รหัสรัก...รหัสหัวใจ
อิงลดา หญิงสาวที่เพิ่งอกหักหมาดๆ ได้รับของขวัญประหลาดเป็นชายหนุ่มรูปงาม ดวงตาสีฟ้า มีชื่อเล่นแปลว่าน้ำแข็ง เขาบอกตัวตัวเองเป็นของขวัญ แต่สำหรับเธอ คิดว่าเขาเป็นหุ่นยนต์ในคราบปีศาจร้ายที่เข้ามาวุ่นวายในชีวิตมากกว่า เพราะเพียงเริ่มได้รู้จักกัน ชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไปแบบที่เจ้าตัวไม่เคยคิดมาก่อน
Tags: สิรินดา, รหัสรักรหัสหัวใจ, นิยายรัก
ตอน: 29. การตัดสินใจ
"พี่อิง เกือบเที่ยงแล้ว พวกเราจะไปร้านไก่ทอดตรงข้ามตึกนี่ ไปด้วยกันไหม"
"..."
"พี่อิง"
"อะไรนะ นุ่นว่าไง"
"เป็นอะไรเนี่ย นั่งนิ่งมาตั้งแต่เช้าแล้ว ... นุ่นถามว่า พี่สนใจจะไปกินข้าวกลางวันกับพวกเราไหม ร้านไก่ทอดเจ้าประจำ"
ฉันยิ้มตอบ และส่ายหน้า "ไม่ดีกว่า พี่ยังไม่หิว ว่าจะเก็บของให้เสร็จด้วย"
นุ่นมองเลยมาที่โต๊ะทำงานของฉัน "โต๊ะพี่อิงสะอาดขนาดนี้ ต้องเก็บอะไรอีก ไปๆๆ ไปกินข้าวกันเถอะ พวกเราอยากเลี้ยง พรุ่งนี้พี่ก็ไม่อยู่แล้ว อย่ามานั่งซึมเหมือนคนอกหักอยู่แบบนี้เลย"
ฉันก้มหน้าเก็บความรู้สึกบางอย่างให้กลับเข้าไป ช่วงนี้จิตใจของตัวเองอ่อนไหวเหลือเกิน
สองวันก่อน ตัดสินใจบอกพี่ชาติว่าอยากจะลาออก เพราะตั้งใจจะไปเขียนหนังสืออย่างที่ฝันไว้ คำตอบที่ได้ก็คือ...
"จะออกไปทำไม ทำไมไม่เขียนให้สำนักพิมพ์ของเราล่ะ"
"แต่...อิงอยากเขียนเรื่องบางเรื่อง ที่มันต้องใช้เวลาหน่อยค่ะ แถมต้องไปเก็บข้อมูลเยอะด้วย" ฉันเล่าคร่าวๆ ถึงแผนการที่คิดไว้พักใหญ่แล้ว
"แล้วถ้า พี่ให้อิงเป็นนักเขียนอิสระ แต่สังกัดสำนักพิมพ์นี้เหมือนเดิม ลองดูสักเล่มก่อนก็ได้ว่าทำงานกับพี่แล้วโอเคไหม ถ้าไม่โอเค ให้ออกจริง"
"อิงยังไม่ได้เขียนเลยนะคะ ตั้งใจว่าจะเริ่มเร็วๆ นี้ กลัวว่าพี่จะต้องรอนาน เนื้อหาก็...ไม่แน่ใจว่าพี่จะชอบไหม"
"พี่รอได้ แล้วพี่ก็เชื่อมั่นฝีมือเรา ระหว่างนี้ ได้อะไรที่พอจะเขียนเป็นคอลัมน์ลงเล่มเดิมได้ ก็เขียนส่งมาด้วย เอาเงินไว้เป็นค่าขนมระหว่างทาง"
ข้อเสนอมาพร้อมกับงบประมาณก้อนหนึ่งเพื่อใช้ในการเดินทาง
"พี่ไม่เคยให้ใครแบบนี้ แต่พี่เชื่อในฝีมือ และมุมมองของอิงนะ"
ถ้าอายุยี่สิบห้า ฉันคงปฏิเสธทุกอย่าง และเลือกที่จะเดินทาง และเขียนหนังสือด้วยงบประมาณของตัวเอง แบบที่นักเขียนอินดี้หลายคนทำ
แต่...สำหรับฉัน ทางเลือกของพี่ชาติ ยังทำให้ทำงานอย่างที่ตัวเองอยากทำได้ ไม่ได้จำกัดความคิดของตัวเองจนเกินไป โดยมีเงินสนับสนุนส่วนหนึ่ง ทำไมจะไม่ลองทำแบบนี้ดูก่อน
พี่ชาติทำหนังสืออยู่แล้ว เราก็รู้ใจกันระดับหนึ่งแล้ว ดีกว่าออกไปเขียนหนังสือ ลองผิดลองถูกกับสำนักพิมพ์ที่ยังไม่รู้จักกันเลย
หลังจากตัดสินใจได้ ตอบรับทำงานต่อ ก็เริ่มวางแผนการเดินทาง...
ทุกอย่างดูจะลงตัว กำลังจะได้ทำงานอย่างที่อยากทำ แต่ทำไม ใจยังหนักๆ อยู่ก็ไม่รู้
หนึ่งวัน...สองวัน...สามวัน จนเกือบอาทิตย์
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ แต่ทุกอย่างเงียบสนิท ไม่มีการติดต่อกลับจากไอแซคหลังจากที่ฉันยื่นสมุดบันทึกเล่มนั้นให้เขาแล้ว
ฉันหวังอะไรล่ะ ไอแซคบอกตรงไปตรงมาแล้วนี่นาว่าครั้งนี้ เขาย้อนเวลามาเพราะจุดมุ่งหมายอื่น ไม่ใช่ฉันสักนิด ข้อความที่อยู่ในบันทึก คงเป็นเพียงข้อมูลหนึ่งที่...เขาอาจไม่รู้สึกอะไรเลย
นี่คงเป็นอีกเรื่องที่ต้องทำใจ รวมถึงตัดใจ
ซึ่งมันไม่ง่ายเลย
....
กุหลาบแดงช่อโตที่เอกวัตรถือมา ทำให้พนักงานในออฟฟิศต่างหันมามองเป็นตาเดียว
"คุณชัชชาติบอกว่าอิงจะลาออก" เขายื่นดอกไม้ให้ฉัน "จะหนีผมไปไหนอีก"
ฉันอมยิ้ม บอกตัวเองว่าถ้าหนี คงจะไม่ใช่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแน่ๆ
"ขอบคุณนะ มันสวยมาก" ...แต่ ถ้าเขาจำได้ ฉันชอบสีขาว เกลียดดอกกุหลาบสีแดง
"เราจะยังพบกันได้ใช่ไหม"
"อ้าว คุณเอก มาแล้วเหรอ กำลังรออยู่เลย เข้ามาสิ" พี่ชาติเปิดประตูเข้ามา
เจ้านายของฉัน มาช่วยชีวิตไว้ได้พอดี
....
ฉันวางขวดน้ำกับสมุดบันทึกเล่มเล็กลงบนโต๊ะทำงานริมระเบียง จากนั้นก็เปิดโน้ตบุ๊ก เริ่มทำงานที่ค้างไว้ เพียงไม่กี่นาที โลกรอบตัวของฉันก็นิ่งสนิท เพราะจิตใจจดจ่ออยู่กับเรื่องราวบนหน้าจอที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละนิด
เวลาช่่วงเช้าหมดไปกับการเก็บข้อมูล พอบ่ายก็จะพักนิดหน่อย ก่อนสรุปและพิมพ์งานจนกว่าจะหมดแรง คิดอะไรไม่ออก
ฉันทำแบบนี้อย่างต่อเนื่องมาเกือบสองอาทิตย์ ต้นฉบับรุดหน้าไปได้ตามแผน
ประสบการณ์การทำงานกับพี่ชาติช่วยให้ทำงานเป็นระบบขึ้นมาก สำหร้บหนังสือเล่มแรก ฉันวางแผนจะเขียนหนังสือให้จบภายในสามเดือน
เนื้อหาที่จะอยู่ในนั้น ไม่เพียงแต่นำเสนอเรื่องของสถานที่เที่ยวริมทางที่น่าสนใจ ที่เจ้าของร้านเป็นคนรุ่นใหม่
ไม่ว่าจะเป็น ร้านกาแฟ ที่พัก ร้านอาหาร แต่ยังมีเรื่องมุมมองการใช้ชีวิตของเจ้าของ และแรงบันดาลใจ ในการทำงานของพวกเขา
เพื่ออะไรหรือ
เพราะอยากนำเสนอมุมมองใหม่ๆ ผ่านมุมมองของผู้คน บรรยากาศ รอบตัว
นอกจากต้นฉบับที่เพิ่มขึ้น หัวใจของฉันก็เข้มแข็งขึ้นตามวันและเวลาเหล่านั้นด้วย
ถึงแม้กาลเวลาไม่ได้ทำให้ลืมได้ทุกเรื่อง แต่มันก็ไม่ได้ทุกข์หนัก มันแตกต่างจากครั้งแรกที่มีปัญหากับเอกวัตร ครั้งนั้น มันทุรุนทุราย กินไม่ได้ นอนไม่หลับ และพาลจะทำร้ายตัวเอง ทำร้ายคนรอบข้าง
เสียงกริ่งประตูดังขึ้น วางมือจากงาน มองไปรอบตัว... นี่ฉันคงทำงานเพลินจนเลยเวลาไปหลายชั่วโมง พระอาทิตย์ตกดินไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เสียงเคาะประตูอีกรอบ "เดี๋ยวค่ะ" ฉันตะโกนตอบ เดินไปเปิดประตู เดาว่าคงเป็นอาหารที่สั่งไว้จากร้านอาหารของรีสอร์ท
พนักงานหน้าตาคุ้นๆ ยืนอยู่ตรงหน้า "คุณอิงลดาใช่ไหมครับ"
"มีอะไรคะ"
"อาหารเย็นพร้อมแล้วครับ เชิญที่โต๊ะได้เลย"
"แต่ ฉันสั่งให้มาส่งที่้ห้องนี่คะ" เพราะอยากเร่งงานให้เสร็จ หรือไม่ก็ยังติดพันจนไม่อยากจะลุกไปไหน บางครั้งจะสั่งอาหารมากินพร้อมกับทำงานไปด้วย
"ครับ แต่...ผู้จัดการสั่งให้ผมมาเชิญคุณไปด้านล่าง วันนี้มีเมนูพิเศษครับ"
ฉันขมวดคิ้ว ขยับปากจะถามต่อ แต่อีกฝ่ายหันหลังเดินกลับไปอย่างรวดเร็ว
...พักสายตา มีความสุขกับอาหารสักครึ่งชั่งโมง ก็ดีเหมือนกัน
"เชิญด้านนี้ครับ"
เกือบหนึ่งทุ่ม บรรยากาศที่โต๊ะด้านนอกสลัวนิดๆ ทุกโต๊ะมีแก้วใส่เทียนสีขาวจุดไว้กลางโต๊ะ พนักงานรีสอร์ทเดินนำฉันไปด้านนอก ซึ่งแยกเป็นสัดส่วน ฉันสังเกตว่ากลางโต๊ะมีแก้วใสใส่ดอกไม้สีขาวช่อย่อมๆ ไว้ด้วย
"เสิร์ฟเลยนะครับ"
ฉันได้แต่พยักหน้า คิดในใจว่า ... เอิ่ม ไม่ต้องพิธีรีตรองมากก็ได้
พักเดียว อาหารจานใหญ่สามจาน ถูกวางตรงหน้า
"ฉันไม่ได้สั่งไอ้นี่นี่คะ..."
"ผมสั่งเอง"
เสียงคุ้นเคยทำให้ฉันหันไป และลุกขึ้นทันทีจนเก้าอี้ที่วางไว้แทบจะล้ม หากว่าไม่จับไว้ก่อน พนักงานถอยออกไป ปล่อยให้ผู้ชายร่างสูงเลื่อนเก้าอี้นั่งลงตรงข้าม
ฉันทรุดตัวลงนั่ง มองใบหน้าคุ้นเคยที่ตอนนี้ดูจะเข้มแดดขึ้นอีกนิด
"คนที่นี่บอกว่าคุณสั่งแต่ข้าวกระเพราไข่ดาว ผมก็เลยถือโอกาสเปลี่ยนเมนู สลัดทูน่าไข่ต้ม ยำสตอเบอรี่กุ้งสด พาสต้าผัดไทย ไม่หนักท้องเกินไปสำหรับมื้อเย็น"
อีกฝ่ายวางหมวกกันน็อค ปัดผมยุ่งให้เข้าที่ อาหารทุกจานดูน่ากิน...แต่ฉันได้แต่นั่งมองพวกมันเงียบๆ
"ไม่กินหรือไง"
"ตอนนี้ตกใจอยู่" ตอบตามตรง "นายมาได้ยังไง รู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่นี่ หรือว่า...บังเอิญ"
"มันไม่มีอะไรบังเอิญ สำหรับเรื่องของเราหรอก" คำตอบสั้นๆ ส่งผ่านสายตานิ่งๆ ของอีกฝ่ายกลับมา
เอิ่ม...สายตานั่น หุ่นยนต์สามารถแสดงสายตา และความรู้สึกแบบนี้ได้ด้วยหรือ มัน....
"เพียงแต่ผมต้องใช้เวลาหน่อยกว่าจะจัดการทุกอย่างได้ ถ้าไม่มีเรื่องด่วนก่อน คงมานานแล้ว ... กินไปคุยกันไปดีกว่า ลองนี่สิ" คนที่นั่งตรงข้าม ยื่นอาหารจานที่ใกล้ตัวเขามาให้
"บอกก่อนว่า ... นายมาได้ยังไง"
"ขับมอเตอร์ไซค์มา เร็วดี ผมโทรมาสั่งอาหารไว้ก่อน" เขาตอบ ตักอาหารใส่จานให้ฉัน "อาหารที่นี่ดูน่าอร่อย"
ฉันตักอาหารเข้าปาก ปลายสายตามองเห็นปลายนิ้วเรียว แขนแข็งแรง และหน้าตาไร้ที่ติ ไอแซคมีอะไรที่เป็นข้อบกพร่องบ้างนะ เขาทำอาหารเก่ง เรียนเก่ง รักโลก ใจดี .... คุณสมบัติหลากหลายที่หาไม่ได้จากผู้ชายแท้ๆ คนเดียว
เพราะเขาไม่ใช่คนยังไงล่ะ จึงสามารถรวมทุกๆ คุณสมบัติที่ดีไว้ในที่เดียวได้
เรากินอาหารกันเงียบๆ ฉันตั้งใจเงียบ เพราะไม่รู้จะคุยอะไร นับแต่วันที่ยื่นสมุดบันทึกให้เขา แล้วเงียบหาย ไม่มีอะไรตอบกลับมา ฉันก็เริ่มทำใจ และตัดใจไปเรียบร้อย
"ผมอ่านบันทึกเล่มนั้นจบแล้วนะ" จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้น "ตั้งวันแรกที่คุณส่งให้"
ก่อนหน้านี้ ฉันไม่คิดว่าเขาจะอ่านมันตั้งแต่คืนนั้น ถ้าเขาอ่าน แล้วปล่อยเวลาให้มันนานขนาดนี้ มันหมายความว่า...
วางช้อน หยิบน้ำขึ้นมาดื่ม ทั้งๆ ที่คิดว่าทำใจได้ แต่บางอย่างก็เอ่อท้นมาที่ขอบตา จนต้องกระพริบตาไล่มันกลับลงไป
"ถ้าคุณไม่ส่งให้ ผมคงไม่รู้..."
ฉันถอนหายใจ "ก็...เขียนไปเรื่อย" ตอบแค่นั้น แล้วก็เงียบ ก้มหน้าก้มตากินๆ ไป พยายามจัดการอาหารตรงหน้าให้เร็วที่สุด
ไม่ถึงห้านาที ฉันลุกขึ้น "อิ่มแล้วล่ะ ขอตัวไปทำงานต่อนะ ทำงานค้างไว้"
บอกตัวเองว่า อยู่ตรงนี้ก็ไม่รู้จะคุยอะไร อาย ทำหน้าไม่ถูก ทางเดียวที่จะรอดได้คือ อยู่ให้ห่างไว้ดีกว่า...
ไม่ได้คิดว่าจะพบเขาแบบไม่ได้ตั้งตัว ตอนนี้ฉันไม่พร้อมจะพบใครเลย แถมตั้งแต่เช้า ยังไม่ได้อาบน้ำ
"เดี๋ยวสิ" เขาลุกตาม เดินมาดึงแขนของฉันไว้ "เราต้องคุยกัน ผมไม่ได้ขับรถมาเป็นร้อยกิโลฯ เพื่อมากินข้าวเย็นอย่างเดียวนะ"
จากนิ้วที่อยู่ปลายศอก เลื่อนมาจับที่มือ แล้วมือหนากว่า แข็งแรงกว่า บังคับกลายๆ พาฉันเดินผ่านห้องโถง
"นายจะพาฉันไปไหน" ฉันขืนตัวเอง
"ไปคุยกันไง มาเถอะ"
ฉันคิดว่า ไอแซคจะพาฉันออกไปคุยที่ไหนสักแห่ง แต่เขากลับเดินตรงไปทางห้องพัก
"อยากให้ใครได้ยินเราคุยกันหรือไง" เขาหันมากระซิบ เมื่อฉันหยุดเดิน "ห้องคุณอยู่ไหน"
ห้องไม่ได้จัด ฉันไม่พร้อมที่จะให้เขาเห็นตอนนี้ มันอาจจะแย่กว่าตัวเหม็นๆ ที่ยังไม่ได้อาบน้ำของฉันเสียอีก
"แต่ว่า..."
.....
ทันทีที่ประตูห้องปิด ไอแซคดึงฉันเข้าไปสู่อ้อมกอด ฉันตกใจเกินจะขืนตัวออกได้ทัน ร่างสูงที่เคยคุ้นในความรู้สึกไม่เปิดโอกาสให้ทำอะไรได้นอกจากอดตอบ
...ฉันคิดถึงอ้อมกอดนี้บ่อยครั้ง และจดจำมันได้อย่างลางเลือน แล้วเพียงเสี้ยววินาที เขาก็ผละออก
"นายเป็นอะไร" อีกฝ่ายมีอาการผิดปกติ ตัวเย็น หน้าซีด และทรุดตัวลงนั่งที่ปลายเตียงพร้อมกับเอามือกอดที่กลางลำตัว
ไอแซคกัดฟัน ไม่ตอบ ดึงเสื้อขึ้นเผยให้เห็นผ้าพันแผลขนาดใหญ่ที่พันบริเวณกลางลำตัวไว้ มันถูกพันแบบลวกๆ และมีเลือดซึม
"ผมถูกทำร้าย"
"เมื่อไหร่"
"ก่อนจะมาหาคุณ รีบทำแผลไปหน่อย เลือดคงซึมอีกแล้ว เจ็บชะมัด"
"บาดเจ็บขนาดนี้ นายยังไปนั่งกินข้าวกับฉันตั้งนานนี่นะ...ไปหาหมอกันเถอะ เดี๋ยวจะให้รถโรงแรมไปส่ง"
คนฟังส่ายหน้า "ไม่อยากเป็นที่สังเกต แล้วนี่ก็ดึกแล้ว แถวนี้คงหาโรงพยาบาลใกล้ๆ ได้ยาก"
ก็จริง "ถ้าอย่างนั้นนอนลง เดี๋ยวจะไปหาเครื่องมือทำแผลให้"
ไอแซคเป็นหุ่นยนต์ ทำไมมีเลือด ฉันคิดเรื่องนั้นเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะวิ่งมาหาเจ้าหน้าที่โรงแรม จัดการหาอุปกรณ์ทุกอย่าง และกลับมาทำแผลให้
ร่างสูงนอนบนเตียง (ของฉัน) โดยมีหมอนใบโตหนุนหลัง มองฉันทำงานเงียบๆ
"ผมเจ็บเป็นนะ" เขาบอก สะดุ้งนิดๆ เมื่อกดผ้ากอซซับเลือดแรงไปนิด
"นายเป็นหุ่นยนต์ไม่ใช่หรือ ทำไมมีเลือด ทำไมบาดเจ็บได้...ทำไมกินอาหารได้เหมือนคนปกติ" ทั้งอยากรู้ และหาเรื่องเบี่ยงเบนความสนใจของคนเจ็บ
"อีกสองร้อยปีข้างหน้า การเป็นหุ่นยนต์หมายถึงเราเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น ด้วยวิธีการทางวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ชีวภาพ ทั้งตัวของผมถูกพัฒนามาจากเซลล์ของลูกชายแท้ๆ ของคุณพ่อที่เสียชีวิตไปตอนเด็ก ผมเป็นหุ่นยนต์ชีวะ"
ฉันไมได้เรียนสายวิทยาศาสตร์ หรือแม้แต่สนใจหนังไซไฟ จึงไม่เข้าใจข้อความยาวๆ ของเขาเลย
"แสดงว่านายเป็นโคลนนิ่งใช่ไหม"
เขาส่ายหน้า นิ่วหน้านิดหนึ่งเมื่อฉันใช้สำลีป้ายยาลงบนแผลที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว "ไม่ใช่ การสร้างผมไม่ใช่การทำให้เหมือนลูกชายของพ่อทุกอย่าง แต่ท่านทำผมขึ้นมาใหม่ ด้วยการสร้างเหมือนที่มนุษย์ยุคนี้สร้างหุ่นยนต์ แต่ของผม สร้างด้วยเทคโนโลยีทางชีววิทยา เอิ่ม ถ้าคุณจำได้ พ่อผมเป็นหมอ งานอดิเรกของท่านเป็นงานวิจัยการสร้างเซลล์ชีวภาพ เรื่องหุ่นยนต์ กระบวนการมันยุ่งยากมาก ท่านทำสำเร็จเพียงตัวเดียว
และตัดสินใจทำลายเอกสารทิ้ง ไม่ทำอีกเพราะท่านกลัวผลกระทบที่จะตามมา"
ฉันปิดแผลเป็นครั้งสุดท้าย แผลสะอาดเรียบร้อยแล้ว
"ถ้าเป็นแบบนี้ นายก็ไม่ต่างจากมนุษย์เลยน่ะสิ เพียงแต่นายเกิดจาก...อะไรก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่ท้องแม่"
รอยยิ้มจางๆ ของคนที่นอนพิงหมอน เขาดึงมือของฉันซึ่งเลอะยาใส่แผลไปกุมไว้
"ยังไงผมก็เป็นของที่สร้างขึ้น และเป็นเพียงสิ่งของทดลอง ไม่ใช่ลูกชายท่านจริงๆ ผมหน้าตาดี หุ่นดี เรียนเก่ง ทั้งหมด มันมาจากดีเอ็นเอที่ท่านผสมผสานใหม่ ไม่ใช่ของแท้ ...ผมไม่รู้สึกภูมิใจกับความเก่ง หรือรู้มากกว่าคนอื่น หลายครั้งมันทำให้เศร้าใจมากกว่า"
ฉันส่ายหน้า เอานิ้วของตัวเองปิดปากคนเจ็บเอาไว้ "นายคิดมากเอาเรื่องเลยนะ หุ่นยนต์ไม่ควรมีความคิด ความรู้สึกสิ แต่นี่นายมี..."
พูดยังไม่ทันจบ มือของฉันก็ถูกอีกมือหนึ่งของเขารวบไว้ ก่อนจะกดริมฝีปากหนักๆ ลงมาที่ด้านหลัง
"ใช่ ผมมีความคิด และมี...เอ่อ ความรักได้"
ฉันรีบก้มหน้า หลบตาคมๆ นั่น โดนเด็กบอกรักเอาตรงๆ แบบนี้ ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
...เอ๋ เขาเพียงแต่บอกว่า เขาเป็นหุ่นที่มีความรักได้ ไม่ได้บอกว่ารักฉันสักหน่อยนี่นะ...คิดเข้าข้างตัวเองไปหรือเปล่า อิงลดาเอ๋ย
"..."
"พี่อิง"
"อะไรนะ นุ่นว่าไง"
"เป็นอะไรเนี่ย นั่งนิ่งมาตั้งแต่เช้าแล้ว ... นุ่นถามว่า พี่สนใจจะไปกินข้าวกลางวันกับพวกเราไหม ร้านไก่ทอดเจ้าประจำ"
ฉันยิ้มตอบ และส่ายหน้า "ไม่ดีกว่า พี่ยังไม่หิว ว่าจะเก็บของให้เสร็จด้วย"
นุ่นมองเลยมาที่โต๊ะทำงานของฉัน "โต๊ะพี่อิงสะอาดขนาดนี้ ต้องเก็บอะไรอีก ไปๆๆ ไปกินข้าวกันเถอะ พวกเราอยากเลี้ยง พรุ่งนี้พี่ก็ไม่อยู่แล้ว อย่ามานั่งซึมเหมือนคนอกหักอยู่แบบนี้เลย"
ฉันก้มหน้าเก็บความรู้สึกบางอย่างให้กลับเข้าไป ช่วงนี้จิตใจของตัวเองอ่อนไหวเหลือเกิน
สองวันก่อน ตัดสินใจบอกพี่ชาติว่าอยากจะลาออก เพราะตั้งใจจะไปเขียนหนังสืออย่างที่ฝันไว้ คำตอบที่ได้ก็คือ...
"จะออกไปทำไม ทำไมไม่เขียนให้สำนักพิมพ์ของเราล่ะ"
"แต่...อิงอยากเขียนเรื่องบางเรื่อง ที่มันต้องใช้เวลาหน่อยค่ะ แถมต้องไปเก็บข้อมูลเยอะด้วย" ฉันเล่าคร่าวๆ ถึงแผนการที่คิดไว้พักใหญ่แล้ว
"แล้วถ้า พี่ให้อิงเป็นนักเขียนอิสระ แต่สังกัดสำนักพิมพ์นี้เหมือนเดิม ลองดูสักเล่มก่อนก็ได้ว่าทำงานกับพี่แล้วโอเคไหม ถ้าไม่โอเค ให้ออกจริง"
"อิงยังไม่ได้เขียนเลยนะคะ ตั้งใจว่าจะเริ่มเร็วๆ นี้ กลัวว่าพี่จะต้องรอนาน เนื้อหาก็...ไม่แน่ใจว่าพี่จะชอบไหม"
"พี่รอได้ แล้วพี่ก็เชื่อมั่นฝีมือเรา ระหว่างนี้ ได้อะไรที่พอจะเขียนเป็นคอลัมน์ลงเล่มเดิมได้ ก็เขียนส่งมาด้วย เอาเงินไว้เป็นค่าขนมระหว่างทาง"
ข้อเสนอมาพร้อมกับงบประมาณก้อนหนึ่งเพื่อใช้ในการเดินทาง
"พี่ไม่เคยให้ใครแบบนี้ แต่พี่เชื่อในฝีมือ และมุมมองของอิงนะ"
ถ้าอายุยี่สิบห้า ฉันคงปฏิเสธทุกอย่าง และเลือกที่จะเดินทาง และเขียนหนังสือด้วยงบประมาณของตัวเอง แบบที่นักเขียนอินดี้หลายคนทำ
แต่...สำหรับฉัน ทางเลือกของพี่ชาติ ยังทำให้ทำงานอย่างที่ตัวเองอยากทำได้ ไม่ได้จำกัดความคิดของตัวเองจนเกินไป โดยมีเงินสนับสนุนส่วนหนึ่ง ทำไมจะไม่ลองทำแบบนี้ดูก่อน
พี่ชาติทำหนังสืออยู่แล้ว เราก็รู้ใจกันระดับหนึ่งแล้ว ดีกว่าออกไปเขียนหนังสือ ลองผิดลองถูกกับสำนักพิมพ์ที่ยังไม่รู้จักกันเลย
หลังจากตัดสินใจได้ ตอบรับทำงานต่อ ก็เริ่มวางแผนการเดินทาง...
ทุกอย่างดูจะลงตัว กำลังจะได้ทำงานอย่างที่อยากทำ แต่ทำไม ใจยังหนักๆ อยู่ก็ไม่รู้
หนึ่งวัน...สองวัน...สามวัน จนเกือบอาทิตย์
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ แต่ทุกอย่างเงียบสนิท ไม่มีการติดต่อกลับจากไอแซคหลังจากที่ฉันยื่นสมุดบันทึกเล่มนั้นให้เขาแล้ว
ฉันหวังอะไรล่ะ ไอแซคบอกตรงไปตรงมาแล้วนี่นาว่าครั้งนี้ เขาย้อนเวลามาเพราะจุดมุ่งหมายอื่น ไม่ใช่ฉันสักนิด ข้อความที่อยู่ในบันทึก คงเป็นเพียงข้อมูลหนึ่งที่...เขาอาจไม่รู้สึกอะไรเลย
นี่คงเป็นอีกเรื่องที่ต้องทำใจ รวมถึงตัดใจ
ซึ่งมันไม่ง่ายเลย
....
กุหลาบแดงช่อโตที่เอกวัตรถือมา ทำให้พนักงานในออฟฟิศต่างหันมามองเป็นตาเดียว
"คุณชัชชาติบอกว่าอิงจะลาออก" เขายื่นดอกไม้ให้ฉัน "จะหนีผมไปไหนอีก"
ฉันอมยิ้ม บอกตัวเองว่าถ้าหนี คงจะไม่ใช่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแน่ๆ
"ขอบคุณนะ มันสวยมาก" ...แต่ ถ้าเขาจำได้ ฉันชอบสีขาว เกลียดดอกกุหลาบสีแดง
"เราจะยังพบกันได้ใช่ไหม"
"อ้าว คุณเอก มาแล้วเหรอ กำลังรออยู่เลย เข้ามาสิ" พี่ชาติเปิดประตูเข้ามา
เจ้านายของฉัน มาช่วยชีวิตไว้ได้พอดี
....
ฉันวางขวดน้ำกับสมุดบันทึกเล่มเล็กลงบนโต๊ะทำงานริมระเบียง จากนั้นก็เปิดโน้ตบุ๊ก เริ่มทำงานที่ค้างไว้ เพียงไม่กี่นาที โลกรอบตัวของฉันก็นิ่งสนิท เพราะจิตใจจดจ่ออยู่กับเรื่องราวบนหน้าจอที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละนิด
เวลาช่่วงเช้าหมดไปกับการเก็บข้อมูล พอบ่ายก็จะพักนิดหน่อย ก่อนสรุปและพิมพ์งานจนกว่าจะหมดแรง คิดอะไรไม่ออก
ฉันทำแบบนี้อย่างต่อเนื่องมาเกือบสองอาทิตย์ ต้นฉบับรุดหน้าไปได้ตามแผน
ประสบการณ์การทำงานกับพี่ชาติช่วยให้ทำงานเป็นระบบขึ้นมาก สำหร้บหนังสือเล่มแรก ฉันวางแผนจะเขียนหนังสือให้จบภายในสามเดือน
เนื้อหาที่จะอยู่ในนั้น ไม่เพียงแต่นำเสนอเรื่องของสถานที่เที่ยวริมทางที่น่าสนใจ ที่เจ้าของร้านเป็นคนรุ่นใหม่
ไม่ว่าจะเป็น ร้านกาแฟ ที่พัก ร้านอาหาร แต่ยังมีเรื่องมุมมองการใช้ชีวิตของเจ้าของ และแรงบันดาลใจ ในการทำงานของพวกเขา
เพื่ออะไรหรือ
เพราะอยากนำเสนอมุมมองใหม่ๆ ผ่านมุมมองของผู้คน บรรยากาศ รอบตัว
นอกจากต้นฉบับที่เพิ่มขึ้น หัวใจของฉันก็เข้มแข็งขึ้นตามวันและเวลาเหล่านั้นด้วย
ถึงแม้กาลเวลาไม่ได้ทำให้ลืมได้ทุกเรื่อง แต่มันก็ไม่ได้ทุกข์หนัก มันแตกต่างจากครั้งแรกที่มีปัญหากับเอกวัตร ครั้งนั้น มันทุรุนทุราย กินไม่ได้ นอนไม่หลับ และพาลจะทำร้ายตัวเอง ทำร้ายคนรอบข้าง
เสียงกริ่งประตูดังขึ้น วางมือจากงาน มองไปรอบตัว... นี่ฉันคงทำงานเพลินจนเลยเวลาไปหลายชั่วโมง พระอาทิตย์ตกดินไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เสียงเคาะประตูอีกรอบ "เดี๋ยวค่ะ" ฉันตะโกนตอบ เดินไปเปิดประตู เดาว่าคงเป็นอาหารที่สั่งไว้จากร้านอาหารของรีสอร์ท
พนักงานหน้าตาคุ้นๆ ยืนอยู่ตรงหน้า "คุณอิงลดาใช่ไหมครับ"
"มีอะไรคะ"
"อาหารเย็นพร้อมแล้วครับ เชิญที่โต๊ะได้เลย"
"แต่ ฉันสั่งให้มาส่งที่้ห้องนี่คะ" เพราะอยากเร่งงานให้เสร็จ หรือไม่ก็ยังติดพันจนไม่อยากจะลุกไปไหน บางครั้งจะสั่งอาหารมากินพร้อมกับทำงานไปด้วย
"ครับ แต่...ผู้จัดการสั่งให้ผมมาเชิญคุณไปด้านล่าง วันนี้มีเมนูพิเศษครับ"
ฉันขมวดคิ้ว ขยับปากจะถามต่อ แต่อีกฝ่ายหันหลังเดินกลับไปอย่างรวดเร็ว
...พักสายตา มีความสุขกับอาหารสักครึ่งชั่งโมง ก็ดีเหมือนกัน
"เชิญด้านนี้ครับ"
เกือบหนึ่งทุ่ม บรรยากาศที่โต๊ะด้านนอกสลัวนิดๆ ทุกโต๊ะมีแก้วใส่เทียนสีขาวจุดไว้กลางโต๊ะ พนักงานรีสอร์ทเดินนำฉันไปด้านนอก ซึ่งแยกเป็นสัดส่วน ฉันสังเกตว่ากลางโต๊ะมีแก้วใสใส่ดอกไม้สีขาวช่อย่อมๆ ไว้ด้วย
"เสิร์ฟเลยนะครับ"
ฉันได้แต่พยักหน้า คิดในใจว่า ... เอิ่ม ไม่ต้องพิธีรีตรองมากก็ได้
พักเดียว อาหารจานใหญ่สามจาน ถูกวางตรงหน้า
"ฉันไม่ได้สั่งไอ้นี่นี่คะ..."
"ผมสั่งเอง"
เสียงคุ้นเคยทำให้ฉันหันไป และลุกขึ้นทันทีจนเก้าอี้ที่วางไว้แทบจะล้ม หากว่าไม่จับไว้ก่อน พนักงานถอยออกไป ปล่อยให้ผู้ชายร่างสูงเลื่อนเก้าอี้นั่งลงตรงข้าม
ฉันทรุดตัวลงนั่ง มองใบหน้าคุ้นเคยที่ตอนนี้ดูจะเข้มแดดขึ้นอีกนิด
"คนที่นี่บอกว่าคุณสั่งแต่ข้าวกระเพราไข่ดาว ผมก็เลยถือโอกาสเปลี่ยนเมนู สลัดทูน่าไข่ต้ม ยำสตอเบอรี่กุ้งสด พาสต้าผัดไทย ไม่หนักท้องเกินไปสำหรับมื้อเย็น"
อีกฝ่ายวางหมวกกันน็อค ปัดผมยุ่งให้เข้าที่ อาหารทุกจานดูน่ากิน...แต่ฉันได้แต่นั่งมองพวกมันเงียบๆ
"ไม่กินหรือไง"
"ตอนนี้ตกใจอยู่" ตอบตามตรง "นายมาได้ยังไง รู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่นี่ หรือว่า...บังเอิญ"
"มันไม่มีอะไรบังเอิญ สำหรับเรื่องของเราหรอก" คำตอบสั้นๆ ส่งผ่านสายตานิ่งๆ ของอีกฝ่ายกลับมา
เอิ่ม...สายตานั่น หุ่นยนต์สามารถแสดงสายตา และความรู้สึกแบบนี้ได้ด้วยหรือ มัน....
"เพียงแต่ผมต้องใช้เวลาหน่อยกว่าจะจัดการทุกอย่างได้ ถ้าไม่มีเรื่องด่วนก่อน คงมานานแล้ว ... กินไปคุยกันไปดีกว่า ลองนี่สิ" คนที่นั่งตรงข้าม ยื่นอาหารจานที่ใกล้ตัวเขามาให้
"บอกก่อนว่า ... นายมาได้ยังไง"
"ขับมอเตอร์ไซค์มา เร็วดี ผมโทรมาสั่งอาหารไว้ก่อน" เขาตอบ ตักอาหารใส่จานให้ฉัน "อาหารที่นี่ดูน่าอร่อย"
ฉันตักอาหารเข้าปาก ปลายสายตามองเห็นปลายนิ้วเรียว แขนแข็งแรง และหน้าตาไร้ที่ติ ไอแซคมีอะไรที่เป็นข้อบกพร่องบ้างนะ เขาทำอาหารเก่ง เรียนเก่ง รักโลก ใจดี .... คุณสมบัติหลากหลายที่หาไม่ได้จากผู้ชายแท้ๆ คนเดียว
เพราะเขาไม่ใช่คนยังไงล่ะ จึงสามารถรวมทุกๆ คุณสมบัติที่ดีไว้ในที่เดียวได้
เรากินอาหารกันเงียบๆ ฉันตั้งใจเงียบ เพราะไม่รู้จะคุยอะไร นับแต่วันที่ยื่นสมุดบันทึกให้เขา แล้วเงียบหาย ไม่มีอะไรตอบกลับมา ฉันก็เริ่มทำใจ และตัดใจไปเรียบร้อย
"ผมอ่านบันทึกเล่มนั้นจบแล้วนะ" จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้น "ตั้งวันแรกที่คุณส่งให้"
ก่อนหน้านี้ ฉันไม่คิดว่าเขาจะอ่านมันตั้งแต่คืนนั้น ถ้าเขาอ่าน แล้วปล่อยเวลาให้มันนานขนาดนี้ มันหมายความว่า...
วางช้อน หยิบน้ำขึ้นมาดื่ม ทั้งๆ ที่คิดว่าทำใจได้ แต่บางอย่างก็เอ่อท้นมาที่ขอบตา จนต้องกระพริบตาไล่มันกลับลงไป
"ถ้าคุณไม่ส่งให้ ผมคงไม่รู้..."
ฉันถอนหายใจ "ก็...เขียนไปเรื่อย" ตอบแค่นั้น แล้วก็เงียบ ก้มหน้าก้มตากินๆ ไป พยายามจัดการอาหารตรงหน้าให้เร็วที่สุด
ไม่ถึงห้านาที ฉันลุกขึ้น "อิ่มแล้วล่ะ ขอตัวไปทำงานต่อนะ ทำงานค้างไว้"
บอกตัวเองว่า อยู่ตรงนี้ก็ไม่รู้จะคุยอะไร อาย ทำหน้าไม่ถูก ทางเดียวที่จะรอดได้คือ อยู่ให้ห่างไว้ดีกว่า...
ไม่ได้คิดว่าจะพบเขาแบบไม่ได้ตั้งตัว ตอนนี้ฉันไม่พร้อมจะพบใครเลย แถมตั้งแต่เช้า ยังไม่ได้อาบน้ำ
"เดี๋ยวสิ" เขาลุกตาม เดินมาดึงแขนของฉันไว้ "เราต้องคุยกัน ผมไม่ได้ขับรถมาเป็นร้อยกิโลฯ เพื่อมากินข้าวเย็นอย่างเดียวนะ"
จากนิ้วที่อยู่ปลายศอก เลื่อนมาจับที่มือ แล้วมือหนากว่า แข็งแรงกว่า บังคับกลายๆ พาฉันเดินผ่านห้องโถง
"นายจะพาฉันไปไหน" ฉันขืนตัวเอง
"ไปคุยกันไง มาเถอะ"
ฉันคิดว่า ไอแซคจะพาฉันออกไปคุยที่ไหนสักแห่ง แต่เขากลับเดินตรงไปทางห้องพัก
"อยากให้ใครได้ยินเราคุยกันหรือไง" เขาหันมากระซิบ เมื่อฉันหยุดเดิน "ห้องคุณอยู่ไหน"
ห้องไม่ได้จัด ฉันไม่พร้อมที่จะให้เขาเห็นตอนนี้ มันอาจจะแย่กว่าตัวเหม็นๆ ที่ยังไม่ได้อาบน้ำของฉันเสียอีก
"แต่ว่า..."
.....
ทันทีที่ประตูห้องปิด ไอแซคดึงฉันเข้าไปสู่อ้อมกอด ฉันตกใจเกินจะขืนตัวออกได้ทัน ร่างสูงที่เคยคุ้นในความรู้สึกไม่เปิดโอกาสให้ทำอะไรได้นอกจากอดตอบ
...ฉันคิดถึงอ้อมกอดนี้บ่อยครั้ง และจดจำมันได้อย่างลางเลือน แล้วเพียงเสี้ยววินาที เขาก็ผละออก
"นายเป็นอะไร" อีกฝ่ายมีอาการผิดปกติ ตัวเย็น หน้าซีด และทรุดตัวลงนั่งที่ปลายเตียงพร้อมกับเอามือกอดที่กลางลำตัว
ไอแซคกัดฟัน ไม่ตอบ ดึงเสื้อขึ้นเผยให้เห็นผ้าพันแผลขนาดใหญ่ที่พันบริเวณกลางลำตัวไว้ มันถูกพันแบบลวกๆ และมีเลือดซึม
"ผมถูกทำร้าย"
"เมื่อไหร่"
"ก่อนจะมาหาคุณ รีบทำแผลไปหน่อย เลือดคงซึมอีกแล้ว เจ็บชะมัด"
"บาดเจ็บขนาดนี้ นายยังไปนั่งกินข้าวกับฉันตั้งนานนี่นะ...ไปหาหมอกันเถอะ เดี๋ยวจะให้รถโรงแรมไปส่ง"
คนฟังส่ายหน้า "ไม่อยากเป็นที่สังเกต แล้วนี่ก็ดึกแล้ว แถวนี้คงหาโรงพยาบาลใกล้ๆ ได้ยาก"
ก็จริง "ถ้าอย่างนั้นนอนลง เดี๋ยวจะไปหาเครื่องมือทำแผลให้"
ไอแซคเป็นหุ่นยนต์ ทำไมมีเลือด ฉันคิดเรื่องนั้นเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะวิ่งมาหาเจ้าหน้าที่โรงแรม จัดการหาอุปกรณ์ทุกอย่าง และกลับมาทำแผลให้
ร่างสูงนอนบนเตียง (ของฉัน) โดยมีหมอนใบโตหนุนหลัง มองฉันทำงานเงียบๆ
"ผมเจ็บเป็นนะ" เขาบอก สะดุ้งนิดๆ เมื่อกดผ้ากอซซับเลือดแรงไปนิด
"นายเป็นหุ่นยนต์ไม่ใช่หรือ ทำไมมีเลือด ทำไมบาดเจ็บได้...ทำไมกินอาหารได้เหมือนคนปกติ" ทั้งอยากรู้ และหาเรื่องเบี่ยงเบนความสนใจของคนเจ็บ
"อีกสองร้อยปีข้างหน้า การเป็นหุ่นยนต์หมายถึงเราเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น ด้วยวิธีการทางวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ชีวภาพ ทั้งตัวของผมถูกพัฒนามาจากเซลล์ของลูกชายแท้ๆ ของคุณพ่อที่เสียชีวิตไปตอนเด็ก ผมเป็นหุ่นยนต์ชีวะ"
ฉันไมได้เรียนสายวิทยาศาสตร์ หรือแม้แต่สนใจหนังไซไฟ จึงไม่เข้าใจข้อความยาวๆ ของเขาเลย
"แสดงว่านายเป็นโคลนนิ่งใช่ไหม"
เขาส่ายหน้า นิ่วหน้านิดหนึ่งเมื่อฉันใช้สำลีป้ายยาลงบนแผลที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว "ไม่ใช่ การสร้างผมไม่ใช่การทำให้เหมือนลูกชายของพ่อทุกอย่าง แต่ท่านทำผมขึ้นมาใหม่ ด้วยการสร้างเหมือนที่มนุษย์ยุคนี้สร้างหุ่นยนต์ แต่ของผม สร้างด้วยเทคโนโลยีทางชีววิทยา เอิ่ม ถ้าคุณจำได้ พ่อผมเป็นหมอ งานอดิเรกของท่านเป็นงานวิจัยการสร้างเซลล์ชีวภาพ เรื่องหุ่นยนต์ กระบวนการมันยุ่งยากมาก ท่านทำสำเร็จเพียงตัวเดียว
และตัดสินใจทำลายเอกสารทิ้ง ไม่ทำอีกเพราะท่านกลัวผลกระทบที่จะตามมา"
ฉันปิดแผลเป็นครั้งสุดท้าย แผลสะอาดเรียบร้อยแล้ว
"ถ้าเป็นแบบนี้ นายก็ไม่ต่างจากมนุษย์เลยน่ะสิ เพียงแต่นายเกิดจาก...อะไรก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่ท้องแม่"
รอยยิ้มจางๆ ของคนที่นอนพิงหมอน เขาดึงมือของฉันซึ่งเลอะยาใส่แผลไปกุมไว้
"ยังไงผมก็เป็นของที่สร้างขึ้น และเป็นเพียงสิ่งของทดลอง ไม่ใช่ลูกชายท่านจริงๆ ผมหน้าตาดี หุ่นดี เรียนเก่ง ทั้งหมด มันมาจากดีเอ็นเอที่ท่านผสมผสานใหม่ ไม่ใช่ของแท้ ...ผมไม่รู้สึกภูมิใจกับความเก่ง หรือรู้มากกว่าคนอื่น หลายครั้งมันทำให้เศร้าใจมากกว่า"
ฉันส่ายหน้า เอานิ้วของตัวเองปิดปากคนเจ็บเอาไว้ "นายคิดมากเอาเรื่องเลยนะ หุ่นยนต์ไม่ควรมีความคิด ความรู้สึกสิ แต่นี่นายมี..."
พูดยังไม่ทันจบ มือของฉันก็ถูกอีกมือหนึ่งของเขารวบไว้ ก่อนจะกดริมฝีปากหนักๆ ลงมาที่ด้านหลัง
"ใช่ ผมมีความคิด และมี...เอ่อ ความรักได้"
ฉันรีบก้มหน้า หลบตาคมๆ นั่น โดนเด็กบอกรักเอาตรงๆ แบบนี้ ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
...เอ๋ เขาเพียงแต่บอกว่า เขาเป็นหุ่นที่มีความรักได้ ไม่ได้บอกว่ารักฉันสักหน่อยนี่นะ...คิดเข้าข้างตัวเองไปหรือเปล่า อิงลดาเอ๋ย
สิรินดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 มี.ค. 2561, 22:32:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 มี.ค. 2561, 23:11:03 น.
จำนวนการเข้าชม : 1544
<< 28. บันทึกเล่มนั้น (2) | 30: รหัสรัก >> |