กลรัก สลับหัวใจ
เมื่อเพื่อนสาวจอมยุ่ง จับผลัดจับพลูให้เธอนัดไปดูตัวกับคาสโนว่าหนุ่มแลกกับค่าจ้างหนึ่งหมื่น ม่านนทีจึงยอมเซย์เยส แปลงร่างเป็นนางซินวางแผนตัดสัมพันธ์แทนเพื่อนสาวเสียดิบดี แต่ที่ไหนได้เขาทั้งหล่อ เท่ แถมยังมีรอยยิ้มบาดใจ ทำเอาเธอชักหวั่นไหวซะแล้วสิ
Tags: รักโรแมนติก,รักหวานๆ,รักใส ๆ
ตอน: ตอนที่ 2 แผนการ ป่วนหัวใจ
บทที่ 2
แผนการ ป่วนหัวใจ
“อะไรนะ นี่เธอเผลอให้เบอร์โทรศัพท์อีตานั่นไปงั้นเหรอ”
ปิ่นแก้วร้องถามอย่างไม่อยากเชื่อ หลังจากที่ม่านนทีโทรศัพท์มาสารภาพความผิดเรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมา
แถมยังบอกอีกด้วยว่าเผลอตัวให้เบอร์โทรศัพท์แก่อีกฝ่ายไป โดยไม่ทันได้ยั้งคิด
ม่านนทีเองก็หนักใจไม่แพ้กัน หลังจากกลับมาบ้านหัวสมองก็ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ตลอดเวลา
“อย่าเสียงดังไปสิ แค่นี้ฉันก็กลุ้มจะแย่อยู่แล้วนะ” เธอโอดครวญ
“แล้วเธอให้เบอร์โทรศัพท์ใครไป” ปิ่นแก้วคาดคั้นเสียงแข็ง “อย่าบอกนะว่าเป็นเบอร์ของฉัน”
“เปล่าหรอก...ของฉันต่างหาก”
คุณหนูตระกูลดังถอนหายใจอย่างโล่งอก
งั้นก็แล้วไป”
หากแต่ม่านนที ไม่ได้รู้สึกโล่งใจไปด้วยเลยสักนิด
“โธ่ ปิ่นแก้ว อย่าพูดเหมือนคนกำลังดีใจแบบนั้นสิ ช่วยฉันคิดหน่อยได้ไหมว่าจะแก้ไขปัญหานี้ยังไงดี นี่ฉันคิดไม่ออกจริง ๆ นะ ว่าถ้าคุณราเมศโทรศัพท์มาขอนัดเจอกันอีก จะแก้ตัวว่ายังไง”
“อ้าว ก็เธอเองไม่ใช่เหรอที่เป็นคนให้เบอร์โทรศัพท์เขาไป แล้วยังจะมาบ่นทำไมอีก” ปิ่นแก้วตำหนิตรง ๆ “จริง ๆ เลยนะยายน้ำ อุตส่าห์เตือนแล้วแท้ ๆ ว่าอย่าเผลอตัวสนิทสนมกับนายนั่น แล้วเป็นยังไง ผลสุดท้ายดันหลงเสน่ห์เขาเข้าจนได้”
“พูดบ้า ๆ ฉันไม่ได้หลงเสน่ห์เขาสักหน่อย” ม่านนทีแก้ตัวเป็นพัลวัน แก้มแดงปลั่ง
จริง ๆ จะโทษว่าเป็นความผิดของเธอฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกนักหรอก เพราะทีแรกปิ่นแก้วเป็นคนออกปากยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะเองว่า นายราเมศเป็นเพลบอยจอมเจ้าชู้ตัวฉกาจ แต่พอเอาเข้าจริงกลับกลายเป็นคนละคน ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ
แล้วจะให้เธอแสดงท่าทีรังเกียจได้อย่างไร
“พอทีเถอะยายปิ่น เลิกซ้ำเติมกันเสียทีได้ไหม ความจริงที่ฉันต้องมานั่งลำบากใจแบบนี้ ก็เพราะแผนการของเธอนั่นแหละ” ม่านนทีเริ่มโยนความผิดให้เพื่อนสาวจอมบงการ
“อย่ามาโยนความผิดกันสิ” ปิ่นแก้วทำตาโต “ฉันแค่บอกให้เธอนั่งคุยเป็นเพื่อนเขาเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้นนะ ไม่ได้บอกให้เธอแจกเบอร์โทรศัพท์ด้วยเสียหน่อย”
“มัน...ก็จริงหรอก”
ม่านนทีพูดไม่ออก อีกฝ่ายจึงรีบดักคอทันควัน
“เอาเถอะ ไม่ต้องพูดแล้วก็ได้ เอาเป็นว่าถ้านายราเมศอะไรนั่นโทรฯมาหาเธออีก เธอก็แกล้งเปลี่ยนเบอร์หรือไม่ก็กดปิดโทรศัพท์หนีซะก็สิ้นเรื่อง ไม่เห็นจะยากเลย แค่นี้ก่อนนะฉันง่วงแล้ว อยากจะนอนหลับต่ออีกสักห้านาที” ปิ่นแก้วกดวางโทรศัพท์ ทิ้งตัวนอนหงายลงบนเตียงอย่างง่วงงุน
“เดี๋ยวสิปิ่น ยายปิ่น”
ม่านนทีกรอกเสียงในโทรศัพท์หลายครั้ง แต่ปลายทางไม่ยอมตอบ หญิงสาวโยนโทรศัพท์ลงบนเก้าอี้โซฟาอย่างไม่วายฉุน ๆ
“ปิ่นแก้วนะปิ่นแก้ว เล่นตัดบททิ้งกันเฉยเลย”
ม่านนทีถอนหายใจยาว ยกแขนขึ้นกอดอกพิงพนักเก้าอี้อย่างหนักใจ เมื่อคืน...ตอนที่เธอตัดสินใจตอบรับคำขอเต้นรำจากราเมศ วินาทีแรกที่มือสัมผัสกัน เธอก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและอ่อนโยนชนิดที่ทำให้หัวใจเธอหวั่นไหวอย่างไม่น่าเชื่อ หากแต่นั่นนับว่าเป็นความผิดพลาดที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อรู้ตัวอีกทีเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลชวนฝัน ก็เข้ามานั่งอยู่ในหัวใจเธอเสียแล้ว...
‘ขอโทษนะคะคุณราเมศ แต่พิกกี้คิดว่าเราสองคนจบกันแค่นี้ดีกว่า’
ข้อความสั้น ๆ ที่ส่งเข้ามาในโทรศัพท์มือถือ ทำให้ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง เป่าลมหายใจออกจากปากอย่างหนักใจ ใบหน้าหล่อเหลาชวนมอง ดูดีเป็นพิเศษภายใต้ทรงผมตัดสั้นไม่เป็นระเบียบ จมูกโด่งเป็นสันรับกับเรียวปากได้รูปเหยียดที่ประดับรอยยิ้มอยู่เสมอ นับเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่มักดึงดูดสาว ๆ ได้ดี
“เฮ้อ...อีกแล้วหรือนี่”
ร่างสูงหัวเราะแผ่วในลำคอ ยกมือขึ้นขยี้เส้นผมเบา ๆ ร่างสูงสมส่วนภายใต้เสื้อเชิ้ตสีดำลายตรงพับแขนจรดข้อศอกกางเกงแสลก เอนกายพิงพนักเก้าอี้ด้านหลัง พลางหลับตาลงเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด ทั้งจากเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ไม่นานนักก็มีเสียงเคาะประตูเบา ๆ ก่อนที่มันจะเปิดออก นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงนอนฟังเสียงฝีเท้าก้าวเดินเข้ามาในห้อง ไม่ยอมลืมตามอง
“ตอนนี้ฉันกำลังยุ่งอยู่ ถ้านายตั้งใจเข้าเทศนาล่ะก็ ไว้คราวหน้าก็แล้วกัน” เขาเอ่ยน้ำเสียงเนือย ๆ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายเดินไปหยิบเอาผ้าเย็นจากในตู้ออกมาโยนใส่หน้าแรง ๆ
“ตกใจหมดเลย เล่นอะไรของนาย” ชายหนุ่มร้องโวย ตาสว่างขึ้นมาทันควัน ในขณะที่แขกผู้มาใหม่ยกมือขึ้นล้วงกระเป๋ามองดูเฉย
“ก็เห็นทำท่าเหนื่อยนัก ก็เลยช่วยหาวิธีผ่อนคลายให้” เตชิตกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องเพื่อนสนิทอย่างไม่ชอบใจ หลังจากที่พยายามโทรศัพท์ติดต่อหาหลายครั้งแต่ราเมศก็ไม่ยอมรับสาย
“อารมณ์เสียแล้วพาลกันชัด ๆ ดูทำหน้าตาเข้าสิ โดนสาวหักอกมาหรือไง” ราเมศนั่งตัวตรงประสานมือเข้าหากัน โต๊ะทำงานด้านหน้าของชายหนุ่ม เต็มไปด้วยแฟ้มเอกสารและรายงานเสนอเซ็นหลายตัวที่ยังเคลียร์ไม่หมด
เตชิตเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้โซฟา เคาะนิ้วมือเป็นจังหวะอย่างใช้ความคิด
“เมื่อคืนนายหายหัวไปไหนมา” เขาเปิดฉากยิงคำถาม แต่อีกฝ่ายแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“ถามแปลก...ก็ขลุกตัวทำงานอยู่ในบริษัทน่ะสิ”
“ไม่ต้องมาโกหก ฉันโทรศัพท์ถามเลขาฯส่วนตัวของนายดูแล้ว เธอเล่าว่าเมื่อคืนนายหายหัวออกไปจากบริษัทตั้งแต่ช่วงห้าโมงเย็น แถมยังทิ้งภาระไว้ให้ฉันตามแก้ให้อีก” เตชิตไม่รับมุกด้วย
ราเมศลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ รู้อยู่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วเตชิตก็ต้องออกปากพูดเรื่องนี้กับตน
“แล้วเป็นยังไง สุดท้ายนายก็เลยต้องไปดูตัวแทนฉันใช่หรือเปล่า” เขาถามอย่างรู้ทัน คนฟังนิ่งเงียบแทนคำตอบ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความจริงเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเกิดจากความเจ้ากี้เจ้าการของคุณหญิงป้าของนายราเมศ ที่เกรงว่าตระกูลรัตนะโสภาสิริ จะถึงคราวสิ้นสุดในรุ่นหลานของตัวเอง จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ราเมศจับคู่ดูตัวหาทางลงเอยกับหญิงสาวสักคน เพื่อสืบทอดกิจการครอบครัวและผลิตทายาทให้คุณหญิงป้าได้เชยชมก่อนตาย
แต่นั่นก็หาได้โทษว่าเป็นความผิดของญาติผู้ใหญ่ฝ่ายเดียวไม่ เพราะหากไม่ใช่เพราะราเมศเป็นผู้ชายที่รักสันโดษ ชอบมีอิสระกับงานที่ทำมากกว่าการหาบ่วงรัดคอ แถมยังควงผู้หญิงออกงานไม่ซ้ำหน้า คุณหญิงป้าก็คงไม่ต้องหนักอกหนักใจกับพฤติกรรมของหลานชายมากขนาดนี้
“เฮ้อ...เมื่อไหร่คุณหญิงป้าจะเลิกวุ่นวายกับชีวิตฉันสักทีนะ” ราเมศถอนหายใจหนักหน่วง “ขืนทำแบบนี้บ่อย ๆ มีหวังฉันคงเครียดตายเข้าสักวัน”
“ไม่เห็นยาก นายก็รีบแต่งงานออกเรือนเสียสิ” เตชิตเสนอแนะ แต่คนฟังปฏิเสธหัวชนฝา
“พูดบ้า ๆ ฉันเป็นผู้ชายนะ จำเป็นด้วยหรือไง ที่จะต้องรีบแต่งงานทั้ง ๆ ที่อายุแค่ยี่สิบเจ็ด นายเองก็เหมือนกันทำเป็นพูดดีไป ถ้าหากคุณหญิงป้าเสนอว่าที่เจ้าสาวให้จริง นายก็ปฏิเสธเสียแข็งเหมือนกันแหละน่า”
ความจริงดังกล่าว ทำให้เตชิตมีท่าทีอ่อนลง ด้วยว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว เขาเองก็ไม่ได้แตกต่างจากราเมศเท่าไหร่ ที่ยังรู้สึกสนุกกับการทำงาน มากกว่าการไล่ตามผู้หญิง ผิดกันก็เพียงแต่ไม่ได้ถูกกดดันมากเท่ากับเพื่อนหนุ่มจอมเจ้าชู้
“นายก็เป็นเสียแบบนี้แหละ วัน ๆ เอาแต่ควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า นางแบบในนิตยสารเอย ลูกสาวนักธุรกิจเอย ถ้าไม่ใช่เพราะพฤติกรรมของนาย คุณหญิงป้าก็คงไม่ต้องใช้วิธีคลุมถุงชนหรอก” เขาเอ่ยเสียงเรียบ
อีกฝ่ายเหยียดยิ้มบาง ๆ ไม่คิดแก้ข้อกล่าวหา
“นั่นมันเป็นผลพลอยได้จากการทำธุรกิจต่างหาก ฉันไม่ได้เที่ยวหว่านเสน่ห์ให้สาว ๆ น้ำตาตกเสียหน่อย”
“แล้วคุณพิกกี้นั่นล่ะ ตอนนี้ยังคบหากันอยู่หรือเปล่า” เตชิตเอ่ยปากถามถึงนางแบบสาวสวยที่ตกเป็นข่าวพัวพัน
ราเมศจึงหันไปคว้าโทรศัพท์บนโต๊ะแล้วเปิดข้อความยื่นส่งให้ดู เมื่ออ่านจบเตชิตจึงได้แต่ถอนหายใจยาว
“อีกแล้วหรือ รายที่เท่าไหร่แล้วล่ะ”
“ไม่รู้สิ เยอะเสียจนขี้เกียจนั่งจำ” ชายหนุ่มสารภาพผิด เอนหลังเงยหน้าพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดอาลัยตาอยาก หลังเพิ่งถูกแฟนสาวบอกเลิก ถึงสามคนภายในช่วงระยะเวลาเดือนเดียว
“ทำเป็นพูดดีไปเถอะ สักวันฉันจะคอยดูนายนั่งกลุ้มใจเพราะผู้หญิง” เตชิตกล่าวเตือนในฐานะเพื่อนผู้หวังดี
“ขอบใจเพื่อน แต่นายไม่มีทางเห็นวันนั้นแน่”
ราเมศยิ้มขัน ลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบกระป๋องเบียร์ยี่ห้อดังขึ้นมาโยนส่งให้แขกผู้มาใหม่ “เหลืออยู่สองกระป๋องพอดี ดื่มเป็นเพื่อนกันหน่อยสิ”
เตชิตยกมือคว้ารับอย่างแม่นยำ และเมื่อมองเห็นตัวหนังสือที่บ่งบอกถึงปริมาณแอลกอฮอล์ร่างสูงก็นึกถึงหญิงสาวคู่ดูตัวเมื่อคืนขึ้นมา...ด้วยนิสัยตรงไปตรงมา บวกกับความน่ารักและเป็นกันเองของเธอ จุดประกายรอยยิ้มบนเรียวปากของเตชิตโดยไม่รู้ตัว
“ยิ้มอะไร”
“เปล่า”
โชคร้ายไปหน่อยที่ราเมศหันไปเห็นเข้าพอดี และถึงแม้เตชิตจะกล่าวปฏิเสธ มีหรือที่เพื่อนสนิทที่คบหากันมานานหลายปีอย่างราเมศจะไม่รู้นิสัย เพียงแค่แววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ชายหนุ่มก็สามารถจับโกหกได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว
“อย่าปฏิเสธหน่อยเลยน่า คนอย่างนายดูง่ายจะตาย” ราเมศซ่อนยิ้ม “บอกมาดีกว่า ว่านายไปเจอเรื่องดี ๆ อะไรมา…อย่าบอกนะว่านายกำลังคิดถึงสาวน้อยเมื่อคืนนี้”
“นั่นมันคู่ของนายต่างหาก ไม่ใช่ของฉัน” เตชิตเอ่ยเสียงเรียบ
“พูดบ้า ๆ ฉันยังไม่ได้ตอบตกลงซะหน่อย แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะเธอสวยหรือเปล่า”
คาสโนวาหนุ่มเปิดฝากระป๋องเบียร์ พร้อมกับเอ่ยถาม
“ได้ข่าวว่าเป็นคุณหนูไฮโซซะด้วย ท่าทางเอาแต่ใจแล้วก็หยิ่งน่าดูเลยสิท่า” เขาเดาเล่น ๆ แต่คำตอบที่ได้แตกต่างจากที่คิดเอาไว้
“เปล่าเลย คุณน้ำเป็นกุลสตรีที่น่ารัก แล้วก็มารยาทดีมากด้วย” เตชิตกล่าวไปตามที่ตัวเองเห็น
“โอ้โห” ราเมศเลิกคิ้วสูง “ถึงขนาดเรียกชื่อเล่น แถมยังเอ่ยปากชมตรง ๆ แบบนี้ แสดงว่าคุณหนูน้ำไม่ธรรมดาสินะ แหม...ชักอยากเห็นหน้าซะแล้วสิ”
ชายหนุ่มยิ้มเจ้าชู้ แต่คนฟังกลับทำหน้าเฉยชาหนัก
“ผู้หญิงไม่ใช่ของที่เอาไว้สำหรับดูเล่น ถ้านายไม่คิดจริงจังกับเธอก็ไม่ควรทำให้คุณน้ำเดือดร้อนทีหลัง นี่ถ้าไม่ใช่นายขอร้องละก็ ฝันไปเถอะว่าฉันจะยอมร่วมมือด้วย”
น้ำเสียงจริงจังกว่าทุกครั้ง ส่งผลให้ราเมศรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังหวง มากกว่าเป็นห่วงเพื่อนอย่างเขาเสียอีก
“ล้อเล่นหรอกน่า เอาเป็นว่าเรื่องเมื่อคืนฉันต้องขอโทษที่ลากนายเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยก็แล้วกัน...ว่าแต่ นายคงไม่สานสัมพันธ์กับเธอต่อหรอกใช่ไหม” เขาหยั่งเสียง
“ไม่รู้สิ” เตชิตตอบตามตรง “ตอนแรกฉันตั้งใจไว้ว่าหลังจากคืนนั้นจะไม่พบเธออีก แต่พอถึงตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจเท่าไหร่”
“ว่ายังไงนะ”
ราเมศแทบลุกจากเก้าอี้ โน้มตัวเข้ามาจ้องหน้าเพื่อนสนิทชัด ๆ
“นี่นายอย่าบอกนะว่า...เกิดตกหลุมรักคุณหนูนั่นเข้าจริง ๆ ซะแล้ว”
เตชิตเลือกที่จะนิ่งแทนการตอบคำถาม ส่วนตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน ว่าอาการนึกถึงแต่หน้าเธอบ่อย ๆ เกิดจากความประทับใจฉาบฉวย หรือเป็นเพราะสาเหตุอื่นกันแน่
ยามปกติเตชิตไม่ใช่ผู้ชายที่รู้สึกประทับใจใครง่าย ๆ โดยเฉพาะผู้หญิง ด้วยความที่มีบุคลิกสุขุม ชอบการแสดงออกมากกว่าการพูด จึงทำให้ชายหนุ่มไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในหมู่สาว ๆ เหมือนอย่างราเมศ แต่การได้พบและพูดคุยกับน้ำ ทำให้เขารู้สึกว่าเธอมีบางอย่างที่ต่างออกไป
“ก็อาจเป็นไปได้” ชายหนุ่มสรุปสั้น ๆ “ติดเพียงว่า...มีเรื่องข้องใจนิดหน่อย”
วันต่อมาม่านนทีก็งานยุ่งเสียจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น ภายในออฟฟิศสำนักงานรับออกแบบงานโฆษณาเล็ก ๆ ม่านนทีกับทีมงานต้องลงมือทำเองเกือบหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อโฆษณา การประชาสัมพันธ์ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เธอเก็บรายละเอียดทุกอย่างไว้ในคอมพิวเตอร์ส่วนตัว
“ค่ะคุณวันรบ ดิฉันจะรีบแสกนใบเสร็จส่งไปให้ภายในวันนี้นะคะ” หญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ มือถือปากกาจดข้อความในกระดาษ ไม่ยอมให้ตกหล่น “ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา ขอบคุณนะคะที่ใช้บริการของเรา”
บริษัทออกแบบงานโฆษณาที่ม่านนทีทำงานอยู่ เปิดดำเนินธุรกิจเกือบสามปีแล้ว มีการดำเนินการผ่านทางเว็บไซต์ ด้วยการทำงานที่มีคุณภาพและไอเดียสร้างสรรค์ เปิดโอกาสให้ธุรกิจเล็ก ๆ ไปจนถึงขนาดกลางสามารถเลือกสื่อโฆษณาได้ตามความต้องการของตน
“คุณน้ำคะ เมื่อกี้ผู้จัดการติดต่อเข้ามาว่าอยากได้รูปถ่ายสถานที่จริง มาประกอบหน้าโฆษณาแหล่งท่องเที่ยวและอาหารที่กำลังจะอัพเดทให้ลูกค้าวันพรุ่งนี้ค่ะ ไม่ทราบว่าจะให้ใครออกไปตระเวนถ่ายรูปดีคะ”
ทันทีที่ม่านนทีวางสาย ทีมงานน้องใหม่ก็เงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์หันไปรายงานทันที
“อะไรนะ แล้วป่านนี้ทำไมเพิ่งจะมาบอกล่ะ” เธออุทานเสียงดัง
“ขอโทษค่ะ แต่คุณก้องเพิ่งจะโทรศัพท์มาบอก เมื่อตอนที่คุณน้ำออกไปทานข้าวกลางวันนี่เอง” เด็กสาวยิ้มแห้ง ๆ
“บ้าจริง เอาแต่สั่ง ๆๆ อยู่ได้ ทำไมไม่รู้จักไปหาข้อมูลมาประกอบเองบ้างนะ” ม่านนทียกมือขึ้นท้าวเอว ใบหน้าหวานปราศจากการตกแต่ง แลดูเป็นธรรมชาติและมีชีวิตชีวา
“เอายังไงดีคะคุณน้ำ จะให้โทรศัพท์ไปขอยกเลิกบทความวันพรุ่งนี้ดีหรือเปล่า”
“ไม่ต้องหรอก เอาเป็นว่าฉันจะเป็นคนขับรถออกไปตระเวนถ่ายรูปเองก็แล้วกัน ส่วนเธอช่วยไปเตรียมกล้องให้ฉันที”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวมลจะรีบไปเตรียมให้เดี๋ยวนี้”
กล่าวจบธุรการสาวสวยก็รีบลุกขึ้นไปเตรียมให้ทันที ม่านนทีได้แต่ระบายลมหายใจออกมาช้า ๆ เนื่องจากนับวัน อีตาผู้จัดการจอมขี้เกียจนั่น จะใช้แรงงานเธอเกินค่าจ้างมากเข้าไปทุกที
ภายในยี่สิบนาทีต่อมา ม่านนทีก็ขับรถยนต์ตระเวนไปยังสถานที่ติดอับดับยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ อาทิร้านอาหารสไตล์อิตาเลียน พิพิธภัณฑ์สถาน พระราชวัง รวมไปถึงย่านแหล่งอาหารการกินที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ เพื่อเก็บภาพถ่ายมุมสวย ๆ เหมาะแก่การโฆษณาประชาสัมพันธ์ตามอย่างที่ลูกค้าต้องการ
หลังจากใช้เวลาตระเวนถ่ายรูป ตามสถานที่ที่น่าสนใจนานเกือบสามชั่วโมง ม่านนทีก็ตัดสินใจขับรถไปยังริมฝั่ง "คลองบางขุนศรี" หรือ "คลองชักพระ" เพื่อเก็บภาพสวย ๆ กับบรรยากาศ และวิถีชีวิตของชุมชนริมน้ำเป็นแห่งสุดท้าย ที่นี่มีทั้งวัดและบ้านทรงไทย ทั้งแบบเก่าและแบบประยุกต์ สองฝั่งเต็มไปด้วยร้านค้า สวนผักและผลไม้พื้นบ้าน อาทิ กระท้อนห่อ ขนุน มะปรางไข่ มากมาย
“ช่วยห่ออันนี้ใส่ถุงให้ด้วยนะครับ” เสียงชายหนุ่มร่างสูง สวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มพับแขนจรดข้อศอก เอ่ยเบา ๆ หน้าร้านขายขนมโบราณ
ทุกวันอาทิตย์เตชิตมักหาเวลาว่างให้ตัวเอง เดินซื้อของตามย่านตลาดน้ำเพื่อผ่อนคลายกับบรรยากาศสบาย ๆ อยู่เสมอ ร่างสูงโดดเด่นหยุดดูสินค้าหน้าร้านขายเครื่องหัตถกรรมโบราณเป็นระยะ
บรรยากาศร่มรื่นกับตลาดตามแนวคลอง ทำให้ผู้คนนิยมมาเดินจับจ่ายซื้อของกินในวันหยุดเป็นจำนวนมาก มีของกินให้เลือกมากมายทั้งคาวหวาน หน้าร้านขายต้นไม้ประดับประดาด้วยสีสันกล้วยไม้แลดูสดชื่นสบายตา
จะด้วยเหตุบังเอิญหรือพรหมลิขิตก็ตามแต่ ทำให้เตชิตหันไปเห็นม่านนทีกำลังสะพายกล้องเดินเก็บภาพถ่ายตลาดน้ำริมฝั่งคลองโดยบังเอิญ ร่างบางสวมเสื้อแจกเกตกางเกงยีนขาเดฟเน้นเรียวขา เส้นผมที่เคยเกล้าเป็นลอนเหนือศีรษะ ปล่อยยาวสลวยส่งผลให้บุคลิก แตกต่างไปจากที่เคยพบกันครั้งแรก
“คุณน้ำ” เตชิตรำพึงเหมือนไม่แน่ใจ
ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องไปยังหญิงสาวแต่งกายด้วยชุดปอนด์ ๆ สะพายกล้องถ่ายรูปราวกับเป็นคนละคนกับคุณหนูน้ำที่เขาเคยรู้จัก ยิ่งพิศก็ยิ่งแน่ใจว่าเป็นหญิงสาวคนเดียวกัน โดยเฉพาะดวงหน้างามและบุคลิกท่าทางการเดินที่เป็นเอกลักษณ์ก็รู้ว่าไม่ผิดตัวแน่นอน
“คุณน้ำครับ”
“คะ” ม่านนทีหันขวับไปมองตามเสียงเรียกชื่อ ดวงตาคู่งามเบิกกว้างหลังจากที่เห็นหน้าผู้เอ่ยทักชัด ๆ “คุณราเมศ...”
หญิงสาวใจเต้นแรง คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกันในตลาดน้ำแบบนี้
“คุณมาทำอะไรแถวนี้คะ”
“ผมชอบมาเดินเล่นแถวตลาดน้ำริมคลองแถวนี้เป็นประจำ แล้วคุณน้ำล่ะครับมาทำอะไรในที่แบบนี้” เตชิตยิ้มให้เธอ พลางเลื่อนสายตาไปยังกล้องถ่ายรูปที่เธอสะพายติดตัวมาด้วย “เมื่อกี้ผมเห็นคุณกำลังเดินถ่ายภาพอยู่ ก็เลยเดินเข้ามาหา เพิ่งรู้นะครับว่าคุณก็ชอบมาเดินเล่นแถวนี้ด้วย”
“เอ่อ ค่ะ พอดีว่าฉันชอบถ่ายภาพเป็นงานอดิเรก ผ่านมาทางนี้พอดีก็เลยถือโอกาสเข้ามาเก็บภาพสวย ๆ น่ะค่ะ”
ให้ตายสิ ทำไมโลกมนุษย์เราถึงได้แคบแบบนี้นะ
“หรือครับ” เขาเอ่ยเสียงนุ่ม
ม่านนทีได้แต่ก้มหน้ามองพื้น รู้สึกอายกับสภาพการแต่งกายของตัวเอง ที่แตกต่างไปจากวันแรกที่นัดเจอกันบนห้องดินเนอร์สุดหรูราวฟ้ากับดิน แต่ดูเหมือนว่าเตชิตจะไม่ใส่ใจกับรายละเอียดเล็กน้อย และยังคงทอดสายตามองเธออย่างอบอุ่นเช่นเคย
“ไม่ทราบว่าวันนี้คุณมากับใครหรือครับ”
“ฉันขับรถมาคนเดียวค่ะ” เธอตอบตามตรง
“งั้นก็พอดีเลย วันนี้ผมก็มาเดินเล่นคนเดียวเหมือน ถ้าไม่รังเกียจให้ผมเลี้ยงข้าวคุณ พร้อมทั้งอาสาถ่ายภาพสวยๆ ให้คุณไปด้วยก็แล้วกันนะครับ”
ข้อเสนอของเตชิดฟังดูน่าสนใจ แต่ม่านนทีเลือกที่จะปฏิเสธ
“ขอบคุณค่ะ แต่ไม่ดีกว่าฉันว่าต่างคนต่างเดินก็ดีอยู่แล้ว”
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“คุณน้ำรังเกียจ”
“เปล่าค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้น” เธอรีบปฏิเสธ
“ถ้าอย่างนั้น เพราะอะไรถึงต้องคอยหลบหน้าผมละครับ” เตชิตเอ่ยถามตามตรง ความจริงช่วงหลายวันก่อนหน้านี้ เขาพยายามโทรศัพท์ติดต่อไปหาเธอหลายครั้ง แต่ม่านนทีก็ปฏิเสธที่จะรับสายมาโดยตลอด
ชายหนุ่มมองลึกเข้าไปในดวงตากลมโตอย่างค้นคว้า ม่านนทีได้แต่หลบเลี่ยงไม่กล้าสบตาเขาตรง ๆ
“เอ่อ...คือว่าฉัน”
“คุณรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ เวลาที่เห็นหน้าผมหรือเปล่าครับ” เตชิตเอ่ยเสียงเรียบ
“คุณราเมศ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับผมรับได้ ผมเข้าใจดีว่าการฝืนคุยกับคนที่เราไม่ชอบหน้า นั้นลำบากใจแค่ไหน” ใบหน้าคมคายเหยียดยิ้มบาง ๆ “ต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่ทำให้คุณเสียเวลา”
กล่าวจบร่างสูงก็ทำท่าจะหมุนตัวเดินหันหลังจากไป ร้อนถึงม่านนทีที่อดทนรนไม่ไหว ต้องเดินตามไปรั้งแขนเอาไว้
“เดี๋ยวค่ะคุณราเมศ” หญิงสาวเดินตามไปดักหน้า ขอโทษค่ะ ที่ทำให้คุณเข้าใจผิด...แต่ฉันไม่ได้มีเจตนาดูถูกหรือรังเกียจคุณเลย”
ม่านนทีถอนหายใจยาว
“ตกลงค่ะ ฉันจะไปกับคุณก็ได้” ม่านนทีกล่าวอย่างยอมแพ้
ใบหน้าคมคายจึงปรากฏรอยยิ้มเล็ก ๆ โดยที่เธอไม่ทันสังเกตเห็น
“ถ้าอย่างนั้นเราสองคนไปหาอะไรทานกันก่อนไหมครับ นี่ก็ใกล้เวลาเที่ยงแล้วด้วย บังเอิญว่าผมรู้จักร้านอาหารอร่อย ๆ หลายแห่ง คิดว่าคุณต้องชอบแน่” เตชิตยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาพร้อมเอ่ยปากชวน
ม่านนทีพยักหน้า “ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวเราสองคนไปหาอะไรทานด้วยกัน แล้วหลังจากนั้นค่อยตระเวนถ่ายรูปกันก็ได้”
หลังจากตกปากรับคำไปแล้ว เตชิตก็เป็นฝ่ายเดินนำเธอ เดินเลียบร้านค้าตลาดริมฝั่งคลองไปยังสวนอาหารริมน้ำฝั่งด้านใน ลักษณะคล้ายกับแพตกปลา ทิวทัศน์แวดล้อมไปด้วยสวนผลไม้และกล้วยไม้นานาชนิด บรรยากาศร่มรื่นเหมาะแก่การพาครอบครัวมาพักผ่อนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
ทั้งคู่เลือกนั่งโต๊ะติดริมฝั่งคลอง ที่มีสายลมพัดเย็นสบาย การพบกันครั้งที่สองระหว่างม่านนทีและเตชิต ส่งผลให้ทั้งคู่กล้าเปิดเผยตัวตนของกันและกันมากยิ่งขึ้น หญิงสาวเผยรอยยิ้มให้กับเขาเห็นเป็นระยะ ปลายนิ้วเรียวยามยกขึ้นปัดเส้นผมออกจากดวงหน้างามยามสายลมพัด กลายเป็นภาพความงามตามธรรมชาติที่ตราตรึงใจไม่รู้ลืม
“มีอะไรหรือคะคุณราเมศ” ม่านนทีเอ่ยถาม หลังจากที่หันมาเห็นชายหนุ่มจ้องมองเธอเนิ่นนาน เขาเพียงแต่ยิ้มน้อย ๆ และเลือกที่จะไม่ตอบ
“เปล่าครับ เพียงแต่คิดว่าตลาดน้ำที่นี่ทั้งอากาศดี แล้วก็...มีสิ่งสวยงามให้เลือกชมมากกว่าที่คิด”
เตชิตเน้นคำว่า ‘สวยงาม’ มากกว่าคำอื่น แต่ม่านนทีใสซื่อเกินกว่าจะเข้าใจ หญิงสาวได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย
“นั่นสิคะ ฉันเองก็ชอบมาเดินเที่ยวที่นี่บ่อย ๆ เหมือนกัน คิดไม่ถึงเลยว่าเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯจะมีวิถีชีวิตแบบพึ่งพาธรรมชาติแบบนี้หลงเหลืออยู่ด้วย” เธอเอ่ยยิ้ม
“ความจริงกรุงเทพฯ ยังมีข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง ถ้าคุณสนใจล่ะก็ คราวหน้าผมจะค้นหาหนังสือมาให้นะครับ”
“จริงหรือคะ” ม่านนทีถามอย่างดีใจ
“ครับ”
“ดีจังเลย ฉันเองตั้งแต่ทำงานก็ไม่ค่อยมีเวลาไปเที่ยวเท่าไหร่ วันหยุดทีไรเป็นต้องทำงานล่วงเวลาอยู่เรื่อย”
“ล่วงเวลา” เตชิตทวนประโยค
“ใช่ค่ะ” ม่านนทีกำลังสนใจอยู่กับอาหารตรงหน้า จนลืมไปเสียสิ้นว่าตัวเองกำลังสวมบทบาทปิ่นแก้วอยู่
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองดูหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาเจือไปด้วยความสงสัย จนกระทั่งม่านนทีรู้สึกตัวเงยหน้าขึ้นมองโดยบังเอิญ ชายหนุ่มจึงคืนสู่ท่าทีปกติ
“มีอะไรเหรอคะ”
“เปล่าครับ แค่กำลังคิดว่าคุณเป็นผู้หญิงที่เก่งแล้วก็ขยันมากเท่านั้นเอง” เตชิตเอ่ยปากชม
“ไม่หรอกค่ะ งานของคนอื่นก็หนักพอ ๆ กับที่ฉันทำเหมือนกัน” ม่านนทีกล่าวอย่างถ่อมตัว ซึ่งนิสัยในส่วนนี้เองที่เตชิตถูกใจเป็นพิเศษ
ที่ผ่านมาเขามักพานพบกับผู้หญิงสวย ที่เอาแต่แต่งตัวสวย ๆ ไม่ยอมทำงาน หรือไม่ก็เป็นผู้หญิงเก่ง แต่เย่อหยิ่งเสียจนมองไม่เห็นคุณค่าของคนอื่น แต่กับม่านนทีเธอไม่ใช่ผู้หญิงจำพวกนั้น แต่มีบางอย่างที่เข้มแข็ง...และอ่อนโยนแตกต่างจากที่เขาเคยเจอมา
หากไม่นับรวมคำถามคาใจบางอย่าง
“ไม่ทราบว่าทางบ้านคุณน้ำทำกิจการเกี่ยวกับอะไรหรือครับ” เตชิตเอ่ยถามเหมือนการชวนคุย ทำเอาม่านนทีถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ
“เอ่อ...เกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ จำพวกเสื้อผ้ามียี่ห้อต่าง ๆ น่ะค่ะ”
เธอกลั้นใจตอบออกไป หลังจากทบทวนความคิดเกี่ยวกับเรื่องกิจการของเพื่อนรักอยู่นาน เตชิตพยักหน้ารับรู้ ดวงตาจับจ้องใบหน้าหวานนิ่ง
“ความจริงผมเองก็มีความสนใจด้านนี้อยู่พอดี คงไม่เป็นการรบกวนมากเกินไปกระมังครับ ถ้าวันหน้าผมจะขอคำแนะนำด้านธุรกิจจากคุณสักเล็กน้อย”
“อะไรนะคะ” ม่านนทีอุทานเสียงดัง
ใบหน้าคมคายแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอาการตกใจของเธอ ยังคงเดินหน้าถามต่อ
“ผมได้ยินข่าวมานานแล้วว่าคุณน้ำ เรียนจบปริญญาด้านการบริหารธุรกิจต่างประเทศ แถมยังมีกิจการอีกหลายแห่ง คิดว่าคำแนะนำของคุณคงนำไปใช้ประโยชน์ได้ไม่น้อย”
ม่านนทีถึงกับพูดไม่ออก คาดไม่ถึงว่าการสับเปลี่ยนตัวละคร จะนำมาซึ่งความยุ่งยากมากกว่าที่เธอคิด การปลอมตัวแทนปิ่นแก้วแค่ครั้งสองครั้งยังไม่น่าหนักใจเท่าไหร่ แต่ถ้าขืนปล่อยให้ชายหนุ่มเข้าใจผิดนานไป ความลับเรื่องที่เธอสลับตัวกับเพื่อนรักเห็นทีคงเก็บเอาไว้ไม่อยู่เหมือนกัน
“เอ่อ คือว่าเรื่องนั้น...” หญิงสาวอึกอัก
“ว่ายังไงครับคุณน้ำ” เตชิตได้ทีโน้มตัวเข้ามาใกล้
โชคดีอย่างมหาศาล ที่บังเอิญเสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน ม่านนทีจึงรอดพ้นจากสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานไปได้อย่างหวุดหวิด ร่างบางรีบล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาทันควัน
“ขอโทษนะคะ ฉันขอตัวคุยโทรศัพท์สักครู่”
เตชิตเหยียดยิ้มนิด ๆ “เชิญตามสบายครับ”
ม่านนทียิ้มเฝื่อนก้มลงมองหมายเลขที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน ลุกขึ้นจากเก้าอี้แสร้งเดินไปคุยไปกระทั่งไกลพอที่เขาจะไม่ได้ยินหรือรับรู้ข้อความใด ๆ
“ว่ายังไงปิ่นแก้ว...” หญิงสาวกระซิบถามแล้วก็ต้องแปลกใจ “ตายจริง นั่นเธอกำลังร้องไห้อยู่เหรอ...เกิดอะไรขึ้น”
น้ำเสียงสั่นเครือของเพื่อนรัก ที่กำลังคุยโทรศัพท์ไปร้องไห้ฟูมฟายไป ทำให้ม่านนทีจับต้นชนปลายไม่ถูก หลังจากที่ตั้งใจฟังอยู่นานจึงพอเดาได้ว่าปิ่นแก้วโดนพ่อยอดชายหวานใจ สร้างวีรกรรมเข้าให้เสียแล้ว
“ใจเย็น ๆ ก่อนนะปิ่น ตอนนี้ฉันอยู่ข้างนอก เดี๋ยวอีกสักครึ่งชั่วโมงจะรีบขับรถเข้าไปหาที่บ้าน คอยฉันก่อนนะ”
ม่านนทีพูดปลอบใจ ก่อนกดวางโทรศัพท์ช้า ๆ ร่างบางถอนหายใจยาว
“เฮ้อ ยายปิ่นนะยายปิ่น...เตือนตั้งแต่แรกแล้วเชียว ว่าจะต้องกลายเป็นแบบนี้” ม่านนทีส่ายหน้าไปมา ก่อนเดินกลับไปหาชายหนุ่มที่นั่งรออยู่บนโต๊ะเพื่อขอตัวกลับก่อน
“ขอโทษนะคะคุณราเมศ เมื่อกี้มีโทรศัพท์ด่วนเข้ามา เห็นทีวันนี้ฉันคงต้องรีบกลับก่อน”
“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่พอจะมีอะไรให้ผมช่วยได้บ้างหรือเปล่า” ร่างสูงกล่าวอย่างมีน้ำใจ
“ขอบคุณค่ะ แต่ไม่ดีกว่า” ม่านนทีปฏิเสธพร้อมรอยยิ้ม “เชิญคุณเที่ยวต่อให้สนุกเถอะนะคะ คราวหลังไว้ค่อยเจอกันใหม่ก็แล้วกัน”
“ยินดีครับคุณน้ำ”
เตชิตยิ้มให้เธอแทนการอำลา ร่างสูงยืนพิงขอบระเบียงริมน้ำ สองมือล้วงกระเป๋ามองตามม่านนทีเดินห่างออกไปจนกระทั่งลับสายตา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนยังไม่คลายจากริ้วรอยสงสัย หากแต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเตชิต...เพราะคนอย่างเขาสงสัยเรื่องใดแล้ว จะต้องสืบหาจนกว่าความจริงจะกระจ่าง
“คราวหน้า...ผมต้องรู้ความจริงให้ได้” ชายหนุ่มเหยียดยิ้ม แววตาจริงจังยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
“ฮือ...คนบ้า เลวที่สุดเลย”
ปิ่นแก้วนั่งร้องไห้น้ำตาเปียกปอนอยู่บนเก้าอี้โซฟา บนโต๊ะมีรูปถ่ายหนุ่มเก้าอดีตหวานใจของเพื่อนสาวถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กองอยู่บนซองเอกสารสีน้ำตาลขนาดเอสี่
“ใจเย็น ๆ ปิ่น เกิดอะไรขึ้นเหรอ ทำไมจู่ ๆ ถึงได้ร้องไห้เสียใจขนาดนี้ล่ะ” ม่านนทีกอดปลอบใจเพื่อนรัก หลังจากที่ใช้เวลาไม่ถึงยี่สินาทีขับรถตรงมาหาปิ่นแก้วที่บ้าน
“มีคนส่งซองจดหมายมาให้ฉัน พอเปิดออกดูข้างในก็พบกับ...เธอช่วยดูเอาเองเถอะ” ปิ่นแก้วซบหน้าลงกับบ่าเพื่อนรัก ม่านนทีจึงเอื้อมมือไปหยิบซองสีน้ำตาลขึ้นดู ก่อนเห็นภาพถ่ายหลายใบวางเรียงอยู่ในนั้น
“บ้าชะมัดเลย”
ม่านนทีอุทานแผ่ว หลังจากที่เห็นภาพถ่ายนายเก้า นักธุรกิจหนุ่มและนายแบบรูปงาม กำลังนัวเนียกับสาวสวยนักศึกษาในสภาพเมามายไม่ได้สติ หญิงสาวโยนมันลงกับพื้นอย่างรังเกียจ
ไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมปิ่นแก้วถึงร้องไห้หนักขนาดนี้
“เลวจริง ๆ ขนาดกำลังคบกับเธออยู่แท้ ๆ ยังกล้าทำเรื่องน่าละอายอีก” ม่านนทีร่วมประณาม “ไม่ต้องเสียใจไปหรอกปิ่นแก้ว ผู้ชายเลว ๆ พรรค์นั้นไม่คู่ควรกับน้ำตาของเธอด้วยซ้ำไป”
ปิ่นแก้วยกมือขึ้นปาดน้ำตา ใบหน้าหวานอ่อนเยาว์และไร้เดียงสากว่าที่เห็นภายนอก
“ฉันเอง...ก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน” เธอกล่าวเสียงปนสะอื้น
“ไม่เป็นไรหรอก คิดเสียว่าเธอโชคดีที่ยังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกันจริง ๆ ผู้ชายอะไรหน้าหล่อซะเปล่า แต่เจ้าชู้ไม่เลือกที่ น่ารังเกียจชะมัด”
ม่านนทีรู้สึกโกรธแทนเพื่อนสาว ที่ต้องมาพัวพันกับผู้ชายเลว ๆ อย่างนายเก้าคนนั้น ภายนอกเสแสร้งทำเป็นสุภาพบุรุษ แต่เอาเข้าจริงกลับไม่ต่างไปจากผู้ชายเจ้าชู้ทั่วไปดี ๆ นี่เอง”
หลังจากสองสาวปลอบโยนกันอยู่นาน ปิ่นแก้วก็เริ่มมีอาการดีขึ้น น้ำตาเริ่มเหือดแห้งลง
“ขอบใจนะน้ำ ต้องขอโทษจริง ๆ ที่โทรฯไปตอนเธอกำลังยุ่งอยู่” หญิงสาวเอ่ยเสียงเบา
“กำลังยุ่งอยู่อะไรกัน กำลังกินข้าวเดินเล่นอยู่สิไม่ว่า ไม่ต้องซีเรียสไปหรอก”
“กินข้าวเดินเล่น” ปิ่นแก้วทวนประโยค “กับใครเหรอ”
ม่านนทีแสร้งตอบเลี่ยงไปอย่างอื่นเพื่อตัดปัญหา ก่อนลุกขึ้นเก็บเศษกระดาษรูปถ่ายใส่ถังขยะ
“เพื่อนร่วมงานน่ะ ไม่สำคัญอะไรหรอก มาเถอะอย่ามัวจมปลักอยู่กับภาพถ่ายพวกนี้เลย เอามันไปเผาไฟทิ้งดีกว่า จะได้หมดทุกข์หมดโศกกันเสียที”
ปิ่นแก้วพยักหน้าเบา ๆ เช็ดน้ำตาจนเหือดแห้ง
“จ้ะ”
ทั้งคู่ช่วยกันเก็บเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยใส่รวมกันเพื่อเอาไปทำลายทิ้ง ม่านนทีนึกเสียใจแทนเพื่อนสาวที่อุตส่าห์ไว้ใจนายเก้า ทั้งที่ภายนอกดูเป็นคนสุภาพเรียบร้อยและอัธยาศัยดีคนหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ทำตัวแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี...ความจริงทำให้ม่านนทีหวนนึกไปถึงใครบางคนที่เพิ่งนั่งทานข้าวด้วยกันมา
เขาเองก็เป็นสุภาพบุรุษ บุคลิกท่วงท่าสุขุมรอบคอบเป็นผู้ใหญ่น่านับถือ แต่นั่นล้วนแต่เป็นเปลือกนอกที่เขาแสดงให้เธอเห็นเท่านั้น แต่ไม่อาจรับประกันได้เลยว่านั่นคือตัวตนที่แท้จริง...
***************************
เอาตอนที่ 2 มาลงให้อ่านกันค่ะ
ขอฝากนิยายน่ารัก ๆ ป่วนหัวใจ
ของหนุ่มหล่อจอมวางแผน กับคุณหนูเอาแต่ใจ
นิยายเรื่องใหม่ของ เบลินญา ด้วยนะคะ ^ ^
แผนการ ป่วนหัวใจ
“อะไรนะ นี่เธอเผลอให้เบอร์โทรศัพท์อีตานั่นไปงั้นเหรอ”
ปิ่นแก้วร้องถามอย่างไม่อยากเชื่อ หลังจากที่ม่านนทีโทรศัพท์มาสารภาพความผิดเรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมา
แถมยังบอกอีกด้วยว่าเผลอตัวให้เบอร์โทรศัพท์แก่อีกฝ่ายไป โดยไม่ทันได้ยั้งคิด
ม่านนทีเองก็หนักใจไม่แพ้กัน หลังจากกลับมาบ้านหัวสมองก็ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ตลอดเวลา
“อย่าเสียงดังไปสิ แค่นี้ฉันก็กลุ้มจะแย่อยู่แล้วนะ” เธอโอดครวญ
“แล้วเธอให้เบอร์โทรศัพท์ใครไป” ปิ่นแก้วคาดคั้นเสียงแข็ง “อย่าบอกนะว่าเป็นเบอร์ของฉัน”
“เปล่าหรอก...ของฉันต่างหาก”
คุณหนูตระกูลดังถอนหายใจอย่างโล่งอก
งั้นก็แล้วไป”
หากแต่ม่านนที ไม่ได้รู้สึกโล่งใจไปด้วยเลยสักนิด
“โธ่ ปิ่นแก้ว อย่าพูดเหมือนคนกำลังดีใจแบบนั้นสิ ช่วยฉันคิดหน่อยได้ไหมว่าจะแก้ไขปัญหานี้ยังไงดี นี่ฉันคิดไม่ออกจริง ๆ นะ ว่าถ้าคุณราเมศโทรศัพท์มาขอนัดเจอกันอีก จะแก้ตัวว่ายังไง”
“อ้าว ก็เธอเองไม่ใช่เหรอที่เป็นคนให้เบอร์โทรศัพท์เขาไป แล้วยังจะมาบ่นทำไมอีก” ปิ่นแก้วตำหนิตรง ๆ “จริง ๆ เลยนะยายน้ำ อุตส่าห์เตือนแล้วแท้ ๆ ว่าอย่าเผลอตัวสนิทสนมกับนายนั่น แล้วเป็นยังไง ผลสุดท้ายดันหลงเสน่ห์เขาเข้าจนได้”
“พูดบ้า ๆ ฉันไม่ได้หลงเสน่ห์เขาสักหน่อย” ม่านนทีแก้ตัวเป็นพัลวัน แก้มแดงปลั่ง
จริง ๆ จะโทษว่าเป็นความผิดของเธอฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกนักหรอก เพราะทีแรกปิ่นแก้วเป็นคนออกปากยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะเองว่า นายราเมศเป็นเพลบอยจอมเจ้าชู้ตัวฉกาจ แต่พอเอาเข้าจริงกลับกลายเป็นคนละคน ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ
แล้วจะให้เธอแสดงท่าทีรังเกียจได้อย่างไร
“พอทีเถอะยายปิ่น เลิกซ้ำเติมกันเสียทีได้ไหม ความจริงที่ฉันต้องมานั่งลำบากใจแบบนี้ ก็เพราะแผนการของเธอนั่นแหละ” ม่านนทีเริ่มโยนความผิดให้เพื่อนสาวจอมบงการ
“อย่ามาโยนความผิดกันสิ” ปิ่นแก้วทำตาโต “ฉันแค่บอกให้เธอนั่งคุยเป็นเพื่อนเขาเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้นนะ ไม่ได้บอกให้เธอแจกเบอร์โทรศัพท์ด้วยเสียหน่อย”
“มัน...ก็จริงหรอก”
ม่านนทีพูดไม่ออก อีกฝ่ายจึงรีบดักคอทันควัน
“เอาเถอะ ไม่ต้องพูดแล้วก็ได้ เอาเป็นว่าถ้านายราเมศอะไรนั่นโทรฯมาหาเธออีก เธอก็แกล้งเปลี่ยนเบอร์หรือไม่ก็กดปิดโทรศัพท์หนีซะก็สิ้นเรื่อง ไม่เห็นจะยากเลย แค่นี้ก่อนนะฉันง่วงแล้ว อยากจะนอนหลับต่ออีกสักห้านาที” ปิ่นแก้วกดวางโทรศัพท์ ทิ้งตัวนอนหงายลงบนเตียงอย่างง่วงงุน
“เดี๋ยวสิปิ่น ยายปิ่น”
ม่านนทีกรอกเสียงในโทรศัพท์หลายครั้ง แต่ปลายทางไม่ยอมตอบ หญิงสาวโยนโทรศัพท์ลงบนเก้าอี้โซฟาอย่างไม่วายฉุน ๆ
“ปิ่นแก้วนะปิ่นแก้ว เล่นตัดบททิ้งกันเฉยเลย”
ม่านนทีถอนหายใจยาว ยกแขนขึ้นกอดอกพิงพนักเก้าอี้อย่างหนักใจ เมื่อคืน...ตอนที่เธอตัดสินใจตอบรับคำขอเต้นรำจากราเมศ วินาทีแรกที่มือสัมผัสกัน เธอก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและอ่อนโยนชนิดที่ทำให้หัวใจเธอหวั่นไหวอย่างไม่น่าเชื่อ หากแต่นั่นนับว่าเป็นความผิดพลาดที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อรู้ตัวอีกทีเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลชวนฝัน ก็เข้ามานั่งอยู่ในหัวใจเธอเสียแล้ว...
‘ขอโทษนะคะคุณราเมศ แต่พิกกี้คิดว่าเราสองคนจบกันแค่นี้ดีกว่า’
ข้อความสั้น ๆ ที่ส่งเข้ามาในโทรศัพท์มือถือ ทำให้ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง เป่าลมหายใจออกจากปากอย่างหนักใจ ใบหน้าหล่อเหลาชวนมอง ดูดีเป็นพิเศษภายใต้ทรงผมตัดสั้นไม่เป็นระเบียบ จมูกโด่งเป็นสันรับกับเรียวปากได้รูปเหยียดที่ประดับรอยยิ้มอยู่เสมอ นับเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่มักดึงดูดสาว ๆ ได้ดี
“เฮ้อ...อีกแล้วหรือนี่”
ร่างสูงหัวเราะแผ่วในลำคอ ยกมือขึ้นขยี้เส้นผมเบา ๆ ร่างสูงสมส่วนภายใต้เสื้อเชิ้ตสีดำลายตรงพับแขนจรดข้อศอกกางเกงแสลก เอนกายพิงพนักเก้าอี้ด้านหลัง พลางหลับตาลงเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด ทั้งจากเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ไม่นานนักก็มีเสียงเคาะประตูเบา ๆ ก่อนที่มันจะเปิดออก นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงนอนฟังเสียงฝีเท้าก้าวเดินเข้ามาในห้อง ไม่ยอมลืมตามอง
“ตอนนี้ฉันกำลังยุ่งอยู่ ถ้านายตั้งใจเข้าเทศนาล่ะก็ ไว้คราวหน้าก็แล้วกัน” เขาเอ่ยน้ำเสียงเนือย ๆ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายเดินไปหยิบเอาผ้าเย็นจากในตู้ออกมาโยนใส่หน้าแรง ๆ
“ตกใจหมดเลย เล่นอะไรของนาย” ชายหนุ่มร้องโวย ตาสว่างขึ้นมาทันควัน ในขณะที่แขกผู้มาใหม่ยกมือขึ้นล้วงกระเป๋ามองดูเฉย
“ก็เห็นทำท่าเหนื่อยนัก ก็เลยช่วยหาวิธีผ่อนคลายให้” เตชิตกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องเพื่อนสนิทอย่างไม่ชอบใจ หลังจากที่พยายามโทรศัพท์ติดต่อหาหลายครั้งแต่ราเมศก็ไม่ยอมรับสาย
“อารมณ์เสียแล้วพาลกันชัด ๆ ดูทำหน้าตาเข้าสิ โดนสาวหักอกมาหรือไง” ราเมศนั่งตัวตรงประสานมือเข้าหากัน โต๊ะทำงานด้านหน้าของชายหนุ่ม เต็มไปด้วยแฟ้มเอกสารและรายงานเสนอเซ็นหลายตัวที่ยังเคลียร์ไม่หมด
เตชิตเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้โซฟา เคาะนิ้วมือเป็นจังหวะอย่างใช้ความคิด
“เมื่อคืนนายหายหัวไปไหนมา” เขาเปิดฉากยิงคำถาม แต่อีกฝ่ายแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“ถามแปลก...ก็ขลุกตัวทำงานอยู่ในบริษัทน่ะสิ”
“ไม่ต้องมาโกหก ฉันโทรศัพท์ถามเลขาฯส่วนตัวของนายดูแล้ว เธอเล่าว่าเมื่อคืนนายหายหัวออกไปจากบริษัทตั้งแต่ช่วงห้าโมงเย็น แถมยังทิ้งภาระไว้ให้ฉันตามแก้ให้อีก” เตชิตไม่รับมุกด้วย
ราเมศลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ รู้อยู่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วเตชิตก็ต้องออกปากพูดเรื่องนี้กับตน
“แล้วเป็นยังไง สุดท้ายนายก็เลยต้องไปดูตัวแทนฉันใช่หรือเปล่า” เขาถามอย่างรู้ทัน คนฟังนิ่งเงียบแทนคำตอบ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความจริงเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเกิดจากความเจ้ากี้เจ้าการของคุณหญิงป้าของนายราเมศ ที่เกรงว่าตระกูลรัตนะโสภาสิริ จะถึงคราวสิ้นสุดในรุ่นหลานของตัวเอง จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ราเมศจับคู่ดูตัวหาทางลงเอยกับหญิงสาวสักคน เพื่อสืบทอดกิจการครอบครัวและผลิตทายาทให้คุณหญิงป้าได้เชยชมก่อนตาย
แต่นั่นก็หาได้โทษว่าเป็นความผิดของญาติผู้ใหญ่ฝ่ายเดียวไม่ เพราะหากไม่ใช่เพราะราเมศเป็นผู้ชายที่รักสันโดษ ชอบมีอิสระกับงานที่ทำมากกว่าการหาบ่วงรัดคอ แถมยังควงผู้หญิงออกงานไม่ซ้ำหน้า คุณหญิงป้าก็คงไม่ต้องหนักอกหนักใจกับพฤติกรรมของหลานชายมากขนาดนี้
“เฮ้อ...เมื่อไหร่คุณหญิงป้าจะเลิกวุ่นวายกับชีวิตฉันสักทีนะ” ราเมศถอนหายใจหนักหน่วง “ขืนทำแบบนี้บ่อย ๆ มีหวังฉันคงเครียดตายเข้าสักวัน”
“ไม่เห็นยาก นายก็รีบแต่งงานออกเรือนเสียสิ” เตชิตเสนอแนะ แต่คนฟังปฏิเสธหัวชนฝา
“พูดบ้า ๆ ฉันเป็นผู้ชายนะ จำเป็นด้วยหรือไง ที่จะต้องรีบแต่งงานทั้ง ๆ ที่อายุแค่ยี่สิบเจ็ด นายเองก็เหมือนกันทำเป็นพูดดีไป ถ้าหากคุณหญิงป้าเสนอว่าที่เจ้าสาวให้จริง นายก็ปฏิเสธเสียแข็งเหมือนกันแหละน่า”
ความจริงดังกล่าว ทำให้เตชิตมีท่าทีอ่อนลง ด้วยว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว เขาเองก็ไม่ได้แตกต่างจากราเมศเท่าไหร่ ที่ยังรู้สึกสนุกกับการทำงาน มากกว่าการไล่ตามผู้หญิง ผิดกันก็เพียงแต่ไม่ได้ถูกกดดันมากเท่ากับเพื่อนหนุ่มจอมเจ้าชู้
“นายก็เป็นเสียแบบนี้แหละ วัน ๆ เอาแต่ควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า นางแบบในนิตยสารเอย ลูกสาวนักธุรกิจเอย ถ้าไม่ใช่เพราะพฤติกรรมของนาย คุณหญิงป้าก็คงไม่ต้องใช้วิธีคลุมถุงชนหรอก” เขาเอ่ยเสียงเรียบ
อีกฝ่ายเหยียดยิ้มบาง ๆ ไม่คิดแก้ข้อกล่าวหา
“นั่นมันเป็นผลพลอยได้จากการทำธุรกิจต่างหาก ฉันไม่ได้เที่ยวหว่านเสน่ห์ให้สาว ๆ น้ำตาตกเสียหน่อย”
“แล้วคุณพิกกี้นั่นล่ะ ตอนนี้ยังคบหากันอยู่หรือเปล่า” เตชิตเอ่ยปากถามถึงนางแบบสาวสวยที่ตกเป็นข่าวพัวพัน
ราเมศจึงหันไปคว้าโทรศัพท์บนโต๊ะแล้วเปิดข้อความยื่นส่งให้ดู เมื่ออ่านจบเตชิตจึงได้แต่ถอนหายใจยาว
“อีกแล้วหรือ รายที่เท่าไหร่แล้วล่ะ”
“ไม่รู้สิ เยอะเสียจนขี้เกียจนั่งจำ” ชายหนุ่มสารภาพผิด เอนหลังเงยหน้าพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดอาลัยตาอยาก หลังเพิ่งถูกแฟนสาวบอกเลิก ถึงสามคนภายในช่วงระยะเวลาเดือนเดียว
“ทำเป็นพูดดีไปเถอะ สักวันฉันจะคอยดูนายนั่งกลุ้มใจเพราะผู้หญิง” เตชิตกล่าวเตือนในฐานะเพื่อนผู้หวังดี
“ขอบใจเพื่อน แต่นายไม่มีทางเห็นวันนั้นแน่”
ราเมศยิ้มขัน ลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบกระป๋องเบียร์ยี่ห้อดังขึ้นมาโยนส่งให้แขกผู้มาใหม่ “เหลืออยู่สองกระป๋องพอดี ดื่มเป็นเพื่อนกันหน่อยสิ”
เตชิตยกมือคว้ารับอย่างแม่นยำ และเมื่อมองเห็นตัวหนังสือที่บ่งบอกถึงปริมาณแอลกอฮอล์ร่างสูงก็นึกถึงหญิงสาวคู่ดูตัวเมื่อคืนขึ้นมา...ด้วยนิสัยตรงไปตรงมา บวกกับความน่ารักและเป็นกันเองของเธอ จุดประกายรอยยิ้มบนเรียวปากของเตชิตโดยไม่รู้ตัว
“ยิ้มอะไร”
“เปล่า”
โชคร้ายไปหน่อยที่ราเมศหันไปเห็นเข้าพอดี และถึงแม้เตชิตจะกล่าวปฏิเสธ มีหรือที่เพื่อนสนิทที่คบหากันมานานหลายปีอย่างราเมศจะไม่รู้นิสัย เพียงแค่แววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ชายหนุ่มก็สามารถจับโกหกได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว
“อย่าปฏิเสธหน่อยเลยน่า คนอย่างนายดูง่ายจะตาย” ราเมศซ่อนยิ้ม “บอกมาดีกว่า ว่านายไปเจอเรื่องดี ๆ อะไรมา…อย่าบอกนะว่านายกำลังคิดถึงสาวน้อยเมื่อคืนนี้”
“นั่นมันคู่ของนายต่างหาก ไม่ใช่ของฉัน” เตชิตเอ่ยเสียงเรียบ
“พูดบ้า ๆ ฉันยังไม่ได้ตอบตกลงซะหน่อย แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะเธอสวยหรือเปล่า”
คาสโนวาหนุ่มเปิดฝากระป๋องเบียร์ พร้อมกับเอ่ยถาม
“ได้ข่าวว่าเป็นคุณหนูไฮโซซะด้วย ท่าทางเอาแต่ใจแล้วก็หยิ่งน่าดูเลยสิท่า” เขาเดาเล่น ๆ แต่คำตอบที่ได้แตกต่างจากที่คิดเอาไว้
“เปล่าเลย คุณน้ำเป็นกุลสตรีที่น่ารัก แล้วก็มารยาทดีมากด้วย” เตชิตกล่าวไปตามที่ตัวเองเห็น
“โอ้โห” ราเมศเลิกคิ้วสูง “ถึงขนาดเรียกชื่อเล่น แถมยังเอ่ยปากชมตรง ๆ แบบนี้ แสดงว่าคุณหนูน้ำไม่ธรรมดาสินะ แหม...ชักอยากเห็นหน้าซะแล้วสิ”
ชายหนุ่มยิ้มเจ้าชู้ แต่คนฟังกลับทำหน้าเฉยชาหนัก
“ผู้หญิงไม่ใช่ของที่เอาไว้สำหรับดูเล่น ถ้านายไม่คิดจริงจังกับเธอก็ไม่ควรทำให้คุณน้ำเดือดร้อนทีหลัง นี่ถ้าไม่ใช่นายขอร้องละก็ ฝันไปเถอะว่าฉันจะยอมร่วมมือด้วย”
น้ำเสียงจริงจังกว่าทุกครั้ง ส่งผลให้ราเมศรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังหวง มากกว่าเป็นห่วงเพื่อนอย่างเขาเสียอีก
“ล้อเล่นหรอกน่า เอาเป็นว่าเรื่องเมื่อคืนฉันต้องขอโทษที่ลากนายเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยก็แล้วกัน...ว่าแต่ นายคงไม่สานสัมพันธ์กับเธอต่อหรอกใช่ไหม” เขาหยั่งเสียง
“ไม่รู้สิ” เตชิตตอบตามตรง “ตอนแรกฉันตั้งใจไว้ว่าหลังจากคืนนั้นจะไม่พบเธออีก แต่พอถึงตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจเท่าไหร่”
“ว่ายังไงนะ”
ราเมศแทบลุกจากเก้าอี้ โน้มตัวเข้ามาจ้องหน้าเพื่อนสนิทชัด ๆ
“นี่นายอย่าบอกนะว่า...เกิดตกหลุมรักคุณหนูนั่นเข้าจริง ๆ ซะแล้ว”
เตชิตเลือกที่จะนิ่งแทนการตอบคำถาม ส่วนตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน ว่าอาการนึกถึงแต่หน้าเธอบ่อย ๆ เกิดจากความประทับใจฉาบฉวย หรือเป็นเพราะสาเหตุอื่นกันแน่
ยามปกติเตชิตไม่ใช่ผู้ชายที่รู้สึกประทับใจใครง่าย ๆ โดยเฉพาะผู้หญิง ด้วยความที่มีบุคลิกสุขุม ชอบการแสดงออกมากกว่าการพูด จึงทำให้ชายหนุ่มไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในหมู่สาว ๆ เหมือนอย่างราเมศ แต่การได้พบและพูดคุยกับน้ำ ทำให้เขารู้สึกว่าเธอมีบางอย่างที่ต่างออกไป
“ก็อาจเป็นไปได้” ชายหนุ่มสรุปสั้น ๆ “ติดเพียงว่า...มีเรื่องข้องใจนิดหน่อย”
วันต่อมาม่านนทีก็งานยุ่งเสียจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น ภายในออฟฟิศสำนักงานรับออกแบบงานโฆษณาเล็ก ๆ ม่านนทีกับทีมงานต้องลงมือทำเองเกือบหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อโฆษณา การประชาสัมพันธ์ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เธอเก็บรายละเอียดทุกอย่างไว้ในคอมพิวเตอร์ส่วนตัว
“ค่ะคุณวันรบ ดิฉันจะรีบแสกนใบเสร็จส่งไปให้ภายในวันนี้นะคะ” หญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ มือถือปากกาจดข้อความในกระดาษ ไม่ยอมให้ตกหล่น “ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา ขอบคุณนะคะที่ใช้บริการของเรา”
บริษัทออกแบบงานโฆษณาที่ม่านนทีทำงานอยู่ เปิดดำเนินธุรกิจเกือบสามปีแล้ว มีการดำเนินการผ่านทางเว็บไซต์ ด้วยการทำงานที่มีคุณภาพและไอเดียสร้างสรรค์ เปิดโอกาสให้ธุรกิจเล็ก ๆ ไปจนถึงขนาดกลางสามารถเลือกสื่อโฆษณาได้ตามความต้องการของตน
“คุณน้ำคะ เมื่อกี้ผู้จัดการติดต่อเข้ามาว่าอยากได้รูปถ่ายสถานที่จริง มาประกอบหน้าโฆษณาแหล่งท่องเที่ยวและอาหารที่กำลังจะอัพเดทให้ลูกค้าวันพรุ่งนี้ค่ะ ไม่ทราบว่าจะให้ใครออกไปตระเวนถ่ายรูปดีคะ”
ทันทีที่ม่านนทีวางสาย ทีมงานน้องใหม่ก็เงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์หันไปรายงานทันที
“อะไรนะ แล้วป่านนี้ทำไมเพิ่งจะมาบอกล่ะ” เธออุทานเสียงดัง
“ขอโทษค่ะ แต่คุณก้องเพิ่งจะโทรศัพท์มาบอก เมื่อตอนที่คุณน้ำออกไปทานข้าวกลางวันนี่เอง” เด็กสาวยิ้มแห้ง ๆ
“บ้าจริง เอาแต่สั่ง ๆๆ อยู่ได้ ทำไมไม่รู้จักไปหาข้อมูลมาประกอบเองบ้างนะ” ม่านนทียกมือขึ้นท้าวเอว ใบหน้าหวานปราศจากการตกแต่ง แลดูเป็นธรรมชาติและมีชีวิตชีวา
“เอายังไงดีคะคุณน้ำ จะให้โทรศัพท์ไปขอยกเลิกบทความวันพรุ่งนี้ดีหรือเปล่า”
“ไม่ต้องหรอก เอาเป็นว่าฉันจะเป็นคนขับรถออกไปตระเวนถ่ายรูปเองก็แล้วกัน ส่วนเธอช่วยไปเตรียมกล้องให้ฉันที”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวมลจะรีบไปเตรียมให้เดี๋ยวนี้”
กล่าวจบธุรการสาวสวยก็รีบลุกขึ้นไปเตรียมให้ทันที ม่านนทีได้แต่ระบายลมหายใจออกมาช้า ๆ เนื่องจากนับวัน อีตาผู้จัดการจอมขี้เกียจนั่น จะใช้แรงงานเธอเกินค่าจ้างมากเข้าไปทุกที
ภายในยี่สิบนาทีต่อมา ม่านนทีก็ขับรถยนต์ตระเวนไปยังสถานที่ติดอับดับยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ อาทิร้านอาหารสไตล์อิตาเลียน พิพิธภัณฑ์สถาน พระราชวัง รวมไปถึงย่านแหล่งอาหารการกินที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ เพื่อเก็บภาพถ่ายมุมสวย ๆ เหมาะแก่การโฆษณาประชาสัมพันธ์ตามอย่างที่ลูกค้าต้องการ
หลังจากใช้เวลาตระเวนถ่ายรูป ตามสถานที่ที่น่าสนใจนานเกือบสามชั่วโมง ม่านนทีก็ตัดสินใจขับรถไปยังริมฝั่ง "คลองบางขุนศรี" หรือ "คลองชักพระ" เพื่อเก็บภาพสวย ๆ กับบรรยากาศ และวิถีชีวิตของชุมชนริมน้ำเป็นแห่งสุดท้าย ที่นี่มีทั้งวัดและบ้านทรงไทย ทั้งแบบเก่าและแบบประยุกต์ สองฝั่งเต็มไปด้วยร้านค้า สวนผักและผลไม้พื้นบ้าน อาทิ กระท้อนห่อ ขนุน มะปรางไข่ มากมาย
“ช่วยห่ออันนี้ใส่ถุงให้ด้วยนะครับ” เสียงชายหนุ่มร่างสูง สวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มพับแขนจรดข้อศอก เอ่ยเบา ๆ หน้าร้านขายขนมโบราณ
ทุกวันอาทิตย์เตชิตมักหาเวลาว่างให้ตัวเอง เดินซื้อของตามย่านตลาดน้ำเพื่อผ่อนคลายกับบรรยากาศสบาย ๆ อยู่เสมอ ร่างสูงโดดเด่นหยุดดูสินค้าหน้าร้านขายเครื่องหัตถกรรมโบราณเป็นระยะ
บรรยากาศร่มรื่นกับตลาดตามแนวคลอง ทำให้ผู้คนนิยมมาเดินจับจ่ายซื้อของกินในวันหยุดเป็นจำนวนมาก มีของกินให้เลือกมากมายทั้งคาวหวาน หน้าร้านขายต้นไม้ประดับประดาด้วยสีสันกล้วยไม้แลดูสดชื่นสบายตา
จะด้วยเหตุบังเอิญหรือพรหมลิขิตก็ตามแต่ ทำให้เตชิตหันไปเห็นม่านนทีกำลังสะพายกล้องเดินเก็บภาพถ่ายตลาดน้ำริมฝั่งคลองโดยบังเอิญ ร่างบางสวมเสื้อแจกเกตกางเกงยีนขาเดฟเน้นเรียวขา เส้นผมที่เคยเกล้าเป็นลอนเหนือศีรษะ ปล่อยยาวสลวยส่งผลให้บุคลิก แตกต่างไปจากที่เคยพบกันครั้งแรก
“คุณน้ำ” เตชิตรำพึงเหมือนไม่แน่ใจ
ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องไปยังหญิงสาวแต่งกายด้วยชุดปอนด์ ๆ สะพายกล้องถ่ายรูปราวกับเป็นคนละคนกับคุณหนูน้ำที่เขาเคยรู้จัก ยิ่งพิศก็ยิ่งแน่ใจว่าเป็นหญิงสาวคนเดียวกัน โดยเฉพาะดวงหน้างามและบุคลิกท่าทางการเดินที่เป็นเอกลักษณ์ก็รู้ว่าไม่ผิดตัวแน่นอน
“คุณน้ำครับ”
“คะ” ม่านนทีหันขวับไปมองตามเสียงเรียกชื่อ ดวงตาคู่งามเบิกกว้างหลังจากที่เห็นหน้าผู้เอ่ยทักชัด ๆ “คุณราเมศ...”
หญิงสาวใจเต้นแรง คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกันในตลาดน้ำแบบนี้
“คุณมาทำอะไรแถวนี้คะ”
“ผมชอบมาเดินเล่นแถวตลาดน้ำริมคลองแถวนี้เป็นประจำ แล้วคุณน้ำล่ะครับมาทำอะไรในที่แบบนี้” เตชิตยิ้มให้เธอ พลางเลื่อนสายตาไปยังกล้องถ่ายรูปที่เธอสะพายติดตัวมาด้วย “เมื่อกี้ผมเห็นคุณกำลังเดินถ่ายภาพอยู่ ก็เลยเดินเข้ามาหา เพิ่งรู้นะครับว่าคุณก็ชอบมาเดินเล่นแถวนี้ด้วย”
“เอ่อ ค่ะ พอดีว่าฉันชอบถ่ายภาพเป็นงานอดิเรก ผ่านมาทางนี้พอดีก็เลยถือโอกาสเข้ามาเก็บภาพสวย ๆ น่ะค่ะ”
ให้ตายสิ ทำไมโลกมนุษย์เราถึงได้แคบแบบนี้นะ
“หรือครับ” เขาเอ่ยเสียงนุ่ม
ม่านนทีได้แต่ก้มหน้ามองพื้น รู้สึกอายกับสภาพการแต่งกายของตัวเอง ที่แตกต่างไปจากวันแรกที่นัดเจอกันบนห้องดินเนอร์สุดหรูราวฟ้ากับดิน แต่ดูเหมือนว่าเตชิตจะไม่ใส่ใจกับรายละเอียดเล็กน้อย และยังคงทอดสายตามองเธออย่างอบอุ่นเช่นเคย
“ไม่ทราบว่าวันนี้คุณมากับใครหรือครับ”
“ฉันขับรถมาคนเดียวค่ะ” เธอตอบตามตรง
“งั้นก็พอดีเลย วันนี้ผมก็มาเดินเล่นคนเดียวเหมือน ถ้าไม่รังเกียจให้ผมเลี้ยงข้าวคุณ พร้อมทั้งอาสาถ่ายภาพสวยๆ ให้คุณไปด้วยก็แล้วกันนะครับ”
ข้อเสนอของเตชิดฟังดูน่าสนใจ แต่ม่านนทีเลือกที่จะปฏิเสธ
“ขอบคุณค่ะ แต่ไม่ดีกว่าฉันว่าต่างคนต่างเดินก็ดีอยู่แล้ว”
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“คุณน้ำรังเกียจ”
“เปล่าค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้น” เธอรีบปฏิเสธ
“ถ้าอย่างนั้น เพราะอะไรถึงต้องคอยหลบหน้าผมละครับ” เตชิตเอ่ยถามตามตรง ความจริงช่วงหลายวันก่อนหน้านี้ เขาพยายามโทรศัพท์ติดต่อไปหาเธอหลายครั้ง แต่ม่านนทีก็ปฏิเสธที่จะรับสายมาโดยตลอด
ชายหนุ่มมองลึกเข้าไปในดวงตากลมโตอย่างค้นคว้า ม่านนทีได้แต่หลบเลี่ยงไม่กล้าสบตาเขาตรง ๆ
“เอ่อ...คือว่าฉัน”
“คุณรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ เวลาที่เห็นหน้าผมหรือเปล่าครับ” เตชิตเอ่ยเสียงเรียบ
“คุณราเมศ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับผมรับได้ ผมเข้าใจดีว่าการฝืนคุยกับคนที่เราไม่ชอบหน้า นั้นลำบากใจแค่ไหน” ใบหน้าคมคายเหยียดยิ้มบาง ๆ “ต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่ทำให้คุณเสียเวลา”
กล่าวจบร่างสูงก็ทำท่าจะหมุนตัวเดินหันหลังจากไป ร้อนถึงม่านนทีที่อดทนรนไม่ไหว ต้องเดินตามไปรั้งแขนเอาไว้
“เดี๋ยวค่ะคุณราเมศ” หญิงสาวเดินตามไปดักหน้า ขอโทษค่ะ ที่ทำให้คุณเข้าใจผิด...แต่ฉันไม่ได้มีเจตนาดูถูกหรือรังเกียจคุณเลย”
ม่านนทีถอนหายใจยาว
“ตกลงค่ะ ฉันจะไปกับคุณก็ได้” ม่านนทีกล่าวอย่างยอมแพ้
ใบหน้าคมคายจึงปรากฏรอยยิ้มเล็ก ๆ โดยที่เธอไม่ทันสังเกตเห็น
“ถ้าอย่างนั้นเราสองคนไปหาอะไรทานกันก่อนไหมครับ นี่ก็ใกล้เวลาเที่ยงแล้วด้วย บังเอิญว่าผมรู้จักร้านอาหารอร่อย ๆ หลายแห่ง คิดว่าคุณต้องชอบแน่” เตชิตยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาพร้อมเอ่ยปากชวน
ม่านนทีพยักหน้า “ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวเราสองคนไปหาอะไรทานด้วยกัน แล้วหลังจากนั้นค่อยตระเวนถ่ายรูปกันก็ได้”
หลังจากตกปากรับคำไปแล้ว เตชิตก็เป็นฝ่ายเดินนำเธอ เดินเลียบร้านค้าตลาดริมฝั่งคลองไปยังสวนอาหารริมน้ำฝั่งด้านใน ลักษณะคล้ายกับแพตกปลา ทิวทัศน์แวดล้อมไปด้วยสวนผลไม้และกล้วยไม้นานาชนิด บรรยากาศร่มรื่นเหมาะแก่การพาครอบครัวมาพักผ่อนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
ทั้งคู่เลือกนั่งโต๊ะติดริมฝั่งคลอง ที่มีสายลมพัดเย็นสบาย การพบกันครั้งที่สองระหว่างม่านนทีและเตชิต ส่งผลให้ทั้งคู่กล้าเปิดเผยตัวตนของกันและกันมากยิ่งขึ้น หญิงสาวเผยรอยยิ้มให้กับเขาเห็นเป็นระยะ ปลายนิ้วเรียวยามยกขึ้นปัดเส้นผมออกจากดวงหน้างามยามสายลมพัด กลายเป็นภาพความงามตามธรรมชาติที่ตราตรึงใจไม่รู้ลืม
“มีอะไรหรือคะคุณราเมศ” ม่านนทีเอ่ยถาม หลังจากที่หันมาเห็นชายหนุ่มจ้องมองเธอเนิ่นนาน เขาเพียงแต่ยิ้มน้อย ๆ และเลือกที่จะไม่ตอบ
“เปล่าครับ เพียงแต่คิดว่าตลาดน้ำที่นี่ทั้งอากาศดี แล้วก็...มีสิ่งสวยงามให้เลือกชมมากกว่าที่คิด”
เตชิตเน้นคำว่า ‘สวยงาม’ มากกว่าคำอื่น แต่ม่านนทีใสซื่อเกินกว่าจะเข้าใจ หญิงสาวได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย
“นั่นสิคะ ฉันเองก็ชอบมาเดินเที่ยวที่นี่บ่อย ๆ เหมือนกัน คิดไม่ถึงเลยว่าเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯจะมีวิถีชีวิตแบบพึ่งพาธรรมชาติแบบนี้หลงเหลืออยู่ด้วย” เธอเอ่ยยิ้ม
“ความจริงกรุงเทพฯ ยังมีข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง ถ้าคุณสนใจล่ะก็ คราวหน้าผมจะค้นหาหนังสือมาให้นะครับ”
“จริงหรือคะ” ม่านนทีถามอย่างดีใจ
“ครับ”
“ดีจังเลย ฉันเองตั้งแต่ทำงานก็ไม่ค่อยมีเวลาไปเที่ยวเท่าไหร่ วันหยุดทีไรเป็นต้องทำงานล่วงเวลาอยู่เรื่อย”
“ล่วงเวลา” เตชิตทวนประโยค
“ใช่ค่ะ” ม่านนทีกำลังสนใจอยู่กับอาหารตรงหน้า จนลืมไปเสียสิ้นว่าตัวเองกำลังสวมบทบาทปิ่นแก้วอยู่
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองดูหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาเจือไปด้วยความสงสัย จนกระทั่งม่านนทีรู้สึกตัวเงยหน้าขึ้นมองโดยบังเอิญ ชายหนุ่มจึงคืนสู่ท่าทีปกติ
“มีอะไรเหรอคะ”
“เปล่าครับ แค่กำลังคิดว่าคุณเป็นผู้หญิงที่เก่งแล้วก็ขยันมากเท่านั้นเอง” เตชิตเอ่ยปากชม
“ไม่หรอกค่ะ งานของคนอื่นก็หนักพอ ๆ กับที่ฉันทำเหมือนกัน” ม่านนทีกล่าวอย่างถ่อมตัว ซึ่งนิสัยในส่วนนี้เองที่เตชิตถูกใจเป็นพิเศษ
ที่ผ่านมาเขามักพานพบกับผู้หญิงสวย ที่เอาแต่แต่งตัวสวย ๆ ไม่ยอมทำงาน หรือไม่ก็เป็นผู้หญิงเก่ง แต่เย่อหยิ่งเสียจนมองไม่เห็นคุณค่าของคนอื่น แต่กับม่านนทีเธอไม่ใช่ผู้หญิงจำพวกนั้น แต่มีบางอย่างที่เข้มแข็ง...และอ่อนโยนแตกต่างจากที่เขาเคยเจอมา
หากไม่นับรวมคำถามคาใจบางอย่าง
“ไม่ทราบว่าทางบ้านคุณน้ำทำกิจการเกี่ยวกับอะไรหรือครับ” เตชิตเอ่ยถามเหมือนการชวนคุย ทำเอาม่านนทีถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ
“เอ่อ...เกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ จำพวกเสื้อผ้ามียี่ห้อต่าง ๆ น่ะค่ะ”
เธอกลั้นใจตอบออกไป หลังจากทบทวนความคิดเกี่ยวกับเรื่องกิจการของเพื่อนรักอยู่นาน เตชิตพยักหน้ารับรู้ ดวงตาจับจ้องใบหน้าหวานนิ่ง
“ความจริงผมเองก็มีความสนใจด้านนี้อยู่พอดี คงไม่เป็นการรบกวนมากเกินไปกระมังครับ ถ้าวันหน้าผมจะขอคำแนะนำด้านธุรกิจจากคุณสักเล็กน้อย”
“อะไรนะคะ” ม่านนทีอุทานเสียงดัง
ใบหน้าคมคายแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอาการตกใจของเธอ ยังคงเดินหน้าถามต่อ
“ผมได้ยินข่าวมานานแล้วว่าคุณน้ำ เรียนจบปริญญาด้านการบริหารธุรกิจต่างประเทศ แถมยังมีกิจการอีกหลายแห่ง คิดว่าคำแนะนำของคุณคงนำไปใช้ประโยชน์ได้ไม่น้อย”
ม่านนทีถึงกับพูดไม่ออก คาดไม่ถึงว่าการสับเปลี่ยนตัวละคร จะนำมาซึ่งความยุ่งยากมากกว่าที่เธอคิด การปลอมตัวแทนปิ่นแก้วแค่ครั้งสองครั้งยังไม่น่าหนักใจเท่าไหร่ แต่ถ้าขืนปล่อยให้ชายหนุ่มเข้าใจผิดนานไป ความลับเรื่องที่เธอสลับตัวกับเพื่อนรักเห็นทีคงเก็บเอาไว้ไม่อยู่เหมือนกัน
“เอ่อ คือว่าเรื่องนั้น...” หญิงสาวอึกอัก
“ว่ายังไงครับคุณน้ำ” เตชิตได้ทีโน้มตัวเข้ามาใกล้
โชคดีอย่างมหาศาล ที่บังเอิญเสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน ม่านนทีจึงรอดพ้นจากสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานไปได้อย่างหวุดหวิด ร่างบางรีบล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาทันควัน
“ขอโทษนะคะ ฉันขอตัวคุยโทรศัพท์สักครู่”
เตชิตเหยียดยิ้มนิด ๆ “เชิญตามสบายครับ”
ม่านนทียิ้มเฝื่อนก้มลงมองหมายเลขที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน ลุกขึ้นจากเก้าอี้แสร้งเดินไปคุยไปกระทั่งไกลพอที่เขาจะไม่ได้ยินหรือรับรู้ข้อความใด ๆ
“ว่ายังไงปิ่นแก้ว...” หญิงสาวกระซิบถามแล้วก็ต้องแปลกใจ “ตายจริง นั่นเธอกำลังร้องไห้อยู่เหรอ...เกิดอะไรขึ้น”
น้ำเสียงสั่นเครือของเพื่อนรัก ที่กำลังคุยโทรศัพท์ไปร้องไห้ฟูมฟายไป ทำให้ม่านนทีจับต้นชนปลายไม่ถูก หลังจากที่ตั้งใจฟังอยู่นานจึงพอเดาได้ว่าปิ่นแก้วโดนพ่อยอดชายหวานใจ สร้างวีรกรรมเข้าให้เสียแล้ว
“ใจเย็น ๆ ก่อนนะปิ่น ตอนนี้ฉันอยู่ข้างนอก เดี๋ยวอีกสักครึ่งชั่วโมงจะรีบขับรถเข้าไปหาที่บ้าน คอยฉันก่อนนะ”
ม่านนทีพูดปลอบใจ ก่อนกดวางโทรศัพท์ช้า ๆ ร่างบางถอนหายใจยาว
“เฮ้อ ยายปิ่นนะยายปิ่น...เตือนตั้งแต่แรกแล้วเชียว ว่าจะต้องกลายเป็นแบบนี้” ม่านนทีส่ายหน้าไปมา ก่อนเดินกลับไปหาชายหนุ่มที่นั่งรออยู่บนโต๊ะเพื่อขอตัวกลับก่อน
“ขอโทษนะคะคุณราเมศ เมื่อกี้มีโทรศัพท์ด่วนเข้ามา เห็นทีวันนี้ฉันคงต้องรีบกลับก่อน”
“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่พอจะมีอะไรให้ผมช่วยได้บ้างหรือเปล่า” ร่างสูงกล่าวอย่างมีน้ำใจ
“ขอบคุณค่ะ แต่ไม่ดีกว่า” ม่านนทีปฏิเสธพร้อมรอยยิ้ม “เชิญคุณเที่ยวต่อให้สนุกเถอะนะคะ คราวหลังไว้ค่อยเจอกันใหม่ก็แล้วกัน”
“ยินดีครับคุณน้ำ”
เตชิตยิ้มให้เธอแทนการอำลา ร่างสูงยืนพิงขอบระเบียงริมน้ำ สองมือล้วงกระเป๋ามองตามม่านนทีเดินห่างออกไปจนกระทั่งลับสายตา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนยังไม่คลายจากริ้วรอยสงสัย หากแต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเตชิต...เพราะคนอย่างเขาสงสัยเรื่องใดแล้ว จะต้องสืบหาจนกว่าความจริงจะกระจ่าง
“คราวหน้า...ผมต้องรู้ความจริงให้ได้” ชายหนุ่มเหยียดยิ้ม แววตาจริงจังยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
“ฮือ...คนบ้า เลวที่สุดเลย”
ปิ่นแก้วนั่งร้องไห้น้ำตาเปียกปอนอยู่บนเก้าอี้โซฟา บนโต๊ะมีรูปถ่ายหนุ่มเก้าอดีตหวานใจของเพื่อนสาวถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กองอยู่บนซองเอกสารสีน้ำตาลขนาดเอสี่
“ใจเย็น ๆ ปิ่น เกิดอะไรขึ้นเหรอ ทำไมจู่ ๆ ถึงได้ร้องไห้เสียใจขนาดนี้ล่ะ” ม่านนทีกอดปลอบใจเพื่อนรัก หลังจากที่ใช้เวลาไม่ถึงยี่สินาทีขับรถตรงมาหาปิ่นแก้วที่บ้าน
“มีคนส่งซองจดหมายมาให้ฉัน พอเปิดออกดูข้างในก็พบกับ...เธอช่วยดูเอาเองเถอะ” ปิ่นแก้วซบหน้าลงกับบ่าเพื่อนรัก ม่านนทีจึงเอื้อมมือไปหยิบซองสีน้ำตาลขึ้นดู ก่อนเห็นภาพถ่ายหลายใบวางเรียงอยู่ในนั้น
“บ้าชะมัดเลย”
ม่านนทีอุทานแผ่ว หลังจากที่เห็นภาพถ่ายนายเก้า นักธุรกิจหนุ่มและนายแบบรูปงาม กำลังนัวเนียกับสาวสวยนักศึกษาในสภาพเมามายไม่ได้สติ หญิงสาวโยนมันลงกับพื้นอย่างรังเกียจ
ไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมปิ่นแก้วถึงร้องไห้หนักขนาดนี้
“เลวจริง ๆ ขนาดกำลังคบกับเธออยู่แท้ ๆ ยังกล้าทำเรื่องน่าละอายอีก” ม่านนทีร่วมประณาม “ไม่ต้องเสียใจไปหรอกปิ่นแก้ว ผู้ชายเลว ๆ พรรค์นั้นไม่คู่ควรกับน้ำตาของเธอด้วยซ้ำไป”
ปิ่นแก้วยกมือขึ้นปาดน้ำตา ใบหน้าหวานอ่อนเยาว์และไร้เดียงสากว่าที่เห็นภายนอก
“ฉันเอง...ก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน” เธอกล่าวเสียงปนสะอื้น
“ไม่เป็นไรหรอก คิดเสียว่าเธอโชคดีที่ยังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกันจริง ๆ ผู้ชายอะไรหน้าหล่อซะเปล่า แต่เจ้าชู้ไม่เลือกที่ น่ารังเกียจชะมัด”
ม่านนทีรู้สึกโกรธแทนเพื่อนสาว ที่ต้องมาพัวพันกับผู้ชายเลว ๆ อย่างนายเก้าคนนั้น ภายนอกเสแสร้งทำเป็นสุภาพบุรุษ แต่เอาเข้าจริงกลับไม่ต่างไปจากผู้ชายเจ้าชู้ทั่วไปดี ๆ นี่เอง”
หลังจากสองสาวปลอบโยนกันอยู่นาน ปิ่นแก้วก็เริ่มมีอาการดีขึ้น น้ำตาเริ่มเหือดแห้งลง
“ขอบใจนะน้ำ ต้องขอโทษจริง ๆ ที่โทรฯไปตอนเธอกำลังยุ่งอยู่” หญิงสาวเอ่ยเสียงเบา
“กำลังยุ่งอยู่อะไรกัน กำลังกินข้าวเดินเล่นอยู่สิไม่ว่า ไม่ต้องซีเรียสไปหรอก”
“กินข้าวเดินเล่น” ปิ่นแก้วทวนประโยค “กับใครเหรอ”
ม่านนทีแสร้งตอบเลี่ยงไปอย่างอื่นเพื่อตัดปัญหา ก่อนลุกขึ้นเก็บเศษกระดาษรูปถ่ายใส่ถังขยะ
“เพื่อนร่วมงานน่ะ ไม่สำคัญอะไรหรอก มาเถอะอย่ามัวจมปลักอยู่กับภาพถ่ายพวกนี้เลย เอามันไปเผาไฟทิ้งดีกว่า จะได้หมดทุกข์หมดโศกกันเสียที”
ปิ่นแก้วพยักหน้าเบา ๆ เช็ดน้ำตาจนเหือดแห้ง
“จ้ะ”
ทั้งคู่ช่วยกันเก็บเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยใส่รวมกันเพื่อเอาไปทำลายทิ้ง ม่านนทีนึกเสียใจแทนเพื่อนสาวที่อุตส่าห์ไว้ใจนายเก้า ทั้งที่ภายนอกดูเป็นคนสุภาพเรียบร้อยและอัธยาศัยดีคนหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ทำตัวแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี...ความจริงทำให้ม่านนทีหวนนึกไปถึงใครบางคนที่เพิ่งนั่งทานข้าวด้วยกันมา
เขาเองก็เป็นสุภาพบุรุษ บุคลิกท่วงท่าสุขุมรอบคอบเป็นผู้ใหญ่น่านับถือ แต่นั่นล้วนแต่เป็นเปลือกนอกที่เขาแสดงให้เธอเห็นเท่านั้น แต่ไม่อาจรับประกันได้เลยว่านั่นคือตัวตนที่แท้จริง...
***************************
เอาตอนที่ 2 มาลงให้อ่านกันค่ะ
ขอฝากนิยายน่ารัก ๆ ป่วนหัวใจ
ของหนุ่มหล่อจอมวางแผน กับคุณหนูเอาแต่ใจ
นิยายเรื่องใหม่ของ เบลินญา ด้วยนะคะ ^ ^

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ส.ค. 2554, 10:22:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ส.ค. 2554, 11:56:08 น.
จำนวนการเข้าชม : 2677
<< กลรัก สลับหัวใจ ตอนที่ 1 แผนการดูตัวอลเวง | ตอนที่ 3 เหตุบัญเอิญ กับความโชคร้าย >> |

เบลินญา 16 ส.ค. 2554, 14:42:27 น.
อ่านแล้วช่วยวิจารณ์ด้วยนะค้า
อ่านแล้วช่วยวิจารณ์ด้วยนะค้า

อัปสรา 16 ส.ค. 2554, 16:13:27 น.
ต้องเอามลงอีกนะคะ เป็นกำลังใจให้ ว่าแต่นางเองจะเอาแต่ใจแค่ไหนนะ
ต้องเอามลงอีกนะคะ เป็นกำลังใจให้ ว่าแต่นางเองจะเอาแต่ใจแค่ไหนนะ

เบลินญา 16 ส.ค. 2554, 16:26:37 น.
คุณอัปสรา >> ขอบคุณค่ะ เรื่องนี้มีนางเอกสองคนให้คอยลุ้น ต้องตามอ่านดูค่ะ
คุณอัปสรา >> ขอบคุณค่ะ เรื่องนี้มีนางเอกสองคนให้คอยลุ้น ต้องตามอ่านดูค่ะ

Amata 16 ส.ค. 2554, 16:39:28 น.
เนื้อหาน่ารักน่าสนใจค่ะ เป็นกำลังใจให้เช่นกันค่ะ
เนื้อหาน่ารักน่าสนใจค่ะ เป็นกำลังใจให้เช่นกันค่ะ


เบลินญา 17 ส.ค. 2554, 10:23:28 น.
คุณ Amata >> ขอบคุณค่ะ
คุณ Gingfara >> พอดีไม่ค่อยสบายค่า คิดถึงจริงๆ
คุณ Amata >> ขอบคุณค่ะ
คุณ Gingfara >> พอดีไม่ค่อยสบายค่า คิดถึงจริงๆ

Zephyr 17 ส.ค. 2554, 13:37:41 น.
อืม ดูว่านายเตชิตจะเริ่มรู้แล่วว่าปิ่นแก้วเป็นตัวปลอม แล้วหนูน้ำจะรู้มั้ยเนี่ยว่านายราเมศก็ตัวปลอมเช่นกัน
อืม ดูว่านายเตชิตจะเริ่มรู้แล่วว่าปิ่นแก้วเป็นตัวปลอม แล้วหนูน้ำจะรู้มั้ยเนี่ยว่านายราเมศก็ตัวปลอมเช่นกัน