสูจน์ตนเองให้ประจักษ์แก่สายตาของใครต่อใครแล้วว่านางทำได้
อิงอร น้องสาวผู้ได้รับช่วงความขยันอุตสาหะมาจากมารดาอย่างเต็มเปี่ยม อิงอรทำงานเก่งฉลาดเฉลียวคล่องแคล่ว หล่อนเรียนจบเกษตรศาสตร์จากมหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อที่สุดในเขตภาคเหนือและยังนำความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาปรับใช้กับธุรกิจไร่ส้มของตนเองจนกิจการเจริญรุดหน้า ใครมันจะไปเชื่อว่าหญิงสาวตัวเล็กๆบางๆ ท่าทางเหมือนเด็กขี้โรคอย่างอิงอรแท้จริงแล้วหล่อนอดทนและเอาถ่านกว่าพี่ชายอยู่มากโข
อิศนะเป็นลูกชายคนโตของบ้านที่ดูจะไม่เป็นโล้เป็นพายอะไรเลยเมื่อเทียบกับน้องสาว เขาเอาแต่ใจตัวเองมาตั้งแต่เล็กๆ เกเรจนขึ้นชื่อ ย้ายโรงเรียนบ่อยเสียจนแทบจะจำหน้าครูบาอาจารย์เพื่อนฝูงไม่ได้ เรียนจบปริญญาตรีมาได้แบบฟลุคๆ ก่อนจะถูกส่งตัวไปเรียนต่อปริญญาโทที่อเมริกาเพราะมารดากลัวว่าเขาจะถูกผู้หญิงที่ตามล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ในขณะนั้น จับ เสียก่อนที่จะทันมีความรับผิดชอบเต็มตัว
กว่าที่เขาจะหอบปริญญาใบที่สองด้านการบริหารกลับมาอวดมารดาได้สำเร็จอิศนะก็ต้องเสียเวลาไปหลายปีเทียบได้เป็นสองเท่ากับเพื่อนพ้องในรุ่นเดียวกัน เขาผลาญเงินมารดาทิ้งไปเปล่าๆปลี้ๆหลายสิบล้านบาทไปกับการเที่ยวเตร่สำมะเลเทเมา ครั้นกลับมาถึงเมืองไทยเขาก็ยังคงดำเนินชีวิตในรูปแบบเดิมๆเป็นแบดบอยเต็มขั้นงานการแทบจะไม่เคยจับต้องจนแม่เลี้ยงใหญ่ออกอาการอ่อนอกอ่อนใจ
แต่แล้วอิศนะก็จำต้องหยุดทุกอย่างลงในทันทีเมื่อหมอบอกกับเขาว่าตรวจพบมะเร็งระยะสุดท้ายในกระเพาะอาหารของมารดา วันนั้นนางกันยาขอร้องบุตรชายให้ปรับปรุงตนเองเสียใหม่ อิศนะรับปากมารดาทันทีและหลังจากนั้นเขาก็มุ่งมั่นทำงานตั้งใจที่จะทำทุกๆอย่างเพื่อให้ไร่ส้มของเขายังคงอยู่ต่อไปแม้ว่าจะไม่มีมารดาคอยอยู่ชื่นชมความสำเร็จของเขาก็ตาม
หมอเคยบอกกับเขาว่านางกันยาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินหกเดือน นี่ก็ผ่านพ้นมาแล้วเกือบสามปีมารดาของเขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่และใช้ชีวิตอย่างปกติสุขที่สุด อิศนะหัวเราะหึๆในความมืด เขาไม่น่าโง่ให้มารดาหลอกเลยจริงๆ ทำไมเขาไม่ฉุกใจคิดสักนิดว่าคนที่ดูแลตัวเองอยู่ตลอดเวลา คนที่กินอาหารดีๆทุกมื้อ ออกกำลังกายสม่ำเสมอและมีสุขภาพจิตดีอยู่เป็นนิจอย่างมารดาของเขาน่ะหรือจะมีเพื่อนสนิทเป็นโรคมะเร็ง
ใช่แล้ว! งานนี้อิศนะถูกมารดาหลอกเต็มๆ ทั้งหมดนั่นมันคือแผนการปรับเปลี่ยนนิสัยของมารดา ท่านแม่เลี้ยงใหญ่ยอมลงทุนแช่งชักตนเองให้เป็นโรคมะเร็งเพื่อดัดนิสัยลูกชายให้หันมาเอาใจใส่หน้าที่การงาน และมันก็ได้ผลเพราะทุกวันนี้อิศนะกลายเป็นหัวแรงใหญ่ของมารดาไปเสียแล้วอย่างไม่ตั้งใจเช่นกัน
อิศนะให้สัญญากับตัวเองเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าต่อแต่นี้ไปเขาจะไม่มีวันยอมเสียรู้ให้กับมารดาอีก ฉะนั้นเมื่อมารดาออกอาการจะเข้ามายุ่มย่ามบงการชีวิตของเขาด้วยการพยายามจะจับเขาคลุมถุงชนกับหญิงสาวคนที่นางพึงพอใจอิศนะก็รีบปฏิเสธมารดาอย่างไร้เยื่อใย แม่เลี้ยงกันยาหมายมั่นปั้นมือจะได้เมสินี ลูกสาวคนเล็กของท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายมาเป็นสะใภ้แต่อิศนะกลับไม่เคยให้ความสนใจหญิงสาวผู้นั้น
“ทำไมย่ะ หนูเมย์เขามีอะไรเสียหาย สวยก็สวย รวยก็รวย กิริยามารยาทเขารึก็ดี ฐานะทางสังคมเขาก็ไม่ใช่ธรรมดา ที่สำคัญ หนูเมย์เขาปลื้มแกมากรู้มั้ยเจ้าอิศ”
“แล้วไง ผมไม่ได้ปลื้มเขานี่”
“หน๊อย ถ้าอย่างหนูเมย์แกไม่ปลื้ม แกจะไปปลื้มนางฟ้านางสวรรค์ที่ไหนกันย่ะ ผู้หญิงแบบไหนกันที่แกอยากจะได้มาทำเมียน่ะหึ ลองบอกฉันมาหน่อยสิ ไอ้คนไม่รักดี”
วูบหนึ่งที่ใบหน้าสวยๆกับรอยยิ้มหวานๆที่มีรอยบุ๋มอยู่ข้างริมฝีปากของใครบางคนเด่นชัดขึ้นมาในความรู้สึก..ไม่รู้สิ.. จู่ๆอิศนะก็นึกถึงผู้หญิงคนนั้น.. มันบอกความรู้สึกไม่ถูก..อิศนะคิดว่าเขาชอบรูปร่างหน้าตาและลักษณะบางอย่างของผู้หญิงคนนั้น ถ้าหากเขาจะต้องเลือกผู้หญิงสักคนมาทำเมียละก็ อิศนะคิดว่าเขาก็อยากจะได้ผู้หญิงที่มีหน้าตารูปลักษณ์คล้ายๆแบบนั้นนั่นแหละ
ตั้งแต่พิธีตักบาตรตอนเช้า อิศนะพยายามสอดส่ายสายตามองหาแม่สาวหน้าหวานชวนฝันคนนั้น พิธีการต่างๆดำเนินมาเรื่อยจวนเจียนจะสามทุ่มเข้าไปแล้ว แม่คนยิ้มสวยนั่นก็ยังไม่ยอมโผล่หน้ามาให้เขาเห็น ไม่รู้ว่าหล่อนไปหลงทางอยู่ที่ไหน
หรือว่าหล่อนจะไม่ใช่เพื่อนของอิงอรอย่างที่เขาเข้าใจ แต่หล่อนบอกกับเขาเองนี่นาว่าหล่อนจะมาหาเพื่อนของหล่อนที่ไร่เทพปกรณ์วันนี้ ถ้าอิงอรไม่ใช่เพื่อนของหล่อนก็แล้วใครกันที่เป็นเพื่อนของหญิงสาวคนนั้น
อิศนะนั่งสูบบุหรี่หมดไปม้วนหนึ่งก็ผุดลุกเดินออกมาจากศาลา ตั้งใจจะกลับเข้าไปภายในงานแต่พอออกเดินมาได้แค่ครึ่งทางก็เกือบจะชนเข้ากับ ร.ป.ภ.นายหนึ่งที่ปรี่ออกมาจากพุ่มไม้ใกล้ๆ สีหน้าและท่าทางรีบเร่งของฝ่ายนั้นทำให้อิศนะต้องเอ่ยปากถามออกไปอย่างสงสัย
“ยะหยังฟั่ง” (จะรีบร้อนไปไหน)
“ผมกะลังฟั่งไปโตยหาคุณภานุครับป้อเลี้ยง มีแม่ยิงมาขอปะครับ”
“แขกของเปิ้นก่ะ หยังบ่เชิญเปิ้นเข้าไปในงาน”
“ผมเจิ้นเปิ้นละ แต่เปิ้นบ่ะยอมไป๋”
อิศนะย่นคิ้วอย่างสงสัย
“แล้วตอนนี้แม่ยิงนั่นอยู่ตี้ไหน”
“รออยู่ตี้ศาลาเล็ก หลังป้อมปู้นละครับ”
อิศนะพยักหน้ารับรู้ก่อนจะโบกมือไล่ ลับร่างของร.ป.ภ.นายนั้น อิศนะก็ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น มีผู้หญิงมาขอพบภานุในคืนวันแต่งงาน เป็นเวลาจวนเจียนจะถึงฤกษ์ส่งตัวเข้าหอเสียด้วย เท่าที่อิศนะเคยรับทราบมาภานุไม่เหลือญาติโยมที่ไหนอีกแล้วทั้งสิ้น
ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร...
จากที่ตั้งใจจะเดินกลับเข้าไปภายในงานอิศนะเปลี่ยนความตั้งใจเดิมเสียสิ้น เขาหมุนตัวกลับและออกเดินมุ่งหน้าไปทางป้อมยามอย่างเงียบเชียบ
โอชิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ก.ย. 2560, 07:18:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ก.ย. 2560, 07:18:51 น.
จำนวนการเข้าชม : 1122
<< ตอนที่ 1. | ตอนที่ 3. >> |
Kim 21 ก.ย. 2560, 10:02:47 น.
จำได้ว่าเคยอ่าน ดีใจที่ไรเตอร์เอามาลงใหม่ จะลงจนจบไหมคะ
จำได้ว่าเคยอ่าน ดีใจที่ไรเตอร์เอามาลงใหม่ จะลงจนจบไหมคะ
โอชิน 21 ก.ย. 2560, 11:30:27 น.
ลงให้อ่านจนจบค่ะ เวอรชั่นใหม่ เราว่าไฉไลกว่าเดิม สำหรับเราที่เป็นคนเขียนนะคะ
พี่อิศน่ารักกว่าเดิม จบไม่ค้างคา ความหวาน ความฮา ความฟิน เรารวบรวมมาไว้ในช่วงท้ายๆเรื่อง
เราทำรูปเล่ม กับ ebook วางขายไปแล้วใน meb กับ ookbee
ในงานสัปดาห์หนังสือก็น่าจะมีวางขายในบูธหนังสือทำมือ ยังเป็นแค่นักหัดเขียนโนเนมเหมือนเดิมค่ะ
ขอบคุณคุณKim ที่ยังจำกันได้ มีความสุขกับการอ่านนะคะ
ลงให้อ่านจนจบค่ะ เวอรชั่นใหม่ เราว่าไฉไลกว่าเดิม สำหรับเราที่เป็นคนเขียนนะคะ
พี่อิศน่ารักกว่าเดิม จบไม่ค้างคา ความหวาน ความฮา ความฟิน เรารวบรวมมาไว้ในช่วงท้ายๆเรื่อง
เราทำรูปเล่ม กับ ebook วางขายไปแล้วใน meb กับ ookbee
ในงานสัปดาห์หนังสือก็น่าจะมีวางขายในบูธหนังสือทำมือ ยังเป็นแค่นักหัดเขียนโนเนมเหมือนเดิมค่ะ
ขอบคุณคุณKim ที่ยังจำกันได้ มีความสุขกับการอ่านนะคะ
Kim 21 ก.ย. 2560, 13:51:55 น.
ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณค่ะ