พนาพร่ำรัก: หอมดึก (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เมื่อ 'พนสณฑ์' ทายาทเจ้าสัวพันล้าน ถูกกลั่นแกล้งให้รับมรดกเป็นที่ดินรกร้าง พร้อมเงื่อนไขต้องสร้างเงินล้านให้ได้ภายในปีเดียว แถมยังพ่วงเมียขัดดอก ลูกสาวนักพนันมาด้วย จะไหวไหมงานนี้...
***************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "หอมดึก" และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ซึ่งกำลังวางจำหน่ายอยู่ในตอนนี้ค่ะ ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ ใครชอบแนวโรแมนติก น่ารักละมุน หวานซึ้ง มิควรพลาดจ้า เพราะพ่อสณฑ์ของเราถึงแม้จะเป็นพระเอกสายโหด แต่ขยัน ‘รัก’ เมียสุดหัวใจ พ่วงด้วยความฮาแบบชาวบ้านตามท้องไร่ท้องนา บทเลิฟซีนสวย #รับประกันความสนุก!
**************
นักอ่านท่านใดสนใจ มีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
**สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 3 ช่องทาง***
-ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
-ร้านนิยายออนไลน์ ได้แก่ ร้านนิยายรัก.com และร้าน booksforfun
-สั่งซื้อกับสนพ.โดยตรงโดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์
(หนังสือพร้อมส่ง)
ราคา 329฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 369฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 389฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
**แบบ eBook มีวางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket**
***************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "หอมดึก" และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ซึ่งกำลังวางจำหน่ายอยู่ในตอนนี้ค่ะ ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ ใครชอบแนวโรแมนติก น่ารักละมุน หวานซึ้ง มิควรพลาดจ้า เพราะพ่อสณฑ์ของเราถึงแม้จะเป็นพระเอกสายโหด แต่ขยัน ‘รัก’ เมียสุดหัวใจ พ่วงด้วยความฮาแบบชาวบ้านตามท้องไร่ท้องนา บทเลิฟซีนสวย #รับประกันความสนุก!
**************
นักอ่านท่านใดสนใจ มีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
**สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 3 ช่องทาง***
-ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
-ร้านนิยายออนไลน์ ได้แก่ ร้านนิยายรัก.com และร้าน booksforfun
-สั่งซื้อกับสนพ.โดยตรงโดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์
(หนังสือพร้อมส่ง)
ราคา 329฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 369฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 389฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
**แบบ eBook มีวางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket**
Tags: แบดบอย ทายาทเศรษฐี ลูกสาวนักพนัน เมียขัดดอก น่ารัก ละมุน คู่ชีวิต ท้องไร่ท้องนา
ตอน: บทที่ 2 -100%
สองชีวิตที่โดยปกติต้องถือว่าอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน เวลานี้ใบหน้าเคร่งขรึมของคนผิวเข้มเนียนที่เป็นคนบึ่งรถกระบะออกมา กับร่างบางที่นั่งตัวลีบอยู่ข้างๆ นั้น กลับไม่บ่งบอกเอาเสียเลย ระหว่างทางบรรยากาศภายในรถจึงชวนให้อึดอัด แต่รุจิรัตน์ก็อดชื่นชมไปกับธรรมชาติสองข้างทางที่เป็นป่าเขางดงามนั้นไม่ได้ ดงไม้หอมมีทิวทัศน์สวยงามไม่แพ้ที่อื่นๆ ที่หล่อนเห็นในโทรทัศน์จริงๆ เสียดายที่หล่อนมีชีวิตอัตคัดนัก ไม่มีโอกาสได้ไปท่องเที่ยวกับครอบครัวอย่างใครเขา
หล่อนจำได้ว่าบิดาไม่เคยอนุญาตให้หล่อนไปทัศนศึกษา โดยบอกเหตุผลกับโรงเรียนว่าห่วงลูกสาวที่กำลังโต แต่ความจริงแล้วบิดาไม่มีเงินให้มากกว่า บิดาเคยสัญญาว่า
‘เอาไว้ให้พ่อทำทุนดีกว่าลูก ไว้พ่อมีเงินจะพานั่งเครื่องบินไปเที่ยวเองนะ’
นานวันเข้ารุจิรัตน์ก็รู้ว่าคำสัญญาของบิดาไม่ได้มีแก่นสารอะไรให้ยึดถือ บิดารักหล่อน แต่ชีวิตของบิดาอยู่กับดวงในบ่อน รุจิรัตน์ทุ่มเทความสนใจไปกับการเรียนหนังสือ หารายได้เล็กๆ น้อยๆ ระหว่างเรียนและบ่อยครั้งเงินของหล่อนช่วย ‘ขัดดอก’ ไปได้แม้กระทั่งหนี้ก้อนสุดท้าย หล่อนก็ช่วยให้บิดารอดตัวไปได้อีก
แล้วตัวหล่อนเองเล่า เห็นทีจะได้เวลาคิดถึงตัวเองแล้วกระมัง บิดามีภรรยาใหม่ดูแลแล้วคงไม่ลำบากอะไรนักหนา หล่อนนึก
“กินก๋วยเตี๋ยวไหม”
“คะ?” หล่อนหันมาทันควัน หยดน้ำใสๆ กลิ้งร่วงหล่นจากพวงแก้มเนียน พนสณฑ์เสมองไปด้านหน้า
“ผมหิว ชวนกินก๋วยเตี๋ยวในหมู่บ้านข้างหน้านี่”
“ก็ดีค่ะ” หล่อนว่า เสียงขึ้นจมูกน้อยๆ แล้วก็หายเป็นปกติ หล่อนปรับตัวไวเสมอเพื่อการเอาตัวรอด
ร้องไห้ทำไมนะ หรือว่าเราจะดุไป กลัวหรือไง หนวดเคราไม่ได้โกน หน้าคงมหาโจรชัดๆ กลับไปนี้ต้องโกนเสียหน่อย ไม่งั้นเด็กขี้แยแถวนี้ร้องจ้าแน่
“เอ๊ะ นั่นป้านวลนี่คะ คนอื่นๆ ด้วยอยู่ในไร่นั้นกันหมดเลย”
“ดี จะได้ลงไปคุยกัน” พนสณฑ์หักพวงมาลัยเข้าไปในไร่ที่ระเกะ ระกะด้วยกองมันสำปะหลังและรถหกล้อที่จอดเอียงกระเท่เร่
“อ้าว นายสณฑ์ มาตามพวกเราเหรอครับ ผมต้องขอโทษทีนาย น้ำมันท่วมไร่มันต้องมาเร่งขุดกันก่อน ไม่งั้นเน่าเสียหายหมด”
ลุงพร้อมผู้ซึ่งยืนอยู่ในโคลนครึ่งแข้งชูหัวมันสำปะหลังให้ดู
“รถขนก็มาเสียอีกนาย แย่แน่ ไม่รู้จะได้ค่าปุ๋ยหรือเปล่า”
“รถเป็นอะไร”
“มันเก่าครับ นั่น ตายสนิท”
“เดี๋ยวฉันจะดูให้”
“ขอบคุณครับ ไม่งั้นคงต้องหาบลงไป หลังหักแน่”
“ทานข้าวกันก่อนดีไหมคุณ คุณลูกแก้วกินอะไรมาหรือยังจ๊ะ มากินแกงเผ็ดฝีมือป้าหน่อยเป็นไร”
“เอาสิคะ น่าอร่อยนะคะคุณสณฑ์ ประหยัดดีด้วย” หล่อนกระซิบ
“ตามใจเธอสิ เพิ่งรู้นะว่ามีเมียงก” ประโยคนั้นทำให้รอยยิ้มกว้างของสาวโลกสวยหุบฉับลงทันที หน้าแดงเห่อราวลูกตำลึงสุก หล่อนพานหยิบจับอะไรไม่ถูก
พนสณฑ์ขำหล่อนจนรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง อีกอย่างเขาก็ชอบเครื่องยนต์กลไกเป็นชีวิตจิตใจ ทุกโอกาสที่จะได้เลื่อนตัวเข้าไปใต้ท้องรถ งัดแงะดูอะไหล่นั่นนี่ เขาไม่เคยปฏิเสธไม่ว่ามันจะเป็นรถราคาหลักล้านหรือแค่เศษเหล็กวิ่งได้ที่นอนรอความช่วยเหลือจากเขาอยู่นี่ก็ตามเถิด
“ช่วยกันขนมันสำปะหลังลงมาก่อนโว้ย นายสณฑ์จะดูรถให้ ไวๆ เข้า เดี๋ยวฝนตกลงมาอีกล่ะแย่”
ลุงพร้อมร้องบอก พนสณฑ์เปิดฝากระโปรงรถดู และสั่งให้สมบัติสตาร์ตเครื่องสองสามครั้งก็พบว่าสตาร์ตไม่ติด เขาเดินกลับไปที่รถ ยกลังเครื่องมือขนาดใหญ่ ใหม่เอี่ยมชนิดที่ชาวไร่ทั้งแก่หนุ่มต้องรี่เข้ามาดู
“แหม...นาย เครื่องมือเพียบแบบนี้เปิดร้านซ่อมได้เลยนา มีเยอะเสียยิ่งกว่าร้านช่างแอ๊ดในหมู่บ้านแน่ะผมว่า”
ความคิดไม่เลว ดูท่าทั้งอำเภอคงมีรถเก่าๆ แบบนี้มาก แล้วร้านซ่อมก็คงมีไม่กี่ร้าน เผลอๆ อาจจะซ่อมได้บ้างไม่ได้บ้าง เป็นไปได้ไหมที่เขาจะเปิดอู่ที่นี่ พนสณฑ์คิดไปมือก็ทำงานไป เครื่องยนต์เก่าแก่หลายสิบปี ใช้งานหนักมาตลอด แถมไม่ได้รับการบำรุงรักษา แต่เขารู้วิธีชุบชีวิตมันขึ้นมาให้ทำงานได้อีก และพอได้เปลี่ยนอะไหล่สักหน่อยมันก็จะกลับมารับใช้เจ้าของได้อีกหลายปีทีเดียว
“ไหวไหมครับนาย”
“พอได้ ใช้เวลาหน่อย สมบัติมาช่วยนี่หน่อย คนอื่นๆ ไปทำงานได้ตามปกตินะ รถวิ่งได้เมื่อไหร่จะบอก” พนสณฑ์บอกสั่งกรายๆ ด้วยความเคยชิน เสียงห้าวทุ้มน่าฟังทำให้ชาวไร่ต่างทยอยกันออกไปทำงานของตน รุจิรัตน์เดินไปนั่งรวมกลุ่มกับสาวๆ ชาวไร่ที่กำลังริดหัวมันออกจากโคนต้นกองๆ ไว้
“ราคาดีไหมจ๊ะ”
“โอ๊ย คุณเอ๊ย ตอนเริ่มปลูกบอกโลละสามสี่บาท พอออกหัวสองบาทยังไม่ได้ ขาดทุนกันทั้งนั้น”
“อ้าว ทำไมราคาเปลี่ยนไปมากอย่างนั้นล่ะจ๊ะ”
“แล้วแต่พ่อค้าเขาจะว่าน่ะสิคะ เราจะไปขัดเขาได้รึ ไม่มีที่ขายจะยุ่ง เน่าทิ้งเท่านั้นเอง”
“มีคนรับซื้อกี่เจ้าจ๊ะ”
“เจ้าเดียว เจ๊เกียวนั่นล่ะ ทั้งซื้อมันทั้งขายปุ๋ยให้กู้ รวยล้นเหลือ เราชาวไร่ก็จนเอาๆ เขาซื้อเราสองบาทไปขายเกือบสิบบาทรวยไหมล่ะคุณ”
“ตายจริง เอากำไรขนาดนั้นเลยหรือ”
“จ้ะ ทำยังไงได้ ไม่รู้จะขายให้ใครนี่จ๊ะ” สาวชาวไร่บ่น แต่มือก็ไม่หยุดทำงาน รุจิรัตน์นึกในใจว่าถ้าเป็นหล่อนคงจะให้ราคาชาวไร่สักสี่ห้าบาท อย่างที่ตกลงกันไว้ เพราะแม้เอาไปขายต่ออีกหล่อนก็ยังได้กำไรไม่น้อยอยู่ดี
ทำไมต้องเอารัดเอาเปรียบกันถึงขนาดนั้น
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตกบ่ายพนสณฑ์ก็ออกไปกับสมบัติเพื่อซื้ออะไหล่มาใส่รถหกล้อชะตาขาดที่เอียงกระเท่เร่อยู่
“นาย ซื้ออะไหล่มาใส่มันจะใช้ได้เหรอ”
“ถ้าไม่ซื้อมาใส่มันจะใช้ได้ไหมล่ะ” พนสณฑ์ถามให้คิด ใบหน้าคมเข้มมุ่งมั่น ใต้คางเปื้อนคราบน้ำมันเครื่อง เหงื่อโทรมตัว
“ผมไม่มีเงินค่าอะไหล่หรอกครับ มันยังไม่ได้ออกจากไร่เลยสักหัว”
“เอาเถอะจะออกให้ไปก่อน ไว้หักค่าแรงทีหลัง ไปสมบัติ ฝนตั้งเค้ามาแล้ว” ว่าแล้วเขาก็ออกรถวิ่งฝุ่นตลบออกไปแล้ว
ดั่งวาจาสิทธิ์ ไม่นานหลังจากที่พนสณฑ์กลับมาพร้อมอะไหล่เจ้าแก่ฝนก็เทลงมา แม้ไม่หนักมากอย่างเมื่อวันก่อนแต่ก็ทำให้เปียกปอนไปตามๆกัน ขณะที่พนสณฑ์ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดซ่อมรถ
“อีกนิดเดียวเท่านั้น” เขาร้องบอก ขณะที่คนอื่นๆ วิ่งไปยืนหลบฝนในกระท่อมแล้วเหลือเพียงนายช่างใหญ่ สมบัติ และลุงพร้อมเท่านั้น ไม่นานรุจิรัตน์ก็อดรนทนไม่ไหววิ่งฝ่าฝนปรอยๆ ออกไปที่รถเปิดประตูหยิบร่มออกมากาง เดินตรงไปที่สามี หล่อนยืนกางร่มให้เขา
“ออกมาทำไม ไปหลบฝนเถอะ ร่มแค่นั้นช่วยอะไรไม่ได้หรอก” เขาบอกเสียงเรียบ ตาคมดุ
“ไม่เป็นไรค่ะ ช่วยกัน”
“ไปหลบฝนเถอะน่า อย่ามาวุ่นวายเลย” เขาบ่นให้ รุจิรัตน์เม้มปาก สมบัติกับลุงพร้อมหน้าเสีย เบือนหน้าไปกันคนละทางสองทาง คราวนี้หล่อนจะทำอย่างไรล่ะ วิ่งหนีไปร้องไห้ที่โดนสามีไล่เพราะหวังดีกับเขา ให้คนเขารู้กันว่าหล่อนเป็นภรรยาหัวอ่อน หรือยืนกรานอยู่ตรงนี้ ให้เขารู้ว่าหล่อนเข้มแข็งพอ
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอกค่ะ คุณทำงานไปเถอะ ฉันจะกางร่มให้” หล่อนบอกเสียงเรียบ ดวงตากลมโตไหวระริก หวั่นใจแต่ไม่คิดจะถอย นึกแต่ว่าหากเขาตวาดไล่หล่อนคงลนลานวิ่งหนีไปแน่
“ตามใจ แม่เมียนางเอก”
“ค่ะ คุณก็ซ่อมต่อสิคะ” หล่อนเชิดหน้า ฝนสาดซึมแผ่นหลังเปียกปอน แต่สามีของหล่อนไม่ต้องทำงานไปลูบหน้าไล่น้ำฝนไปอีกแล้ว หล่อนภูมิใจในตัวเองไม่น้อยที่ได้ทำตัวมีประโยชน์บ้าง เขาจะคิดยังไงก็ช่างเขาเถอะ
“สมบัติลองติดเครื่องดูที” เสียงห้าวสั่งเมื่อเลื่อนตัวออกมาจากใต้ท้องรถ สมบัติบิดกุญแจ แล้วเจ้าแก่ก็ส่งเสียงคำรามกึกก้อง ตามมาด้วยเสียงปรบมือดีอกดีใจของชาวไร่ทั้งหลาย พนสณฑ์รวบก้านร่มมาถือไว้มือหนึ่ง อีกมือรวบข้อมือบางเย็นเฉียบของภรรยาที่กำลังปรบไม้ปรบมือ ยิ้มกว้างทั้งปากทั้งตาให้เขา พาเดินจูงกึ่งลากเบาๆ ไปที่รถแล้วเปิดประตูให้หล่อนขึ้นไปนั่ง ก่อนจะเดินอ้อมมาทางประตูคนขับ ลุงพร้อมวิ่งมายกมือไหว้ท่วมหัว ร้องบอกว่าจะไปช่วยงานที่ไร่ในวันมะรืน พนสณฑ์โบกมือไวๆ ก่อนจะออกรถหันหัวกลับไร่ดงไม้หอม
“น้ำป่าแรงน่าดูเลยนะคะ” หล่อนชวนคุย เมื่อมองเห็นน้ำสีขุ่นคลั่กพุ่งลงมาจากถนนฝั่งที่เป็นเขาสูง
“ใช่ ถึงต้องรีบกลับบ้านไง ไม่งั้นถนนขาดอาจจะกลับไม่ได้ เกาะแน่นๆ นะ” เขาบอกแล้วก็เร่งเครื่องขึ้นเขาไปโดยไว จริงอย่างที่เขาว่าไม่มีผิด ดินบางแห่งถูกกัดเซาะจนกินเนื้อถนนเข้ามา ก้อนหินโตๆ กลิ้งๆ อยู่ริมถนนอย่างน่าหวาดเสียว รุจิรัตน์ค่อยหายใจทั่วท้องเมื่อกลับมาถึงไร่ดงไม้หอมได้ก่อนฟ้ามืด
พนสณฑ์จอดรถไว้แล้วก็เดินไปเปิดเครื่องปั่นไฟ จนกระท่อมสว่างไปทั้งหลัง เขาเลยไปสำรวจรอบๆ บริเวณ
รุจิรัตน์เดินเข้าไปในครัวจัดการตั้งหม้อข้าว ก่อนที่จะลงไปอาบน้ำสระผม หล่อนรู้สึกคัดจมูกนิดหน่อย แต่คิดว่าไม่เป็นไรกินยากันไว้เดี๋ยวคงหาย
“ฮัดเช้ย!” เสียงจามติดๆ กันสองถึงสามครั้งดังมาจากในครัว คนที่กำลังจะลงเรือนไปอาบน้ำส่ายหัวด้วยความระอาใจ
“นั่นปะไร บอกแล้วไม่ฟัง คราวนี้ล่ะได้หวัดกินงอมแน่”
หลังอาหารมื้อค่ำ อาการครั่นเนื้อครั่นตัวชักจะรุนแรง รุจิรัตน์ค้นหาชาในกระเป๋าที่มักมีติดตัวมาเสมอออกมาสองห่อ
“คุณสณฑ์จะรับชาร้อนๆ ไหมคะ ฉันคิดว่าจะดื่มชากับกินยาแก้หวัดกันไว้ก่อน กลัวป่วยน่ะค่ะ”
“กลัวเหมือนกันรึ”
“ค่ะ คุณล่ะคะ กินกันไว้ก่อนไหม”
“ไม่ล่ะ ผมไม่กระหม่อมบาง” เขาเอนหลังบนระเบียงยาว หลับตา มือประสานตรงอกแล้วก็เงียบไป รุจิรัตน์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ บางครั้งสามีหล่อนก็กวนโมโหเสียจริงๆ รุจิรัตน์ถือถ้วยชาหายเข้าไปในห้อง เพราะหล่อนกำลังจะจามและจะจามมากเสียด้วย
แน่ล่ะ เขาต้องว่าก็บอกแล้วเป็นแน่ๆ น่าโมโหจริงๆ เรื่องอะไรมาอ่อนแอเป็นคุณหนูกลางป่าเขาอย่างนี้นะลูกแก้ว หล่อนจิบชาไปจามไปจนน้ำหูน้ำตาไหล ไม่นานฤทธิ์ยาแก้ไข้ก็เริ่มออก ทำให้ง่วงงุนจนแทบทนไม่ไหว ยังดีที่หล่อนพาตัวเองออกมายืนตาปรือพิงกรอบประตูบอกเขาได้ว่า
“คุณสณฑ์คะ ที่นอนเรียบร้อยแล้วนะคะ ลูกแก้วง่วง ไม่ไหวแล้ว ราตรีสวัสดิ์นะคะ” หล่อนว่าแล้วก็โซเซเดินกลับไปมุดมุ้งของตัวเองเข้าไปนอน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะเข้ามานอนที่นอนที่หล่อนจัดไว้ให้หรือไม่
พนสณฑ์เงี่ยหูฟังเสียงเจ้าหล่อนอยู่นาน เห็นเงียบไปก็เลยเดินเข้าห้องนอนเล็กที่แออัดเพราะมุ้งสองหลังที่กางไว้จนเต็มพื้นที่ เขายกชายมุ้งที่หล่อนเก็บไว้ให้เรียบร้อยออก มุดเข้าไปเอนกายบนที่นอนแข็งๆ ที่ปูทับด้วยผ้าห่มผืนบางที่หอมกรุ่นกลิ่นแดด เขาตะแคงหน้ามองผ่านมุ้งบางๆ ของตัวเองไปยังร่างบางที่เห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ ในมุ้งข้างๆ
คืนนี้จันทร์กระจ่างฟ้า เมฆฝนมลายหายไปแล้ว แสงจันทร์สาดส่องให้เขาเห็นร่างอรชรนั้นได้ชัดเจนขึ้น เสียงหายใจติดๆ ขัดๆ ไม่สม่ำเสมอแผ่วเบาอย่างคืนก่อนๆ บ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังโดนหวัดเล่นงานอย่างหนัก
คนเก่ง อวดดีจนได้เรื่อง
“อื้อ แม่จ๋า ปวดหัว หิวน้ำ ขอน้ำหน่อย แม่จ๋า” เสียงร้องเบาๆ ดังมาจากมุ้งข้างๆ เมื่อเวลาดึก พนสณฑ์สะดุ้งพรวดจนมุ้งแทบขาด
“โอย ปวดหัว”
“คุณ เป็นไง ไหนออกมาดูซิ ไข้ขึ้นล่ะสิ” เขาออกจากมุ้งตัวเอง ไปคุกเข่าอยู่นอกมุ้งหล่อน มองร่างบางดิ้นกระวนกระวาย
“หิวน้ำค่ะ แม่จ๋า พ่อใจร้าย พ่อไม่รักลูก”
“ผม...เอ่อ...จะเข้าไปนะ คุณ รุจิรัตน์ ลูกแก้ว” พูดจบเขาก็ถึงตัวหล่อนพอดี
พนสณฑ์ประคองร่างบางสั่นสะท้านจากด้านหลัง ผิวหล่อนร้อนผ่าวราวถ่านไฟ ดวงตาปิดสนิท ปากน้อยๆ พร่ำบ่นร้องหาน้ำ
“เดี๋ยวผมเอาน้ำให้ รอเดี๋ยว ตัวร้อนชะมัด เช็ดตัวด้วยนะ รอเดี๋ยว” เขามุดมุ้งออกไปแล้วกลับเข้ามาใหม่พร้อมขวดน้ำใหญ่ๆ สองขวดกับผ้าขนหนูผืนเล็ก
“ดื่มน้ำหน่อยนะ ช้าๆ”
“ขออีกค่ะ ขอน้ำอีก”
“ช้าๆ เดี๋ยวสำลัก” เขาดุแต่ยังจ่อขวดน้ำกับริมฝีปากอิ่มแดงของหล่อน เปลือกตาหนารื้นด้วยหยาดน้ำตากะพริบถี่ๆ สติค่อยๆ กลับมาลางๆ
“คุณสณฑ์ ไปนอนเถอะค่ะ ลูกแก้วไม่เป็นไรค่ะ กินยากันไว้แล้ว”
“แล้วทำไมยังตัวร้อนยังกับไฟเผา เช็ดตัวดีกว่า” เขาบิดผ้าง่ายๆ ทำท่าจะโปะลงบนใบหน้าแดงก่ำของหล่อน รุจิรัตน์คว้ามือนั้นไว้ได้ทัน
“เดี๋ยวลูกแก้วเช็ดเองค่ะ รบกวนเวลานอนคุณสณฑ์มากแล้ว ซ่อมรถมาทั้งวันคงเหนื่อย ไปนอนเถอะค่ะ”
“ไม่ต้องไล่หรอกน่า เช็ดตัวแล้วนอนซะ ถ้าหลับแล้วผมจะไปเอง”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” หล่อนพูดเสียงค่อย ใช้ผ้าชุบน้ำลูบไปตามเนื้อตัวพอเป็นพิธี แล้วก็ยกน้ำขึ้นจิบนิดหน่อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มแห้งๆ ให้เขา
“ลูกแก้วจะนอนแล้วค่ะ ค่อยยังชั่วขึ้นแล้ว”
“เที่ยงคืนกว่าแล้ว ไหนคุณทานยาอะไร ทานได้อีกแล้วมั้ง” เขาซัก หล่อนยื่นแผงยาลดไข้ให้เขาดู พนสณฑ์แกะออกสองเม็ดยื่นให้หล่อน
“กินซะ คราวนี้กินแก้ เพราะกินกันคงไม่ได้ผล”
“ค่ะ” หล่อนอยากจะค้อนเขานัก ได้ทีขี่แพะไล่เชียว คนอะไร
“ลูกแก้วจะนอนแล้วค่ะ” หล่อนว่า ทำท่าจะเอนกายลงนอนกึ่งๆแลดูน่าอึดอัดจนเขาอยากจะหัวเราะออกมา
ใจหนึ่งอยากแกล้งอยู่ร่วมมุ้งให้หล่อนขัดใจเล่นๆ อีกใจหนึ่งก็สงสารคนเป็นไข้
“นอนเถอะถ้ามีอะไรก็เรียก ผมยังไม่ง่วง”
“ไม่สบายหรือเปล่าคะ ทานยากันไว้ก่อนไหม” หล่อนผงกศีรษะลุกขึ้นมาถาม ผมยาวรุ่ยร่าย เกลี่ยแก้มนวล ดวงตาอ่อนแสงยังหวานเชื่อม
“ผมสบายดี คุณไม่สบายถ้าผมป่วยแล้วใครจะดูแลคุณล่ะ”
“คุณสณฑ์” หล่อนครางชื่อเขาเสียงแผ่วพลิ้วหวาน หัวจิตหัวใจเต้นโครมคราม พนสณฑ์กัดฟันมุดมุ้งออกมานั่งหัวอกสะท้านอยู่นอกมุ้ง สองมือประสานกันเพื่อไม่ให้มันรั้น เอื้อมไปรั้งร่างบอบบางมากอดถนอมขวัญ นานเท่าใดแล้วหนอที่เขาไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวรุนแรง หวานลึกล้ำกับใครแบบนี้
ตายละวาเจ้าสณฑ์ ตกหลุมเจ้าสัวเข้าให้แล้วกระมัง
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
หล่อนจำได้ว่าบิดาไม่เคยอนุญาตให้หล่อนไปทัศนศึกษา โดยบอกเหตุผลกับโรงเรียนว่าห่วงลูกสาวที่กำลังโต แต่ความจริงแล้วบิดาไม่มีเงินให้มากกว่า บิดาเคยสัญญาว่า
‘เอาไว้ให้พ่อทำทุนดีกว่าลูก ไว้พ่อมีเงินจะพานั่งเครื่องบินไปเที่ยวเองนะ’
นานวันเข้ารุจิรัตน์ก็รู้ว่าคำสัญญาของบิดาไม่ได้มีแก่นสารอะไรให้ยึดถือ บิดารักหล่อน แต่ชีวิตของบิดาอยู่กับดวงในบ่อน รุจิรัตน์ทุ่มเทความสนใจไปกับการเรียนหนังสือ หารายได้เล็กๆ น้อยๆ ระหว่างเรียนและบ่อยครั้งเงินของหล่อนช่วย ‘ขัดดอก’ ไปได้แม้กระทั่งหนี้ก้อนสุดท้าย หล่อนก็ช่วยให้บิดารอดตัวไปได้อีก
แล้วตัวหล่อนเองเล่า เห็นทีจะได้เวลาคิดถึงตัวเองแล้วกระมัง บิดามีภรรยาใหม่ดูแลแล้วคงไม่ลำบากอะไรนักหนา หล่อนนึก
“กินก๋วยเตี๋ยวไหม”
“คะ?” หล่อนหันมาทันควัน หยดน้ำใสๆ กลิ้งร่วงหล่นจากพวงแก้มเนียน พนสณฑ์เสมองไปด้านหน้า
“ผมหิว ชวนกินก๋วยเตี๋ยวในหมู่บ้านข้างหน้านี่”
“ก็ดีค่ะ” หล่อนว่า เสียงขึ้นจมูกน้อยๆ แล้วก็หายเป็นปกติ หล่อนปรับตัวไวเสมอเพื่อการเอาตัวรอด
ร้องไห้ทำไมนะ หรือว่าเราจะดุไป กลัวหรือไง หนวดเคราไม่ได้โกน หน้าคงมหาโจรชัดๆ กลับไปนี้ต้องโกนเสียหน่อย ไม่งั้นเด็กขี้แยแถวนี้ร้องจ้าแน่
“เอ๊ะ นั่นป้านวลนี่คะ คนอื่นๆ ด้วยอยู่ในไร่นั้นกันหมดเลย”
“ดี จะได้ลงไปคุยกัน” พนสณฑ์หักพวงมาลัยเข้าไปในไร่ที่ระเกะ ระกะด้วยกองมันสำปะหลังและรถหกล้อที่จอดเอียงกระเท่เร่
“อ้าว นายสณฑ์ มาตามพวกเราเหรอครับ ผมต้องขอโทษทีนาย น้ำมันท่วมไร่มันต้องมาเร่งขุดกันก่อน ไม่งั้นเน่าเสียหายหมด”
ลุงพร้อมผู้ซึ่งยืนอยู่ในโคลนครึ่งแข้งชูหัวมันสำปะหลังให้ดู
“รถขนก็มาเสียอีกนาย แย่แน่ ไม่รู้จะได้ค่าปุ๋ยหรือเปล่า”
“รถเป็นอะไร”
“มันเก่าครับ นั่น ตายสนิท”
“เดี๋ยวฉันจะดูให้”
“ขอบคุณครับ ไม่งั้นคงต้องหาบลงไป หลังหักแน่”
“ทานข้าวกันก่อนดีไหมคุณ คุณลูกแก้วกินอะไรมาหรือยังจ๊ะ มากินแกงเผ็ดฝีมือป้าหน่อยเป็นไร”
“เอาสิคะ น่าอร่อยนะคะคุณสณฑ์ ประหยัดดีด้วย” หล่อนกระซิบ
“ตามใจเธอสิ เพิ่งรู้นะว่ามีเมียงก” ประโยคนั้นทำให้รอยยิ้มกว้างของสาวโลกสวยหุบฉับลงทันที หน้าแดงเห่อราวลูกตำลึงสุก หล่อนพานหยิบจับอะไรไม่ถูก
พนสณฑ์ขำหล่อนจนรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง อีกอย่างเขาก็ชอบเครื่องยนต์กลไกเป็นชีวิตจิตใจ ทุกโอกาสที่จะได้เลื่อนตัวเข้าไปใต้ท้องรถ งัดแงะดูอะไหล่นั่นนี่ เขาไม่เคยปฏิเสธไม่ว่ามันจะเป็นรถราคาหลักล้านหรือแค่เศษเหล็กวิ่งได้ที่นอนรอความช่วยเหลือจากเขาอยู่นี่ก็ตามเถิด
“ช่วยกันขนมันสำปะหลังลงมาก่อนโว้ย นายสณฑ์จะดูรถให้ ไวๆ เข้า เดี๋ยวฝนตกลงมาอีกล่ะแย่”
ลุงพร้อมร้องบอก พนสณฑ์เปิดฝากระโปรงรถดู และสั่งให้สมบัติสตาร์ตเครื่องสองสามครั้งก็พบว่าสตาร์ตไม่ติด เขาเดินกลับไปที่รถ ยกลังเครื่องมือขนาดใหญ่ ใหม่เอี่ยมชนิดที่ชาวไร่ทั้งแก่หนุ่มต้องรี่เข้ามาดู
“แหม...นาย เครื่องมือเพียบแบบนี้เปิดร้านซ่อมได้เลยนา มีเยอะเสียยิ่งกว่าร้านช่างแอ๊ดในหมู่บ้านแน่ะผมว่า”
ความคิดไม่เลว ดูท่าทั้งอำเภอคงมีรถเก่าๆ แบบนี้มาก แล้วร้านซ่อมก็คงมีไม่กี่ร้าน เผลอๆ อาจจะซ่อมได้บ้างไม่ได้บ้าง เป็นไปได้ไหมที่เขาจะเปิดอู่ที่นี่ พนสณฑ์คิดไปมือก็ทำงานไป เครื่องยนต์เก่าแก่หลายสิบปี ใช้งานหนักมาตลอด แถมไม่ได้รับการบำรุงรักษา แต่เขารู้วิธีชุบชีวิตมันขึ้นมาให้ทำงานได้อีก และพอได้เปลี่ยนอะไหล่สักหน่อยมันก็จะกลับมารับใช้เจ้าของได้อีกหลายปีทีเดียว
“ไหวไหมครับนาย”
“พอได้ ใช้เวลาหน่อย สมบัติมาช่วยนี่หน่อย คนอื่นๆ ไปทำงานได้ตามปกตินะ รถวิ่งได้เมื่อไหร่จะบอก” พนสณฑ์บอกสั่งกรายๆ ด้วยความเคยชิน เสียงห้าวทุ้มน่าฟังทำให้ชาวไร่ต่างทยอยกันออกไปทำงานของตน รุจิรัตน์เดินไปนั่งรวมกลุ่มกับสาวๆ ชาวไร่ที่กำลังริดหัวมันออกจากโคนต้นกองๆ ไว้
“ราคาดีไหมจ๊ะ”
“โอ๊ย คุณเอ๊ย ตอนเริ่มปลูกบอกโลละสามสี่บาท พอออกหัวสองบาทยังไม่ได้ ขาดทุนกันทั้งนั้น”
“อ้าว ทำไมราคาเปลี่ยนไปมากอย่างนั้นล่ะจ๊ะ”
“แล้วแต่พ่อค้าเขาจะว่าน่ะสิคะ เราจะไปขัดเขาได้รึ ไม่มีที่ขายจะยุ่ง เน่าทิ้งเท่านั้นเอง”
“มีคนรับซื้อกี่เจ้าจ๊ะ”
“เจ้าเดียว เจ๊เกียวนั่นล่ะ ทั้งซื้อมันทั้งขายปุ๋ยให้กู้ รวยล้นเหลือ เราชาวไร่ก็จนเอาๆ เขาซื้อเราสองบาทไปขายเกือบสิบบาทรวยไหมล่ะคุณ”
“ตายจริง เอากำไรขนาดนั้นเลยหรือ”
“จ้ะ ทำยังไงได้ ไม่รู้จะขายให้ใครนี่จ๊ะ” สาวชาวไร่บ่น แต่มือก็ไม่หยุดทำงาน รุจิรัตน์นึกในใจว่าถ้าเป็นหล่อนคงจะให้ราคาชาวไร่สักสี่ห้าบาท อย่างที่ตกลงกันไว้ เพราะแม้เอาไปขายต่ออีกหล่อนก็ยังได้กำไรไม่น้อยอยู่ดี
ทำไมต้องเอารัดเอาเปรียบกันถึงขนาดนั้น
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตกบ่ายพนสณฑ์ก็ออกไปกับสมบัติเพื่อซื้ออะไหล่มาใส่รถหกล้อชะตาขาดที่เอียงกระเท่เร่อยู่
“นาย ซื้ออะไหล่มาใส่มันจะใช้ได้เหรอ”
“ถ้าไม่ซื้อมาใส่มันจะใช้ได้ไหมล่ะ” พนสณฑ์ถามให้คิด ใบหน้าคมเข้มมุ่งมั่น ใต้คางเปื้อนคราบน้ำมันเครื่อง เหงื่อโทรมตัว
“ผมไม่มีเงินค่าอะไหล่หรอกครับ มันยังไม่ได้ออกจากไร่เลยสักหัว”
“เอาเถอะจะออกให้ไปก่อน ไว้หักค่าแรงทีหลัง ไปสมบัติ ฝนตั้งเค้ามาแล้ว” ว่าแล้วเขาก็ออกรถวิ่งฝุ่นตลบออกไปแล้ว
ดั่งวาจาสิทธิ์ ไม่นานหลังจากที่พนสณฑ์กลับมาพร้อมอะไหล่เจ้าแก่ฝนก็เทลงมา แม้ไม่หนักมากอย่างเมื่อวันก่อนแต่ก็ทำให้เปียกปอนไปตามๆกัน ขณะที่พนสณฑ์ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดซ่อมรถ
“อีกนิดเดียวเท่านั้น” เขาร้องบอก ขณะที่คนอื่นๆ วิ่งไปยืนหลบฝนในกระท่อมแล้วเหลือเพียงนายช่างใหญ่ สมบัติ และลุงพร้อมเท่านั้น ไม่นานรุจิรัตน์ก็อดรนทนไม่ไหววิ่งฝ่าฝนปรอยๆ ออกไปที่รถเปิดประตูหยิบร่มออกมากาง เดินตรงไปที่สามี หล่อนยืนกางร่มให้เขา
“ออกมาทำไม ไปหลบฝนเถอะ ร่มแค่นั้นช่วยอะไรไม่ได้หรอก” เขาบอกเสียงเรียบ ตาคมดุ
“ไม่เป็นไรค่ะ ช่วยกัน”
“ไปหลบฝนเถอะน่า อย่ามาวุ่นวายเลย” เขาบ่นให้ รุจิรัตน์เม้มปาก สมบัติกับลุงพร้อมหน้าเสีย เบือนหน้าไปกันคนละทางสองทาง คราวนี้หล่อนจะทำอย่างไรล่ะ วิ่งหนีไปร้องไห้ที่โดนสามีไล่เพราะหวังดีกับเขา ให้คนเขารู้กันว่าหล่อนเป็นภรรยาหัวอ่อน หรือยืนกรานอยู่ตรงนี้ ให้เขารู้ว่าหล่อนเข้มแข็งพอ
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอกค่ะ คุณทำงานไปเถอะ ฉันจะกางร่มให้” หล่อนบอกเสียงเรียบ ดวงตากลมโตไหวระริก หวั่นใจแต่ไม่คิดจะถอย นึกแต่ว่าหากเขาตวาดไล่หล่อนคงลนลานวิ่งหนีไปแน่
“ตามใจ แม่เมียนางเอก”
“ค่ะ คุณก็ซ่อมต่อสิคะ” หล่อนเชิดหน้า ฝนสาดซึมแผ่นหลังเปียกปอน แต่สามีของหล่อนไม่ต้องทำงานไปลูบหน้าไล่น้ำฝนไปอีกแล้ว หล่อนภูมิใจในตัวเองไม่น้อยที่ได้ทำตัวมีประโยชน์บ้าง เขาจะคิดยังไงก็ช่างเขาเถอะ
“สมบัติลองติดเครื่องดูที” เสียงห้าวสั่งเมื่อเลื่อนตัวออกมาจากใต้ท้องรถ สมบัติบิดกุญแจ แล้วเจ้าแก่ก็ส่งเสียงคำรามกึกก้อง ตามมาด้วยเสียงปรบมือดีอกดีใจของชาวไร่ทั้งหลาย พนสณฑ์รวบก้านร่มมาถือไว้มือหนึ่ง อีกมือรวบข้อมือบางเย็นเฉียบของภรรยาที่กำลังปรบไม้ปรบมือ ยิ้มกว้างทั้งปากทั้งตาให้เขา พาเดินจูงกึ่งลากเบาๆ ไปที่รถแล้วเปิดประตูให้หล่อนขึ้นไปนั่ง ก่อนจะเดินอ้อมมาทางประตูคนขับ ลุงพร้อมวิ่งมายกมือไหว้ท่วมหัว ร้องบอกว่าจะไปช่วยงานที่ไร่ในวันมะรืน พนสณฑ์โบกมือไวๆ ก่อนจะออกรถหันหัวกลับไร่ดงไม้หอม
“น้ำป่าแรงน่าดูเลยนะคะ” หล่อนชวนคุย เมื่อมองเห็นน้ำสีขุ่นคลั่กพุ่งลงมาจากถนนฝั่งที่เป็นเขาสูง
“ใช่ ถึงต้องรีบกลับบ้านไง ไม่งั้นถนนขาดอาจจะกลับไม่ได้ เกาะแน่นๆ นะ” เขาบอกแล้วก็เร่งเครื่องขึ้นเขาไปโดยไว จริงอย่างที่เขาว่าไม่มีผิด ดินบางแห่งถูกกัดเซาะจนกินเนื้อถนนเข้ามา ก้อนหินโตๆ กลิ้งๆ อยู่ริมถนนอย่างน่าหวาดเสียว รุจิรัตน์ค่อยหายใจทั่วท้องเมื่อกลับมาถึงไร่ดงไม้หอมได้ก่อนฟ้ามืด
พนสณฑ์จอดรถไว้แล้วก็เดินไปเปิดเครื่องปั่นไฟ จนกระท่อมสว่างไปทั้งหลัง เขาเลยไปสำรวจรอบๆ บริเวณ
รุจิรัตน์เดินเข้าไปในครัวจัดการตั้งหม้อข้าว ก่อนที่จะลงไปอาบน้ำสระผม หล่อนรู้สึกคัดจมูกนิดหน่อย แต่คิดว่าไม่เป็นไรกินยากันไว้เดี๋ยวคงหาย
“ฮัดเช้ย!” เสียงจามติดๆ กันสองถึงสามครั้งดังมาจากในครัว คนที่กำลังจะลงเรือนไปอาบน้ำส่ายหัวด้วยความระอาใจ
“นั่นปะไร บอกแล้วไม่ฟัง คราวนี้ล่ะได้หวัดกินงอมแน่”
หลังอาหารมื้อค่ำ อาการครั่นเนื้อครั่นตัวชักจะรุนแรง รุจิรัตน์ค้นหาชาในกระเป๋าที่มักมีติดตัวมาเสมอออกมาสองห่อ
“คุณสณฑ์จะรับชาร้อนๆ ไหมคะ ฉันคิดว่าจะดื่มชากับกินยาแก้หวัดกันไว้ก่อน กลัวป่วยน่ะค่ะ”
“กลัวเหมือนกันรึ”
“ค่ะ คุณล่ะคะ กินกันไว้ก่อนไหม”
“ไม่ล่ะ ผมไม่กระหม่อมบาง” เขาเอนหลังบนระเบียงยาว หลับตา มือประสานตรงอกแล้วก็เงียบไป รุจิรัตน์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ บางครั้งสามีหล่อนก็กวนโมโหเสียจริงๆ รุจิรัตน์ถือถ้วยชาหายเข้าไปในห้อง เพราะหล่อนกำลังจะจามและจะจามมากเสียด้วย
แน่ล่ะ เขาต้องว่าก็บอกแล้วเป็นแน่ๆ น่าโมโหจริงๆ เรื่องอะไรมาอ่อนแอเป็นคุณหนูกลางป่าเขาอย่างนี้นะลูกแก้ว หล่อนจิบชาไปจามไปจนน้ำหูน้ำตาไหล ไม่นานฤทธิ์ยาแก้ไข้ก็เริ่มออก ทำให้ง่วงงุนจนแทบทนไม่ไหว ยังดีที่หล่อนพาตัวเองออกมายืนตาปรือพิงกรอบประตูบอกเขาได้ว่า
“คุณสณฑ์คะ ที่นอนเรียบร้อยแล้วนะคะ ลูกแก้วง่วง ไม่ไหวแล้ว ราตรีสวัสดิ์นะคะ” หล่อนว่าแล้วก็โซเซเดินกลับไปมุดมุ้งของตัวเองเข้าไปนอน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะเข้ามานอนที่นอนที่หล่อนจัดไว้ให้หรือไม่
พนสณฑ์เงี่ยหูฟังเสียงเจ้าหล่อนอยู่นาน เห็นเงียบไปก็เลยเดินเข้าห้องนอนเล็กที่แออัดเพราะมุ้งสองหลังที่กางไว้จนเต็มพื้นที่ เขายกชายมุ้งที่หล่อนเก็บไว้ให้เรียบร้อยออก มุดเข้าไปเอนกายบนที่นอนแข็งๆ ที่ปูทับด้วยผ้าห่มผืนบางที่หอมกรุ่นกลิ่นแดด เขาตะแคงหน้ามองผ่านมุ้งบางๆ ของตัวเองไปยังร่างบางที่เห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ ในมุ้งข้างๆ
คืนนี้จันทร์กระจ่างฟ้า เมฆฝนมลายหายไปแล้ว แสงจันทร์สาดส่องให้เขาเห็นร่างอรชรนั้นได้ชัดเจนขึ้น เสียงหายใจติดๆ ขัดๆ ไม่สม่ำเสมอแผ่วเบาอย่างคืนก่อนๆ บ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังโดนหวัดเล่นงานอย่างหนัก
คนเก่ง อวดดีจนได้เรื่อง
“อื้อ แม่จ๋า ปวดหัว หิวน้ำ ขอน้ำหน่อย แม่จ๋า” เสียงร้องเบาๆ ดังมาจากมุ้งข้างๆ เมื่อเวลาดึก พนสณฑ์สะดุ้งพรวดจนมุ้งแทบขาด
“โอย ปวดหัว”
“คุณ เป็นไง ไหนออกมาดูซิ ไข้ขึ้นล่ะสิ” เขาออกจากมุ้งตัวเอง ไปคุกเข่าอยู่นอกมุ้งหล่อน มองร่างบางดิ้นกระวนกระวาย
“หิวน้ำค่ะ แม่จ๋า พ่อใจร้าย พ่อไม่รักลูก”
“ผม...เอ่อ...จะเข้าไปนะ คุณ รุจิรัตน์ ลูกแก้ว” พูดจบเขาก็ถึงตัวหล่อนพอดี
พนสณฑ์ประคองร่างบางสั่นสะท้านจากด้านหลัง ผิวหล่อนร้อนผ่าวราวถ่านไฟ ดวงตาปิดสนิท ปากน้อยๆ พร่ำบ่นร้องหาน้ำ
“เดี๋ยวผมเอาน้ำให้ รอเดี๋ยว ตัวร้อนชะมัด เช็ดตัวด้วยนะ รอเดี๋ยว” เขามุดมุ้งออกไปแล้วกลับเข้ามาใหม่พร้อมขวดน้ำใหญ่ๆ สองขวดกับผ้าขนหนูผืนเล็ก
“ดื่มน้ำหน่อยนะ ช้าๆ”
“ขออีกค่ะ ขอน้ำอีก”
“ช้าๆ เดี๋ยวสำลัก” เขาดุแต่ยังจ่อขวดน้ำกับริมฝีปากอิ่มแดงของหล่อน เปลือกตาหนารื้นด้วยหยาดน้ำตากะพริบถี่ๆ สติค่อยๆ กลับมาลางๆ
“คุณสณฑ์ ไปนอนเถอะค่ะ ลูกแก้วไม่เป็นไรค่ะ กินยากันไว้แล้ว”
“แล้วทำไมยังตัวร้อนยังกับไฟเผา เช็ดตัวดีกว่า” เขาบิดผ้าง่ายๆ ทำท่าจะโปะลงบนใบหน้าแดงก่ำของหล่อน รุจิรัตน์คว้ามือนั้นไว้ได้ทัน
“เดี๋ยวลูกแก้วเช็ดเองค่ะ รบกวนเวลานอนคุณสณฑ์มากแล้ว ซ่อมรถมาทั้งวันคงเหนื่อย ไปนอนเถอะค่ะ”
“ไม่ต้องไล่หรอกน่า เช็ดตัวแล้วนอนซะ ถ้าหลับแล้วผมจะไปเอง”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” หล่อนพูดเสียงค่อย ใช้ผ้าชุบน้ำลูบไปตามเนื้อตัวพอเป็นพิธี แล้วก็ยกน้ำขึ้นจิบนิดหน่อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มแห้งๆ ให้เขา
“ลูกแก้วจะนอนแล้วค่ะ ค่อยยังชั่วขึ้นแล้ว”
“เที่ยงคืนกว่าแล้ว ไหนคุณทานยาอะไร ทานได้อีกแล้วมั้ง” เขาซัก หล่อนยื่นแผงยาลดไข้ให้เขาดู พนสณฑ์แกะออกสองเม็ดยื่นให้หล่อน
“กินซะ คราวนี้กินแก้ เพราะกินกันคงไม่ได้ผล”
“ค่ะ” หล่อนอยากจะค้อนเขานัก ได้ทีขี่แพะไล่เชียว คนอะไร
“ลูกแก้วจะนอนแล้วค่ะ” หล่อนว่า ทำท่าจะเอนกายลงนอนกึ่งๆแลดูน่าอึดอัดจนเขาอยากจะหัวเราะออกมา
ใจหนึ่งอยากแกล้งอยู่ร่วมมุ้งให้หล่อนขัดใจเล่นๆ อีกใจหนึ่งก็สงสารคนเป็นไข้
“นอนเถอะถ้ามีอะไรก็เรียก ผมยังไม่ง่วง”
“ไม่สบายหรือเปล่าคะ ทานยากันไว้ก่อนไหม” หล่อนผงกศีรษะลุกขึ้นมาถาม ผมยาวรุ่ยร่าย เกลี่ยแก้มนวล ดวงตาอ่อนแสงยังหวานเชื่อม
“ผมสบายดี คุณไม่สบายถ้าผมป่วยแล้วใครจะดูแลคุณล่ะ”
“คุณสณฑ์” หล่อนครางชื่อเขาเสียงแผ่วพลิ้วหวาน หัวจิตหัวใจเต้นโครมคราม พนสณฑ์กัดฟันมุดมุ้งออกมานั่งหัวอกสะท้านอยู่นอกมุ้ง สองมือประสานกันเพื่อไม่ให้มันรั้น เอื้อมไปรั้งร่างบอบบางมากอดถนอมขวัญ นานเท่าใดแล้วหนอที่เขาไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวรุนแรง หวานลึกล้ำกับใครแบบนี้
ตายละวาเจ้าสณฑ์ ตกหลุมเจ้าสัวเข้าให้แล้วกระมัง
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 มี.ค. 2561, 07:13:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 มี.ค. 2561, 07:13:05 น.
จำนวนการเข้าชม : 824
<< บทที่ 2 -50% | บทที่ 3 -80% >> |