ในรอยกาล / เพิ่มตอนพิเศษ
“พี่พริษฐ์หยิบหีบใบนั้นให้ชมพู่หน่อย”

ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที

หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้

“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว

เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ

“ครับ”

เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย

ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น

“มองพี่ได้ไหม”

นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง

ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา

ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม

“พี่จูบได้ไหม”

แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน

เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย

ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก

เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม


- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -

Tags: ในรอยกาล, เนตรนภัส, พริษฐ์, ชมพู่, แก้มแหม่ม,

ตอน: บทที่ 20 [2/2] ครบจ้า

“คุณชมพู่ ทำไมวันนี้กลับตั้งแต่หัววัน” ป้าตาบถลาเข้ามาทันที การกลับบ้านผิดเวลาของนายสาวทำให้เป็นห่วง “ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ”

แก้มแหม่มเกือบตอบออกไปแล้วว่าเปล่า เธอไม่ได้ไม่สบายตรงไหน แต่ให้ป้าตาบคิดแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ สำหรับเธอแล้ว ‘งานคือเงิน เงินคืองาน’ เพราะฉะนั้นถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรงจริงๆ ป้าตาบรู้ดีว่าเธอไม่มีทางทิ้งงานมาง่ายๆ

“ปวดหัวนิดหน่อยน่ะป้า เลยว่าจะกลับมานอนพัก”

“งั้นเดี๋ยวป้าไปเอายามาให้นะคะ คุณจะเอนหลังตรงไหน ในห้องนอนหรือโซฟาหน้าทีวีดีคะ”

“หน้าทีวีดีกว่าค่ะป้า” แก้มแหม่มตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด เธอแค่เหนื่อยไม่ได้ป่วย จึงต้องนอนหลับพักผ่อน ที่หนีกลับมาบ้านก็แค่อยากหลบหน้าคนบางคน ตอนนี้เธออยากอยู่คนเดียว นอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่มีใครมารบกวน

“งั้นคุณไปนอนเลยนะคะ เดี๋ยวป้าเอายากับน้ำไปให้” พูดจบป้าตาบก็ดันนายสาวให้ออกเดิน ส่วนตนเองปลีกตัวไปหยิบยาในตู้

แทนที่แก้มแหม่มจะนอนบนโซฟายาว เจ้าตัวกลับลากที่นอนปิ๊กนิกมาปูหน้าทีวี ขนหมอนมาวางเรียงแล้วทิ้งตัวลงนอน หยิบรีโมตมากดเปิดทีวี เลื่อนช่องนั้นช่องนี้อย่างไร้จุดหมาย เป็นจังหวะเดียวกับป้าตาบเดินกลับมาพร้อมแก้วน้ำและยาเม็ดเล็กสีขาว เธอจึงลุกขึ้นนั่ง ยื่นมือออกไปรับยาแล้วกำไว้

“คุณชมพู่ เรื่องต้นโอนวันก่อนที่ว่าทหารมาขอซื้อ...”

ตั้งแต่วันที่ป้าตาบมาบอกว่าทหารติดต่อขอซื้อต้นหลาวชะโอนทุ่ง เธอตกลงให้ป้าตาบจัดการเรื่องทั้งหมดโดยยกให้ฟรีๆ เพราะเห็นว่าปล่อยทิ้งไว้ก็ไม่ได้นำไปใช้อะไร มิหนำซ้ำเวลาลมแรงๆ เสี่ยงกับการหักโค่นลงมาทับสิ่งปลูกสร้างอีก หลังจากนั้นมัวแต่ยุ่งๆ ก็ไม่ได้ถามเลยว่าไปถึงไหนแล้ว

“ทำไมคะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าหรอกค่ะ วันนี้ทางโน้นเขาโทร.มาบอกว่าจะให้คนมาตัดไม้แล้ว”

“เมื่อไหร่คะ”

“พรุ่งนี้ค่ะ”

“งั้นป้าก็ดูๆ คอยอำนวยความสะดวกให้เขาแล้วกันนะคะ แล้วบอกเขาด้วยว่าเราไม่คิดเงิน ให้เปล่าๆ เลย”

“ได้ค่ะคุณ เดี๋ยวป้าจัดการให้ แต่ป้ากลัวมีปัญหาน่ะสิคะ”

คิ้วเรียวเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม เธอยังไม่เห็นว่าจะมีปัญหาตรงไหน เรื่องแบบนี้ทางทหารเขามีช่างมาจัดการอยู่แล้ว ชาวบ้านอย่างเธอก็แค่อำนวยความสะดวกให้เท่านั้น

“ทำไมคะป้า มีอะไรหรือเปล่า หรือทางทหารเขาขออะไรพิเศษ”

“เปล่าหรอกค่ะคุณ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ทหาร แต่ป้ากลัวจะมีปัญหากับเจ้าของที่ข้างๆ น่ะสิ”

เธอยังมองไม่ออกว่าปัญหาที่ป้าตาบว่าคืออะไร ถ้าจะมีปัญหาก็คงเป็น...

“ชมพู่ยังนึกไม่ออกค่ะป้าว่าจะมีปัญหาอะไร นอกจากตัวเจ้าของที่”

“มีแน่ค่ะป้าว่า ก็ต้นโอนที่ตัดได้มันเป็นกอริมที่ดินพอดี แล้วป้าว่าถ้ามองไม่ผิด มันขึ้นอยู่คร่อมที่ทั้งสองผืนนะคะ”

แก้มแหม่มชักเล็งเห็นว่าอาจมีปัญหาตามมารำไร ด้วยที่ดินทั้งสองผืนนั้นไม่ได้ทำกำแพงกั้นเป็นกิจจะลักษณะ ใช้เพียงชาข่อยตัดแต่งแทนเส้นแบ่งอาณาเขต ซึ่งก็ตั้งแต่ที่ดินผืนนี้ยังเป็นของคุณยาย ตกสู่มือมารดา และพอท่านเสียก็กลายเป็นของเธอโดยสมบูรณ์ ถึงแม้กำแพงชาข่อยจะยาวไม่สุดผืนที่ดิน มีบางจุดตายไปหมดแล้ว ทั้งเธอและเจ้าของที่ดินก็ใช้วิธีกะด้วยสายตาจากหมุดของกรมที่ดิน ไม่มีใครเคยคิดรุกล้ำอาณาเขตของใคร

ไม่สินะ ก่อนนั้นเคยมีเรื่องเกิดขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นต่างหากถึงไม่มีใครรุกล้ำที่ของใคร

“ป้ากลัวเรื่องต้นโอนที่ขึ้นอยู่ในที่ดินของเขา” เธอหยั่งความคิดของป้าตาบ

ตอนยังเด็กเธอเคยได้ยินแม่เล่าเรื่องเจ้าของที่ดินผืนข้างๆ ถึงความโลภและเห็นแก่ตัว แต่ไม่ได้สนใจอะไร ตราบใดที่ไม่ได้มาระรานกัน แม้เธอไม่ใจดีเหมือนคุณยาย แต่ก็ไม่เคยคิดเบียดเบียนใคร ดังนั้นจึงถือหลักต่างคนต่างอยู่ จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น

“ใช่ค่ะ ถึงเรารู้อยู่เต็มอกว่าต้นโอนพวกนี้เราปลูกมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว และมันก็แตกหน่อออกต้นเพิ่มขึ้นล้ำไปในที่ดินของเขา ซึ่งก็ถือว่าเป็นต้นไม้ของเขาไปโดยปริยาย”

นั่นหมายความว่ามีต้นไม้จำนวนหนึ่งที่ต้องแบ่งให้เขาไป แต่เธอก็ไม่เห็นว่าจะเป็นปัญหาตรงไหนเพราะไม่ได้คิดหารายได้จากตรงนี้อยู่แล้ว

“ช่างเขาเถอะค่ะป้า เรื่องเล็กๆ ชมพู่ว่ามันล้ำเข้าไปในที่ดินเขาไม่กี่ต้นหรอก ปล่อยๆ เขาไปดีกว่า ชมพู่ไม่อยากมีปัญหา”

“ป้ากลัวว่าจะไม่ใช่ไม่กี่ต้นน่ะสิคะ” ป้าตาบบ่น “คุณก็เห็นว่าตรงนั้นไม่มีอะไรแบ่งเขตเลย หมุดของกรมที่ดินไม่น่าช่วยอะไรกับคนอยากได้ของคนอื่น”

แก้มแหม่มยิ้มให้กับความหวังดีของป้าตาบ ทว่าตอนนี้เธอมีเรื่องมากมาย จนไม่อยากแบ่งสมองส่วนหนึ่งไปคิดกับเรื่องไร้สาระพวกนี้

“ชมพู่มีป้าอยู่ทั้งคนนี่คะ จะไปกลัวอะไร ป้าคอยดูๆ แล้วกันค่ะ ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลก็จัดการเลย ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร” หญิงสาวทำหน้าขึงขัง กล่าวติดตลก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงออดๆ “แต่ตอนนี้ชมพู่อยากนอนแล้วค่ะ”

ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังไถลตัวลงนอน นั่นละป้าตาบจึงกระวีกระวาดหยิบหมอนมารองศีรษะให้อย่างเอาใจ

“งั้นป้าไม่กวนแล้ว นอนพักเยอะๆ นะคะคุณ เดี๋ยวป้าไปเตรียมกับข้าวมื้อเย็นก่อน เดี๋ยวเจ้ายอดกลับมาจะบ่น”

“ค่ะ แล้วอย่าลืมให้ยอดเอาอาหารเย็นไปให้คุณพริษฐ์ที่เรือนไทยด้วยนะคะป้า”





คล้อยหลังป้าตาบแก้มแหม่มก็ยัดยาแก้ปวดซึ่งกำเอาไว้ในมือลงกระเป๋ากางเกง เธอยังไม่อยากเสี่ยงเอาไปหย่อนลงถังขยะตอนนี้ ปะเหมาะเคราะห์ร้ายป้าตาบเจอเข้าจะซวยทั้งขึ้นทั้งล่อง นอกจากโดนดุที่ไม่กินยาแล้วยังจะโดนข้อหาโกหกด้วยอีกหนึ่งกระทง คราวนี้ละโดนซักฟอกจนขาวแน่

เฮ้อ...วันนี้เธอเพิ่งหนีมาตั้งหลักจากโจทก์รายหนึ่ง ยังไม่อยากเข้าข่ายหนีเสือปะจระเข้

แขนเล็กยกขึ้นก่ายหน้าผาก นับวันเรื่องที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้สับสน ทำไมเดือนถึงเลือกเธอเป็นตัวกลาง ถ้าข้อสันนิษฐานของเธอถูกต้อง ทำไมถึงไม่ติดต่อกับคนในครอบครัวของพริษฐ์โดยตรง กลับเป็นเธอซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับครอบครัวนี้เลยสักนิด

ถ้าเธอสามารถติดต่อกับเดือนได้นะ จะถามออกไปตรงๆ เลยว่าทำไมต้องเธอ ไม่เป็นคนอื่น ใครก็ตามที่คำพูดมีน้ำหนักมากพอให้พริษฐ์เชื่อ เขาจะได้ตาสว่างสักทีว่าเธอไม่ได้โกหก ไม่ได้หลงงมงาย และไม่ได้บ้า เรื่องยังพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์ไม่ได้...ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอยู่จริง ที่สำคัญทุกอย่างจะได้กระจ่างสักทีว่าในอดีตมีอะไรเกิดขึ้นในเรือนไทยหลังนั้น

แล้วจะทำอย่างไรล่ะ ในเมื่อตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าเดือนติดต่อกับเธอได้อย่างไร มันมีวิธีอะไรไหม

“สิ่งเชื่อมต่อ...”

เสียงที่ดังขึ้นทันทีราวกับตอบคำถามของเธอ ดึงสายตาของแก้มแหม่มให้มองต้นเสียง แล้วก็พบว่าเป็นเสียงของพิธีกรจากรายการทีวีตรงหน้า นั่นทำให้เธอรู้ตัวว่าเปิดทีวีทิ้งไว้ แต่ไม่ได้ดู

รายการเกมโชว์ให้คนทางบ้านมาทายราคาสิ่งของ สิ่งที่เธอได้ยินนั้นเป็นเพียงประโยคเริ่มต้นของคำอธิบายเกี่ยวกับของที่นำมาอีกยืดยาว ไม่ได้เกี่ยวกับคำถามของเธอสักนิด ทว่ามันกลับติดหูเธออย่างประหลาด ราวกับนี่เป็น ‘คีย์เวิร์ด’ สำคัญในสิ่งที่เธอกำลังหาคำตอบอยู่

สิ่งเชื่อมต่องั้นหรือ

ใช่สิ ทุกอย่างต้องมีจุดเชื่อมโยง ต้องมีเหตุผลว่าทำไมเธอถึงเป็นผู้ถูกเลือกให้เห็นภาพเหล่านั้น ที่สำคัญต้องมีช่องทางทำให้เธอสามารถเชื่อมกับเดือนได้ เธอเคยดูรายการสิ่งลี้ลับ ไม่ว่าจะเป็นคนระลึกชาติ เห็นภาพอดีต หรือสามารถติดต่อสื่อสารกับพวกวิญญาณได้ เขาให้เหตุผลที่สามารถติดต่อกันได้โดยเปรียบเทียบกับคลื่นวิทยุ ถ้ามีความถี่เดียวกันก็สามารถสื่อสารกันได้

บางทีสาเหตุที่เป็นเธอ ไม่ใช่พริษฐ์หรือคนในครอบครัว ก็อาจเป็นเพราะเหตุนี้

น่าแปลก เวลาเธออยากเจอเดือนกลับไม่มีโอกาสได้เจออย่างที่คิด นี่ไม่ได้หมายความว่าต้องรอเดือนติดต่อมาหรอกหรือ

แล้วเมื่อไรจะได้รู้เรื่องกันล่ะ

ไม่ได้ๆ จะมานั่งนิ่งเฉยรอให้เดือนติดต่ออยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้ไม่ได้ เธอใจร้อนเกินกว่าจะทำอย่างนั้น ตอนนี้ต้องหาช่องทางหรือสิ่งเชื่อมต่อที่ว่านั้นให้เจอ

แล้วเธอควรเริ่มจากตรงไหน

ประเด็นแวดล้อม...ใช่แล้ว ต้องเป็นสิ่งนี้สิ เธอจำได้ว่าทุกครั้งที่เห็นภาพในอดีต เหตุการณ์เกิดขึ้นบริเวณเรือนไทย ครั้งแรกก็เกิดขึ้นเมื่อเธออุตริเดินเข้าไปดูบ้านโสนน้อยเรือนงามเพราะความอยากรู้อยากเห็น วันนั้นเธอเป็นลมหมดสติไปใต้ต้นไม้ใหญ่ แล้วพริษฐ์ก็เข้ามาปลุก ดึงเธอออกมาจากเหตุกาณ์ประหลาดนั้น

ครั้งต่อมาคือตอนพริษฐ์เข้าไปสำรวจตัวบ้านแล้วเธอออกมาเดินเตร่ข้างนอก ส่วนครั้งที่สามอากาศร้อนอบอ้าวจนเป็นลม คนงานจึงหามเธอมานอนพักที่เปลซึ่งผูกไว้กับต้นไม้ใหญ่ อีกครั้งก็วันนี้ คราวนี้เธอไม่ได้เป็นลม แต่ตั้งใจนอนเล่นบนเปล ดังนั้นประเด็นว่าเธอต้องเป็นลมหมดสติก่อนถึงสามารถสื่อสารกับเดือนได้เป็นอันต้องตัดทิ้งไป

เปล?

หรือว่าเธอต้องนอนเปลก่อนถึงจะติดต่อกับเดือนได้ บ้าสิ ฟังดูไร้สาระไปหน่อย เพราะครั้งแรกกับครั้งที่สองเธอก็ไม่ได้นอนเปลนี่ แต่หมดสติไปใต้ต้นไม้ใหญ่ต่างหาก

ต้นไม่ใหญ่งั้นหรือ...ถ้าจำไม่ผิด ต้นไม้สองต้นที่ผูกเปลสนามเอาไว้ น่าจะเป็นต้นเดียวกับที่เธอเคยหมดสติไปแล้วเห็นภาพในอดีตของเรือนไทยในครั้งแรก และครั้งที่สองเธออาศัยร่มไม้เป็นที่พักผ่อนขณะรอชายหนุ่มออกมาจากบ้าน

อย่างไรก็ตามเธอต้องไปตรวจดูอีกทีให้แน่ใจว่าใช่จุดเดียวกันหรือเปล่า ถ้าใช่และความคิดของเธอทั้งหมดถูกต้อง

พรุ่งนี้เธอจะไปพิสูจน์ทฤษฎีนี้









เนตรนภัส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ก.ย. 2560, 17:42:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ก.ย. 2560, 17:42:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 853





<< บทที่ 20 [1/2] + แจ้งข่าว   บทที่ 21 [1/2] >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account