มนต์รักในคำสัญญา (Yaoi) - จบ
คำสัญญาที่เธอเคยให้ไว้กับชายที่รัก แต่ในชาตินี้เธอกลับจำไม่ได้และที่สำคัญเธอเกิดมาเป็นผู้ชาย " คำสัญญาที่เจ้าเคยให้ไว้กับพี่ เจ้าจำได้ไหม พี่รอคอยเวลาที่จะพบเจอเจ้ามานานแสนนาน ไม่ว่ากี่พบกี่ชาติพี่ไม่มีวันลืม" ความรักจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหรือจะต้องทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้สิ่งไหนสำคัญกว่ากัน
Tags: นิยายรัก มนตรา มนตร์ นิยายวาย BL Yaoi
ตอน: พินัยกรรม
"ทำไมคุณยังอยู่อีก กลับไปได้แล้ว ชิ้วๆ " นทีเอือมกับวิญญาณไร้สังกัดที่แอบเข้ามาในห้องน้ำยังไม่พอ ยังมายืนมองเขานอนอีก
"อย่าไล่พี่แบบนั้นสิ ขออยู่ด้วย ไม่สงสารพี่บ้างหรือไงกัน" ศรยิ้มให้กับคนรักที่นอนม้วนตัวอยู่ในผ้าห่มผืนโตแล้วส่งสายตาไล่ให้ออกไปอย่างไร้เยื่อใย
"เชอะ" นทีพลิกตัวหันหน้าหนีทันที ไม่อยากต่อปากต่อคำกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน
"ฟู่ ฟู่" ศรนอนมองหน้านทีบนเตียงแล้วพ่นลมใส่หน้าของเขาทั้งที่กำลังหลับตาอยู่
"เฮ้ยย! " นทีลืมตาขึ้นเพราะรู้สึกถึงลมที่ปะทะหน้า เมื่อเห็นหน้าของศรใกล้มากขนาดนี้ ถึงกับร้องด้วยความตกใจจนต้องลุกขึ้นนั่ง
"เฮอะ เฮอะ"
"สนุกมากนักหรือไง" นทีเริ่มรู้สึกโกรธศรขึ้นมาบ้างแล้ว เขาเปรยตามองด้วยหางตาแสดงถึงความไม่พอใจ
"สนุกสิเวลาที่เห็นเจ้าทำหน้าตกใจ" ศรไม่เคยรู้สึกอารมณ์ดีแบบนี้มานานแล้ว พอได้เล่นกับคนตรงหน้ายิ่งรู้สึกดีอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
"ทำดีด้วยหน่อยทำเป็นได้ใจนะไอ้ผีบ้า" นทีอารมณ์ขึ้นเพราะวิญญาณตรงหน้ามาขัดการนอนหลับของเขา
"เฮอะ เฮอะ"
ถึงจะโดนคนตรงหน้าต่อว่า ศรก็ยังคงไม่ขยับไปไหนนอนมองคนรักในร่างผู้ชายหันหลังหนีอยู่อย่างนั้น นทีลืมตาขึ้นเพราะรู้สึกเย็นวาบข้างหลังทำให้เขานอนไม่หลับและความอดทนก็ถึงขีดสุดเมื่อศรพ่นลมใส่ต้นคอของเขา
"โอ๊ย! พอกันที ถ้าคุณจะอยู่ในห้องนี้ผมก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่ควรมีมารยาทบ้าง" นทีหันไปมองศรด้วยดวงตาโกรธเคือง เขาเป็นวิญญาณคงไม่เคยนอนหลับสินะถึงชอบก่อกวนคนเป็นแบบนี้
"ถึงพี่จะเป็นแค่วิญญาณร่อนเร่ อย่างที่เจ้าคิด แต่พี่ก็มีเวลาที่จะต้องพักผ่อนเหมือนกัน" เมื่อสิ้นเสียงวิญญาณไร้สังกัดนทีถึงกลับขมวดคิ้ว เขากำลังคิดว่าวิญญาณตรงหน้ารับรู้ได้อย่างไร ว่าเขาคิดอะไรอยู่หรือว่าเขาจะอ่านใจได้
"หึ ไม่แปลกที่วิญญาณพิเศษอย่างพี่จะรับรู้กระแสความคิดของมนุษย์ทั่วไป ยิ่งเราทั้งสองเคยผูกพันด้วยคำมั่นสัญญาทางใจด้วยแล้ว ทำให้พี่ยิ่งรับรู้ทุกอย่างในจิตใจของเจ้า"
"วิญญาณพิเศษ คุณนี่นะเป็นวิญญาณพิเศษ" นทีถึงกับผงะไม่อยากจะเชื่อว่าวิญญาณตนนี้จะเป็นวิญญาณพิเศษ
"ใช่แล้ว พี่อยู่ที่นี่มานาน ผ่านการฝึกฝนทางจิตใจและฝึกพลังจนขั้นสามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของที่เป็นของหยาบได้อย่างง่ายดาย วันก่อนพี่ก็เป็นคนอุ้มเจ้ากลับมานอนที่นี่เอง" ศรอธิบายอย่างใจเย็น
นทีได้ยินถึงกับตาโตว่าวิญญาณตรงหน้าทำอะไรได้มากมายถึงเพียงนั้นเลย แต่เขาเห็นการปรากฏตัวรวมถึงทำอะไรแปลกประหลาด ก็คงต้องยอมเชื่อว่าเขาเป็นวิญญาณที่แข็งแกร่งจริง แต่เรื่องที่เคยเป็นคนรักกันจนถึงขนาดผูกสัญญาใจขนาดนี้ยังไงเขาคงไม่ปักใจเชื่ออย่างแน่นอน
"ถึงเจ้าจะจดจำอดีตยังไม่ได้แต่ไม่นานเกินรอเจ้าจะจำได้เอง"
ศรได้บอกกับคนตรงหน้าให้เตรียมใจรับกับความทรงจำที่จะหวนกลับมาหาอีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันเป็นโชคชะตาของเราทั้งคู่เมื่อจากกันและมาเจอกัน ซึ่งแน่นอนความทรงจำอันแสนดีและเลวร้ายจะกลับมาอีกครั้ง
"เฮ้อ...พูดแต่เรื่องเข้าใจยากอีกแล้ว เอาเถอะถ้าคุณจะอยู่ในห้องก็ได้นะแต่อย่ามานอนใกล้มันรู้สึกเย็นหลัง"
นทีรีบบอกกันไว้ก่อนไม่เช่นนั้นวิญญาณตนนี้ต้องมานอนใกล้เขาอย่างแน่นอน แต่ศรกลับไม่พูดสิ่งใด ได้เพียงแต่มองแผ่นหลังของนทีอยู่อย่างนั้น โดยที่ไม่ขยับหนีหายไปไหนจนกระทั่งนทีเข้าสู่ห้วงแห่งการนอนหลับ ปล่อยให้ศรอยู่กับกลางคืนที่เงียบสงัดเพียงตนเดียว
"เมื่อไหร่เราทั้งสองจะได้กลับมาครองรักกันอีก"
เช้าวันรุ่งขึ้นศรได้ทิ้งดอกกระดังงาที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วห้อง นทีตื่นตอนเช้าพบดอกกระดังงาวางทิ้งเอาไว้ที่หัวเตียงเขาถึงกับยิ้มคิดอยู่ในใจ เขารู้แล้วว่าเจ้าของดอกไม้ดอกนี้เป็นใคร และเป็นอีกครั้งที่ศรมักทำให้นทีต้องแปลกใจอยู่เรื่อยไปแม้กระทั่งครั้งนี้เช่นกัน
"ทีตื่นยัง" รัตนาตะโกนอยู่หน้าห้องร้องเรียกให้นทีออกมา
"ครับ ตื่นแล้วครับอารัต" นทีรีบเดินไปเปิดประตูห้อง ให้อาสาวเข้ามาในห้องของเขา
"หอมจัง" เธอเข้ามากลับแปลกใจกับกลิ่นที่หอมฟุ้งไปทั่วห้อง
"อารัตมีอะไรเหรอครับ"
"สายนี้ เขาจะเปิดพินัยกรรมกัน เราอย่าสายหล่ะ" เธอได้บอกธุระของเธอเพราะนทีเป็นหลานชายเพียงคนเดียวของตระกูลนี้และในพินัยกรรมก็ระบุอย่างชัดเจนว่านทีต้องอยู่ด้วย นทีกลับแปลกใจว่าทำไมถึงเร็วขนาดนี้ นี่ครบอาทิตย์แล้วสินะที่เรามาอยู่ที่นี่
"วันนี้เลยเหรอครับ" นทีถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าตนได้ยินไม่ผิด
"ใช่จ้ะ" เธอยิ้มกลับให้หลานชายสุดที่รัก และเหลือบเห็นดอกกระดังงาบนหัวเตียง จึงเดินตรงเข้าไปมองให้ชัดกว่าเดิมว่าใช่ดอกไม้ที่เธอคิดหรือไม่
"ว่าแต่เราไปเอาดอกกระดังงาดอกนี้มาจากไหน"
"ค...คือผมเห็นมีอยู่ต้นหนึ่งที่หนองน้ำครับเลยเก็บมา" นทีจำใจที่ต้องโกหกไปเพราะถ้าบอกความจริงคงไม่มีใครเชื่อเขาอย่างแน่นอนโดยเฉพาะอาสาวคนนี้ที่ไม่เคยเชื่อเรื่องวิญญาณเสียเท่าไหร่นัก
"แปลกจัง อาคิดว่าหมดไปแล้วเสียอีก แต่ชั่งเถอะ ลงไปทานข้าวกัน ทุกคนรอเราอยู่คนเดียวนะ" เธอกลับแปลกใจที่ได้ยินเช่นนั้นเพราะดอกกระดังงาตายไปหมดตั้งแต่มารดาของเธอเริ่มป่วยและไม่มีใครหามาปลูกเพิ่มจึงแปลกใจที่นทีหามาได้
"ครับผมจะตามไป"
นทีพยักหน้ารับเขากลืนน้ำลายอึกโตเพราะกลัวอาของตนจะสงสัยเข้าว่าไปเอามาจากไหน เมื่ออาของเขาได้ออกจากห้องไปเขาหันไปเก็บดอกกระดังงาลงลิ้นชักคู่กับดอกกระดังงาแห้งอีกดอกที่ศรให้มา
"คุณจะทำให้ผมเดือดร้อนนะ"
เมื่อเวลาเปิดพินัยกรรมมาถึง ญาติพี่น้องทุกคนอยู่กันพร้อมหน้ารวมถึงคนใช้ที่มาร่วมฟังและคอยบริการญาติพี่น้องคนอื่นที่รอรับมรดกกันอย่างใจจดใจจ่อ
"ข้าพเจ้า นางปิ่นมณี ทิชกูร อายุ 85 ปีอยู่บ้านเลขที่...."
ทนายเริ่มต้นอ่านพินัยกรรมฉบับที่ย่าของนทีเขียนขึ้น ทุกคนในห้องตั้งใจฟังกันอย่างตั้งใจจนมาถึงตอนที่แบ่งมรดกออกไปเป็นส่วนๆ ที่ทำให้ญาติพี่น้องทั้งหลายไม่มีใครหายใจเสียงดังกันเลยทีเดียว นทีหันไปมองคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นญาติของเขาอย่างเอือมระอา บางคนแทบไม่เคยเห็นหน้าเลยสักนิด บางคนที่มาใช่ญาติเขาหรือเปล่ายังไม่แน่ใจทุกคนมาที่นี่เพราะหวังสมบัติของคุณย่าเขาทั้งนั้น
"ทรัพย์สินของข้าพเจ้าทั้งหมดที่มีอยู่ในปัจจุบันและที่จะมีต่อไปในอนาคตให้แก่บุคคลที่มีชื่อต่อไปนี้..."
"บ้านทิชกูรและทรัพย์สมบัติทุกอย่างในบ้านทิชกูรมอบให้นางรัตนา...เป็นผู้ดูแลเพียงผู้เดียว"
"ที่ดินทั้งหมด 400 ไร่ที่ข้าพเจ้าครอบครองอยู่มอบให้ นายนที ทิชกูร"
"เงินสดจำนวน 1 ล้านบาทขอมอบให้นายพศิน..."
ทนายได้พูดจนจบตรงนี้มีแต่เสียงซุบซิบกันยกใหญ่เพราะมีแต่คนคิดว่านายพศินที่เป็นถึงลูกเขยสุดที่รักกลับได้แค่เงินสด แทนที่จะได้เป็นเจ้าของบ้านหรือเจ้าของที่ดินหลายร้อยไร่กลับไม่ได้สักอย่างได้แค่เพียงเงินสด ส่วนลูกหลานคนอื่นได้เงินครอบครัวละ 1 แสนบาท ซึ่งไม่มีใครติดใจเรื่องที่ได้เงินน้อยเพราะพวกเขาไม่เคยมาช่วยเหลือปิ่นมณีเลยสักครั้งได้เงินเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
"มีใครคัดค้านพินัยกรรมฉบับนี้หรือไม่ครับ" เมื่อทนายได้อ่านพินัยกรรมจบหันไปถามทุกคนในห้อง ถ้าไม่มีใครสงสัยในพินัยกรรมฉบับนี้เขาจะได้ปิดพินัยกรรมลง เท่ากับว่าเขาทำตามหน้าที่ของตนเสร็จเรียบร้อยแล้ว
"ผมครับ"
นทีพูดออกมาเสียงดังจนทุกคนหันมามองกันหมด ศรที่แอบฟังอยู่ข้างกำแพงกลับแปลกใจที่นทีคัดค้านสิ่งที่ย่าของเขาตั้งใจเก็บเอาไว้ให้ จึงรีบไปกระซิบข้างหูของนทีทันที
"เจ้าทำอะไรของเจ้านะ"
"จิ อย่ายุ่งน่า" นทีหันไปจิปากข้างตัว คนที่นั่งข้างนทีสะดุ้งตกใจที่อยู่ๆ นทีหันมาจิปากใส่และพูดเหมือนกับว่าเขาไปทำอะไรให้
"ทีเราสงสัยอะไรในพินัยกรรมหรือจ๊ะ" รัตนาเห็นท่าทางที่แปลกไปของหลานชายตนเองจึงถามขึ้น
"เออ...คือผมแค่คิดว่าผมไม่เคยอยู่ที่นี่เลย ผมไม่สมควรได้ที่ดินตั้งหลายร้อยไร่แบบนี้" นทีคิดตั้งแต่แรกแล้วว่าแค่มาฟังพินัยกรรมตามที่คุณย่าสั่งเท่านั้น แล้วจะกลับไปหางานทำตามที่ตนเรียนจบมาในกรุงเทพ
"คริ คริ เรื่องนั้นเองเหรอ ไม่ต้องห่วงหรอกนะจ๊ะ เดี๋ยวอาพศินเขาจะเป็นคนสอนเราเองนะ ใช่ไหมจ๊ะพี่ศิน" รัตนาแอบขำที่นทีคิดอะไรเด็กขนาดนั้น
"อ...เออ ใช่ๆ พี่จะสอนทั้งหมดเอง ทีเราจะกังวลไปทำไม" นทีหันไปมองพศินที่ยิ้มออกมาอย่างจริงใจที่สุด
"ขอแทรกนะครับ ในกรณีที่คุณนทีปฏิเสธในการรับมรดกในครั้งนี้ ในจดหมายที่ท่านระบุแยกเอาไว้ ท่านได้มอบหมายให้คุณพศินเป็นคนสอนงานทั้งหมดให้คุณนทีทำเองได้ภายในสามเดือน แต่ถ้าทำไม่ได้และยกเลิกกลางทางเท่ากับว่าเป็นความผิดของคุณพศินจะต้องหักเงิน 500,000 บาทครับ"
พอทนายพูดจบทุกคนต่างซุบซิบนินทากันถึงความลำเอียงเสียยกใหญ่ ส่วนพศินหน้าซีดลงทันทีแล้วหันไปมองหน้าของนทีด้วยหน้าตาที่น่าสงสาร นทีที่มีความคิดที่จะยกเลิกพินัยกรรมกลับมองว่านี่เป็นคำขู่หรือเปล่านะ เหมือนเป็นการบังคับให้เขาทำให้ได้ถ้าทำไม่ได้จะต้องทำให้คนอื่นเดือดร้อน
"ฮ่า ฮ่า" ศรหัวเราะกับคำสั่งเด็ดขาดของเจ้าของบ้านที่เสียไป
"หัวเราะอะไร"
นทีได้ยินเสียงหัวเราะอย่างสะใจของศร เขาจึงหันไปตะโกนใส่บริเวณที่ศรยืนหัวเราะอยู่ ทุกคนในห้องเงียบกันหมดเพราะคิดว่านทีขึ้นเสียงใส่พวกเขา โดยเฉพาะเด็กผู้ชายที่นั่งข้างเขาสะดุ้งทุกครั้งที่นทีหันไปต่อว่า ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด นทีเห็นทุกคนทำหน้าเหมือนสงสัยว่านทีเป็นอะไร เขาจึงกัดฟันเล็กน้อยและหันไปขอโทษทุกคนในห้อง ถ้าจะโทษต้องโทษวิญญาณไร้สังกัดตัวนี้น่าจะจับลงหม้อไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน
"ม...ไม่เป็นอะไรนะที เดี๋ยวอาสอนให้ ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรแค่ห้าแสนเอง เฮอะ เฮอะ"
พศินพูดจบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เขาไม่เคยคิดว่าปิ่นมณีจะทำแบบนี้ เท่ากับว่าเขาต้องสอนทุกอย่างให้กับนทีไปในตัว ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องชวดเงินไปครึ่งหนึ่ง นทีรู้สึกเห็นใจพศินทันทีงานนี้คงต้องยอมให้คุณย่าของเขา ถ้ายังขืนดื้อต่อไปคนที่แย่คงไม่ใช่ใครอื่น ความซวยต้องตกเป็นของพศินเพียงผู้เดียว
"ผมเข้าใจแล้วครับ ยังไงก็ได้"
"ถ้าไม่มีใครติดใจอะไรแล้ว ผมขอปิดพินัยกรรมฉบับนี้นะครับ" ทนายได้กล่าวปิด ทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับไปเหลือแต่พศิน รัตนาและนทีที่นั่งอยู่ จนพศินลุกขึ้นยืนแล้วจับบ่านทีพร้อมกับส่งยิ้มให้อย่างคนใจดี
"พรุ่งนี้พร้อมเริ่มงานไหม อาจะเริ่มสอนทุกอย่างให้ สงสัยต้องเข้มงวดกันสักหน่อยแล้ว งานที่นี่เยอะเสียด้วยสิ"
"ครับ"
"เอาล่ะถ้าตกลงกันได้แล้ว พวกเราไปพักผ่อนกันเถอะนะ ทีเราก็ไปพักซะ พรุ่งนี้จะได้เริ่มงานกับอาศิน ท่าทางอาเขาเอาจริงนะนั่น สงสัยกลัวชวดเงิน ฮ่า ฮ่า" รัตนาหันไปพูดกับคนทั้งสองส่วนคำพูดประโยคหลังหันไปกระซิบข้างหูนที เธออยากแกล้งพศินเล่นพศินได้ยินเช่นนั้นหันมาค้อนภรรยาตนกลับทันที
"ฮ่า ฮ่า อย่าคิดมากน่า เดี๋ยวอาช่วย รับรองเป็นลูกศิษย์ของอาเก่งแน่นอน" พศินตบบ่านทีเบาๆ ให้กำลังใจ
"ครับ ผมจะพยายาม"
ทั้งสามได้แยกย้ายกันไปพักผ่อน ส่วนนทีขึ้นห้องนอนของตนไป ในหัวสมองก็คิดประมวลผลต่างๆ มากมายจนไม่ทันระวังเข้าไปชนกับหน้าอกของศรเข้าอย่างจัง
"เจ็บง่ะ! ถามจริงเป็นผีจริงหรือเปล่า ทำอย่างกับเป็นคนปกติ" นทีลูบหน้าผากปรอยๆ พร้อมกับต่อว่าวิญญาณตรงหน้าของเขา
"พี่บอกเจ้าแล้วว่า พี่เป็นวิญญาณพิเศษ"
"ครับ คร๊าบ พ่อคนพิเศษ"
"เฮอะ เฮอะ" ศรหัวเราะออกมาทำให้นทีเบ้ปากใส่แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะกดโทรศัพท์หาข้อมูลบางอย่าง
"เจ้าไม่ต้องเครียดไปนักหรอกนะ อดีตเจ้าเป็นเจ้าของที่นี่อยู่แล้ว ทุกอย่างยังไงต้องตกเป็นของเจ้าแน่นอน เจ้าทำได้แน่แต่พี่ขอเตือนบางอย่างให้ระวังตัวบ้างหลังจากนี้อาจมีเรื่องวุ่นวายเกินขึ้นอีกครั้ง" พอศรพูดจบนทีหันมามองหน้าศรอย่างเป็นคำถาม ตั้งแต่รู้จักวิญญาณตนนี้เขาไม่เคยเข้าใจอะไรเลยสักนิด ยิ่งรู้จักยิ่งมีแต่คำถามและมีแต่สิ่งที่ไม่เข้าใจมากมายในหัวสมอง
"คุณชอบพูดอะไรน่าสงสัยและพูดแต่ละอย่างมีแต่เรื่องที่ผมไม่เข้าใจเลย"
"สักวันเจ้าจะเข้าใจ"
ศรยิ้มให้กับความมึนงงของคนตรงหน้า นทียักไหล่ทั้งสองข้างขึ้นแล้วหันกลับไปสนใจหน้าจอโทรศัพท์ตรงหน้าต่อ ในใจกลับคิดว่าถึงจะพูดแบบนั้นก็ไม่ช่วยอะไรเขาเลย
@@@@@@@@@
พินัยกรรมดูจะลำเอียงไปนิดแต่ปิ่นมณีไม่ใช่จะลำเอียงค่ะ เธอได้แบ่งตามหน้าที่ของแต่ละคนรวมถึงจำนวนทรัพย์สมบัติที่ถูกแบ่งตามความสำคัญ ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามมาถึงตอนนี้
"อย่าไล่พี่แบบนั้นสิ ขออยู่ด้วย ไม่สงสารพี่บ้างหรือไงกัน" ศรยิ้มให้กับคนรักที่นอนม้วนตัวอยู่ในผ้าห่มผืนโตแล้วส่งสายตาไล่ให้ออกไปอย่างไร้เยื่อใย
"เชอะ" นทีพลิกตัวหันหน้าหนีทันที ไม่อยากต่อปากต่อคำกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน
"ฟู่ ฟู่" ศรนอนมองหน้านทีบนเตียงแล้วพ่นลมใส่หน้าของเขาทั้งที่กำลังหลับตาอยู่
"เฮ้ยย! " นทีลืมตาขึ้นเพราะรู้สึกถึงลมที่ปะทะหน้า เมื่อเห็นหน้าของศรใกล้มากขนาดนี้ ถึงกับร้องด้วยความตกใจจนต้องลุกขึ้นนั่ง
"เฮอะ เฮอะ"
"สนุกมากนักหรือไง" นทีเริ่มรู้สึกโกรธศรขึ้นมาบ้างแล้ว เขาเปรยตามองด้วยหางตาแสดงถึงความไม่พอใจ
"สนุกสิเวลาที่เห็นเจ้าทำหน้าตกใจ" ศรไม่เคยรู้สึกอารมณ์ดีแบบนี้มานานแล้ว พอได้เล่นกับคนตรงหน้ายิ่งรู้สึกดีอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
"ทำดีด้วยหน่อยทำเป็นได้ใจนะไอ้ผีบ้า" นทีอารมณ์ขึ้นเพราะวิญญาณตรงหน้ามาขัดการนอนหลับของเขา
"เฮอะ เฮอะ"
ถึงจะโดนคนตรงหน้าต่อว่า ศรก็ยังคงไม่ขยับไปไหนนอนมองคนรักในร่างผู้ชายหันหลังหนีอยู่อย่างนั้น นทีลืมตาขึ้นเพราะรู้สึกเย็นวาบข้างหลังทำให้เขานอนไม่หลับและความอดทนก็ถึงขีดสุดเมื่อศรพ่นลมใส่ต้นคอของเขา
"โอ๊ย! พอกันที ถ้าคุณจะอยู่ในห้องนี้ผมก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่ควรมีมารยาทบ้าง" นทีหันไปมองศรด้วยดวงตาโกรธเคือง เขาเป็นวิญญาณคงไม่เคยนอนหลับสินะถึงชอบก่อกวนคนเป็นแบบนี้
"ถึงพี่จะเป็นแค่วิญญาณร่อนเร่ อย่างที่เจ้าคิด แต่พี่ก็มีเวลาที่จะต้องพักผ่อนเหมือนกัน" เมื่อสิ้นเสียงวิญญาณไร้สังกัดนทีถึงกลับขมวดคิ้ว เขากำลังคิดว่าวิญญาณตรงหน้ารับรู้ได้อย่างไร ว่าเขาคิดอะไรอยู่หรือว่าเขาจะอ่านใจได้
"หึ ไม่แปลกที่วิญญาณพิเศษอย่างพี่จะรับรู้กระแสความคิดของมนุษย์ทั่วไป ยิ่งเราทั้งสองเคยผูกพันด้วยคำมั่นสัญญาทางใจด้วยแล้ว ทำให้พี่ยิ่งรับรู้ทุกอย่างในจิตใจของเจ้า"
"วิญญาณพิเศษ คุณนี่นะเป็นวิญญาณพิเศษ" นทีถึงกับผงะไม่อยากจะเชื่อว่าวิญญาณตนนี้จะเป็นวิญญาณพิเศษ
"ใช่แล้ว พี่อยู่ที่นี่มานาน ผ่านการฝึกฝนทางจิตใจและฝึกพลังจนขั้นสามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของที่เป็นของหยาบได้อย่างง่ายดาย วันก่อนพี่ก็เป็นคนอุ้มเจ้ากลับมานอนที่นี่เอง" ศรอธิบายอย่างใจเย็น
นทีได้ยินถึงกับตาโตว่าวิญญาณตรงหน้าทำอะไรได้มากมายถึงเพียงนั้นเลย แต่เขาเห็นการปรากฏตัวรวมถึงทำอะไรแปลกประหลาด ก็คงต้องยอมเชื่อว่าเขาเป็นวิญญาณที่แข็งแกร่งจริง แต่เรื่องที่เคยเป็นคนรักกันจนถึงขนาดผูกสัญญาใจขนาดนี้ยังไงเขาคงไม่ปักใจเชื่ออย่างแน่นอน
"ถึงเจ้าจะจดจำอดีตยังไม่ได้แต่ไม่นานเกินรอเจ้าจะจำได้เอง"
ศรได้บอกกับคนตรงหน้าให้เตรียมใจรับกับความทรงจำที่จะหวนกลับมาหาอีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันเป็นโชคชะตาของเราทั้งคู่เมื่อจากกันและมาเจอกัน ซึ่งแน่นอนความทรงจำอันแสนดีและเลวร้ายจะกลับมาอีกครั้ง
"เฮ้อ...พูดแต่เรื่องเข้าใจยากอีกแล้ว เอาเถอะถ้าคุณจะอยู่ในห้องก็ได้นะแต่อย่ามานอนใกล้มันรู้สึกเย็นหลัง"
นทีรีบบอกกันไว้ก่อนไม่เช่นนั้นวิญญาณตนนี้ต้องมานอนใกล้เขาอย่างแน่นอน แต่ศรกลับไม่พูดสิ่งใด ได้เพียงแต่มองแผ่นหลังของนทีอยู่อย่างนั้น โดยที่ไม่ขยับหนีหายไปไหนจนกระทั่งนทีเข้าสู่ห้วงแห่งการนอนหลับ ปล่อยให้ศรอยู่กับกลางคืนที่เงียบสงัดเพียงตนเดียว
"เมื่อไหร่เราทั้งสองจะได้กลับมาครองรักกันอีก"
เช้าวันรุ่งขึ้นศรได้ทิ้งดอกกระดังงาที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วห้อง นทีตื่นตอนเช้าพบดอกกระดังงาวางทิ้งเอาไว้ที่หัวเตียงเขาถึงกับยิ้มคิดอยู่ในใจ เขารู้แล้วว่าเจ้าของดอกไม้ดอกนี้เป็นใคร และเป็นอีกครั้งที่ศรมักทำให้นทีต้องแปลกใจอยู่เรื่อยไปแม้กระทั่งครั้งนี้เช่นกัน
"ทีตื่นยัง" รัตนาตะโกนอยู่หน้าห้องร้องเรียกให้นทีออกมา
"ครับ ตื่นแล้วครับอารัต" นทีรีบเดินไปเปิดประตูห้อง ให้อาสาวเข้ามาในห้องของเขา
"หอมจัง" เธอเข้ามากลับแปลกใจกับกลิ่นที่หอมฟุ้งไปทั่วห้อง
"อารัตมีอะไรเหรอครับ"
"สายนี้ เขาจะเปิดพินัยกรรมกัน เราอย่าสายหล่ะ" เธอได้บอกธุระของเธอเพราะนทีเป็นหลานชายเพียงคนเดียวของตระกูลนี้และในพินัยกรรมก็ระบุอย่างชัดเจนว่านทีต้องอยู่ด้วย นทีกลับแปลกใจว่าทำไมถึงเร็วขนาดนี้ นี่ครบอาทิตย์แล้วสินะที่เรามาอยู่ที่นี่
"วันนี้เลยเหรอครับ" นทีถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าตนได้ยินไม่ผิด
"ใช่จ้ะ" เธอยิ้มกลับให้หลานชายสุดที่รัก และเหลือบเห็นดอกกระดังงาบนหัวเตียง จึงเดินตรงเข้าไปมองให้ชัดกว่าเดิมว่าใช่ดอกไม้ที่เธอคิดหรือไม่
"ว่าแต่เราไปเอาดอกกระดังงาดอกนี้มาจากไหน"
"ค...คือผมเห็นมีอยู่ต้นหนึ่งที่หนองน้ำครับเลยเก็บมา" นทีจำใจที่ต้องโกหกไปเพราะถ้าบอกความจริงคงไม่มีใครเชื่อเขาอย่างแน่นอนโดยเฉพาะอาสาวคนนี้ที่ไม่เคยเชื่อเรื่องวิญญาณเสียเท่าไหร่นัก
"แปลกจัง อาคิดว่าหมดไปแล้วเสียอีก แต่ชั่งเถอะ ลงไปทานข้าวกัน ทุกคนรอเราอยู่คนเดียวนะ" เธอกลับแปลกใจที่ได้ยินเช่นนั้นเพราะดอกกระดังงาตายไปหมดตั้งแต่มารดาของเธอเริ่มป่วยและไม่มีใครหามาปลูกเพิ่มจึงแปลกใจที่นทีหามาได้
"ครับผมจะตามไป"
นทีพยักหน้ารับเขากลืนน้ำลายอึกโตเพราะกลัวอาของตนจะสงสัยเข้าว่าไปเอามาจากไหน เมื่ออาของเขาได้ออกจากห้องไปเขาหันไปเก็บดอกกระดังงาลงลิ้นชักคู่กับดอกกระดังงาแห้งอีกดอกที่ศรให้มา
"คุณจะทำให้ผมเดือดร้อนนะ"
เมื่อเวลาเปิดพินัยกรรมมาถึง ญาติพี่น้องทุกคนอยู่กันพร้อมหน้ารวมถึงคนใช้ที่มาร่วมฟังและคอยบริการญาติพี่น้องคนอื่นที่รอรับมรดกกันอย่างใจจดใจจ่อ
"ข้าพเจ้า นางปิ่นมณี ทิชกูร อายุ 85 ปีอยู่บ้านเลขที่...."
ทนายเริ่มต้นอ่านพินัยกรรมฉบับที่ย่าของนทีเขียนขึ้น ทุกคนในห้องตั้งใจฟังกันอย่างตั้งใจจนมาถึงตอนที่แบ่งมรดกออกไปเป็นส่วนๆ ที่ทำให้ญาติพี่น้องทั้งหลายไม่มีใครหายใจเสียงดังกันเลยทีเดียว นทีหันไปมองคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นญาติของเขาอย่างเอือมระอา บางคนแทบไม่เคยเห็นหน้าเลยสักนิด บางคนที่มาใช่ญาติเขาหรือเปล่ายังไม่แน่ใจทุกคนมาที่นี่เพราะหวังสมบัติของคุณย่าเขาทั้งนั้น
"ทรัพย์สินของข้าพเจ้าทั้งหมดที่มีอยู่ในปัจจุบันและที่จะมีต่อไปในอนาคตให้แก่บุคคลที่มีชื่อต่อไปนี้..."
"บ้านทิชกูรและทรัพย์สมบัติทุกอย่างในบ้านทิชกูรมอบให้นางรัตนา...เป็นผู้ดูแลเพียงผู้เดียว"
"ที่ดินทั้งหมด 400 ไร่ที่ข้าพเจ้าครอบครองอยู่มอบให้ นายนที ทิชกูร"
"เงินสดจำนวน 1 ล้านบาทขอมอบให้นายพศิน..."
ทนายได้พูดจนจบตรงนี้มีแต่เสียงซุบซิบกันยกใหญ่เพราะมีแต่คนคิดว่านายพศินที่เป็นถึงลูกเขยสุดที่รักกลับได้แค่เงินสด แทนที่จะได้เป็นเจ้าของบ้านหรือเจ้าของที่ดินหลายร้อยไร่กลับไม่ได้สักอย่างได้แค่เพียงเงินสด ส่วนลูกหลานคนอื่นได้เงินครอบครัวละ 1 แสนบาท ซึ่งไม่มีใครติดใจเรื่องที่ได้เงินน้อยเพราะพวกเขาไม่เคยมาช่วยเหลือปิ่นมณีเลยสักครั้งได้เงินเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
"มีใครคัดค้านพินัยกรรมฉบับนี้หรือไม่ครับ" เมื่อทนายได้อ่านพินัยกรรมจบหันไปถามทุกคนในห้อง ถ้าไม่มีใครสงสัยในพินัยกรรมฉบับนี้เขาจะได้ปิดพินัยกรรมลง เท่ากับว่าเขาทำตามหน้าที่ของตนเสร็จเรียบร้อยแล้ว
"ผมครับ"
นทีพูดออกมาเสียงดังจนทุกคนหันมามองกันหมด ศรที่แอบฟังอยู่ข้างกำแพงกลับแปลกใจที่นทีคัดค้านสิ่งที่ย่าของเขาตั้งใจเก็บเอาไว้ให้ จึงรีบไปกระซิบข้างหูของนทีทันที
"เจ้าทำอะไรของเจ้านะ"
"จิ อย่ายุ่งน่า" นทีหันไปจิปากข้างตัว คนที่นั่งข้างนทีสะดุ้งตกใจที่อยู่ๆ นทีหันมาจิปากใส่และพูดเหมือนกับว่าเขาไปทำอะไรให้
"ทีเราสงสัยอะไรในพินัยกรรมหรือจ๊ะ" รัตนาเห็นท่าทางที่แปลกไปของหลานชายตนเองจึงถามขึ้น
"เออ...คือผมแค่คิดว่าผมไม่เคยอยู่ที่นี่เลย ผมไม่สมควรได้ที่ดินตั้งหลายร้อยไร่แบบนี้" นทีคิดตั้งแต่แรกแล้วว่าแค่มาฟังพินัยกรรมตามที่คุณย่าสั่งเท่านั้น แล้วจะกลับไปหางานทำตามที่ตนเรียนจบมาในกรุงเทพ
"คริ คริ เรื่องนั้นเองเหรอ ไม่ต้องห่วงหรอกนะจ๊ะ เดี๋ยวอาพศินเขาจะเป็นคนสอนเราเองนะ ใช่ไหมจ๊ะพี่ศิน" รัตนาแอบขำที่นทีคิดอะไรเด็กขนาดนั้น
"อ...เออ ใช่ๆ พี่จะสอนทั้งหมดเอง ทีเราจะกังวลไปทำไม" นทีหันไปมองพศินที่ยิ้มออกมาอย่างจริงใจที่สุด
"ขอแทรกนะครับ ในกรณีที่คุณนทีปฏิเสธในการรับมรดกในครั้งนี้ ในจดหมายที่ท่านระบุแยกเอาไว้ ท่านได้มอบหมายให้คุณพศินเป็นคนสอนงานทั้งหมดให้คุณนทีทำเองได้ภายในสามเดือน แต่ถ้าทำไม่ได้และยกเลิกกลางทางเท่ากับว่าเป็นความผิดของคุณพศินจะต้องหักเงิน 500,000 บาทครับ"
พอทนายพูดจบทุกคนต่างซุบซิบนินทากันถึงความลำเอียงเสียยกใหญ่ ส่วนพศินหน้าซีดลงทันทีแล้วหันไปมองหน้าของนทีด้วยหน้าตาที่น่าสงสาร นทีที่มีความคิดที่จะยกเลิกพินัยกรรมกลับมองว่านี่เป็นคำขู่หรือเปล่านะ เหมือนเป็นการบังคับให้เขาทำให้ได้ถ้าทำไม่ได้จะต้องทำให้คนอื่นเดือดร้อน
"ฮ่า ฮ่า" ศรหัวเราะกับคำสั่งเด็ดขาดของเจ้าของบ้านที่เสียไป
"หัวเราะอะไร"
นทีได้ยินเสียงหัวเราะอย่างสะใจของศร เขาจึงหันไปตะโกนใส่บริเวณที่ศรยืนหัวเราะอยู่ ทุกคนในห้องเงียบกันหมดเพราะคิดว่านทีขึ้นเสียงใส่พวกเขา โดยเฉพาะเด็กผู้ชายที่นั่งข้างเขาสะดุ้งทุกครั้งที่นทีหันไปต่อว่า ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด นทีเห็นทุกคนทำหน้าเหมือนสงสัยว่านทีเป็นอะไร เขาจึงกัดฟันเล็กน้อยและหันไปขอโทษทุกคนในห้อง ถ้าจะโทษต้องโทษวิญญาณไร้สังกัดตัวนี้น่าจะจับลงหม้อไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน
"ม...ไม่เป็นอะไรนะที เดี๋ยวอาสอนให้ ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรแค่ห้าแสนเอง เฮอะ เฮอะ"
พศินพูดจบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เขาไม่เคยคิดว่าปิ่นมณีจะทำแบบนี้ เท่ากับว่าเขาต้องสอนทุกอย่างให้กับนทีไปในตัว ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องชวดเงินไปครึ่งหนึ่ง นทีรู้สึกเห็นใจพศินทันทีงานนี้คงต้องยอมให้คุณย่าของเขา ถ้ายังขืนดื้อต่อไปคนที่แย่คงไม่ใช่ใครอื่น ความซวยต้องตกเป็นของพศินเพียงผู้เดียว
"ผมเข้าใจแล้วครับ ยังไงก็ได้"
"ถ้าไม่มีใครติดใจอะไรแล้ว ผมขอปิดพินัยกรรมฉบับนี้นะครับ" ทนายได้กล่าวปิด ทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับไปเหลือแต่พศิน รัตนาและนทีที่นั่งอยู่ จนพศินลุกขึ้นยืนแล้วจับบ่านทีพร้อมกับส่งยิ้มให้อย่างคนใจดี
"พรุ่งนี้พร้อมเริ่มงานไหม อาจะเริ่มสอนทุกอย่างให้ สงสัยต้องเข้มงวดกันสักหน่อยแล้ว งานที่นี่เยอะเสียด้วยสิ"
"ครับ"
"เอาล่ะถ้าตกลงกันได้แล้ว พวกเราไปพักผ่อนกันเถอะนะ ทีเราก็ไปพักซะ พรุ่งนี้จะได้เริ่มงานกับอาศิน ท่าทางอาเขาเอาจริงนะนั่น สงสัยกลัวชวดเงิน ฮ่า ฮ่า" รัตนาหันไปพูดกับคนทั้งสองส่วนคำพูดประโยคหลังหันไปกระซิบข้างหูนที เธออยากแกล้งพศินเล่นพศินได้ยินเช่นนั้นหันมาค้อนภรรยาตนกลับทันที
"ฮ่า ฮ่า อย่าคิดมากน่า เดี๋ยวอาช่วย รับรองเป็นลูกศิษย์ของอาเก่งแน่นอน" พศินตบบ่านทีเบาๆ ให้กำลังใจ
"ครับ ผมจะพยายาม"
ทั้งสามได้แยกย้ายกันไปพักผ่อน ส่วนนทีขึ้นห้องนอนของตนไป ในหัวสมองก็คิดประมวลผลต่างๆ มากมายจนไม่ทันระวังเข้าไปชนกับหน้าอกของศรเข้าอย่างจัง
"เจ็บง่ะ! ถามจริงเป็นผีจริงหรือเปล่า ทำอย่างกับเป็นคนปกติ" นทีลูบหน้าผากปรอยๆ พร้อมกับต่อว่าวิญญาณตรงหน้าของเขา
"พี่บอกเจ้าแล้วว่า พี่เป็นวิญญาณพิเศษ"
"ครับ คร๊าบ พ่อคนพิเศษ"
"เฮอะ เฮอะ" ศรหัวเราะออกมาทำให้นทีเบ้ปากใส่แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะกดโทรศัพท์หาข้อมูลบางอย่าง
"เจ้าไม่ต้องเครียดไปนักหรอกนะ อดีตเจ้าเป็นเจ้าของที่นี่อยู่แล้ว ทุกอย่างยังไงต้องตกเป็นของเจ้าแน่นอน เจ้าทำได้แน่แต่พี่ขอเตือนบางอย่างให้ระวังตัวบ้างหลังจากนี้อาจมีเรื่องวุ่นวายเกินขึ้นอีกครั้ง" พอศรพูดจบนทีหันมามองหน้าศรอย่างเป็นคำถาม ตั้งแต่รู้จักวิญญาณตนนี้เขาไม่เคยเข้าใจอะไรเลยสักนิด ยิ่งรู้จักยิ่งมีแต่คำถามและมีแต่สิ่งที่ไม่เข้าใจมากมายในหัวสมอง
"คุณชอบพูดอะไรน่าสงสัยและพูดแต่ละอย่างมีแต่เรื่องที่ผมไม่เข้าใจเลย"
"สักวันเจ้าจะเข้าใจ"
ศรยิ้มให้กับความมึนงงของคนตรงหน้า นทียักไหล่ทั้งสองข้างขึ้นแล้วหันกลับไปสนใจหน้าจอโทรศัพท์ตรงหน้าต่อ ในใจกลับคิดว่าถึงจะพูดแบบนั้นก็ไม่ช่วยอะไรเขาเลย
@@@@@@@@@
พินัยกรรมดูจะลำเอียงไปนิดแต่ปิ่นมณีไม่ใช่จะลำเอียงค่ะ เธอได้แบ่งตามหน้าที่ของแต่ละคนรวมถึงจำนวนทรัพย์สมบัติที่ถูกแบ่งตามความสำคัญ ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามมาถึงตอนนี้
HM06
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ต.ค. 2560, 21:00:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ต.ค. 2560, 21:00:37 น.
จำนวนการเข้าชม : 693
<< งานวัด | ความฝัน >> |