เกมรักมายาลวง (ซี่รีี่เหมืองเถื่อน)
บาดแผลในชีวิต หยาดน้ำตา ใครลิขิต เธอ (ธารธารา) หรือ เธอ (ธาราธาร)

หญิงสาวต่างแม่สองคน ใบหน้าเหมือนกัน ถูกชะตาเล่นตลก เมื่อวันที่เธอคนหนึ่งหายไป อีกคนก็กลับมา

ความชิงชัง เป็นพิษร้าย ทำลาย แม้กระทั่งชีวิต ต่อสู้ ช่วงชิง ร้ายมาร้ายกลับ ด้วย...เกมรักมายาลวง

เขา คือความอบอุ่นในชีวิต ที่ลิขิตหัวใจเธอ ตั้งแต่แรกเจอ

ความเจ็บซ้อนซ่อนด้วยหยดน้ำตา มาพร้อมคำว่า ...เธอคือคนที่ใช่

รอยยิ้ม ความรัก ใครจะได้ครอบครอง ‘เธอ’ คนที่ใช่ ‘เขา’ หรือ ใช่ ‘เธอ’ หรือเปล่า

Tags: โรมานซ์

ตอน:

ตอน 3
เรือสำราญลำใหญ่ล่องไปในทะเล ผู้คนที่มากับเรือ บ้างก็กระจัดกระจายอยู่บนดาดฟ้า ชมความงดงามของทะเลกว้างบางคนก็ขอพักผ่อนอยู่ในห้อง บางคนก็อยู่ในห้องอาหาร หรือบางคนก็สำราญอยู่ในผับและห้องเสี่ยงโชค แต่ละคนต่างหาความสุขให้ตัวเอง แต่ไม่ใช่เจ้าของเรือ นายภษิต ษิตภัทร เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั่น ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกล้วงคอ

ภายในห้องทำงานของเขา ลูกน้องสามคนมายืนเรียงหน้ากระดาษ ความเสียหายนั่นเขารู้แล้ว แต่ที่เรียกพวกมันมาก็เพื่อที่จะส่งพวกมันขึ้นฝั่ง ให้ไปจัดการไอ้คนที่นำความหายนะมาหาเขา เพราะไม่ใช่เสียเงิน แต่หมายถึงชีวิตเขาด้วย ถ้านายใหญ่รู้ลมหายใจเขาคงสั้นลง

“จำหน้ามันได้ใช่ไหม”

“ครับนาย”

“ฉันส่งภาพมันจากกล้องวงจรปิดให้คนของเราบนฝั่ง ดักตามท่าเรือต่างๆแล้ว พวกแกรีบไปสมทบจัดการมันให้ได้ ไม่งั้นชีวิตพวกแกกับฉันได้อืดอยู่ในทะเลแน่”

“ครับ”

ทั้งสามรับปาก แล้วพากันเดินออกไปจากห้อง เหลือแค่นายภษิต ที่ยังคิดไม่ตกว่าจะรายงานเรื่องนี้กับนายใหญ่ยังไง สินค้าราคามหาศาล ถูกคนเพียงคนเดียวลอบขึ้นมาทำลาย มันชดใช้ด้วยอะไรไม่ได้เลย นอกจากชีวิต เขาจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับก็ไม่ได้ เพราะเมื่อถึงเวลาที่ต้องส่งของ แล้วของไม่มี เงินไม่เข้าบัญชี นายก็ต้องรู้ ถึงเวลานั้นอาจจะไม่ฟังคำแก้ตัวของเขา

ภษิตนั่งครุ่นคิดหาวิธีการพูด ไม่นานก็หยิบโทรศัพท์มากดหานายใหญ่ ได้ยินเสียงรับสาย เขาก็พูดออกไปทันที “สวัสดีครับนาย”

“สวัสดี มีข่าวดีให้ฉันเร็วกว่าที่คิดนะ”

“ข่าวร้ายครับ”

ปลายสายเงียบไป ภษิตรู้ได้ทันทีว่าคือสัญญาณน่ากลัว เขาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้รู้ แล้วตบท้ายด้วยคำว่า “ขอโทษครับนาย”

“มันเป็นใคร” เสียงถามกลับมานิ่งๆ แต่เป็นความนิ่งที่ทำให้ภษิตเสียวไปทั้งสันหลัง

“กำลังสืบอยู่ครับ”

“หึ แกปล่อยให้หมาตัวเดียวขึ้นมากัด ทำลายของฉันให้เสียหายทั้งๆที่พวกแกมีเป็นฝูง ฉันไม่น่าเลี้ยงให้เสียเงินจริงๆ แล้วจัดการทำลายของ ก่อนที่ตำรวจทหารจะเข้าไปตรวจหรือยัง”

“เรียบร้อยแล้วครับนาย แล้วผมจะจัดการมันให้ได้ครับ”

“ดี เพราะถ้าแกทำไม่ได้ ฉันจะจัดการแกเอง แล้วส่งรูปหน้ามันมาให้ฉันด้วย”

“ครับ” รับปากแล้วภษิตก็เป่าลมหายใจออกจากปาก แต่โล่งใจได้เพียงเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เพราะชีวิตยังแขวนอยู่บนเส้นด้าย เขาจะต้องรีบหาตัวมันให้เร็วที่สุด จัดการส่งรูปให้คนเป็นนายแล้ว ก็เดินออกไปจากห้อง เพื่อนำสินค้าที่เหลือมาจำหน่ายให้กับลูกค้าที่มาในคราบนักท่องเที่ยว
**********
ภายในห้องโถงของตระกูลธรธารา ทุกคนยังตะลึงกับหญิงสาวที่เดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้า ก่อนจะหายจากอาการดังกล่าว เมื่อจรัสแขพูดขึ้นมา

“ไม่ใช่ ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ยัยน้ำลูกฉัน”

คุณหญิงทองจันทร์ นางพุด ที่เลี้ยงดูหญิงสาวมาตั้งแต่เด็ก จึงเริ่มพิจารณาแล้วก็ได้เห็นถึงความแตกต่างว่า คนที่หายไปนั้นภายนอกจะดูแข็ง แต่แววตาเมื่อเจอย่า แม่ หรือนางพุดจะอ่อนโยน มีรอยยิ้มนิดๆให้เสมอ ขณะที่คนที่ยืนอยู่นี้ไม่มีแววตาอย่างนั้น แม้สีหน้าจะยิ้มแต่ดูไม่ลึกถึงจิตใจ

แต่มีลักขณาที่ไม่ได้เป็นคนในครอบครัว ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของตระกูล ไม่รู้ประวัติเพราะนางเอกดังที่เธอดูแลอยู่นั่น ไม่เคยพูดเรื่องครอบครัวให้ฟัง จึงยังดูไม่ออก คิดว่าเป็นหญิงสาวที่หายตัวไป

ขณะที่จรัสแขก็หันไปจ้องหน้าคนที่เป็นต้นคิดอย่างเอาเรื่อง แต่เลอรัศมีหรือจะยี่หระ เมื่อตอนนี้ทุกอย่างกำลังเอียงมาข้างเธอ จึงใจเย็นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ฉันก็ไม่ได้บอกว่าใช่เสียหน่อย ก็บอกแล้วว่าหาตัวตายตัวแทนมาให้”

“จะไม่มีใครมาเป็นตัวตายตัวแทนของยัยน้ำทั้งนั้น ฉันไม่ยอม”

“แล้วเธอจะทำยังไง มีความคิดที่ดีไปกว่าที่ฉันเสนอเหรอ ก็ไม่ แล้วเธอคัดค้านทำไม”

จรัสแขจะเถียงกลับ แต่คิดไม่ออกว่าจะทำยังไง จึงได้แต่นิ่งและพยายามจะคิดแต่ทุกอย่างมืดมน มีแต่ความดื้อดึงเท่านั้นที่ยังไม่ยอมง่าย “ลูกฉันยังไม่ตาย”

“ก็ไม่มีใครว่า ว่าลูกของเธอตายแล้ว แต่ที่ฉันเสนอก็คือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า”

“แก้ปัญหาเหรอ หึ” ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าเหยียดหยันออกมาเต็มที่ “เห็นแก่ตัวต่างหาก คิดจะชุบมือเปิบทุกสิ่งทุกอย่างที่ยัยน้ำสร้างขึ้นมา เหมือนกับที่เธอเคยทำกับฉันไว้ในอดีตอย่างนั้นเหรอ ฉันจะขอบอกไว้ว่าจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยอีกเด็ดขาด”

“ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้น”

“โกหก น้ำหน้าอย่างเธอแค่อ้าปาก ฉันก็เห็นไปถึงไส้ที่คดที่งอพอๆกับสมองที่เลวของเธอแล้ว คิดว่าฉันโง่คิดไม่ทันเหรอ พาตัวเองกับลูกของเธอออกไปให้พ้น” เสียงนางกร้าวขึ้นตามอารมณ์โกรธ แต่เลอรัศมีหาได้หวั่นหรือสลดลงแม้แต่น้อย ยังมีรอยยิ้มอ่อนๆอยู่บนใบหน้าและพูดเสียงนิ่มนวล ชวนให้เห็นตาม

“เธอคิดเอง เออเองอยู่คนเดียว ไม่คิดจะถามความเห็นของคนอื่นเลยเหรอ โดยเฉพาะคุณแม่”

“ยัยน้ำเป็นลูกของฉัน ฉันมีสิทธิที่จะตัดสินใจ”

“ฉันเพิ่งรู้ว่าเธอรักลูกก็วันนี้ ที่ผ่านมาไม่เคยจะสนใจดูแล คนที่เห็นแก่ตัวจึงน่าจะเป็นเธอ ไม่ใช่ฉัน ที่สำคัญถ้าไม่ทำอย่างที่ฉันเสนอ หายนะก็จะมาเยือนเราทุกคน”

“ก็ช่างมัน”

“เห็นไหมละ ว่าเธอเห็นแก่ตัว ไม่สนใจใคร นอกจากตัวเอง และ...” คู่นอน คำนี้ไม่มีเสียงดังออกมา แต่คนที่รู้ไส้รู้พุงกันดี ก็พอจะอ่านออก มือของจรัสแขกำเข้าหากัน พร้อมมองศัตรูหัวใจอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ

ธาราธารที่ยืนฟังทุกอย่างอยู่ เริ่มจะจับใจความได้บ้างแล้ว ว่าคนเป็นแม่ต้องการให้เธอทำอะไร คำว่าตัวตายตัวแทนนั่นแปลเป็นอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากเธอไม่ได้เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป ต้องไปเป็นคนอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็คือพี่สาวต่างแม่ ที่หายตัวไป

“มี่เห็นด้วยกับคุณเลอค่ะ” มีลักขณาเอ่ยออกมาหลังจากที่ได้ฟังการโต้เถียงกัน และเริ่มจะรู้ว่านางเอกดังมีน้องสาวต่างแม่ด้วย แต่ใครจะเป็นใครตอนนี้ไม่ใช่ปัญหาของเธอ เพราะรูปลักษณ์ที่เหมือนกันราวกับเป็นคนๆเดียวกันแบบนี้ เป็นผลดีต่อเธอ แม้จะมีความกลัวแฝงอยู่ แต่เธอก็ต้องเสี่ยง “มี่ว่า เราควรจะทำอย่างที่คุณเลอว่านะคะ”

รัศมีแขตวัดสายตามองอย่างไม่พอใจ น้ำเสียงที่พูดออกมาก็ไม่ต่างกัน “เรื่องภายในครอบครัวฉัน เหลือบรินไรที่อาศัยเกาะลูกฉันอยู่ อย่าเสนอหน้าเข้ามายุ่ง"

“ไม่ ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะเม็ดเงินจากงานที่น้องน้ำรับไว้มีค่ามากมาย ถ้าปล่อยให้หลุดมือไป ทุกคนจะลำบากนะคะ”

มีลักขณาบอก เพราะนอกจากเธอจะดูแลนางเอกดังแล้ว ยังดูแลค่าใช้จ่ายในตระกูลนี้ด้วย จึงรู้ว่าแต่ละเดือนนั้นเป็นเงินมากแค่ไหน และคนที่ใช้มากที่สุดก็คือคนที่ดื้อเพ่งอยู่ตอนนี้ อะไรที่ถูกใจ ไม่ว่าจะแพงแค่ไหน นางก็จะขอลูกทันที

นางจรัสแขนิ่งไปกับความจริงที่พอจะรู้อยู่แก่ใจ คนอื่นๆก็ไม่ต่างกัน เงินที่มีอยู่อาจจะทำให้อยู่อย่างสบาย แต่ไม่เท่าไรก็หมดไป เพราะมีแต่คนใช้ไม่มีคนหา และถ้าหาตัวลูกของนางไม่พบ หรือไม่กลับมา ทุกคนก็จะต้องลำบาก ไม่ใช่แค่ไม่มีจะกิน แต่อาจถึงขั้นล้มละลายไปด้วย

“แล้วถ้ามีคนจับได้ขึ้นมาละคะ” นางพุดถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าทุกคนนิ่งราวกับจะยอมรับ

“คงยาก หรือไม่ก็จับไม่ได้เลย ขนาดทุกคนที่นี่ เลี้ยงดู ดูแล เห็นน้องมาตั้งแต่ยังเล็กๆ ยังจำไม่ได้เลย แล้วคนนอกหรือจะจำได้ ไม่มีทางแน่นอนค่ะ หรือแม้แต่มี่เอง ถ้าไม่ได้มานั่ง รู้เห็นแบบนี้ ก็จำไม่ได้เช่นกัน ที่สำคัญไม่มีใครรู้ว่าน้องน้ำ มีน้องสาว ทุกคนรู้ว่าเธอเป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่น้อง”

คำพูดของมีลักขณาสร้างความพอใจให้เลอรัศมี และเมื่อไม่มีใครขัดแย้งอีก เธอก็ขอให้คนที่มีอำนาจสูงสุดเป็นผู้ตัดสิน “คุณแม่จะว่ายังไงละคะ จะยอมทำอย่างที่เลอว่า หรือจะยอมให้ทุกอย่างพัง ตระกูลล้มละลาย เพราะไม่มีเงินมาใช้จ่าย”

คุณหญิงทองจันทร์มองไปที่หลานสาว ที่ยืนนิ่งไม่พูดอะไรตั้งแต่มาถึง แต่คงจะรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร จึงไม่ต้องบอกซ้ำหรืออธิบายอะไรอีก “ธารามาหาย่าซิ” ท่านเรียก หญิงสาวก็เดินมาหา มานั่งแทบเท้าท่าน ยกมือกราบที่เข่า แล้วหันไปไหว้แม่เลี้ยง นางพุด และมีลักขณา ซึ่งยกมือรับไหว้ พร้อมกับยิ้มให้อ่อนๆ แต่จรัสแขเมินหน้าหนีทันที
หญิงสาวหันหน้ากลับมามองคนเป็นย่า ซึ่งพิจารณาความละม้ายคล้ายเหมือนกับคนที่หายไปยังกับเป็นคนๆเดียวกัน ก็เห็นว่ามีที่แตกต่างเช่นไฝเล็กๆบนใบหน้า นัยน์ตาที่อีกคนดูหม่นเศร้า แต่คู่นี้สดใส คิ้วคนโน้นหนา แต่คนนี้บาง ท่านเก็บทุกอย่างไว้ใต้ความนิ่ง แล้วบอกว่า “ย่าขอโทษที่ไม่ได้ไปรับ มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น ซึ่งแม่เราคงบอกให้รู้แล้ว”

“ยังค่ะ แม่ยังไม่ได้บอกอะไร”

จรัสแขถึงกับเบ้ปากอย่างไม่เชื่อ ขณะที่คุณหญิงแปลกใจ จากที่ไม่คิดจะอธิบาย ท่านจึงต้องอธิบาย “พี่สาวเราหายตัวไปตั้งแต่เมื่อคืน จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ข่าวคราว ตามหาควานหาก็แล้วก็ยังไม่เจอ จึงได้แต่เป็นกังวลและทุกข์ใจกันอยู่ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือภาระหน้าที่ๆต้องรับผิดชอบ คือการเป็นนางเอกดัง กำลังทำให้เราทุกคนที่นี่ลำบาก อย่างที่เราได้ยินนั่นแหละ แต่ย่าจะไม่บังคับเรา และไม่ต้องกลัวว่าใครจะว่าอะไรเรา ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราว่าจะทำหรือไม่ทำ”

“ทำค่ะ”
**********
สายลมพัดน้ำทะเลให้เป็นคลื่นมากระทบเรือ ที่ลอยเคว้งอยู่กลางมหาสมุทรให้โคลงไปมา แต่ไม่มีผลกับชายสองคนที่อยู่บนเรือ คนหนึ่งนั่งพิงกาบเรือ ใช้ลิ้นดุนไม้จิ้มฟันที่คาบอยู่ที่ปากเล่น ส่วนอีกคนก็ยืนกอดอกอยู่บนหัวเรือ ดวงตามองไปไกล ไม่สนใจความระยิบระยับของแสงแดด กับนกนางนวลที่บินล้อเล่นกับยอดคลื่น เพราะมีเรื่องให้คิดนั่นเอง ความเงียบที่มีมานาน ทำให้คนที่นั่งอยู่เริ่มเบื่อ ยันตัวขึ้นนั่งบนกาบเรือ ดึงไม้จิ้มฟันออกจากปาก แล้วพูดขึ้น

“คิดมากเรื่องที่ได้ยินมาเหรอกัปตัน” ฉลามถามออกมา เพราะตั้งแต่ได้ยินคำว่า ‘ฆาตกรรม’ จากปากหญิงสาวนิรนามที่ช่วยขึ้นมาจากทะเล ก็ไม่พูดอะไร เดินมายืนมองฟ้ามองน้ำมองนกอยู่นานแล้ว ส่วนหญิงสาวก็ปล่อยให้หมอดูแลไป

“ฉันเป็นอย่างนั้นเหรอ” เสียงถามโดยที่ไม่หันมามอง

“นิ่งเป็นหุ่นแบบนี้ ถ้าไม่ใช่ก็ไม่รู้จะว่าไงแล้วกัปตัน”

“สมองปลาจริงๆ”

“อ้าว ว่าหลามฉลาดเสียงั้น” มันเปลี่ยนคำประชดมาเข้าข้างตัวเองหน้าตาเฉย ซ้ำยังกวนออกมาอีกว่า “ขอบคุณคร้าบ” มันลากเสียงยาวให้ขำๆ ผ่อนคลายความคิดเครียดของเจ้านาย ที่ปากร้ายแต่ใจดี ไม่เคยทำร้ายมันอย่างที่พูดสักที

“งั้นก็เอาความฉลาดแกออกมา คิดให้ทีซิว่าในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ฉันควรจะคิดเรื่องไร้สาระนั่นแทนจะคิดเรื่องตัวเองไหม”

“ใจร้าย ว่าคนสวยของเขาไร้สาระ” มันล้อเล่นหน้าเป็น แล้วทำเสียงขรึม “ขนาดไม่คิด แต่พูดเสียจนเธอเงียบไปแบบนั้น เขาเรียกว่าคิดแล้วครับกัปตัน และควรแบ่งสมองมาคิดอีกสักนิดก็ดีนะ เพราะเราอาจจะพลอยซวยไปกับเธอด้วย”

“สาธยายมา”
“ผู้หญิงนิรนามที่เราไม่รู้หัวนอนปลายตีน แต่จู่ๆก็โดนจับมาโยนลงทะเล หน้าตาสวยผิวพรรณดี แบบนี้ไม่ใช่ลูกตาสีตาสาแน่นอน ต้องเป็นลูกของคนมีอันจะกินหรือไม่ก็อีหนูของใครสักคน จึงถูกกำจัด มาโยนทะเลลึกแบบนี้ เป็นการจัดการโดยที่ไม่ให้เหลือร่องรอย ไม่ให้เดือดร้อนทีหลัง แต่เรากลับมาเจอ ถ้าคนทำหรือคนสั่งรู้เข้า โดนหมายหัวแน่นอน”

“แกกลัวเหรอ”

“กลัวที่ไหน รออยู่ต่างหาก ยิ่งช่วงนี้ดวงตกพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก ให้มีเรื่องไม่หยุดหย่อน คันมือคันตีนอยากปะฉะดะ ใครก็ได้ที่แหยมเข้ามา ห่วงแต่กัปตันนี่แหละเนื้อไม่ได้กินหนังไม่ได้เอามารองเล่นไพ่ แต่เอากระดูกมาแขวนคอ จะทำให้ซวย ถูกเด็ดปีกกลายเป็นไข่ในหิน ไม่ได้บินอย่างอิสรภาพอีกแล้ว”

“เพราะปากแกไงที่สว่าง”

“เรื่องนี้หลามไม่เกี่ยวนะ องค์อินทร์ท่านรู้เพราะสายตาที่กว้างไกลต่างหาก แต่ไปถึงพสุธาเมื่อไรหลามจะไปเจรจาให้ท่านเห็นใจ คืนอิสรภาพให้กัปตัน”

“ฉันว่าแกจะถูกเผ่นกะบาลมากกว่า”

“นั่นนะซิ เป็นถึงหลานรัก เลี้ยงมาอย่างเทวดา ใครจะแตะต้องได้ เห้อ!” มันแสร้งถอนหายใจออกมา แล้วถามต่อว่า “ว่าแต่ถ้าเราถึงพสุธาแล้วกัปตันจะทำยังไงกับผู้หญิงนิรนาม”

“ทางใครทางมัน ไม่ได้ง่อยเปลี้ยเสียขา ไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่จำเป็นต้องอุ้มชูหรือดูแล”

“ก็จริง แต่ไม่กลัวว่าเธอจะถูกฆาตกรรมให้ตายไปจริงๆเหรอกัปตัน พนันได้เลยว่า คราวนี้เธอคงจะไม่รอด” พูดจบก็หันไปมองคนที่เดินตรงมาหา ซึ่งก็ไม่ใช่ใคร หมอปลานั่นเอง กัปตันที่รับรู้ถึงการมาก็หมุนตัวมามอง

หมอปลาสบตาทั้งสองคน และถามถึงคำพูดที่ไม่ได้ยินเมื่อกี้ “กัปตันจะไม่ช่วยเธอจริงๆเหรอ”

“ถูกขอร้องมาเหรอหมอ”

“เปล่าครับ เธอไม่ได้พูดอะไร แม้แต่ชื่อก็ยังไม่รู้”

“งั้นก็อย่าแกว่งตีนไปหาเสี้ยนให้ถูกด่าว่าเสือกอีก รอเวลาขึ้นฝั่งแล้วฉันจะสะสางปัญหาของฉันเสียที ปล่อยให้พวกมันยิ้มร่าอยู่บนความชั่วที่ได้ทำมาพอแล้ว ถึงเวลาฉันจะเหยียบหางให้ร้องหมาสักที คนบนฝั่งส่งข่าวเรื่องพวกมันมาบ้างหรือยัง”

“ยังครับ พวกมันคงปิดข่าว ไม่งั้นจะเสียชื่อ เสียไปถึงธุรกิจของพวกมัน”

“ป่านนี้ไอ้เจ้าของเรือคงหัวหด เพราะกลัวโดนนายเชือด ที่ของมูลค่ามหาศาลนั้นถูกฉันทำลายเสียหายเกือบทั้งหมด”
“พวกมันก็คงหมายหัวกัปตันเช่นกัน ป่านนี้อาจจะตามล่าอยู่ การขึ้นฝั่งของเราคงต้องระวัง อาจมีพวกมันดักอยู่ก็ได้”
“ด้วยความยินดี เพราะฉันก็อยากจะเด็ดหัวมันเหมือนกัน”

“แล้วถ้าฉันอยากจะให้เด็ดหัวอีกสักคน จะทำให้ได้หรือเปล่า”

เสียงหญิงสาวที่ดังขึ้น ทำให้ผู้ชายสามคนหันไปมอง แล้วปรายตามองหน้ากันเพราะคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงมีท่าทีหมดอาลัยตายอยาก ไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไปแล้วก่อนหน้านี้ จะกล้าหาญมายืนอยู่ตรงหน้า แววตานิ่งสงบไม่บ่งบอกความรู้สึกใด ทั้งๆที่คำพูดนั้นโหดร้ายนัก

“มีค่าหัวให้หรือเปล่า” ไอ้หลามถามออกมา

“จะขึ้นฝั่งกันไม่ใช่เหรอ ถึงเมื่อไร ฉันก็มีให้เมื่อนั้น”

“พี่หลามไม่อยากได้เงิน แต่อยากได้ ...” ฉลามเล่นเล่ห์ทั้งที่ไม่คิดจะจริงจัง แต่ทำให้หญิงสาวกล้าเผชิญกับชะตากรรมมาแล้ว ซึ่งเธอก็เข้าใจความนัยของมันแต่ไม่สนใจ เดินไปยืนตรงหน้ากัปตันฝีปากร้าย สบตาคมกล้าอยู่หลายอึดใจ ก็พูดออกมา “ฉันให้ค่าหัวเท่าค่าตัว จะรับไหม”

“ไม่” คำตอบชัดเจน แต่หญิงสาวยังถามย้ำออกมาเสมือนได้ยินไม่ชัด

“แน่ใจ”

ไม่มีคำพูดซ้ำ แต่สายตานั้นยืนยันชัดเจน แววเยาะหยัดเหยียดหยามจึงเกิดขึ้นบนใบหน้าเธอ เท่านั้นยังไม่พอยังมีคำพูดประณามออกมาด้วย “กาก แหย นี่เหรอกัปตัน ฮึ ตุ๊ดเสียไม่มี”

สิ้นเสียงพูด ร่างอรชรก็ถูกมือกัปตันหิ้วไปที่กาบเรือ แล้ว...หมอกับไอ้หลามรู้ว่าเขาจะทำอะไร ได้แต่ร้องเรียกเพื่อห้าม “กัปตัน” แต่ไม่ทันเสียแล้ว

“ว้าย... ตูม”
**********
ภายในห้องโถงของตระกูลธรธาราทุกคนยังนั่งยังอยู่ คุณหญิงยิ้มให้อ่อนๆ พอใจกับคำตอบของธาราธาร เพราะอย่างน้อยก็แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน ไม่ต่างจากมีลักขณาที่คิดแบบเดียวกัน ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ ส่วนเลอรัศมีนั่นไม่ต้องพูดถึง นางยิ้มด้วยความยินดีมากกว่าใคร เพราะทุกอย่างเป็นไปอย่างที่คิดไว้

นางตวัดสายตาไปมองเย้ยจรัสแข ซึ่งหน้าตึงขึ้นด้วยความคับแค้น อยากจะเกรี้ยวกราดออกไปว่าไม่ยอม แต่เมื่อคิดถึงหลักความจริงเรื่องความเป็นอยู่ นางก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่กำมือจนเล็บจิกเนื้อ เพราะเจ็บปวดกับความรู้สึก ที่นางต้องพ่ายแพ้คนที่ทำลายชีวิตครอบครัวนางให้พังไปอีกครั้ง

“แล้วถ้าคุณน้ำกลับมาละคะ” นางพุดถามอย่างสงสัย ทุกคนจึงกลับมาคิดถึงเหตุการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ความห่วงกังวลกลับมาถาโถมใจของคุณหญิงกับนางจรัสแข ซึ่งได้ทียิ้มเย้ยนางเลอรัศมีกลับไป

“ตัวตายตัวแทนก็ต้องถูกเฉดหัวออกไป เพราะตัวจริงผงาดขึ้นมานะซิ” ว่าแล้วก็หันมามองลูกเลี้ยง จ้องเขม็งและข่มขู่ออกไปว่า “อย่าคิดว่าจะสวมรอยเป็นยัยน้ำตลอดไป ฉันไม่เอาเธอไว้แน่”

“ธาราไม่ทำอย่างนั้นหรอกค่ะ ถ้าพี่น้ำกลับมาธาราก็จะดีใจมาก และจะถอนตัวออกมาทันที ไม่ให้ใครสงสัย หรือจับผิดได้เลยค่ะ”

“ดี และก็จำพร้อมระลึกไว้ทุกลมหายใจด้วยว่าเธอมันแค่ตัวตายตัวแทน ไม่ใช่ตัวจริง!” ว่าแล้วก็ตวัดสายตาไปที่นางเลอรัศมี หยันใส่หน้าว่า “ช่างประจวบเหมาะเหลือเกินนะ ที่พอลูกฉันหายไป ลูกเธอก็โผล่มา ราวกับเตรียมทุกอย่างไว้ให้พอดี”

“นี่คิดว่าเป็นแผนของฉันเหรอ”

“กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง”

“ปากใครท้องใคร ก็รู้กันเอง และฉันไม่เกี่ยวแน่นอน เราต่างก็รู้ว่าธาราจะกลับมาวันนี้เป็นเดือนแล้ว ไม่ได้กลับมาทันท่วงทีเสียหน่อย”

“เธอก็เลยมีเวลาวางแผน”

“เธอนี่ช่างปั้นน้ำเป็นตัว แต่เอาเถอะ ถ้าคิดแล้วสบายใจก็แล้วแต่ละคิด”

จรัสแขมองอย่างสุดแค้น กำมือข่มความรู้สึกที่อยากจะอาละวาดไว้สุดความสามารถ แต่เสียงยังเค้นอย่างอาฆาตออกมาว่า “อย่าให้ฉันรู้นะว่า ที่ยัยน้ำหายไป มีใครเกี่ยวข้องด้วย ฉันจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด” พูดจบก็เดินตัวตรงออกไปจากห้อง โดยไม่รู้เลยว่าคนที่ขู่ไว้นั้น ไม่ได้หวาดหวั่นสักนิด เพียงแต่เก็บไว้ในใจไม่ได้แสดงออกมาให้ได้รู้เท่านั้น

เมื่อตัวปัญหาพ้นออกไปจากห้อง ทุกคนพากันผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ แต่บรรยากาศก็ไม่ได้ปลอดโปร่งเลย เมื่อปัญหาไม่ได้หมดไปทีเดียว แต่ต่างก็เก็บงำกันไว้ คุณหญิงทองจันทร์ยิ้มให้หลาน แล้วบอกว่า “ย่าขอบใจธารามากที่ทำเพื่อทุกคน มาถึงเหนื่อยๆ ไปทานข้าวเถอะ ย่าให้พุดทำของอร่อยๆไว้ให้เยอะแยะ แล้วจะได้ไปพัก”

“คงไม่ได้หรอกค่ะ คุณหญิง” มีลักขณาบอกอย่างเกรงๆ “คือ อย่างที่มี่บอกไปก่อนหน้านี้ ว่าบ่ายนี้น้องน้ำมีถ่ายละคร และตอนนี้เวลาก็ใกล้มากแล้ว มี่ต้องรีบพาน้องธาราไปกองถ่าย ระหว่างเดินทางก็จะได้อธิบายเรื่องงานและการแสดงให้น้องได้รู้ ซึ่งคงต้องใช้เวลาเพราะน้องยังใหม่มาก”

“งั้นเหรอ แล้วธาราจะไหวหรือเปล่า” เสียงคุณหญิงมีความเป็นห่วงออกมา ธาราธารยิ้มกว้างก่อนจะบอกว่า

“ไหวค่ะ ธาราไม่เหนื่อย และจะทำหน้าที่แทนพี่น้ำให้ดีที่สุด คุณย่าไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”

“ขอบใจมาก ย่าฝากด้วยแล้วกัน และถ้ายัยน้ำกลับมา ย่าจะให้รีบไปเปลี่ยนตัวให้เร็วที่สุด”

ธาราธารยิ้มอย่างยินดี แต่ในใจไม่ได้ปรีดีด้วยเลย เพราะสุดท้ายแล้วคนเป็นย่าก็ยังหน่วงทุกอย่างไว้ให้พี่สาวต่างแม่ของเธอนั่นเอง ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยเลยที่จะได้เป็นหนึ่งในสายตาท่าน ตอนเด็กนั้นเธอไม่รู้สาเหตุ แต่พอโตขึ้นเธอก็เริ่มรู้และเข้าใจว่าเพราะแม่เธอมา...ทีหลัง

นางเลอรัศมีก็มีความคิดบางอย่างไม่ต่างจากคนเป็นลูก แต่แสดงความไม่พอใจออกมาไม่ได้ ต้องหน้าใสใจซื่อเก็บทุกอย่างไว้ในใจ เพราะตอนนี้โอกาสแรกของนางและลูกมาถึงแล้ว การก้าวไปอยู่ข้างหน้า ไม่ใช่เป็นที่สองรองอยู่ข้างหลังอย่างที่ผ่านมา

คุณหญิงทองจันทร์ปล่อยลมหายใจที่อัดแน่นอยู่ในอกออกมา ปัญหาเฉพาะหน้าถูกแก้ไขออกไปได้แล้ว แต่ท่านหาได้สบายใจไม่ กลับรู้สึกว่าจะต้องมีปัญหาใหญ่ตามมาอีกแน่นอน แต่จะเป็นอะไรนั้นท่านก็สุดจะคาดเดา และความคิดที่จะไปหาเพื่อนเก่า ก็ต้องหยุดไว้ก่อน เมื่อสังหรณ์ใจว่าหลานที่หายไป จะกลับมา


“กัปตัน”

เสียงหมอปลาดังแทรกเสียงคลื่น ลม และนกนางนวลที่บินวนเวียนอยู่รอบเรือประมงที่ลอยลำอยู่กลางทะเล แต่คนถูกเรียกจะหันมาตามเสียงเรียกหรือก็ไม่ ร่างสูงยังคงยืนนิ่ง ดวงตามองตรงไปข้างหน้า ราวกับปลายฟ้าที่ไกลสุดสายตามีอะไรน่าสนใจ มากกว่าจุดดำๆที่ลอยอยู่ในน้ำ

หมอปลาจึงต้องเดินไปหาฉลาม ที่ยืนมองหญิงสาวที่ถูกจับโยนให้ไปลอยคออยู่ในทะเล จะลงไปช่วยก็เกรงสายตากัปตันที่เห็นแล้วหนาวไปถึงไขสันหลัง จึงช่วยได้แค่โยนห่วงยางที่ผูกเชือกไว้ ไปให้เธอเกาะพยุงตัวไม่ให้ถูกกระแสน้ำพัดพาไปเท่านั้น

“ไหวอยู่” ฉลามบอกให้หมอคลายความเป็นห่วง ซึ่งก็ตบบ่าขอบใจมัน แล้วเดินกลับมายืนตรงหน้ากัปตัน บดบังทุกอย่างที่เขาสนใจ จนดวงตาคมละมาสบตาก็พูดขึ้นมา

“จะปล่อยเธอไว้อย่างนั้นเหรอ”

“ฉันมัดมือหมอไว้หรือไง”

หมอปลาอึ้งไปกับคำพูดที่คาดไม่ถึงว่าจะหักเหลี่ยมเฉือนคมซ่อนกลไว้ของกัปตัน ที่คิดเป็นอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากว่าไม่ได้ห้ามไม่ให้ช่วย จึงหันไปจะบอกฉลาม แต่มันเร็วกว่าปากเขา กำลังดึงเชือกช่วยเธอขึ้นมา เขาก็หันมามองหน้าคม “จับเธอโยนน้ำแบบนั้น มันรุนแรงเกินไปนะกัปตัน”

“ยังน้อยไปด้วยซ้ำ กับคำปรามาสนั้น”

“เธอแค่โมโหมากกว่าจะหมายความตามนั้นจริงๆ”

“เข้าข้างกันจริงนะหมอ ฉันแตะนิดหน่อยไม่ได้ เป็นอะไรกันเหรอ”

“ไม่ได้เป็นครับ แค่สงสาร และกัปตันก็ควรจะอ่อนโยนกับผู้หญิงบ้าง ชีวิตจะได้ไม่กระด้างมากนัก ระวังจะเข้าข่าย แรกๆก็ชังหลังๆก็รักนะครับ”

“ไม่ใช่ฉัน”

“ลืมสายเลือดที่เข้มข้นอยู่ในตัวแล้วหรือครับ บรรดาเสือๆในตระกูล เป็นลูกไม้มักจะหล่นไม่ไกลต้น”

“อย่ารู้ดีหมอ”

“รู้จากประสบการณ์ต่างหาก” หมอบอกแม้จะเพิ่งเข้ามาทำงานรับใช้ตระกูลนี้ แต่กิติศักดิ์ก็พอจะได้ยินมาบ้าง ก็ได้แต่ยิ้มขำอยู่ในใจ แล้วหันไปมองฉลามที่ดึงหญิงสาวขึ้นมาบนเรือ แต่แทนที่เธอจะตัวสั่นงันงกเพราะหนาว กลับก้าวพรวดๆตรงมาหา แล้วเหตุการณ์ที่เขาคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ฝ่ามือบางยกขึ้นฟาดลงบนใบหน้ากัปตัน แต่เขายกมือขึ้นรับไว้ได้ทัน ดวงตาคมกระด้างและบีบข้อมือบางอย่างแรง ใบหน้างามบิดเบ้เพราะ... เจ็บ ... ไม่มีเสียงร้องหรืออ้อนวอนใดๆทั้งนั้น เพราะเมื่อเธอโกรธก็ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมหรือหน้าไหนทั้งนั้น นอกจากคำคับแค้นแน่นใจที่พูดออกมา

“สารเลว คิดจะฆ่าฉันใช่ไหม”

“คิดได้แค่นี้เหรอ หรือน้ำทะเลไม่ได้ทำให้ใจเย็นลงหรือไง หรือเพราะเป็นคนแบบนี้ จึงได้ถูกฆาตกรรม”

คำพูดที่เหมือนจี้ไปกลางใจทำให้แววตาของหญิงสาวกร้าวอย่างกราดเกรี้ยว จนหมอกลัวว่าเธอจะสติแตกอาละวาดมากยิ่งขึ้น แต่กลับผิดคาดเมื่อเธอกระชากมือกลับมา แล้วหันหลังเดินไปนั่งอยู่กลางลำเรือ

หมอปลาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ขณะที่กัปตันก็หันไปสั่งฉลามที่เดินมายืนดูเหตุการณ์ ให้ไปถอนสมอ แล้วเดินไปยังห้องเครื่อง บังคับเรือให้วิ่งฝ่าคลื่นไป

เวลาเคลื่อนผ่านไป หญิงสาวยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ไม่อนาทรกับแสงแดดที่ระยิบระยับจับจ้า เสื้อผ้าที่เปียกแห้งหมาดไปแต่เธอยังนั่งนิ่ง ปล่อยความคิดไปพร้อมกับการเหม่อมองกลุ่มเมฆสีขาวล่อยลองกลางท้องฟ้าสีคราม ความสวยงามสะท้อนกับน้ำทะเลราวกับเป็นกระจกเงา และนั่นทำให้ความหลังที่ฝังลึกอยู่ในใจผุดขึ้นมา

‘คุณทำอย่างนี้ได้ยังไง” เสียงสั่นพร่าเพราะความข่มขื่นของผู้หญิงคนหนึ่ง ถามผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าในห้องโถงของตึก ใบหน้าถึงจะยังไม่มีคราบน้ำตา แต่ก็ร้าวรานอย่างเห็นได้ชัด “พาอีผู้หญิงคนนั้นเข้ามาเหยียบย้ำหัวใจฉันถึงในบ้าน แค่นั้นยังไม่พอยังมีลูกกับมันด้วย’

‘ผมรักเขา’

กรี๊ด!!! เสียงกรีดร้องดังราวสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะหันไปกระชากเด็กหญิงคนหนึ่ง ที่ยืนแอบอยู่ข้างหลังออกมา ผละให้ยืนตรงหน้า ‘แล้วฉันกับลูกละ คุณไม่รักแล้วหรือไง’

‘รัก แต่รักของผมกับคุณมันจบลงไปแล้ว’

กรี๊ด !!! เสียงกรีดร้องดังขึ้นมาอีกครั้ง แล้วเด็กหญิงก็ถูกเหวี่ยงลงไปกองกับพื้น ผู้หญิงก็ถลาเข้าไปทุบตีด่าทอคนที่สร้างเจ็บปวดให้ โดยไม่สนใจเสียงร้องไห้ของเด็กหญิงเลย

น้ำตาไหลออกมาจากทั้งๆที่สีหน้านิ่งเฉย แต่แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเพราะภาพเหล่านี้ไม่เคยหายไปจากความทรงจำ ตอกย้ำด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก และเจ็บซ้ำมากขึ้นเมื่อคิดถึง เปลือกตาปิดลงเพื่อลบภาพพวกนี้ออกไป แต่ภาพความเจ็บปวดอันใหม่ที่แวบเข้ามาทำให้เปลือกตาต้องเปิดขึ้นมาอีกครั้ง

ลานจอดรถของคอนโด ชายสองคนเดินผ่านตัวไป เธอไม่มีความสนใจเพราะคิดว่าเป็นคนทั่วไป แต่เพียงคล้อยหลังเท่านั้น ก็มีมือมาล็อกคอ ปิดปาก ลากตัวไปยัดใส่รถ โอกาสจะดิ้น จะร้อง ไม่มี ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็ว และก่อนที่สติจะหมดไปเสียงเดียวที่ได้ยินคือ...ไป !!!

พวกมันเป็นใคร!!!

ทำไมถึงจับเธอมาโยนทะเล!!!

คำถามผุดขึ้นมา ดวงตาที่เจ็บปวดเปลี่ยนเป็นกร้าวกระด้าง เมื่อคิดว่าพวกมันตั้งใจฆ่าเธอ จากที่หมดอาลัยตายอยาก ไม่อยากจะต่อสู้ดิ้นรนอะไรอีกแล้ว ทำให้เธอต้องเข้มแข็งขึ้นมามีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อให้คนที่มันทำร้ายเธอ ได้ตายทั้งเป็น การที่ไม่เห็นเธอตาย พวกมันต้องทุรนทุราย และมันต้องกลับมาหาเธออีกครั้ง เพื่อไม่ให้เธอตามมาหลอกหลอนหรือเอาพวกมันลงนรก

การต่อรองจึงแวบขึ้นมา เธอเดินไปหาคนที่มีอำนาจสูงสุดบนเรือ แต่เขากลับเลือดเย็น เห็นข้อเสนอของเธอเป็นขยะที่ไม่มีค่า ไม่คิดจะช่วยซ้ำยังเหยียดหยันด้วยแววตา จนนิสัยสีเทาที่ไม่ยอมให้ความเจ็บปวดใดมาทำร้ายตัวเองได้อีก ต่อว่าเขาไปแบบนั้น และเธอจะไม่ยอมให้ทุกอย่างจบลงแค่นี้ !

สายตาที่เหม่อมองไปไกลดึงกลับมาสนใจตัวเอง นับตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมา เธอไม่ได้สนใจตัวเองเลย ตอนนี้เลยได้เห็นว่าชุดที่ใส่อยู่ถูกเปลี่ยนออกไป มีแต่เสื้อเชิ้ตตัวใหญ่กับกางเกงหลวมๆมีไหมฟางรัดไว้ที่เอว มาใส่ให้แทน ส่วนใครจะเป็นคนเปลี่ยนให้ เธอไม่ใส่ใจ เพราะกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
เธอมองไปรอบๆเรือที่นั่งอยู่ สภาพของเรือที่เก่าขัดกับเจ้าของที่ดูดุดัน กัปตันที่เธอไม่รู้ว่าชื่ออะไร น่าเกรงขาม มีอำนาจชนิดที่ชายสองคนนั้นยอมสยบ ความปราณีหรือมีน้ำใจนั้นเธอเจอมาแล้วว่าไม่มี แม้แต่เธอที่เป็นผู้หญิง ถูกอุ้มมาฆ่าก็ยังไม่น่าสงสาร จับเธอทิ้งลงทะเล

น้ำทะเลเย็นๆช่วยให้สติของเธอกลับมา และรู้ว่าที่เขาทำไม่ใช่เพื่อการฆ่า แต่เพื่อสั่งสอน ซึ่งถ้าเป็นเธอโดนปรามาสขนาดนั้น ก็ไม่ยอมเหมือนกัน

คนที่เธอนึกถึงปล่อยพวงมาลัยเรือให้ฉลามบังคับต่อ หมุนตัวมามองหญิงสาวที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม ยกมือขึ้นกอดอกพร้อมกับคิดถึงการต่อรองของเธอ คงจนตรอกมองไม่เห็นทางที่จะแก้แค้นไอ้คนที่อุ้มมาฆ่า ถึงได้เสนอมาแบบนั้น แต่เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลย และไม่ชอบที่เธอเอาความตายมาบีบบังคับเขา ความสงสารที่ควรจะมีให้จึงกลายเป็นความกระด้าง และท่าทางอวดดีแทนที่จะเจียมตัว ยิ่งทำให้เขาต้องการที่จะสั่งสอน ทั้งๆที่ไม่เคยใส่ใจกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน

“กัปตันจะปล่อยให้เธอนั่งตากแดดอยู่อย่างนั้นเหรอ” เสียงหมอผู้มีสัตยาบรรณในการช่วยชีวิตคน ถามคำถามเดิมๆ หลังจากที่ลงไปทำเครื่องดื่มเย็นๆมาให้คนเป็นนาย กลับมาเห็นหญิงสาวยังนั่งอยู่ที่เดิม กัปตันก็ยังนิ่งไม่ต่างจากเดิม หมอวางถาดเครื่องดื่มบนโต๊ะตรงหน้า แล้วมองหน้ากัปตันที่ตอบออกมาด้วยเสียงที่เฉยชาว่า

“คนไม่รักชีวิต จะอยู่ตรงไหนก็เหมือนกัน”

“แต่เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาวและเพิ่งผ่านความตายมา อาจจะเป็นอะไรไปง่ายๆ”

“อย่าเอาความสงสารมาต่อรองหมอ ฉันไม่มีอานิสงส์ใดๆให้คนไร้ความคิด”

“เธอคิดได้แล้วต่างหาก” หมอปลาแย้งแล้วให้เหตุผลว่า “ถ้าคิดไม่ได้ คงไม่เอาชีวิตของตัวเองมาต่อรองกับกัปตันทั้งๆที่ไม่รู้จักกันเลย”

“แบบนั้นเขาเรียกว่าสิ้นคิดมากกว่า วางใจคนที่รู้หน้าไม่รู้ใจ ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน ถ้าเจอเจอพวกกักขฬะกลัดมันเข้าไป สุดท้ายจะเป็นการหนีเสือปะจระเข้โดยไม่รู้ตัว”

“ก็จริง แต่สำหรับเธอที่เหมือนหมดสิ้นแล้วทุกอย่าง คงเห็นกัปตันเป็นฟางเส้นสุดท้าย ยังไงก็ต้องคว้าไว้ก่อน อนาคตข้างหน้าค่อยว่ากันอีกที”

“อ่านเธอออกขนาดนั้นเลยเหรอหมอ”

หมอปลายิ้มนิดที่มุมปาก แล้วบอกว่า “ถ้าอยู่ในสถานการณ์แบบเธอ ก็คงต้องทำแบบเดียวกัน”

“แต่ฉันจะไม่สงเคราะห์เธอ แค่มีคุณธรรมอย่างที่หมอประชดไว้ก็พอ ฉันจะดูแลไม่ให้ตายไปต่อหน้าต่อตาเท่านั้น แต่เมื่อพ้นไปจากเรือ ก็ทางใครทางมัน” พูดจบร่างสูงก็เดินลงไปข้างล่าง แต่หางตาเห็นร่างอรชรลุกขึ้นเดินมาหา จึงยังยืนนิ่งกระทั่งเธอเดินมายืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าสวยแต่ซีด สายตาปรายไปมองหน้าหมอก่อนจะเลื่อนมามองเขา การเดิมพันสิ้นสุดลงแล้ว และเมื่อเขาไม่ช่วย เธอก็ต้องช่วยตัวเอง

“เรือนลำนี้จะไปไหน” เสียงถามนิ่งพอๆสีหน้า กัปตันที่หน้านิ่งไม่ต่างกัน จึงบอกให้รู้แต่ไม่ใส่ใจว่า

“ขึ้นฝั่ง”

อันนี้เธอรู้แล้ว แล้วที่ถามคืออยากรู้ว่าเขาจะขึ้นฝั่งที่ไหน เพื่อจะได้รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไป แต่เมื่อเขาตอบแค่นี้ เธอก็ไม่ขยาย นอกจากจะถามต่อว่า “จะถึงเมื่อไร”

“พรุ่งนี้”

“ขอบคุณสำหรับคุณธรรม” เสียงที่บอกออกมาแสดงว่าเธอได้ยินที่ทั้งคู่พูดกันเมื่อกี้ หมออมยิ้มนิดๆ แล้วฟังเสียงของเธอที่พูดออกมาอีกว่า “ถ้ามีโอกาส ฉันจะตอบแทน เพื่อไม่ให้เป็นหนี้บุญคุณติดค้างกันอีก” บอกแล้วจะเดินผ่านไป แต่เสียงเข้มๆของกัปตันหยุดไว้เสียก่อน

“ไม่จำเป็น”

“จำเป็น อย่างน้อยตัวฉันจะได้ดูมีค่าขึ้นในสายตาของคนที่ไม่มีค่าในสายตาฉันเช่นกัน”

“พอฉันไม่ช่วย ก็ตีว่าไร้ค่ากันเลยเหรอ”

“พอฉันไม่สู้ คุณก็ตีว่าฉันไร้ค่าเหมือนกันไม่ใช่เหรอ คุณตัดสินฉันโดยที่ไม่รู้จัก แล้วทำไมฉันจะตัดสินคุณบ้างไม่ได้”

“ได้ แต่ควรจะดูตาม้าตาเรือ ไม่ใช่ปากกล้ากับคนที่ต้องพึ่งพา เพราะแบบนี้ระวังปากจะพาจน”

“จะโยนฉันลงทะเลอีกเหรอ”

“คนไม่จำเป็น แต่ถ้าจำเป็นก็ต้องทำ”

พูดจบกัปตันก็เดินลงไปข้างล่าง ทิ้งให้หญิงสาวยืนข่มใจกดอารมณ์กับคำพูดที่เจ็บแสบ และเจ็บปวดเมื่อไปสะกิดแผลเป็นในใจ เพราะเธอเป็นคนไม่จำเป็นสำหรับคนสำคัญมานานแล้ว จึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองจำเป็นขึ้นมา แต่คนเป็นแม่ก็ไม่เคยเห็นสักครั้ง คิดมาถึงตรงนี้ ความเข้มแข็งที่มีก็เหมือนจะสลายหายไปเหมือนน้ำแข็งที่ต้องแสงตะวัน แต่เธอก็กล้ำกลืนเอาไว้เหมือนเช่นเคย เชิดหน้าขึ้นอย่างไม่ยี่หระแล้วเดินลงไปข้างล่าง

เมื่อคู่กรณีแยกย้ายกันไป หมอปลาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ เริ่มแรกที่เขาก็รู้สึกหนักใจ เห็นใจ สงสารหญิงสาว แต่ตอนนี้กลับรู้สึกสนุก เมื่อเธอเริ่มจะร้ายขึ้นมา นัยน์ตาแวววาวพร้อมจะสู้ ไม่อ่อน ไม่ยอม เข้มแข็งขึ้นมาวิวาทะกับกัปตัน ให้บรรยากาศในเรือไม่เงียบเหงาอีกต่อไป
************
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ก.ย. 2560, 10:59:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ก.ย. 2560, 10:59:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 1125





<<     >>
แว่นใส 25 ก.ย. 2560, 19:00:07 น.
ใครต้องการฆ่านะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account