เล่ห์รัก..กับดักนายพราน (รีไรท์)

Tags: อิศนะ วรดา ไร่ส้ม เชียงราย

ตอน: ตอนที่ 9.


เสียงไก่ป่าขันระงมแว่วมาแต่ไกล วรดาขยับตัวอย่างอึดอัดรู้สึกว่าหมอนที่เคยหนุนอยู่ทุกวันทำไมวันนี้มันถึงได้เล็กและแข็งแปลกๆหนุนไม่สบายเอาเสียเลย ที่นอนก็แสนจะคับแคบอึดอัดเหยียดแขนขาได้ไม่เต็มที่ อะไรบางอย่างอุ่นๆปะทะอยู่แถวซอกคอเป็นระยะๆ อากาศหนาวเย็นยามเช้าตรู่บวกกับความรู้สึกง่วงงุนทำให้หญิงสาวไม่อยากจะลืมตาตื่นขึ้นมาเลย

วรดาทอดถอนใจยาวพยายามจะเหยียดตัวให้เต็มที่ขณะลืมตาขึ้นมาช้าๆ อาการขยับนั้นตัวทำให้ร่างหนาใหญ่ที่นอนตะแคงข้างอยู่แนบชิดขยับเขยื้อนรู้สึกตัวตื่นตามไปด้วย หญิงสาวงุนงงอยู่ชั่วครู่มองดูม่านมุ้งสีขาวสะอาดตาถูกลมแรงพัดโบกสะบัดอย่างแปลกใจ มองเห็นสภาพห้องนอนที่ไม่คุ้นตาสักนิด

ที่ไหน...

ครั้นแล้วหญิงสาวก็ผวาลุกขึ้นนั่งทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าที่ที่ตนเองนอนอยู่นี้คือที่ไหน ลำแขนแข็งแรงของอิศนะตามติดมาเกี่ยวกระหวัดร่างบางของหญิงสาวให้กลับไปสู่อ้อมกอดของเขาอีกครั้งพร้อมกับอู้อี้ถามทั้งๆที่ตายังไม่ลืมขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ

“ยังเช้าอยู่เลย จะรีบตื่นไปไหน”

วรดาพยายามจะแกะมือไม้ของชายหนุ่มให้พ้นไปจากตัวครั้นทำไม่สำเร็จหล่อนก็ส่งเสียงฮึดฮัดขัดใจ

“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ไหนคุณบอกว่าคุณจะไม่ทำอะไรฉันไง”

“นั่นมันเมื่อคืน ไม่เกี่ยวกับเช้านี้ซะหน่อย”

ไม่พูดเปล่าอิศนะยังแกล้งซุกหน้าลงไปสูดเอากลิ่นหอมจากแก้มเนียนอีกฟอดใหญ่ วรดาเบือนหน้าหลบรีบหดคอหนีเมื่อปลายจมูกโด่งๆนั้นยังตามมาระรานแถวๆซอกคอและหลังใบหู

“ปล่อย! โรคจิตรึไง ชอบยุ่งกับผู้หญิงที่เขาไม่เต็มใจด้วยน่ะหึ”

“สาบานได้เลย คุณเป็นคนแรก ที่ผ่านๆมา ผมแทบไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ นอนอยู่เฉยๆก็มีคนมาแก้ผ้าแก้ผ่อนทำให้ผมเสร็จสรรพ สบายเนื้อสบายตัวโดยไม่ต้องเสียเหงื่อสักเม็ด”

ฟังเขาพูดเรื่องแบบนี้ทีไรวรดาเป็นทนไม่ได้ทีนั้น หญิงสาวรัวกำปั้นขึ้นทุบตีไปตามเนื้อตัวของคนร่างใหญ่จนอิศนะต้องรีบยกมือขึ้นมาปัดป้องรู้สึกตื่นเต็มตาขึ้นมาก็คราวนี้เอง

“โอ้ย! คุณ...เบาๆ ผมเจ็บนะนั่น…”

“คุณนี่แย่ที่สุดเลย ทั้งเห็นแก่ตัว ทั้งดูถูกผู้หญิง ไปนะ ไปให้พ้นเลย”

วรดาไม่ยอมลดละมือหนึ่งคว้าหมอนได้ก็ฟาดโครมๆลงไปทั้งศีรษะทั้งหลังไหล่ของอิศนะจนชายหนุ่มต้องถอยร่นมุดมุ้งโดดลงมาจากเตียง

“อะไรของคุณน่ะห๊ะ พูดความจริงแค่นี้ก็โกรธ”

อิศนะสบถสองสามคำก่อนจะเดินตรงไปรื้อตู้เสื้อผ้าแล้วผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำ เสียงตักน้ำอาบโครมๆของอิศนะทำให้หญิงสาวอดที่จะทำหน้าแหยงๆไม่ได้

“หนาวจะตาย อีตาบ้านั่น อาบเข้าไปได้ยังไงนะ”

วรดาบ่นพึมพำก่อนจะรวบผมยาวสลวยที่ตอนนี้คงจะกระเซอะกระเซิงได้ที่ขึ้นมาขมวดเป็นปมไว้ที่ท้ายทอยแล้วค่อยๆหย่อนเท้าก้าวลงมาจากเตียง

วรดาก้าวออกมายืนยังระเบียงท่าน้ำ อากาศภายในห้องว่าหนาวแล้วแต่ด้านนอกกลับหนาวเย็นยิ่งกว่า หญิงสาวยกสองมือขึ้นกอดอกพร้อมกับซี๊ดปากเบาๆขณะมองหมอกจางๆที่ปกคลุมอยู่โดยรอบ สายน้ำเอื่อยๆที่ไหลรินเหมือนสายธารที่ผุดขึ้นมาจากกลุ่มหมอกหนาทึบจนมองแทบไม่เห็นอะไรเลย

นี่กระมังที่เขาเรียกว่าหมอกเมืองเหนือ

วรดายืนชื่นชมหมอกหนากับสายธารตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งจึงชะเง้อคอมองไปยังกระท่อมไม้ไผ่สองหลังที่เห็นอยู่ไกลๆ เด็กสาวร่างผอมคนนั้นกำลังเดินไปเดินมาอยู่กับกลุ่มพืชผักสวนครัวที่ปลูกทิ้งเอาไว้ข้างกระท่อม เจ้าคนร่างยักษ์กำลังตั้งหน้าตั้งตาผ่าฟืนด้วยขวานเล่มโต ส่วนกระท่อมหลังถัดไปมองไม่เห็นผู้คนแต่ก็เห็นควันไฟลอยขึ้นมาจากส่วนใดส่วนหนึ่งที่น่าจะเป็นครัว วรดากำลังคิดว่าจะเดินลงจากเรือนไปดูกระท่อมสองหลังนั่นเสียหน่อยแต่เสียงฝีเท้าที่ย่ำออกมาจากภายในห้องทำให้หญิงสาวหันหลังกลับทันที

อิศนะในชุดเสื้อเชิ้ตคอปกแขนยาวสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงยีนส์สีเดียวกัน เขาถกแขนเสื้อขึ้นมาพับไว้เหนือข้อศอกท่าทางดูทะมัดทะแมง หน้าตาของชายหนุ่มในเช้าวันนี้แลดูสดใสเกลี้ยงเกลา ผิวที่ค่อนข้างจะขาวอย่างคนเหนือของอิศนะตัดกับสีเข้มๆของเสื้อเชิ้ตจนทำให้ชายหนุ่มดูดีอย่างน่าประหลาด

วรดาก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าอิศนะนั้นเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีมากคนหนึ่ง แต่ไอ้สิ่งที่เขาทำกับหล่อนนี่สิ มันเลวทรามต่ำช้า เสียจนบดบังความน่าดูทั้งหลายทั้งปวงที่เขามี

“เป็นไงบ้างที่นี่ อากาศดีใช่มั้ยล่ะ ตื่นมาก็ได้สัมผัสกับอากาศเย็นๆ มีทะเลหมอกให้ชมโดยที่ไม่ต้องไปปีนเขาให้เหนื่อย คุณเริ่มจะชอบที่นี่แล้วรึยัง"

อิศนะถามไถ่ขณะมองหน้าหวานๆใสๆไร้เครื่องสำอางของคนตรงหน้า

“ยัง ฉันถามคุณจริงๆคุณอิศนะ คุณเอาตัวฉันมากักขังไว้ที่นี่ทำไม”

อิศนะไม่ได้ตอบคำถามนั้นของหญิงสาว เขามองเมินไปทางลำห้วยใหญ่ครู่หนึ่งก่อนจะหันมาเอ่ยเรียบๆ

“เรื่องนั้นไว้ค่อยคุยกันทีหลังได้มั้ย ผมว่าตอนนี้คุณกลับเข้าไปในห้องก่อนเถอะ ดูสิ หนาวจนปากเขียวไปหมดแล้วนั่น เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก ที่นี่ไม่มีหมอเสียด้วย ถ้าเกิดคุณป่วยตายขึ้นมา ผมก็บาปแย่สิ”

“ดี ตายๆไปซะได้ก็ดี จะได้ไม่ต้องมาพบเจอคนเลวๆอย่างคุณ"

“ใครจะใจร้ายใจดำปล่อยให้คุณตาย เมียทั้งคน...”

ไม่ใช่แค่คำพูดของชายหนุ่มเท่านั้นที่ทำให้แก้มขาวๆของหญิงสาวแดงระเรื่อ แววตาของเขานั่นก็ด้วยมันวาวหวานพร่าพรายเสียจนคนมองใจเต้นแรง

“บ้า! ฉันไม่ใช่...”

พูดออกไปได้แค่นั้นวรดาก็รู้สึกกระดากอายเกินกว่าจะพูดต่อ หญิงสาวกัดริมฝีปากตัวเองแน่นใบหน้าแดงก่ำเลยตลอดไปถึงลำคอ เมื่อมองไม่เห็นประโยชน์ที่จะต่อความกับอิศนะ วรดาก็สะบัดหน้าพรืดเดินกลับเข้าไปภายในห้องรื้อค้นเอาอุปกรณ์ในกระเป๋าเดินทางออกมาจัดการล้างหน้าแปรงฟัน ตอนแรกหญิงสาวตั้งใจจะอาบน้ำด้วยครั้นพอสัมผัสกับน้ำเย็นเฉียบในโอ่งเท่านั้นหล่อนก็เปลี่ยนความตั้งใจเดิมของตัวเองทันที

ในกระเป๋าเดินทางของวรดามีเสื้อยืดแขนยาวเนื้อหนาอยู่ตัวหนึ่งหญิงสาวจึงหยิบเสื้อตัวนั้นขึ้นมาสวม จากนั้นก็เดินมาที่หน้ากระจกหยิบแป้งเด็กกระป๋องเล็กขึ้นมาเทบนฝ่ามือแล้วลูบไล้ไปทั่วใบหน้างาม เก็บผมยาวสลวยขึ้นมัดรวบเป็นหางม้าแล้วยืนมองตัวเองผ่านกระจกใส

ภาพของหญิงสาวรูปร่างเล็ก ผิวขาวจัด ใบหน้างามละมุน และอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงปรากฏให้เห็นอยู่ต่อหน้า ก็หน้าตาแบบนี้แหละ ที่ใครต่อใครหลงเข้าใจผิดคิดว่าหล่อนเป็นแค่สาวน้อยวัยแรกรุ่น ทั้งๆที่ปลายปีนี้วรดาก็จะอายุครบยี่สิบห้าปีเต็มแล้วแท้ๆ ต่อไปนี้จะไม่มีสาวน้อยวรดาคนเดิมอีกแล้วสินะ ผู้ชายใจคอหยาบทรามอย่างอิศนะ..เขาได้พรากเอาความไร้เดียงสาไปจากตัวหล่อนแล้วจนหมดสิ้น

+++++++++++++++++++++++++++

อิศนะนั่งเอกเขนกอยู่บนม้านั่งยาวต่ออย่างหยาบๆมองระลอกคลื่นเล็กๆที่ก่อตัวขึ้นกลางลำห้วยใหญ่อย่างเลื่อนลอย สายธารที่เห็นใสแจ๋วมองเห็นกระทั่งฝูงปลาภูเขาที่กำลังแหวกว่ายลัดเลาะอยู่ตามโขดหินระเกะระกะ เสียงนกร้องจิ๊บๆอยู่บนยอดไม้ เสียงไก่ป่าขันรับอรุณดังแว่วมาให้ได้ยินเป็นครั้งคราว

เรือนแพท้ายไร่แห่งนี้ถือเป็นอาณาจักรส่วนตัวของอิศนะ บ่อยครั้งที่ชายหนุ่มมักหลบความวุ่นวายจากโลกภายนอกมาซุกซ่อนตัวอยู่ที่นี่ในยามที่ต้องการความเป็นส่วนตัว นางกันยาเองก็เคยเข้ามาเยี่ยมชมอาณาจักรของเขาหนสองหน แล้วหลังจากนั้นนางก็ไม่เคยมาเหยียบอาณาจักรเล็กๆแห่งนี้ของลูกชายอีกเลย

เสียงฝีเท้าที่เดินย่ำออกมาจากห้องนอนใหญ่ปลุกชายหนุ่มให้ตื่นจากภวังค์ อิศนะขยับตัวนั่งใหม่ก่อนจะพยักพเยิดหน้าเชื้อเชิญให้วรดานั่งลงที่ม้านั่งยาวฝั่งตรงข้ามแต่หญิงสาวกลับยืนทำหน้านิ่งๆยกมือทั้งสองข้างขึ้นกอดอก ลำคอระหงตั้งตรง หน้าสวยๆเชิดขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง

“คุณต้องพาฉันออกไปจากที่นี่ เดี๋ยวนี้!”

อิศนะมองคนตรงหน้าวางท่านักเลงใหญ่กับเขาแล้วอดที่จะยิ้มขำไม่ได้ ก่อนจะถามกลับอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนว่า

“ทำไมผมจะต้องทำตามที่คุณสั่งด้วย”

“เพราะมันไม่มีเหตุผลที่คุณจะทำแบบนี้น่ะสิ หรือว่ามี บอกมาสิ บอกเหตุผลของคุณมา ฉันไปทำอะไรให้คุณนักหนา ทำไมคุณจะต้องมากักขังฉันเอาไว้ที่นี่”

“ผมก็แค่ไม่อยากให้คุณกลับไปยุ่งเกี่ยวกับนายภานุอีก เลิกคิดที่จะกลับไปแย่งสามีชาวบ้านเขาซะเถอะวรดา ถ้าคุณยอมรับปากกับผมว่าคุณจะไม่กลับไปข้องเกี่ยว จะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายกับนายภานุและเมียของเขาอีก ผมสัญญาว่าผมจะปล่อยคุณไปตามทางของคุณ”

“ฉันบอกว่าฉันจะแย่งพี่นุมาจากผู้หญิงคนนั้น ฉันก็จะแย่ง ทำไม.. คุณมีสิทธิ์อะไรมาห้ามฉัน”

“มีสิ.. สิทธิ์ของการเป็นสามีคุณไง ผมทนไม่ได้หรอกนะ ที่จะเห็นเมียตัวเองไปวิ่งไล่จับสามีชาวบ้านเขา ทุเรศจะตาย.. รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น คนอื่นเขาจะคิดว่าผมเป็นยังไง อ่อน ไร้สมรรถภาพ ไร้น้ำยาอย่างนั้นหรือเปล่า เมียคนเดียวยังเอาไว้ไม่อยู่ แบบนี้ผมจะไปมองหน้าใครได้ละคุณ”

“จะบ้าเหรอ...ฉันไม่ได้เป็นเมียคุณสักหน่อย”

“ผู้หญิงกับผู้ชาย ทำไอ้อย่างว่ากัน ไม่เรียกผัวเมียแล้วเขาเรียกอะไรล่ะ เพื่อนเล่นเหรอ”

วรดาไม่ทันได้ตอบโต้อะไร คนของอิศนะก็ยกสำรับเดินขึ้นเรือนมาเสียก่อน เด็กสาวตัวผอมคนเดิมกับหญิงสาวรูปร่างท้วมๆหน้าตาบอกบุญไม่รับคนนั้น

“นั่นสุนา แล้วนั่นมะขิ่น สองคนนี้จะคอยดูแลคุณเรื่องงานบ้านทุกอย่าง ส่วนคนของผมอีกสองคน จอนิกับฟุก๋วย เขาจะคอยดูแลคุณอยู่ห่างๆ ถ้าคุณมีอะไรจะให้พวกเขาช่วยก็บอกได้ อ้อ พวกเขาช่วยคุณได้ทุกอย่างก็จริง แต่ยกเว้นเรื่องหนี อย่าแม้แต่จะคิด เพราะคุณไม่มีทางหนีรอดไปไหนได้ ถ้าคุณคิดหนีแล้วถูกคนของผมจับตัวกลับมาได้ละก็ ผมจะล่ามโซ่ขังลืมคุณเอาไว้บนเรือนแพ คุณจะไม่ได้ออกไปเห็นเดือนเห็นตะวันที่ไหนอีก ขอเตือนเอาไว้ก่อน”

เมื่อจัดสำรับบนโต๊ะเรียบร้อยแล้วคนของอิศนะก็รีบผละหนีกันไปอย่างรู้หน้าที่

“นี่คุณ คุณจะมาทำแบบนี้กับฉันไม่ได้นะ บ้านเมืองมีขื่อมีแป คุณจะมาทำตัวนอกรีตเป็นอันธพาลเที่ยวได้จับใครต่อใครมากักขังเอาไว้แบบนี้ไม่ได้”

“ได้ไม่ได้ คุณก็มายืนอยู่ตรงนี้แล้วไม่ใช่หรือ มากินข้าวเถอะมา ผมเสียเวลาทะเลาะกับคุณมานานเกินไปแล้ว เดี๋ยวผมต้องรีบไปทำงาน มาเถอะ...กินข้าว"

“ไม่กิน ไม่หิว อยากจะกิน ก็เชิญคุณกินไปคนเดียวเลย”

พูดจบวรดาก็สะบัดหน้าพรืดเดินหนีกลับเข้าไปภายในห้อง อิศนะมองตามร่างระหงที่เดินเชิดหน้าหายเข้าไปในห้องนอนใหญ่อย่างหงุดหงิด พยายามยามบอกตนเองให้อดทนอดกลั้นเข้าไว้แต่คนเลือดร้อนอย่างเขาก็ฝืนทนต่อไปไม่ไหวจริงๆ สุดท้ายอิศนะก็เดินตามหญิงสาวเข้าไปในห้องนอนใหญ่จนได้

“กลับออกไปทานข้าวกับผมเดี๋ยวนี้นะ วรดา”

“ไม่ ฉันจะไม่กินข้าวของคุณหรอก จะอดข้าวให้มันตายไปเลย”

ร่างสูงใหญ่ราวกับยักษ์นั่นสาวเท้าตรงเข้ามาหาหญิงสาวทันทีทันใด เห็นประกายตาวาวๆของอิศนะแล้ววรดาก็อดที่จะรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาไม่ได้ แต่หล่อนก็ฝืนทำใจดีสู้เสือเชิดหน้าท้าทายเขา ทำทีว่าไม่ได้รู้สึกหวั่นเกรงคนตัวโตที่เดินลิ่วๆมาหยุดยืนอยู่ต่อหน้านั่น

“งั้นผมให้คุณเลือกดีมั้ย เช้านี้จะให้ผมกินข้าว...รึจะให้ผมกินคุณ”

ประกายตาวาววับนั้นมองกวาดไปทั่วใบหน้าของหญิงสาว ก่อนจะหลุบต่ำลงมามองริมฝีปากบางเฉียบได้รูปที่กำลังเผยอค้างราวกับพบเจอเป้าหมายที่ต้องการแล้ว วรดาเริ่มอึกๆอักๆที่คิดว่าตัวแน่ คราวนี้ชักจะปอดๆขึ้นมาเสียแล้ว

“ว่าไง เลือกได้รึยัง”

“ทำไมคุณต้องบังคับฉันด้วย”

“ก็คุณมันดื้อด้าน อวดดี เอามั้ยล่ะ เช้านี้ไม่ต้องกินข้าว ทำอย่างอื่นกันก็ได้ สนุกกว่ากินข้าวเป็นไหนๆ แล้วอย่าหวังนะ ว่าวันนี้คุณจะได้ลงจากเตียง”

วรดาทำหน้าเหวอแก้มแดงระเรื่อขึ้นมาทันตาเห็น

“บ้า.. คุณนี่มัน..ทั้งบ้า ทั้งลามก”

“คำก็บ้า สองคำก็บ้า จูบซะดีมั้ยหึ..”

น้ำเสียงของอิศนะฟังดูคล้ายจะปรึกษาแต่ไม่ยักรอความคิดเห็นใดๆจากหญิงสาว เขารั้งร่างบางเข้าไปจนชิดอกกว้างก่อนจะนาบเคล้าริมฝีปากร้อนจัดลงมาบนเรียวปากนุ่ม

“คนบ้า ฉันเกลียดคุณ เกลียดที่สุดเลยรู้มั้ย”

วรดาผลักร่างใหญ่ออกห่างทันทีเมื่อฝ่ายนั้นยินยอมถอนริมฝีปาก

"ไปทานข้าวกับผมเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นคุณจะโดนมากกว่าจูบ”

พูดจบอิศนะก็ฉวยข้อมือเล็กของหญิงสาวออกแรงฉุดร่างบางให้เดินตามเขามาจนถึงโต๊ะรับประทานอาหาร บังคับหญิงสาวให้นั่งลงบนม้านั่งยาวก่อนจะบริการตักข้าวจัดช้อนจัดส้อมให้เสร็จสรรพ

“กับข้าวชาวป่า อาหารพื้นๆทานได้รึเปล่า ทานไม่ได้ก็ต้องฝืนหน่อยละนะ อยู่กลางป่ากลางดงแบบนี้ ผมคงไม่มีปัญญาไปหาสเต๊กเนื้อแกะ ไข่ปลาคาเวียร์ มาให้คุณทานหรอก”

วรดาเหยียดปากแต่ก็ปรายตามองอาหารชาวป่าของอิศนะอย่างสนใจไม่น้อย ถึงปากจะบอกว่าไม่หิวแต่ท้องไส้ที่กำลังร้องเตือนอยู่จ๊อกๆนั่นก็ขัดแย้งกับสิ่งที่พูดออกไปอย่างสิ้นเชิง

แกงถ้วยแรกที่วางอยู่ตรงหน้าวรดาเดาว่าเป็นแกงฮังเลเพราะมีหมูสามชั้นชิ้นโตอัดแน่นอยู่เต็มถ้วย อีกถ้วยเป็นน้ำพริกอ่องสีสันน่ากิน มีแคบหมูไร้มันกับผักสดสารพัดชนิดเป็นเครื่องเคียง จานถัดไปเป็นไส้อั่วกับเนื้อทอด อีกจานเป็นไข่เจียวฟูกรอบส่งกลิ่นหอมฉุย

“นั่น...ผัดอะไร”

วรดาเปิดปากถามเมื่อสายตาไล่มาถึงอาหารจานสุดท้าย

“แกงโฮะ”

วรดามองเจ้าอาหารตรงหน้าด้วยสายตาพิศวง หน้าตาของมันเหมือนผัดพริกแกงใส่สารพัดผักแต่แปลกตรงที่มีทั้งหน่อไม้ดอง มีทั้งวุ้นเส้น ไหนจะไก่น่องโตนั่นผสมปนเปกันไปหมด

“แกงอะไร ไม่เห็นมีน้ำแกงสักหยด”

วรดาพึมพำถามอย่างข้องใจไม่หาย

“สุดยอดอาหารเหนือเลยนะ”

อิศนะบอกเนิบๆขณะส่งแคบหมูเข้าปาก วรดาทำหน้านิ่วเอื้อมมือไปตักไข่เจียวหอมกรุ่นมาวางบนจานข้าวของตนเอง

“ทำไมเรียกแกงโฮะ”

“โฮะภาษาเหนือแปลว่า รวม สมัยก่อนเขาเอาพวกอาหารที่เหลือๆ มาเทรวมกัน ทำให้สุกแล้วปรุงรสใหม่ แต่ที่เห็นนี่ไม่ใช่ของเหลือหรอกนะ สุนาเขาเอาของใหม่ๆมาทำทั้งนั้น ไม่ลองชิมดู อร่อยนะ”

วรดาสั่นหน้าปฏิเสธเลือกตักน้ำพริกอ่องสีสดมาราดบนข้าวสวยก่อนจะใช้ส้อมจิ้มแตงกวาอีกสองชิ้นมาวางไว้ข้างๆ

“ปกติคุณชอบทานอาหารแบบไหน”

อิศนะเอ่ยถามอย่างไม่ต้องการให้บรรยากาศภายในโต๊ะอาหารเงียบเหงาจนเกินไป

“ทุกอย่าง ยกเว้นอาหารเหนือ!”

คำตอบของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากจานข้าวของตัวเองทันที

“ดี งั้นต่อไปนี้ หัดกินอาหารเหนือให้ได้ทุกอย่าง หัดพูดภาษาคำเมือง แล้วก็หัดเรียนรู้วัฒนธรรมของคนเหนือเอาไว้ให้มากๆ”

“ทำไมฉันต้องทำแบบนั้นด้วย”

“ไม่เห็นต้องให้บอก คุณเป็นเมียคนเหนือ ก็ต้องหัดเรียนรู้ หัดใช้ชีวิตให้ได้แบบคนเหนือสิ”

"ก็แล้วถ้าฉันไม่อยากจะเรียนรู้ล่ะ"

"คุณกับผม เราก็คงต้องรบกันไปอย่างนี้จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะถอดใจยอมแพ้ ก็เอาสิ มาลองรบกันสักตั้งก็ได้ คุณอยากจะดื้อด้าน อยากจะทำฤทธิ์ทำเดชอะไรกับผมก็จัดมา เดี๋ยวผมจะหาวิธีปราบพยศคุณให้อยู่หมัด งานนี้คุณจะได้เจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้ออย่างแน่นอน ผมรับรอง.."

+++++++++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่แวะเวียนมาอ่านค่ะ

โอชิน.



โอชิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ต.ค. 2560, 17:13:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ต.ค. 2560, 17:13:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 1100





<< ตอนที่ 8.   ตอนที่ 10. >>
phakarat 4 ต.ค. 2560, 19:57:09 น.
บังคับกันจังเลยนะแล้วจะยอมเป็นสะใภ้เมืองเหนือรึปล่าว


Kim 5 ต.ค. 2560, 01:32:45 น.
คนที่ดื้อด้านไม่ใช่วรดาแต่เป็นนายอิศนั่นแหล่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account