ในรอยกาล / เพิ่มตอนพิเศษ
“พี่พริษฐ์หยิบหีบใบนั้นให้ชมพู่หน่อย”
ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที
หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้
“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว
เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ
“ครับ”
เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย
ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น
“มองพี่ได้ไหม”
นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง
ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา
ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม
“พี่จูบได้ไหม”
แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน
เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย
ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก
เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม
- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -
ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที
หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้
“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว
เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ
“ครับ”
เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย
ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น
“มองพี่ได้ไหม”
นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง
ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา
ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม
“พี่จูบได้ไหม”
แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน
เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย
ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก
เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม
- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -
Tags: ในรอยกาล, เนตรนภัส, พริษฐ์, ชมพู่, แก้มแหม่ม,
ตอน: บทที่ 21 [1/2]
...๒๑...
แก้มแหม่มวางปิ่นโตและถุงบรรจุอาการเช้าลงบนโต๊ะญี่ปุ่นอย่างแผ่วเบา แล้วค่อยๆ ย่องกริบออกมาช้าๆ ด้วยไม่อยากให้เกิดเสียงดัง เดี๋ยวการลงทุนตื่นตั้งแต่เช้านำข้าวมาส่งให้ก่อนชายหนุ่มตื่นจะเสียเที่ยวเปล่า
ถ้าพริษฐ์ออกมาเห็นเธอตอนนี้ เขาไม่ปล่อยเธอเดินลอยนวลออกไปดีๆ แน่
หญิงสาวย่องออกมาจนเกือบถึงหัวบันได ร่างบอบบางหยัดขึ้นจากอาการคู้ร่างจนงอคล้ายกุ้งในขณะค่อยๆ โหย่งเท้า เบาใจขึ้นหน่อยว่าเจ้าของบ้านคงยังไม่ตื่น รอยยิ้มกระหยิ่มจึงระบายเต็มใบหน้า ทว่าไม่นานรอยยิ้มก็เริ่มเลือนเมื่อเสียงหนักๆ ดังขึ้นใกล้ๆ น่าจะยืนซ้อนหลังอยู่ด้วยซ้ำ
“ชมพูแก้มแหม่ม!”
คนถูกเรียกสะดุ้งสุดตัว หลับตาปี๋...มาเป็นชุดแบบนี้ ซวยแน่แล้ว
หญิงสาวปรับสีหน้าให้เป็นปกติ สร้างรอยยิ้มอ่อนๆ บนใบหน้าที่เจ้าตัวมั่นใจว่าคงดูจริงใจไม่ใช่กร่อยสนิทอย่างความรู้สึกในตอนนี้ ทำราวกับว่าเมื่อวานไม่ได้มีเรื่องมีราวจนเธอหนีกลับบ้านไปก่อน
“ตื่นแล้วหรือคุณ ฉันเอาข้าวเที่ยงกับอาหารเช้ามาให้แน่ะ” ไม่ใช่เพียงแค่ชี้ แก้มแหม่มยังถลาเข้าไปยังโต๊ะญี่ปุ่น หยิบของกินในถุงออกมาโชว์อย่างเอาใจ
“วันนี้มีข้าวเหนียวปิ้งไส้ปลาเจ้าอร่อยที่คุณชอบด้วยนะ กินเลยไหมล่ะ มีบริการแกะให้ด้วย หรือจะเอานี้ ‘โกวปี้อ้อ’ คุณรู้จักไหม” ไม่รอฟังคำตอบ เจ้าหล่อนยังอธิบายอีกยืดยาว “แถวบ้านฉันเรียกกาแฟดำว่าโกวปี้อ้อ เรียกชาดำเย็นว่า ‘แต่ออเลี้ยง’ เรียก...”
แก้มแหม่มชะงัก หยุดพูดทันทีเมื่อเห็นสายตาคมกริบมองมาเงียบๆ เธอรู้สึกเหมือนโดนตำหนิอย่างไรไม่รู้
“ไม่อยากรู้ก็ไม่บอก” แก้มแหม่มก็คือแก้มแหม่ม อย่างน้อยขอบ่นสักนิด เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอไม่ได้หงอจนเกินควร แต่ดูเหมือนอะไรๆ จะไม่ดีขึ้น ชายหนุ่มไม่มีทีท่าขำไปด้วย กลับยืนตีหน้าเคร่งมองมาเงียบๆ เช่นเดิม
แก้มแหม่มขยับตัวอย่างอึดอัด ให้เขาโวยวายยังรับมือง่ายกว่ายืนมองมาด้วยสายตาคมกริบเดาอารมณ์ไม่ถูกแบบตอนนี้
หญิงสาวกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ทำเป็นใจดีสู้เสือ ไม่สิ ยักษ์ ยักษ์ปักหลั่นเสียด้วย
ไม่น่าเลย...คิดผิดแท้ๆ ที่ทำเป็นเนียนหยิบของกินมาอ้าง จนต้องถอยเข้ามาด้านใน เปิดโอกาสให้เขายืนขวางทางออกเอาไว้แบบนี้
“ฉันปล่อยให้คุณกินข้าวเช้าดีกว่า ไม่กวนแล้วนะ” เธอตีหน้าตาย หมายเดินลอยชายผ่านไปง่ายๆ
หากแก้มแหม่มหวังว่าชายหนุ่มจะปล่อยเธอไปง่ายๆ เพียงเพราะอาการไม่รู้ไม่ชี้ก็คิดผิด เธอไม่ทันเดินผ่านตัวเขาไปด้วยซ้ำ เมื่อเสียงหนักๆ ดังขึ้นเหนือศีรษะ ทำให้ต้องหยุดแต่ก็ยังไม่กล้าหันไปมอง
“เวลาแค่ข้ามคืนคงไม่ทำให้คุณลืมว่าเรามีเรื่องติดค้างกันอยู่”
“อะไร” เพราะรู้ตัวว่าเผลอใช้เสียงสูงเกินไป แก้มแหม่มจึงลดลงมาให้อยู่ในระดับปกติ “ไม่มี ฉันจำได้ว่าไม่มีนะ เมื่อวานตอนเย็นก็ให้ยอดมาส่งอาหารคุณนี่”
“อย่ามาทำไก๋ มันใช้กับผมไม่ได้ผลหรอกนะ”
“ใครว่าไก๋ ฉันไม่รู้จริงๆ ต่างหากว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไร” เธอยืนกรานน้ำเสียงหนักแน่น ดูซิว่าหากยืนกระต่ายขาเดียวอยู่แบบนี้ เขาจะทำอะไรเธอได้
“ผมว่าคุณไม่ใช่คนโง่”
แก้มแหม่มหันขวับไปมองชายหนุ่มอย่างไม่พอใจเมื่อโดนดูถูก
“โอ๊ะ...ขอโทษ ผมใช้คำผิดไปนิด”
แก้มแหม่มค้อนจนตากลับ ไม่คิดว่าพริษฐ์จะใช้สุ้มเสียงได้น่าหมั่นไส้ขนาดนี้
“ที่ผมจะบอกก็คือ ไม่คิดว่าคุณเป็นคนความจำสั้น ออกจะฉลาดไปเสียทุกเรื่อง”
ใช้คำต่างกัน แต่ฟังดูแล้วความหมายไม่ต่าง สุดท้ายก็เหมือนเธอดูสมองกลวงชอบกล
“หลอกด่ากันนี่”
“ถ้าคุณไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ไม่เห็นต้องสนใจ”
แก้มแหม่มนับหนึ่งถึงสิบในใจ ไม่สิ ตอนนี้ต้องถึงหนึ่งร้อยเพื่อสะกดอาการอยากตั๊นหน้าระรื่นท่าทางไม่รู้ไม่ชี้ของชายหนุ่ม แต่คิดไปคิดมาถ้าไม่อยากเข้าตัวให้เขาลากเข้าเรื่องเมื่อวาน ต้องหนีให้เร็วที่สุด
“ก็จริง ฉันไม่เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะงั้นขอตัวก่อนนะคุณพริษฐ์ ฉันจะไปดูต้นไม้สักหน่อย ยังไงคุณกินข้าวทำงานไปก่อนแล้วกัน ตามสบายนะ”
ไม่พูดเปล่ามือเล็กยังตบแปะๆ ไปบนไหล่ของชายหนุ่มเหมือนบอกว่า ‘ไม่เป็นไร ตามสบาย’ อาศัยจังหวะที่เขายืนอึ้งด้วยไม่คิดว่าจะเจอกับไม้นี้ กว่าจะรู้ตัวแก้มแหม่มก็เผ่นแผล็วลงบันไดหายไปต่อหน้าต่อตา ปล่อยพริษฐ์ให้ยืนกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ
หญิงสาววิ่งหนีมาจนถึงจุดที่คนงานปลูกเปลสนามเอาไว้ มือเล็กยันต้นไม้ขณะหายใจหอบ แล้วเหลือบไปมองด้านหลัง เห็นว่าชายหนุ่มไม่ได้เดินตามมาก็เบาใจ
กว่าจะรอดออกมาได้แทบตาย
เธอรู้ว่าเขาอยากพูดเรื่องอะไร แต่ก็เฉไฉทำเป็นไม่รู้เพราะยังไม่พร้อมเพราะรู้ดีว่าพูดไปก็เปล่าประโยชน์ รังจะทะเลาะกันเหมือนเมื่อวานเสียเปล่าๆ
เอาไว้ให้เธอพิสูจน์ได้ก่อนเถอะว่าเรื่องเป็นมายังไง รับรองว่าจะรีบเอาความจริงไปตอกหน้าเขาแน่นอน
หญิงสาวยิ้มถูกใจ ยืดตัวตรง กวาดตามองไปรอบๆ เพื่อสำรวจให้แน่ใจ ว่าจุดที่เปลสนามถูกผูกไว้ เป็นจุดเดียวกับที่เคยมาเป็นลมหมดสติแล้วมองเห็นเรื่องราวในอดีต
ดวงตาสีน้ำตาลปิดลงช้าๆ เพื่อทบทวนความจำ ดึงตัวเองกลับไปยังจุดเริ่มต้นของปริศนา
วันนั้นเธอเดินกลับมาจากบ้านยายแก้ว เลาะลัดป่าพรุ พอถึงบริเวณรั้วต้นไม้แห้งความอยากรู้ผลักดันให้รุกล้ำเข้ามาภายในที่ดินผืนนี้ เธอเดินเข้ามาเรื่อยๆ ผ่านต้นไม้น้อยใหญ่ ซึ่งตอนนั้นยังไม่โล่งเตียนเหมือนปัจจุบัน
เนื่องจากต้องออกแรงกับพวกกิ่งไม้ วัชพืช และรังแมงไหม เดินมาได้ไม่นานเธอก็หยุดยืนหอบ อาศัยต้นไม้ใหญ่เป็นหลักพักพิง จุดนั้นต่างกับเส้นทางที่เพิ่งผ่านมา เพราะกิ่งก้านที่แผ่สาขาออกไปเป็นบริเวณกว้างทำให้แสงแดดส่องลงมาไม่ค่อยถึงพื้นดิน ประกอบกับสายลมอ่อนๆ พัดโชย เธอยังคิดขำๆ เลยว่าถ้ามีเปลญวนผูกไว้ระหว่างต้นไม้ใหญ่สองต้นนี้คงดีพิลึก
มือเล็กลูบไปตามต้นไม้ใหญ่ ค่อยๆ เดินอ้อมไปอีกด้านหนึ่ง ลู่มือไปกับเปลสนามซึ่งผูกเอาไว้ไปสู่ต้นไม้อีกต้น แหงนหน้าไล่สายตาขึ้นไปตามความสูง
ที่ดินผืนนี้เต็มไปด้วยไม้ใหญ่ยืนต้น แต่เธอมั่นใจว่าต้องใช่สองต้นนี้แน่ๆ
ทีนี้ก็เหลือแค่...
แก้มแหม่มไม่รอช้า หย่อนก้นลงบนเปลสนาม ทอดกายเหยียดยาว ยกมือขึ้นประสานบนอก แล้วขยับตัวให้นอนสบายที่สุด แล้วค่อยๆ พริ้มตาหลับ...
‘แก้ว แก้ว’
ประตูไม้บานใหญ่เปิดผาง พร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่งก็ก้าวออกมาจากห้อง จากสีหน้าและน้ำเสียงของเจ้าหล่อนทำให้สาวใช้ซึ่งกำลังเช็ดแจกันลายครามอยู่แถวนั้นหันมามอง แล้วปรี่เข้ามาหาทันที
‘มีอะไรหรือคะคุณเดือน’
‘เห็นแก้วบ้างไหม’
‘ตั้งแต่กลับจากวัดก็ไม่เห็นเลยค่ะ คงไปวิ่งเล่นอยู่แถวๆ นี้’ คนเป็นบ่าวตอบอย่างนอบน้อม ‘คุณเดือนมีอะไรหรือเปล่าคะ เดี๋ยวดิฉันทำให้ก็ได้ค่ะ’
‘ไม่ต้อง ไม่เป็นไร ขอบใจนะ’ เดือนปฏิเสธ ‘ทำอะไรอยู่ก็ไปทำต่อเถอะ แต่ถ้าเจอแก้วบอกให้มาหาฉันด้วย’
‘ค่ะ’
สั่งความเสร็จหญิงสาวก็เดินกลับเข้าไปในห้อง พลางบ่นอุบอิบ
‘ท่าทางจะหนีไปเล่นเพลินจนลืมที่สั่งแล้วสิ กลับมาจะหยิกให้เนื้อเขียว คอยดู’
แก้มแหม่มวางปิ่นโตและถุงบรรจุอาการเช้าลงบนโต๊ะญี่ปุ่นอย่างแผ่วเบา แล้วค่อยๆ ย่องกริบออกมาช้าๆ ด้วยไม่อยากให้เกิดเสียงดัง เดี๋ยวการลงทุนตื่นตั้งแต่เช้านำข้าวมาส่งให้ก่อนชายหนุ่มตื่นจะเสียเที่ยวเปล่า
ถ้าพริษฐ์ออกมาเห็นเธอตอนนี้ เขาไม่ปล่อยเธอเดินลอยนวลออกไปดีๆ แน่
หญิงสาวย่องออกมาจนเกือบถึงหัวบันได ร่างบอบบางหยัดขึ้นจากอาการคู้ร่างจนงอคล้ายกุ้งในขณะค่อยๆ โหย่งเท้า เบาใจขึ้นหน่อยว่าเจ้าของบ้านคงยังไม่ตื่น รอยยิ้มกระหยิ่มจึงระบายเต็มใบหน้า ทว่าไม่นานรอยยิ้มก็เริ่มเลือนเมื่อเสียงหนักๆ ดังขึ้นใกล้ๆ น่าจะยืนซ้อนหลังอยู่ด้วยซ้ำ
“ชมพูแก้มแหม่ม!”
คนถูกเรียกสะดุ้งสุดตัว หลับตาปี๋...มาเป็นชุดแบบนี้ ซวยแน่แล้ว
หญิงสาวปรับสีหน้าให้เป็นปกติ สร้างรอยยิ้มอ่อนๆ บนใบหน้าที่เจ้าตัวมั่นใจว่าคงดูจริงใจไม่ใช่กร่อยสนิทอย่างความรู้สึกในตอนนี้ ทำราวกับว่าเมื่อวานไม่ได้มีเรื่องมีราวจนเธอหนีกลับบ้านไปก่อน
“ตื่นแล้วหรือคุณ ฉันเอาข้าวเที่ยงกับอาหารเช้ามาให้แน่ะ” ไม่ใช่เพียงแค่ชี้ แก้มแหม่มยังถลาเข้าไปยังโต๊ะญี่ปุ่น หยิบของกินในถุงออกมาโชว์อย่างเอาใจ
“วันนี้มีข้าวเหนียวปิ้งไส้ปลาเจ้าอร่อยที่คุณชอบด้วยนะ กินเลยไหมล่ะ มีบริการแกะให้ด้วย หรือจะเอานี้ ‘โกวปี้อ้อ’ คุณรู้จักไหม” ไม่รอฟังคำตอบ เจ้าหล่อนยังอธิบายอีกยืดยาว “แถวบ้านฉันเรียกกาแฟดำว่าโกวปี้อ้อ เรียกชาดำเย็นว่า ‘แต่ออเลี้ยง’ เรียก...”
แก้มแหม่มชะงัก หยุดพูดทันทีเมื่อเห็นสายตาคมกริบมองมาเงียบๆ เธอรู้สึกเหมือนโดนตำหนิอย่างไรไม่รู้
“ไม่อยากรู้ก็ไม่บอก” แก้มแหม่มก็คือแก้มแหม่ม อย่างน้อยขอบ่นสักนิด เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอไม่ได้หงอจนเกินควร แต่ดูเหมือนอะไรๆ จะไม่ดีขึ้น ชายหนุ่มไม่มีทีท่าขำไปด้วย กลับยืนตีหน้าเคร่งมองมาเงียบๆ เช่นเดิม
แก้มแหม่มขยับตัวอย่างอึดอัด ให้เขาโวยวายยังรับมือง่ายกว่ายืนมองมาด้วยสายตาคมกริบเดาอารมณ์ไม่ถูกแบบตอนนี้
หญิงสาวกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ทำเป็นใจดีสู้เสือ ไม่สิ ยักษ์ ยักษ์ปักหลั่นเสียด้วย
ไม่น่าเลย...คิดผิดแท้ๆ ที่ทำเป็นเนียนหยิบของกินมาอ้าง จนต้องถอยเข้ามาด้านใน เปิดโอกาสให้เขายืนขวางทางออกเอาไว้แบบนี้
“ฉันปล่อยให้คุณกินข้าวเช้าดีกว่า ไม่กวนแล้วนะ” เธอตีหน้าตาย หมายเดินลอยชายผ่านไปง่ายๆ
หากแก้มแหม่มหวังว่าชายหนุ่มจะปล่อยเธอไปง่ายๆ เพียงเพราะอาการไม่รู้ไม่ชี้ก็คิดผิด เธอไม่ทันเดินผ่านตัวเขาไปด้วยซ้ำ เมื่อเสียงหนักๆ ดังขึ้นเหนือศีรษะ ทำให้ต้องหยุดแต่ก็ยังไม่กล้าหันไปมอง
“เวลาแค่ข้ามคืนคงไม่ทำให้คุณลืมว่าเรามีเรื่องติดค้างกันอยู่”
“อะไร” เพราะรู้ตัวว่าเผลอใช้เสียงสูงเกินไป แก้มแหม่มจึงลดลงมาให้อยู่ในระดับปกติ “ไม่มี ฉันจำได้ว่าไม่มีนะ เมื่อวานตอนเย็นก็ให้ยอดมาส่งอาหารคุณนี่”
“อย่ามาทำไก๋ มันใช้กับผมไม่ได้ผลหรอกนะ”
“ใครว่าไก๋ ฉันไม่รู้จริงๆ ต่างหากว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไร” เธอยืนกรานน้ำเสียงหนักแน่น ดูซิว่าหากยืนกระต่ายขาเดียวอยู่แบบนี้ เขาจะทำอะไรเธอได้
“ผมว่าคุณไม่ใช่คนโง่”
แก้มแหม่มหันขวับไปมองชายหนุ่มอย่างไม่พอใจเมื่อโดนดูถูก
“โอ๊ะ...ขอโทษ ผมใช้คำผิดไปนิด”
แก้มแหม่มค้อนจนตากลับ ไม่คิดว่าพริษฐ์จะใช้สุ้มเสียงได้น่าหมั่นไส้ขนาดนี้
“ที่ผมจะบอกก็คือ ไม่คิดว่าคุณเป็นคนความจำสั้น ออกจะฉลาดไปเสียทุกเรื่อง”
ใช้คำต่างกัน แต่ฟังดูแล้วความหมายไม่ต่าง สุดท้ายก็เหมือนเธอดูสมองกลวงชอบกล
“หลอกด่ากันนี่”
“ถ้าคุณไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ไม่เห็นต้องสนใจ”
แก้มแหม่มนับหนึ่งถึงสิบในใจ ไม่สิ ตอนนี้ต้องถึงหนึ่งร้อยเพื่อสะกดอาการอยากตั๊นหน้าระรื่นท่าทางไม่รู้ไม่ชี้ของชายหนุ่ม แต่คิดไปคิดมาถ้าไม่อยากเข้าตัวให้เขาลากเข้าเรื่องเมื่อวาน ต้องหนีให้เร็วที่สุด
“ก็จริง ฉันไม่เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะงั้นขอตัวก่อนนะคุณพริษฐ์ ฉันจะไปดูต้นไม้สักหน่อย ยังไงคุณกินข้าวทำงานไปก่อนแล้วกัน ตามสบายนะ”
ไม่พูดเปล่ามือเล็กยังตบแปะๆ ไปบนไหล่ของชายหนุ่มเหมือนบอกว่า ‘ไม่เป็นไร ตามสบาย’ อาศัยจังหวะที่เขายืนอึ้งด้วยไม่คิดว่าจะเจอกับไม้นี้ กว่าจะรู้ตัวแก้มแหม่มก็เผ่นแผล็วลงบันไดหายไปต่อหน้าต่อตา ปล่อยพริษฐ์ให้ยืนกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ
หญิงสาววิ่งหนีมาจนถึงจุดที่คนงานปลูกเปลสนามเอาไว้ มือเล็กยันต้นไม้ขณะหายใจหอบ แล้วเหลือบไปมองด้านหลัง เห็นว่าชายหนุ่มไม่ได้เดินตามมาก็เบาใจ
กว่าจะรอดออกมาได้แทบตาย
เธอรู้ว่าเขาอยากพูดเรื่องอะไร แต่ก็เฉไฉทำเป็นไม่รู้เพราะยังไม่พร้อมเพราะรู้ดีว่าพูดไปก็เปล่าประโยชน์ รังจะทะเลาะกันเหมือนเมื่อวานเสียเปล่าๆ
เอาไว้ให้เธอพิสูจน์ได้ก่อนเถอะว่าเรื่องเป็นมายังไง รับรองว่าจะรีบเอาความจริงไปตอกหน้าเขาแน่นอน
หญิงสาวยิ้มถูกใจ ยืดตัวตรง กวาดตามองไปรอบๆ เพื่อสำรวจให้แน่ใจ ว่าจุดที่เปลสนามถูกผูกไว้ เป็นจุดเดียวกับที่เคยมาเป็นลมหมดสติแล้วมองเห็นเรื่องราวในอดีต
ดวงตาสีน้ำตาลปิดลงช้าๆ เพื่อทบทวนความจำ ดึงตัวเองกลับไปยังจุดเริ่มต้นของปริศนา
วันนั้นเธอเดินกลับมาจากบ้านยายแก้ว เลาะลัดป่าพรุ พอถึงบริเวณรั้วต้นไม้แห้งความอยากรู้ผลักดันให้รุกล้ำเข้ามาภายในที่ดินผืนนี้ เธอเดินเข้ามาเรื่อยๆ ผ่านต้นไม้น้อยใหญ่ ซึ่งตอนนั้นยังไม่โล่งเตียนเหมือนปัจจุบัน
เนื่องจากต้องออกแรงกับพวกกิ่งไม้ วัชพืช และรังแมงไหม เดินมาได้ไม่นานเธอก็หยุดยืนหอบ อาศัยต้นไม้ใหญ่เป็นหลักพักพิง จุดนั้นต่างกับเส้นทางที่เพิ่งผ่านมา เพราะกิ่งก้านที่แผ่สาขาออกไปเป็นบริเวณกว้างทำให้แสงแดดส่องลงมาไม่ค่อยถึงพื้นดิน ประกอบกับสายลมอ่อนๆ พัดโชย เธอยังคิดขำๆ เลยว่าถ้ามีเปลญวนผูกไว้ระหว่างต้นไม้ใหญ่สองต้นนี้คงดีพิลึก
มือเล็กลูบไปตามต้นไม้ใหญ่ ค่อยๆ เดินอ้อมไปอีกด้านหนึ่ง ลู่มือไปกับเปลสนามซึ่งผูกเอาไว้ไปสู่ต้นไม้อีกต้น แหงนหน้าไล่สายตาขึ้นไปตามความสูง
ที่ดินผืนนี้เต็มไปด้วยไม้ใหญ่ยืนต้น แต่เธอมั่นใจว่าต้องใช่สองต้นนี้แน่ๆ
ทีนี้ก็เหลือแค่...
แก้มแหม่มไม่รอช้า หย่อนก้นลงบนเปลสนาม ทอดกายเหยียดยาว ยกมือขึ้นประสานบนอก แล้วขยับตัวให้นอนสบายที่สุด แล้วค่อยๆ พริ้มตาหลับ...
‘แก้ว แก้ว’
ประตูไม้บานใหญ่เปิดผาง พร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่งก็ก้าวออกมาจากห้อง จากสีหน้าและน้ำเสียงของเจ้าหล่อนทำให้สาวใช้ซึ่งกำลังเช็ดแจกันลายครามอยู่แถวนั้นหันมามอง แล้วปรี่เข้ามาหาทันที
‘มีอะไรหรือคะคุณเดือน’
‘เห็นแก้วบ้างไหม’
‘ตั้งแต่กลับจากวัดก็ไม่เห็นเลยค่ะ คงไปวิ่งเล่นอยู่แถวๆ นี้’ คนเป็นบ่าวตอบอย่างนอบน้อม ‘คุณเดือนมีอะไรหรือเปล่าคะ เดี๋ยวดิฉันทำให้ก็ได้ค่ะ’
‘ไม่ต้อง ไม่เป็นไร ขอบใจนะ’ เดือนปฏิเสธ ‘ทำอะไรอยู่ก็ไปทำต่อเถอะ แต่ถ้าเจอแก้วบอกให้มาหาฉันด้วย’
‘ค่ะ’
สั่งความเสร็จหญิงสาวก็เดินกลับเข้าไปในห้อง พลางบ่นอุบอิบ
‘ท่าทางจะหนีไปเล่นเพลินจนลืมที่สั่งแล้วสิ กลับมาจะหยิกให้เนื้อเขียว คอยดู’
เนตรนภัส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ต.ค. 2560, 12:33:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ต.ค. 2560, 12:33:40 น.
จำนวนการเข้าชม : 894
<< บทที่ 20 [2/2] ครบจ้า | บทที่ 21 [2/2] ครบค่า >> |