พนาพร่ำรัก: หอมดึก (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เมื่อ 'พนสณฑ์' ทายาทเจ้าสัวพันล้าน ถูกกลั่นแกล้งให้รับมรดกเป็นที่ดินรกร้าง พร้อมเงื่อนไขต้องสร้างเงินล้านให้ได้ภายในปีเดียว แถมยังพ่วงเมียขัดดอก ลูกสาวนักพนันมาด้วย จะไหวไหมงานนี้...


***************

นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "หอมดึก" และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ซึ่งกำลังวางจำหน่ายอยู่ในตอนนี้ค่ะ ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ ใครชอบแนวโรแมนติก น่ารักละมุน หวานซึ้ง มิควรพลาดจ้า เพราะพ่อสณฑ์ของเราถึงแม้จะเป็นพระเอกสายโหด แต่ขยัน ‘รัก’ เมียสุดหัวใจ พ่วงด้วยความฮาแบบชาวบ้านตามท้องไร่ท้องนา บทเลิฟซีนสวย #รับประกันความสนุก!


**************

นักอ่านท่านใดสนใจ มีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ

**สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 3 ช่องทาง***
-ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
-ร้านนิยายออนไลน์ ได้แก่ ร้านนิยายรัก.com และร้าน booksforfun
-สั่งซื้อกับสนพ.โดยตรงโดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์


(หนังสือพร้อมส่ง)


ราคา 329฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 369฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 389฿)

หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"

**แบบ eBook มีวางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket**
Tags: แบดบอย ทายาทเศรษฐี ลูกสาวนักพนัน เมียขัดดอก น่ารัก ละมุน คู่ชีวิต ท้องไร่ท้องนา

ตอน: บทที่ 2 -50%

รุ่งเช้าไร่ดงไม้หอมก็ได้รับแขกกลุ่มแรก เป็นชายร่างกำยำเตี้ยกว่าพนสณฑ์ราวศอกหนึ่ง ผิวคล้ำจัด พูดจาโผงผาง กับชายหนุ่มร่างผอมไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาอีกคนหนึ่ง

“แม่เจ้าโว้ย นายมาอยู่ไม่ถึงอาทิตย์ดำขึ้นเป็นกอง แล้วดูกระท่อมนี่สิ กระท่อมน้อยกลางป่าใหญ่ คู่รักข้าวใหม่ปลามัน แหม...น่าอิจฉา”

ชายร่างกำยำเดาะปากเปาะแปะ กระโดดโหยงหลบวิถีบาทาของนายหนุ่ม ขณะที่หนุ่มน้อยที่มาด้วยกันกำลังสาละวนกับการขนของสารพัดอย่างลงจากรถกระบะ

“ไหนล่ะนาย นายหญิงรจนาของชัย”

“รจนาอะไรของแก เขาชื่อรุจิรัตน์ โน่น ปลูกผักอยู่หลังบ้าน”

“บ๊ะ ขอชัยทัศนาหน่อยก็ไม่ได้ จะได้กลับไปถวายรายงานพระบิดาพระมารดาได้ถูก อยากรู้ว่าจะงามสักปานใด”

“ไอ้หอก มึงมัวแต่ดูละคร ลิเก งานการไม่ทำใช่ไหมนี่ เพ้อเจ้อฉิบหาย ไหน งานอะไรจะให้กูดู เอามา แล้วรีบๆ ไสหัวกลับไปซะ”

“โน่นนาย ในแฟ้มแน่ะ เปิดดูเอาเองเลยนะ ชัยจะไปรายงานตัวเอาหน้ากับนายหญิง ไปละ” ว่าแล้วมันก็เผ่นออกไปหลังบ้าน และหายไปเป็นนานสองนาน แม้กระทั่งนายของมันตรวจเอกสารซื้อขายรถ บัญชีรายการของอะไหล่ต่างๆ เรียบร้อยไปนานแล้วก็ยังไม่มีวี่แววช่างชัยจะกลับมาจากสวนครัวหลังบ้าน ได้ยินแต่เสียงแหบๆ ห้าวๆ ของมันปนกับเสียงเหน่อๆ ของป้านวล นานที จะได้ยินเสียงหัวเราะใสกังวานปนมาบ้าง

คุยอะไรกันนักหนา

“ไอ้ช่างชัยเว้ย เชิญมาช่วยงานทางนี้หน่อย” เจ้านายตะโกนมาจากบนเรือน หน้าตาบึ้งตึง ช่างชัยทำคอหดราวกับเต่า ทำเอารุจิรัตน์หัวเราะคิก

“นี่แหละนายผม ชอบเอาเสียงขู่” มันว่า แต่ก็ยอมออกมาช่วยงานนายแต่โดยดี

มื้อเที่ยงวันนั้นชาวป่าชาวเขาอย่างป้านวล ลุงพร้อม สมบัติ และคนงานคนอื่นๆ ได้ลิ้มรสอาหารทะเลแบบเต็มคราบ อย่างที่ช่างชัยบอกว่า

“จัดเต็มที่เลยครับนายหญิง นายแม่อัดใส่ถังน้ำแข็งมาเป็นลังๆ แถมของแห้งอีก คงกลัวลูกน้อยหอยสังข์จะอด”

“ไอ้ปากมาก” นายเข่นเขี้ยว

อาหารทะเลจากภาคตะวันออกสดๆ ทั้งปลาหมึก กุ้ง หอย ปู ล้วนน่ากินทั้งนั้น รุจิรัตน์จัดการเตรียมเครื่องต้มยำทะเลหม้อใหญ่ ยำรวมมิตรทะเล และกุ้ง หอย ปู เผาให้อิ่มแปล้กันทุกคน แล้วยังแบ่งกะปิอย่างดีและพวกกุ้งแห้งปลาหมึกแห้งให้ป้านวลไปอีกไม่น้อย

“แหม...บ้านคุณสณฑ์นี่คงมีอันจะกินไม่น้อยนะจ๊ะ อาหารทะเลพวกนี้กิโลละหลายร้อยทั้งนั้น”

“แหม...แค่นี้ขนหน้าแข้ง โอ๊ะ โอ๊ย นายเตะทำไม”

“รำคาญเสียงมึง เวลากินข้าวใครเขาให้แหกปากพูด” นายดุ คนอื่นพลอยก้มหน้าอมยิ้มเงียบไปด้วย

บ่ายวันนั้น รั้วลวดหนามก็ขึงเกือบรอบบริเวณสามสิบไร่ ช่างชัยและนายหนุ่มที่พามาด้วยเป็นแรงงานอย่างดี แถมมื้อเที่ยงแสนอร่อยทำให้ทุกคนทำงานอย่างเพลิดเพลิน แต่พอตกเย็นผู้เป็นนายก็ออกปากไล่

“ได้เวลากลับแล้วเว้ย”

“โธ่ ทำงานมาทั้งวันเหนื่อยจะแย่ ขอค้างได้ไหมนาย”

“ไม่ได้ รีบกลับไปช่วยที่อู่ได้แล้ว” พนสณฑ์ถลึงตาใส่ ขืนมันอยู่ก็รู้กันพอดีว่าเขานอนตบยุงเฝ้าเมียทั้งคืน

“เหอะ ทำลับลมคมใน ปิดบังอะไรนายหญิงใช่ไหมล่ะ แหม...จะสวมบทบาทเจ้าเงาะป่าน่าสงสาร” เจ้าลูกน้องทำเสียงเล็กเสียงน้อย

“กูทำเพื่อป๋ากับนายแม่”

“เหอะ เชื่อตายล่ะ ถามจริงๆ นายหญิงน่ะบรรลุนิติภาวะหรือยัง หน้าอ่อนๆ ใสๆ ยังกับสิบห้า มีหรือจะทันเสืออย่างนาย”

“ไอ้ห่า เขายี่สิบเอ็ดแล้วเว้ย แล้วมันเรื่องอะไรของมึงด้วยวะ” นายชักฉุน นั่งรอที่รถกระบะมองมาหลายรอบแล้ว

“แล้วทำไมไปบอกคุณหนูว่าที่บ้านเปิดเป็นร้านซ่อมรถ”

“อ้าว หรือไม่จริง”

“เล่นลิ้นนักนะ อู่รถสปอร์ตคันละห้าล้าน สิบล้านต่างหากล่ะ โธ่สงสารนายหญิง อุตส่าห์วางแผนจะปลูกผักกินเอง จะทำไร่ จับปลาหากินแบบเกษตรพอเพียง หารู้ไม่โดนหลอก”

“อย่าพูดมาก มึงไม่รู้อะไร เผื่อเขาเป็นสายให้เจ้าสัว”

“ใส่ร้าย นายหญิงออกจะใสซื่อ ผมเห็นทีเดียวรักเลย”

“ไอ้ห่าชัย กลับไปเลยนะ แล้วไม่ต้องเสนอหน้ามาให้เห็นอีก” 

“ไม่มาก็ได้ อาทิตย์นี้อ่ะนะ แต่อาทิตย์หน้าเจอกัน” ช่างชัยว่าแล้วคว้าแฟ้มกระโดดหลบปลายเท้านายได้ทันพอดี

รถกระบะพาลูกน้องคู่ใจแล่นลิ่วออกไปจนฝุ่นคลุ้ง แสงยามเย็นอ่อนโรย เขามองซ้ายมองขวาจึงเห็นผู้ตกเป็นหัวข้อสนทนากำลังเก็บเครื่องไม้เครื่องมือ รอบๆ แปลงผักสามแปลงรดน้ำไว้ชุ่ม ล้อมรอบด้วยตาข่ายสีฟ้าถี่ๆ กันพวกสัตว์เข้าไปขโมยกินผัก

พนสณฑ์เดินไปที่หน้าไร่ จัดการปิดรั้วให้สนิท ลวดหนามสองชั้นที่เขาใช้แน่นหนาพอสมควร ป่าเขาใหญ่เช่นนี้ไม่แน่ว่าอาจจะมีสัตว์ใหญ่ลงมาหาอาหาร เขาจำเป็นต้องป้องกันไว้ก่อน หลอดไฟโซลาร์เซลล์ที่สั่งให้ชัยไปหาซื้อมาหลายโหล และแกะตากแดดเติมพลังแสงอาทิตย์ไว้เริ่มส่องแสง เขาวางมันไว้เป็นแนวทางเดินจากหน้าไร่มาที่ตัวกระท่อม และรอบๆ กระท่อม วนลงออกไปที่ห้องน้ำ และบ่อน้ำโยก

บนเรือนเขาวางหลอดไฟพลังงานแสงอาทิตย์ไว้ตามจุดต่างๆ จนกระท่อมสว่างไสวไปหมดทุกจุด รุจิรัตน์เบิกตากว้าง หมุนตัวมองแสงไฟที่เริ่มสว่างขึ้นเมื่อความมืดปกคลุมด้วยความตื่นเต้น

“โอ้โห พลังแสงอาทิตย์เหรอคะ ดีจังเลย หยิบไปไหนมาไหนก็ได้ แถมไม่เสียเงินค่าไฟอีกด้วยนะคะ”

“ใช่ ชัยเอามาให้ ความจริงถ้ามีแผงใหญ่ๆ กับแบตเตอรี่เราก็มีไฟใช้ได้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟไม่มากนัก อย่างดูทีวี หรือชาร์จโทรศัพท์ ฟังวิทยุ”

“ยอดเยี่ยมไปเลยนะคะ หากไม่มาใช้ชีวิตแบบนี้เราก็คงไม่รู้ โชคดีจริงๆ” ดวงตาหล่อนเป็นประกาย

โชคดีรึ พนสณฑ์หรี่ตามอง จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่มาอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้แล้วยังคิดว่าตัวเองโชคดี ดวงตากลมโตคู่นั้นวาววับราวนิลน้ำงามทำให้เขามองอย่างพลั้งเผลอครู่ใหญ่

ครืน!

“ท่าทางฝนจะตกนะคะ ฟ้ามืดแบบนี้” น้ำเสียงหล่อนกังวล ดีที่เก็บเสื้อผ้าซักตากแห้งดีแล้ว

“ดีสิจะได้ทดสอบหลังคากับฝาบ้านใหม่”

“ค่ะ” หล่อนว่า เดินเข้าไปในห้องนอน จัดการเก็บข้าวของออกจากบริเวณใกล้หน้าต่าง

ครืน!!!

ฟ้าคำรามมาอีกคราวนี้ใกล้ราวกับอยู่เหนือศีรษะ หล่อนออกมาส่องดูด้านนอก ประกายฟ้าแลบแปลบน่ากลัว พนสณฑ์อยู่ที่ลานหน้าบ้าน กำลังทั้งดึงทั้งลากเครื่องปั่นไฟที่วางไว้กลางแจ้งเข้ามาใต้ถุนบ้าน ใช้ผ้าพลาสติกคลุมไว้ พวกปูนหลายสิบกระสอบที่เขาสั่งซื้อมาเตรียมต่อเติมกระท่อมและห้องน้ำ วางเรียงไว้ใกล้กระท่อม แต่ถ้าฝนตกคงไม่พ้นโดนสาดเปียกเสียหายหมดแน่ เขาจึงค้นหาพลาสติกมาคลุมไว้ ใช้ก้อนหินหนักๆ ทับไว้กันปลิว

เปรี้ยง!!!

เสียงฟ้าพิโรธดังสะเทือนเลือนลั่น

“คุณสณฑ์ขึ้นบ้านมาเถอะค่ะ” หล่อนร้องเรียกเขา

พนสณฑ์กลับขึ้นมาบนเรือนหวุดหวิดกับห่าฝนที่เทลงมา ลมพัดอู้ส่งเสียงหวีดหวิว ต้นไม้ใหญ่น้อยแกว่งไกวราวจะหักโค่น ฝนสาดเข้ามาที่ระเบียงจนเปียกไปเกือบครึ่ง พนสณฑ์เม้มปาก คิดว่าคงต้องต่อหลังคาให้ยาวกว่านี้สักหน่อย กันฝนสาด บางจุดที่คนงานมุงสังกะสีไม่ดีมีน้ำรั่วลงมาแต่ไม่มาก เขาจดจำไว้เพื่อแก้ไข ดีที่ในครัวแห้งดี ไม่มีฝนสาด

“อ้าวคุณ นั่นอะไร”

เขาถามเมื่อหล่อนหอบถุงนอนหมอนผ้าห่มของเขายืนอยู่ไม่ห่าง

“เครื่องนอนของคุณค่ะ ฝนสาดทีเดียว เปียกหมดเลย”

“ช่างมันเถอะประเดี๋ยวก็หยุด เอากองๆ ไว้แถวนี้ก็ได้ คุณเข้าไปข้างในเถอะ ไปดูซิว่ามีหลังคารั่วไหม” เขาว่า รุจิรัตน์ไม่อยากจะคิดมาก แต่ชักจะเชื่อแล้วว่าเขารังเกียจหล่อนจริงๆ หล่อนไม่มีที่จะวางเครื่องนอนของเขาหรอก เพราะพื้นเปียกชื้นหมดแล้ว และคนทั้งสองก็เริ่มโดนไอฝนมากขึ้นทุกที หล่อนเลยหอบเครื่องนอนของเขาเข้าห้องนอนไปเสียดื้อๆ

พนสณฑ์ไม่มีทางเลือกใดดีไปกว่าการตามหล่อนเข้าไปหลบฝนด้านใน เขายังไม่อยากป่วยแล้วกลายมาเป็นภาระของหล่อนหรอก

“ฝาด้านนั้นคงตีไม่ค่อยดี ฝนสาดเข้ามาได้ แต่ก็ไม่มาก เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะให้คนงานรื้อออกทำใหม่” เขาพูดพลางกวาดสายตาคมมองไปรอบๆ ห้อง ห้องนอนนั้นกว้างพอใช้ทีเดียว อาจจะเป็นเพราะข้าวของที่หล่อนจัดเรียงไว้เป็นระเบียบดี กล่องพลาสติกหลายกล่องถูกนำมาวางเรียงกัน มีผ้าผืนบางซึ่งน่าจะเป็นผ้าพันคอผืนใหญ่สักหน่อยปูไว้ไปตามทางยาว ก็ดูไม่เลวสำหรับการตกแต่งห้องของหล่อน

พนสณฑ์นั่งลงที่เก้าอี้ริมหน้าต่างที่ปิดสนิท เจ้าหล่อนคงเอามานั่งมองพระอาทิตย์ตกดินกระมัง

นั่นสิ เวลาอยู่คนเดียว ไม่ร้องไห้คิดถึงบ้านแย่ไปรึ เขานึก เหลือบมองหล่อนจัดการกับเครื่องนอนของเขา หล่อนใช้เบาะรองนอนวางต่อกัน  ใช้ผ้าห่มผืนบางๆ แทนผ้าปูเตียง เก็บชายจนเรียบตึงดี วางหมอนสนาม และผ้าห่มของเขาไว้ให้

“ข้างนอกฝนตกหนักมาก คุณสณฑ์นอนในห้องเถอะนะคะ” หล่อนพอใจที่สามารถรวบรวมความกล้า ยอมหน้าบางน้อยหน่อยขอร้องเขาผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสามีตนเอง

“ผมยังไม่ง่วง อีกประเดี๋ยวฝนก็คงหยุดตก” ระหว่างที่เขาพูดฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงมาอีก แถมด้วยเสียงลมฝนอึงอน

รุจิรัตน์หน้าซีดชาทั้งกลัวทั้งอาย

“ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะว่าฉันจะทำอะไรที่ผูกมัดคุณ ฉันรู้สถานะตัวเองดี แต่ถ้าคุณไม่เห็นน้ำใจฉัน ก็ไม่เป็นไรค่ะ” หล่อนพูดเรียบๆ แล้วก็ลุกจากตรงนั้น เดินไปอีกฟากของห้องซึ่งเป็นมุมที่นอนของตัวเอง จัดการกราบพระสวดมนต์ในใจแล้วก็ล้มตัวลงนอน พนสณฑ์คิดว่าเขาเห็นไหล่บอบบางของคนที่หันหลังให้เขาไหวระริก เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่

นี่ล่ะนะผู้หญิง

“ผมจะนอนในห้องนี้ล่ะ ขอบใจนะ” เขาเอ่ยออกไป พนสณฑ์แพ้น้ำ ตาผู้หญิงบอบบางแบบหล่อนเสียด้วยสิ รู้สึกเสียศักดิ์ศรียังไงไม่รู้ที่ทำผู้หญิงร้องไห้

เคยแต่ทำให้ร้องแบบอื่นมากกว่า

“ผมจะเข้ามานอนในห้องนี้ทุกคืน จากนี้เป็นต้นไป พอใจไหม” ไม่มีเสียงตอบจากหล่อน พนสณฑ์ถอนหายใจอีกครั้ง แล้วเดินไปเอนกายลงนอนด้วยความเหนื่อยล้าเช่นกัน

ถามมาได้ว่าพอใจไหม โธ่...จะไปนอนในป่าในเขาที่ไหนก็ไปสิ คนเขาหวังดีแท้ๆ พ่อมหาเศรษฐีหลงตัวเอง เชอะ



***************



รุ่งเช้ารุจิรัตน์ลุกตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดี เหลือบมองร่างยาวเหยียดหงายมือประสานกันที่อกนิ่ง ลมหายใจสม่ำเสมออย่างคนสุขภาพดี หล่อนอดรู้สึกวูบไหวในใจไม่ได้

นี่หรือสามีของหล่อน ผู้ชายที่มีเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่ก็ยังยอมทนมาอยู่ยากลำบาก คงไม่ใช่เพื่อหล่อน แต่จะเพราะเหตุใดหล่อนก็ไม่ทราบได้ เพียงแต่ใจก็ชมชื่นไปกับการแต่งงานจอมปลอมนี้ไม่ได้

ทำวันนี้ให้ดีที่สุด คือความเชื่อมั่นของรุจิรัตน์และมันก็พาหล่อนผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ ในชีวิตมาได้หลายต่อหลายครั้ง หญิงสาวเก็บพับผ้าห่มที่นอนของตนเงียบๆ เดินจรดปลายเท้าออกไปนอกห้อง ใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดส่องสว่างเพื่อจัดการธุระส่วนตัวและเข้าครัว

หล่อนสังเกตเห็นว่าพนสนฑ์ติดกาแฟมากทีเดียว หนึ่งในสิ่งของอำนวยความสะดวกไม่มากนักที่เขาเอามาด้วย มีหม้อต้มกาแฟแบบไม่ใช้ไฟฟ้าและเมล็ดกาแฟสดหลายถุง โชคดีที่หล่อนเคยทำงานในร้านกาแฟสดเพื่อหารายได้ระหว่างเรียนมาก่อน หล่อนจึงชงกาแฟพวกนี้ได้อร่อยถูกปากคอกาแฟ

หล่อนคิดว่าอย่างนั้นนะ เพราะไม่เห็นเขาบ่นว่าอะไรสักที ทั้งที่ตลอดทั้งวันมีอะไรให้เขาระเบิดอารมณ์อยู่บ่อยๆ จนคนงานหัวหดในบางที

หล่อนคิดว่าจะทำข้าวผัดไส้กรอก ไข่เจียวง่ายๆ เป็นมื้อเช้า มาคิดอีกทีเขาต้องทำงานหนักทั้งวัน แดดก็ร้อน หล่อนก็เลยทอดเนื้อแห้งให้เขาอีกหนึ่งอย่าง

“แปลงผักของคุณเป็นยังไงบ้าง” เขาถามระหว่างมื้ออาหาร หล่อนเงยหน้าขึ้นมองสบตา ตอบยิ้มๆ

“เละไปหมดเลยค่ะ ฝนชะขอบแปลงไปเยอะ เดี๋ยววันนี้ฉันจะทำใหม่ กะว่าหลังมื้อเช้าจะลงมือเลย ท่าทางวันนี้แดดจะแรง”

“แบ่งคนงานชายไปช่วยสักคนสิ วันนี้ผมคงให้เขาซ่อมบ้าน แล้วจะคิดอ่านทำอะไรกับไร่นี่สักหน่อย คุณพอคิดอะไรออกไหม อะไรที่จะทำให้เรามีเงินสักล้านนึงทันสิ้นปีนี้”

“ทำไมต้องมีมากมายขนาดนั้นล่ะคะ” รุจิรัตน์วางช้อนส้อมลง

“ไปถามเจ้าสัวปู่ผมสิ เขาวางเกมบ้าๆ นี่แล้วท้าให้ผมลงเล่น โดยมีเกียรติของพ่อแม่เป็นเดิมพัน เหอะ คนแก่ว่างมาก”

“ถ้าหากเราทำไม่ได้ล่ะคะ”

“ก็ขาดกันเท่านั้น ทั้งพ่อผมกับเจ้าสัว คุณก็ต้องกลับไปติดหนี้เขาเหมือนเดิม ผมน่ะไม่เท่าไหร่หรอก ไม่คิดนับญาติกับพวกผู้รากมากดีนักหรอก แต่แม่กับป๋าท่านยังรักเคารพท่าน เป็นไงล่ะ ชีวิตทายาทเศรษฐีอย่างผม เน่าดีไหม” พนสณฑ์ยกกาแฟซด ความขมข้นทำให้อารมณ์บูดๆ ดีขึ้น รุจิรัตน์ยิ้มบางๆ

“คุณขำอะไรรึ”

“เปล่าค่ะ เพียงแค่คิดว่าปัญหาของคนรวยกับคนไม่มีจะกินนี่มันต่างกันจริงๆ”

“ยังไง”

“ก็ ในขณะที่ฉันกับพ่อวิ่งหนีเจ้าหนี้ ตำรวจ หลบกระสุนปืนของพวกขี้ยา รบรากับหัวขโมย พวกคุณขัดกันเรื่องเกียรติยศ การเอาชนะ แปลกดีนะคะ” หล่อนไม่แสดงความขมขื่นในน้ำเสียง แต่เป็นความรู้สึกยอมรับชะตาอย่างง่ายๆ พนสณฑ์มองมือเรียวบางที่รวบจานช้อนเก็บไวๆหากเรียบร้อย

ถ้านี่คือการด่า ก็เป็นการด่าที่สุภาพและจริงใจที่สุดจากเมียขัดดอกของเขา

“งั้นคุณก็ลองมาใช้ชีวิตเศรษฐีหัวไร่ปลายนา น้ำเน่าขนานแท้กับผมดูหน่อยเป็นไร”

“เอาสิคะ หนึ่งล้านบาทคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอกค่ะ ถ้าเราช่วยกัน” หล่อนยิ้มกว้างเปิดดวงหน้าให้สว่างนวลชวนมองยิ่งขึ้น พนสณฑ์ย่นคิ้ว นึกอยากรู้ว่าตัวผอมๆ บอบบางแบบนี้จะไปได้สักกี่น้ำ

สายมากแล้ว ยังไม่มีวี่แววคนงานมาทำงานสักคน พนสณฑ์จัดการรื้อฝาบ้านตอกตะปูใหม่จนเสร็จทุกจุดแล้วก็ยังไม่มีใครโผล่หน้ามา รุจิรัตน์เองก็พรวนดินแปลงผักไปชะเง้อคอไปจนเกือบเที่ยง จึงได้เดินไปรินน้ำเย็นๆ ใส่แก้วมายื่นให้ทายาทมหาเศรษฐีหนุ่มหน้าตาเคร่งขรึม ยืนกำค้อนตอกตะปูแน่นจนมือขึ้นเอ็น

“สงสัยจะติดธุระกันนะคะ หายไปหมดเลย”

“มีอะไรก็น่าจะบอก น่าโมโหนัก”

“ถ้าเป็นที่ในเมืองก็ดีน่ะสินะคะ จะได้โทร.บอกกันได้ นี่คงไม่มีโทรศัพท์กันหรอก หรือไม่ก็คงไม่มีเบอร์ของเรา ใกล้เที่ยงแล้วคุณสณฑ์จะทานอะไรดีคะ”

“ผมไม่หิว” เสียงห้าวสะบัด รุจิรัตน์สูดลมหายใจเข้าช้าๆ

“ถ้ารู้ว่าเป็นอย่างนี้ ไม่จ่ายเงินค่าแรงไปหรอก ใช้ไม่ได้ ผมจะลงไปตาม คุณจะไปด้วยไหม”

“ไปสิคะ แต่ก็ห่วงข้าวของอยู่เหมือนกัน”

“ช่างมันเถอะ ใครจะเอาอะไรก็เอาไป ขืนคุณอยู่โจรมามันเจอเข้าก็เป็นเรื่อง” เขาพูดเสียงเครียด แต่รุจิรัตน์รู้สึกซึ้งใจที่เขาห่วงสวัสดิภาพของหล่อนมากกว่าข้าวของ หล่อนคว้าหมวกปีกกว้างกับเสื้อยีนกันแดดสีซีดๆ เดินแกมวิ่งตามเขาไปที่รถกระบะคันโต



หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ



ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 มี.ค. 2561, 11:22:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 มี.ค. 2561, 11:22:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 746





<< บทที่ 1 -100%   บทที่ 2 -100% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account