พนาพร่ำรัก: หอมดึก (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เมื่อ 'พนสณฑ์' ทายาทเจ้าสัวพันล้าน ถูกกลั่นแกล้งให้รับมรดกเป็นที่ดินรกร้าง พร้อมเงื่อนไขต้องสร้างเงินล้านให้ได้ภายในปีเดียว แถมยังพ่วงเมียขัดดอก ลูกสาวนักพนันมาด้วย จะไหวไหมงานนี้...
***************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "หอมดึก" และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ซึ่งกำลังวางจำหน่ายอยู่ในตอนนี้ค่ะ ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ ใครชอบแนวโรแมนติก น่ารักละมุน หวานซึ้ง มิควรพลาดจ้า เพราะพ่อสณฑ์ของเราถึงแม้จะเป็นพระเอกสายโหด แต่ขยัน ‘รัก’ เมียสุดหัวใจ พ่วงด้วยความฮาแบบชาวบ้านตามท้องไร่ท้องนา บทเลิฟซีนสวย #รับประกันความสนุก!
**************
นักอ่านท่านใดสนใจ มีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
**สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 3 ช่องทาง***
-ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
-ร้านนิยายออนไลน์ ได้แก่ ร้านนิยายรัก.com และร้าน booksforfun
-สั่งซื้อกับสนพ.โดยตรงโดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์
(หนังสือพร้อมส่ง)
ราคา 329฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 369฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 389฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
**แบบ eBook มีวางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket**
***************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "หอมดึก" และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ซึ่งกำลังวางจำหน่ายอยู่ในตอนนี้ค่ะ ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ ใครชอบแนวโรแมนติก น่ารักละมุน หวานซึ้ง มิควรพลาดจ้า เพราะพ่อสณฑ์ของเราถึงแม้จะเป็นพระเอกสายโหด แต่ขยัน ‘รัก’ เมียสุดหัวใจ พ่วงด้วยความฮาแบบชาวบ้านตามท้องไร่ท้องนา บทเลิฟซีนสวย #รับประกันความสนุก!
**************
นักอ่านท่านใดสนใจ มีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
**สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 3 ช่องทาง***
-ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
-ร้านนิยายออนไลน์ ได้แก่ ร้านนิยายรัก.com และร้าน booksforfun
-สั่งซื้อกับสนพ.โดยตรงโดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์
(หนังสือพร้อมส่ง)
ราคา 329฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 369฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 389฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
**แบบ eBook มีวางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket**
Tags: แบดบอย ทายาทเศรษฐี ลูกสาวนักพนัน เมียขัดดอก น่ารัก ละมุน คู่ชีวิต ท้องไร่ท้องนา
ตอน: บทที่ 6 - 100%
โรงพยาบาลประจำอำเภอนั้นเป็นโรงพยาบาลขนาดกลาง มีผู้ป่วยจากทั้งอำเภอมาเข้ารับการรักษาจึงค่อนข้างพลุกพล่าน เมื่อรถกระบะของดงไม้หอม บึ่งเข้ามาถึงหน้าตึกฉุกเฉิน นายแพทย์วัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินตรงดิ่งเข้ามาหาพร้อมเตียงพยาบาล
“เจ้าสัวแจ้งมาเมื่อครู่ว่าคุณพนสณฑ์ได้รับบาดเจ็บมา นอนลงเลยครับ พยาบาลช่วยยกขาหน่อย”
“ผมไม่เป็นอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก”
พนสณฑ์มองเตียงพยาบาลด้วยใบหน้าเรียบเฉย ชื่อเจ้าสัวผู้เป็นปู่ทำให้อารมณ์เดือดปุดขึ้นมาอีก นายแพทย์นายนั้นมีอาการลังเล
“ทำตามที่คุณหมอบอกเถอะค่ะ คุณสณฑ์จะได้ไปตรวจไวๆ นะคะ” มือบางแตะลงที่ต้นแขนแกร่ง ที่เริ่มปวดร้าวขึ้นมาบ้าง รุจิรัตน์อ้อนวอนเขาด้วยสายตาจนอีกฝ่ายยอมเอนกายลงกับเตียงพยาบาลแต่โดยดี นิ้วแกร่งส่งสัญญาณเรียกสมบัติให้เข้ามาหาใกล้ๆ
“เอ็งไปทำแผลเสียด้วย แล้วไปดูทีว่ามีใครโดนยิงเข้ามารักษาหรือเปล่า” เสียงเข้มต่ำได้ยินกันแค่สองคน สมบัติพยักหน้า แยกออกไปกับบุรุษพยาบาลอีกคน
“เจ้าสัวท่านต่อสายตรงมาที่โรงพยาบาลครับ ผมจึงได้เตรียมการไว้ให้แล้ว ขออภัยที่อาจจะไม่ค่อยสะดวกนักโรงพยาบาลเรายังเล็กครับ แต่เมื่อก่อนแย่กว่านี้มาก ดีที่เจ้าสัวท่านบริจาคเงินสร้างตึกพักผู้ป่วย แล้วยังบริจาคเครื่องมือแพทย์สำคัญๆ อีกหลายรายการ” นายแพทย์ผู้นั้นมีนามว่าวสันต์ เขาใส่แว่นตาโต ท่าทางเย็นๆ สุขุมเรียบร้อย พนสณฑ์หลับตาสนิทมือกุมมือบางไม่ยอมปล่อย รุจิรัตน์จึงได้ยิ้มบางๆ ให้นายแพทย์หนุ่มใหญ่
“ขอบพระคุณคุณหมอมากนะคะที่เตรียมการทุกอย่างไว้ให้”
“ไม่เป็นไรครับ คุณคงเป็นคุณรุจิรัตน์กระมังครับ”
“ค่ะ”
“ไม่ต้องห่วงนะครับ หมอจะดูแลให้เป็นอย่างดี เชิญคุณรุจิรัตน์รอหน้าห้องตรวจครับ”
“เดี๋ยว ใส่ชุดปลอดเชื้อเข้าไปด้วยไม่ได้หรือ” คนป่วยท้วง
“เอ่อ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณหมอ เชิญค่ะ” รุจิรัตน์หน้าแดงก่ำ นึกๆ ก็อยากจะหยิกมือคร้ามที่กุมมือหล่อนไว้แน่นราวกับตีนตุ๊กแก
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณพนสณฑ์ แค่ตรวจเอ็กซเรย์เท่านั้น”
“ผมไม่ได้ห่วงตัวเอง ผมห่วงเมียผมต่างหาก” คนไม่นิยมโดนขัดใจพูดเสียงห้วน นายแพทย์หนุ่มทำหน้าแหยๆ รุจิรัตน์หันซ้ายหันขวาไปพบช่างชดเข้า จึงเอ่ยขึ้นว่า
“นั่นไงคะ ช่างชดมาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ จะรออยู่ตรงนี้ล่ะ นะคะ” หล่อนข่มใจเต็มที่ คิดว่าหากเขางอแงอีกนิดเดียวหล่อนจะฟาดให้
“งั้นก็ได้ ชดดูนายหญิงด้วย ไอ้ชัยมันหายหัวไปไหน นายจะเป็นจะตายไม่มาดูดี เดี๋ยวไล่ออกเสียเลย”
“กำลังบึ่งมาครับนาย ป๋ากับนายแม่ จะมาด้วย”
“โอ๊ย ยุ่งฉิบหาย” คนป่วยร้อง ก่อนจะถูกเข็นเข้าไปในห้องตรวจ รุจิรัตน์สบตาลุงชดยิ้มๆ ทรุดตัวลงนั่งที่ม้านั่งหน้าห้องตรวจ
“เป็นอย่างนี้เสมอแหละครับ คุณสณฑ์เป็นคนแข็งแรง แต่พอป่วยทีก็หนัก งอแง นายแม่ลำบากเลยล่ะ ตอนนี้มาเป็นนายหญิงแทน”
“ไม่น่าดื้อนะคะ ตัวก็ออกโต”
“โอ๊ย ใจนิดเดียวเท่านั้นแหละครับลูกชายคนเดียวนี่นา ชอบกีฬา
ผาดโผน ยิงนกตกปลา แข่งรถ สารพัด ทำได้ทุกอย่าง อุบัติเหตุนี่ไม่ต้องพูดถึง ถ้าไม่กระดูกแข็งคงเสร็จไปนานแล้ว”
“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ” รุจิรัตน์นึกภาพเกเรๆ ของสามีของตนแล้วก็อมยิ้ม
“แต่กับลูกน้องนี่ถึงไหนถึงกันนะครับ ได้เชื้อป๋ามาเต็มๆ รักลูกน้องเท่าๆ กับคนในครอบครัว พวกผมถึงไม่ไปไหน อยู่กันมาตั้งแต่คุณสณฑ์ยังเด็ก”
“เหรอคะ ดีจัง ถึงเป็นลูกคนเดียวคุณสณฑ์ก็คงไม่เหงา ไม่เหมือนลูกแก้วนะคะ หาเพื่อนจริงๆ แทบไม่มีสักคน ไม่มีใครอยากคบหาลูกสาวนักพนันหรอกค่ะ เขากลัวลูกแก้วไปยืมเงินมาใช้หนี้ให้พ่อ” เล่าไปดวงตากลมโตก็คลอด้วยน้ำอุ่นใส หล่อนใช้หลังมือเช็ดลวกๆ
“ลุงรู้จักพ่อของนายหญิง หมวดเรืองโรจน์”
“จริงเหรอคะ” ดวงตางามเบิกกว้าง
“ครับ แกเคยเป็นนายตำรวจที่สถานีตำรวจแถวอู่ของป๋าประพจน์นั่นล่ะ ตอนนั้นคุณคงเพิ่งเกิดกระมัง หมวดมาที่อู่บ่อยๆ”
“ไปยืมเงินใช่ไหมคะ ตอนนั้นพ่อติดการพนันมากไหมคะ” รุจิรัตน์ดวงตาสลด
“ก็ครับ แต่ติดไม่มาก แกเป็นคนอัธยาศัยดี ต่อมาแกย้ายเข้ากรุงเทพฯ แล้วก็หายไปเลย คุณหนูเป็นยังไงบ้างครับ”
“พ่อโดนออกจากราชการค่ะ แม่ล้มป่วยแล้วก็จากไป เหลือลูกแก้วกับพ่อสองคน เราก็อยู่กันอย่างลุ่มๆ ดอนๆ มาเรื่อยๆ พ่อก็คงมีหนี้มากจนหาเงินมาใช้ไม่ทัน เราไม่คิดจะขายบ้าน เพราะเป็นสมบัติที่แม่เหลือไว้ให้ลูกแก้ว พ่อก็เลยยกลูกแก้วให้คุณสณฑ์เพื่อใช้หนี้เจ้าสัว” น้ำเสียงสั่นเครือบอกเล่าเรื่องราวง่ายๆ ช่างชดมองดวงหน้าน้อยๆ ด้วยความสงสาร บางครั้งพ่อแม่ก็ทำบาปทำกรรมกับลูกมากมายเหลือเกิน แม้กระทั่งลูกที่แสนน่ารักอย่างนี้
“อ้าว ออกมาแล้วครับ…เป็นยังไงบ้างครับนาย”
ช่างชดเห็นพนสณฑ์ออกมาจากห้องตรวจก็รีบลุกไปหา
“สบายตามเคยน่ะสิลุง กระดูกแข็งขนาดนี้ไม่ต้องห่วง”
“แต่หมอขอให้ค้างที่โรงพยาบาลสักคืนนะครับ รอดูอาการก่อน หมอกลัวการกระแทกอาจจะช้ำใน” นายแพทย์ผู้นั้นดูเกรงอกเกรงใจอยู่มาก
“ผมบอกหมอว่าขอออกมาถามเมียก่อน” พนสณฑ์โยนเผือกร้อนใส่มือ ‘เมีย’ ทุกสายตาเลยจ้องมองมาทางรุจิรัตน์ยิ้มๆ
“ว่าไงครับ จะค้างโรงพยาบาลดีไหม ความจริงผมก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก กลับไปนอนเตียงนุ่มๆ ที่บ้านไร่ของเราดีกว่า”
“คุณสณฑ์เชื่อหมอค้างสักคืน นะคะ” รุจิรัตน์เอ่ยเสียงหวานแหลม เฉียบขาด ดวงตาวาววับราวแม่แมวดุๆ แสนสวยตัวหนึ่งทำให้ทุกคนเบือนหน้าไปยิ้มกันคนละทางสองทาง
“ห้องพิเศษเตรียมไว้แล้วค่ะหมอ” นางพยาบาลเดินเข้ามาบอก
“อ้าว สมบัติมานั่นแล้วค่ะ เป็นยังไงบ้างจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรมากครับ แค่ฟกช้ำ ไหล่เคลื่อนนิดหน่อย หมอฉีดยากับให้ยามาแล้ว นายเป็นยังไงบ้างครับ”
“ท่านว่าให้นอนโรงพยาบาลหนึ่งคืน” นายทำหน้าบึ้ง
“ให้ผมเฝ้าไหมครับ ผมไม่เป็นไรมาก”
“มันเรื่องอะไรของเอ็ง” นายถลึงตาใส่ สมบัติยิ้มแหยๆ
“ไป ข้าจะไปส่งที่ไร่ เดี๋ยวผมกลับมาพร้อมสามารถ จะเอาเสื้อผ้ามาให้นายกับนายหญิงด้วยนะครับ” ช่างชดว่า
“ขอบใจจ้ะ เสื้อผ้าสำหรับเดินทางของฉันกับคุณสณฑ์มีในเป้สีแดงดำวางไว้ข้างตู้เสื้อผ้านะจ๊ะ”
“ครับ”
“นายครับ มีคนโดนปืนลั่นใส่ไหล่ มารักษาตัวคนนึง ผมตามไปดู มันทำแผลรับยาแล้วก็ลากกันออกไปแล้ว”
“อืม ไม่เป็นไร เดี๋ยวให้ชัยหาคนไปสืบดู เอ็งไปพักผ่อนเถอะ ป่าน นี้พ่อแม่ห่วงแย่แล้ว ฝากไร่ด้วย”
“ครับนาย”
*****************
ในห้องพักคนป่วยซึ่งเป็นห้องพิเศษนั้น ห่างไกลจากคำว่าห้องพิเศษที่พนสณฑ์เคยสัมผัสในโรงพยาบาลระดับประเทศที่ค่าห้องเหยียบเลขห้าหลักขึ้นไปมาก แต่ก็สะอาดสะอ้าน กะทัดรัด มีโทรทัศน์ให้หนึ่งเครื่อง โต๊ะรับแขกเล็กๆ โซฟาที่คนเฝ้าไข้ใช้นอนพักผ่อนได้ ตู้เย็นและห้องน้ำในตัว พยาบาลเข็นรถเข็นใส่อาหารคนป่วยมื้อเย็นมาให้ ก่อนจะแจกแจงรายการยาให้คนเฝ้าไข้ฟังแล้วก็กลับออกไป
“ใครเป็นคนกำหนดนะว่าอาหารคนป่วยต้องเป็นข้าวต้มแฉะๆ แกงจืดๆ ผัดผักกับส้มสองผล กินแบบนี้จะมีแรงที่ไหนกัน”
“ร่างกายไม่แข็งแรงก็ต้องทานอาหารอ่อนๆ สิคะ”
รุจิรัตน์เลื่อนถาดอาหารมาใกล้คนป่วย ปรับเตียงนอนให้นั่งสบาย
“ดูทีวีไหมคะ”
“เปิดทิ้งไว้ก็ได้ครับ”
เขาบอกยิ้มๆ หล่อนหยิบจับอะไรรวดเร็วนิ่มนวลน่ามองไปหมด
“ทานข้าวด้วยกันเถอะ”
“ทานเถอะค่ะ เดี๋ยวลูกแก้วออกไปหาอะไรอร่อยๆ หน้าโรงพยาบาลทานทีหลังก็ได้”
“ไม่ได้นะ อย่าออกไปคนเดียว อันตราย”
“คุณสณฑ์”
“เชื่อผมเถอะ มาช่วยผมกินนี่ดีกว่า เดี๋ยวไอ้ชัยมามันก็หอบมาเอง นายแม่กับป๋าจะมาด้วยนี่ สงสัยอยากมาดูหน้าลูกสะใภ้”
“พวกท่านมาเยี่ยมคุณต่างหากล่ะคะ” หล่อนค้อนให้ ยามเขายั่วล้อหัวใจก็ชุ่มฉ่ำดีอยู่หรอก แต่พอมานึกถึงความเป็นจริงแล้วหล่อนก็อดปวดแปลบในใจไม่ได้ รุจิรัตน์ไม่ได้พยายามจับจดกับชะตาชีวิตของตน แต่หล่อนต้องการเตือนใจตัวเองไว้ก่อนที่จะเจ็บไปมากกว่านี้
อีกไม่กี่เดือนหล่อนก็ต้องออกจากชีวิตเขาไปแล้ว
“คุณเป็นอะไร”
“เปล่าค่ะ”
“โกหกไม่เก่ง ตาบอกหมดเลย มาป้อนข้าวผมเสียดีๆ ใครบอกให้บังคับให้ค้างโรงพยาบาล อุตส่าห์สั่งเตียงนุ่มๆ หนาๆ มาทั้งที ก็ไม่ได้ใช้ เฮ้อ อุบ!”
“ทานข้าวค่ะ ห้ามพูด”
หล่อนตักอาหารจ่อริมฝีปากอิ่มหนาสีสดอย่างคนสุขภาพดี เขาอ้าปากรับ เคี้ยวข้าวไปละเลียดหน้าหวานๆ ของอีกฝ่ายไปด้วย เผลอนิดเดียวข้าวต้มก็หมดถ้วย ตามด้วยแกงจืดนิดหน่อย
“โอย อิ่ม”
“น้ำค่ะ...ยาค่ะ” เขาอ้าปากรับสิ่งที่หล่อนเอามาจ่ออย่างว่าง่าย
“ง่วงหรือยังคะ ทาแป้งหน่อยไหมจะได้ไม่เหนียวตัว” หล่อนพบขวดแป้งเล็กๆ ที่พยาบาลเตรียมไว้ให้พร้อมหวีและเครื่องใช้ส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ
“ทาให้หน่อยสิครับ” หล่อนเสหลบสายตาฉ่ำๆ ที่จ้องมองมาไม่วางหยิบขวดแป้งเด็กมาเทใส่ผ่ามือ เดินไปด้านหลังเขาแล้วเลิกชายเสื้อคนป่วยขึ้นจนเปิดแผ่นหลังกว้างสีอ่อนกว่าเนื้อนอกร่มผ้า บางจุดมีรอยฟกช้ำ
หล่อนค่อยๆ ลูบไล้มือไปตามแผ่นหลังกว้าง แนวสันหลัง ลาดไหล่และบริเวณหลังคอแกร่ง ก่อนจะหันมาประจันหน้ากับเขา มือเล็กแกะกระดุมเสื้ออย่างตั้งอกตั้งใจ แต่กระนั้นก็ยังยากเย็นจนน่าหงุดหงิด ท้ายที่สุดหล่อนก็แบะเสื้อออกจนเห็นแผ่นอกกว้าง หนั่นแน่นด้วยมัดกล้ามของชายหนุ่มวัยเลยเบญจเพสมาไม่กี่ปี
รุจิรัตน์รู้สึกถึงลมหายใจร้อนๆ กับอาการสะท้อนขึ้นลงอย่างน่ากลัวของอกว้าง หล่อนรีบกลั้นใจลูบๆ ไล้ๆ แป้งฝุ่นลงไป จากใต้ซอกคอ ใต้วงแขน หน้าอกกว้าง ไล่ต่ำลงมาที่กล้ามเนื้อหน้าท้องแบนราบ อาการเกร็งแขม่วหน้าท้องอย่างแรงเกิดขึ้นเมื่อมือบางวางลงบนรอยช้ำบริเวณนั้น
“เจ็บหรือคะ” หล่อนชะงักมือ เงยหน้าขึ้นมองสบตาเขา
“เปล่า ผม เอ่อ ไม่ไหวแล้ว” เขาพูดเสียงขาดกระท่อนกระแท่น สองมือประคองดวงหน้าเล็กๆ ในอุ้งมือ ตวัดสายตามองริมฝีปากอิ่มก่อนจะฉกเรียวปากตัวเองลงมาประกบอย่างเร่าร้อน สองมือบีบปลายคางจิ้มลิ้มเบาๆ ทำให้หล่อนเผยอปากรับจุมพิตดื่มด่ำนั้นอย่างถนัดถนี่
พนสณฑ์ถอนริมฝีปากออกจากการครอบครอง เมื่อหล่อนดิ้นอึกอัก ราวกับหายใจแทบไม่ทัน แต่ยังไม่ผละไปจากผิวแก้มและปลายคางมน
“คุณสณฑ์คะ”
“หืม” เขาขานรับในลำคอเพราะปากไม่ว่าง มือแกร่งกอดรัดเอวบางกระชับกับอกเปลือยเปล่าของตนจนแนบสนิท
“ปล่อยค่ะ เดี๋ยวใครโผล่เข้ามาเห็นเข้า” หล่อนบอกเสียงแผ่วๆ เขาเลื่อนปลายนิ้วขึ้นมาที่หน้าท้องแบนราบและหยอกเอินกับผิวเนียนนุ่มบริเวณนั้น
“คิดถึงกระท่อมของเราจังเลยนะ เราอยากจะกอดจะจูบกันยังไงก็ไม่มีใครมากวน”
“คุณสณฑ์”
“คุณทำให้ผมชอบชีวิตแบบนั้น”
“คุณสณฑ์กำลังสนุกกระมังคะ พอนานเข้าก็อาจจะเบื่อ ความจนมันไม่น่าปรารถนานักหรอกค่ะ”
“ไม่รู้สิ ผมชอบอยู่ใกล้ๆ คุณ”
“ก็เหมือนกันนั่นล่ะค่ะ ลูกแก้วยังเป็นของเล่นใหม่สำหรับคุณอยู่ เดี๋ยวคุณก็คงเบื่อ และอีกไม่นานลูกแก้วก็ต้องไป” หล่อนมีน้ำเสียงเหมือนพยายามปลงมากกว่าจะน้อยเนื้อต่ำใจ
นี่เมียเขาเตรียมตัว เตรียมใจจากเขาแล้วหรือนี่ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เป็นอะไรกันสักนิดนี่น่ะนะ
“เด็กบ้า” เขาว่า รวบท้ายทอยมนให้แหงนเงยรับจุมพิตเร่าร้อนจากเขาอีกครั้ง คราวนี้เขาอยากให้หล่อนได้จดจำว่าเขาต้องการหล่อนมากแค่ไหน และหล่อนไม่มีสิทธิ์คิดทิ้งเขาไป
คนอย่างพนสณฑ์เคยแต่ทิ้งผู้หญิง ยังไม่เคยโดนผู้หญิงทิ้งสักที
“นายครับ...ชะอุ๊ย ดะ...เดี๋ยว เดี๋ยวมาใหม่” ประตูเปิดพร้อมๆ กับเสียงร่าเริงเกินเหตุของผู้มาใหม่ แล้วก็ทำเสียงอึกๆ อักๆ งับประตูแล้วผลุบหายออกไปยิ้มแหยๆ ให้คนที่สาวเท้าตามมาด้วย
“สักครู่ครับป๋า นายแม่ เอ่อ นายยังไม่เรียบร้อย”
“พยาบาลมาเช็ดตัวเหรอ”
“เปล่าครับ อยู่กับคุณลูกแก้ว เอ่อ”
“อุ๊ย น่ารัก เมียเช็ดตัวให้ งั้นรอๆ อย่าไปกวนเขาเลยนะคะป๋า”
“แม่นี่แปลก ใครๆ เขามีลูกชายคนเดียวมักจะหวง แม่ทำท่าอยากจะยกมันให้ผู้หญิงเสียไวๆ”
“แหม ก็ป๋าไม่อยากอุ้มหลานหรือไงจ๊ะ ในเมื่อเราห้ามลูกให้ไปเล่นอะไรผาดโผนเป็นหนุ่มโสดไปวันๆ ไม่ได้ ก็ต้องหาห่วงดีๆ มาผูกคอสักคน”
“ลูกนะแม่ ไม่ใช่หมา” ป๋าหัวเราะเสียงดังลั่น ไม่นานประตูห้องคนป่วยก็เปิดออกช้าๆ ร่างอรชร ดวงหน้าแดงก่ำ ทั้งๆ ที่พยายามข่มความเขินอายไว้แล้วออกมายืน หล่อนประนมมือไหว้ผู้สูงวัยทั้งสอง ไม่ยอมหันไปมองช่างชัยที่ยืนสงบปากสงบคำอยู่ด้านหลัง
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีลูก หนูชื่อรุจิรัตน์หรือจ๊ะ ดีใจจริงที่ได้เจอกันเสียที”
“ใช่ค่ะ เชิญด้านในค่ะท่าน”
“เป็นยังไงไอ้เสือ แหมแผลก็ไม่มี มานอนแซ่วสำออยอยู่โรง’บาลทำไม” เสียงผู้เป็นบิดาดังก้องนำมาก่อน พนสณฑ์ส่งยิ้มเหี้ยมๆ ทะลุไปยังช่างชัยที่ยืนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ผมอาจจะช้ำในก็ได้นี่ป๋า แม่ครับคิดถึงจัง มากอดหน่อย” เขาอ้าแขนกว้างรับร่างบอบบางของสตรีวัยห้าสิบต้นๆ ใบหน้าคมคายนั้นละม้ายกัน
“คิดถึงเหมือนกันลูก กลับบ้านเราไหม” ผู้เป็นมารดา แม้จะเป็นคนเข้มแข็งก็ยังอดน้ำตาซึมไม่ได้เมื่อเห็นสภาพลูกต้องนอนโรงพยาบาล
“ยังงั้นผมก็เจ็บตัวฟรีน่ะสิครับ ต้องกลับไปเอาคืนก่อนสิฮะ ป๋า เกมของเจ้าสัวนี่ท่าทางจะสนุกดีนะครับ”
“เออ ระวังตัวไว้ด้วย”
“ครับ เมียจ๋ามานี่หน่อย” พนสณฑ์แกล้งเรียกเสียงดังๆ ร่างบางสะดุ้ง
ทำไมเขาไม่ให้เกียรติกันบ้างเลยนะ
“พ่อครับแม่ครับนี่รุจิรัตน์ภรรยาของผม จดทะเบียนกันแล้วตามที่เจ้าสัวสั่ง แต่อย่าถามว่าจะมีลูกกันหรือยัง นั่นไม่ใช่ความผิดของผม”
“คุณสณฑ์คะ”
“ทำไมล่ะลูก” คุณพจนีย์เอ่ยถามสีหน้าจริงจัง นางอยากอุ้มหลานเต็มทน
“คุณสณฑ์คงล้อเล่นน่ะค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะท่าน”
“อย่าเรียกท่านเลยลูก เรียกแม่กับป๋าเหมือนพี่เขาดีกว่า ลำบาก
มากไหมที่ไร่ แม่ยังไม่เคยเห็นสักที”
“ไม่ลำบากหรอกค่ะ ไร่สวย กำลังไปได้ดีค่ะ”
“งั้นเหรอ” ผู้เป็นมารดาเข้าใจชวนคุยออกนอกเรื่องใกล้ตัวที่ทำให้ลูกสะใภ้สาวอึดอัด นานเข้าเสียงหวานใสก็เริ่มเจื้อยแจ้ว เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องเจ้าลูกๆ ของแม่แดง
“แหม น่าสนุกนะคะ ว่างๆ แม่กับป๋าจะไปเยี่ยม ตอนนี้ยังไปไม่ได้ เจ้าสัวท่านห้ามไม่ให้พ่อแม่เข้าไปยุ่งด้วยมากนัก แม่ละเหนื่อยใจกับเรื่องท่ามาก ของพวกผู้ชาย”
“จริงด้วยนะคะ ลูกแก้วก็อยากให้คุณแม่ได้ไปเห็น ด้านท้ายไร่ของเรามีธารน้ำจากน้ำตกในอุทยานแห่งชาติไหลผ่าน น้ำใสเย็นสบาย น่าเล่นมากทีเดียวค่ะ”
“หรือจ๊ะ น่าทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวนะ”
“นั่นสิคะ แหมดีเหมือนกัน นะคะคุณสณฑ์”
หล่อนหันมาถามความเห็นเขาทันควัน พนสณฑ์กำลังเพลินกับการจินตนาการถึงเรือนร่างอรชรของภรรยาในธารน้ำใสแจ๋ว ทำให้เขาอึกอัก ตามเรื่องไม่ทัน
“ครับๆ แล้วแต่จะมีบัญชาฮะ” เขารับคำกลบเกลื่อน ดวงตาหวานเชื่อมเปล่งประกาย หล่อนยิ้มให้เขาทีนึงทำเอาคนป่วยใจละลายไปเลยทีเดียว
“แม่กลับกันเหอะ ดึกแล้ว” ป๋าประพจน์กระแอมกระไอ
“อ้าวเหรอคะ กำลังคุยกับลูกสาวคนใหม่สนุกๆ เออ ไปค้างบ้านแม่ไหมลูก สักสามสี่วันเดี๋ยวให้คนรถมาส่ง”
“แม่ครับ” เสียงลูกชายขัดขึ้น หน้ามุ่ย นางพจนีย์หัวเราะคิกอย่างกับสาวๆ
“แม่พูดเล่น ใครจะพรากผัวพรากเมียเขาได้ลงคอ ลูกแก้วจ๋า แม่ขนของแห้ง ของกินเล่นมาฝากเยอะแยะเลย อยู่ในลังด้านนอก เดี๋ยวจะให้สามารถยกใส่รถขนไปให้ที่ไร่นะจ๊ะ”
“ขอบคุณค่ะ ครั้งที่แล้วที่คุณแม่ฝากมากับช่างชัยก็ยังมีเหลือ ลูกแก้วแจกจ่ายครอบครัวคนงานไปบ้างแล้วค่ะ แล้วก็ทำอาหารเลี้ยงบ้าง”
“ดีแล้วลูก ทำธุรกิจต้องซื้อใจลูกน้องไว้ดีๆ เขารักเราก็จะทุ่มเททำงานให้ดีด้วย แม่กับป๋าไปก่อนนะสณฑ์ ดูแลตัวเองกับเมียให้ดีนะลูก”
“แหม นึกว่าแม่จะไม่ลาผมเสียอีก เห็นคุยกันติดพันไม่ได้หยุด”
“เอ๊ะ เจ้าลูกคนนี้ อิจฉาได้กระทั่งเมียตัวเอง หายไวๆ นะลูกรักของแม่”
นางพจนีย์ก้มลงจุมพิตหน้าผากลูกชายโข่งได้อย่างไม่เคอะเขิน ป๋ากลอกตาไปมา เดินไปแกล้งตบไหล่ลูกชายเบาๆ แล้วก็ยิ้มด้วยความเมตตาให้ลูกสะใภ้ก่อนจะเดินตามชัยออกไปนอกห้อง
*********************
ประกาศจ้า
พ่อสณฑ์กับหนูลูกแก้วเปิดสั่งจองในราคาพิเศษถึงวันที่ 9 เมษายน 2561 ซึ่งก็คือวันนี้วันสุดท้ายแล้วจ้า ถ้าชื่นชอบฝากอุดหนุนเป็นกำลังใจให้คุณหอมดึกด้วยนะคะนักอ่านเว็บเลิฟทุกท่าน ^O^
สั่งจองได้ 3 ช่องทาง
-ร้านนิยายรัก.com และร้านbooksforfun
-inbox หาแอดมินเพจ ‘ปลายปากกา สำนักพิมพ์’
-เมล์สำนักพิมพ์ plaipakkabooks@gmail.com
ราคารอบ pre-order 299 บาท (จากราคาปก 329 บาท)
ส่งแบบลงทะเบียน 40 บาท (รวมเป็น 339 บาท)
ส่งแบบ ems 60 บาท (รวมเป็น 359 บาท)
**วิธีสั่งจอง แจ้งชื่อเรื่อง+จำนวน+วิธีจัดส่ง**
รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ในเพจ ‘ปลายปากกา สำนักพิมพ์’
ส่วนรูปแบบ eBook วางจำหน่ายหลังปิดจองจ้า
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ
“เจ้าสัวแจ้งมาเมื่อครู่ว่าคุณพนสณฑ์ได้รับบาดเจ็บมา นอนลงเลยครับ พยาบาลช่วยยกขาหน่อย”
“ผมไม่เป็นอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก”
พนสณฑ์มองเตียงพยาบาลด้วยใบหน้าเรียบเฉย ชื่อเจ้าสัวผู้เป็นปู่ทำให้อารมณ์เดือดปุดขึ้นมาอีก นายแพทย์นายนั้นมีอาการลังเล
“ทำตามที่คุณหมอบอกเถอะค่ะ คุณสณฑ์จะได้ไปตรวจไวๆ นะคะ” มือบางแตะลงที่ต้นแขนแกร่ง ที่เริ่มปวดร้าวขึ้นมาบ้าง รุจิรัตน์อ้อนวอนเขาด้วยสายตาจนอีกฝ่ายยอมเอนกายลงกับเตียงพยาบาลแต่โดยดี นิ้วแกร่งส่งสัญญาณเรียกสมบัติให้เข้ามาหาใกล้ๆ
“เอ็งไปทำแผลเสียด้วย แล้วไปดูทีว่ามีใครโดนยิงเข้ามารักษาหรือเปล่า” เสียงเข้มต่ำได้ยินกันแค่สองคน สมบัติพยักหน้า แยกออกไปกับบุรุษพยาบาลอีกคน
“เจ้าสัวท่านต่อสายตรงมาที่โรงพยาบาลครับ ผมจึงได้เตรียมการไว้ให้แล้ว ขออภัยที่อาจจะไม่ค่อยสะดวกนักโรงพยาบาลเรายังเล็กครับ แต่เมื่อก่อนแย่กว่านี้มาก ดีที่เจ้าสัวท่านบริจาคเงินสร้างตึกพักผู้ป่วย แล้วยังบริจาคเครื่องมือแพทย์สำคัญๆ อีกหลายรายการ” นายแพทย์ผู้นั้นมีนามว่าวสันต์ เขาใส่แว่นตาโต ท่าทางเย็นๆ สุขุมเรียบร้อย พนสณฑ์หลับตาสนิทมือกุมมือบางไม่ยอมปล่อย รุจิรัตน์จึงได้ยิ้มบางๆ ให้นายแพทย์หนุ่มใหญ่
“ขอบพระคุณคุณหมอมากนะคะที่เตรียมการทุกอย่างไว้ให้”
“ไม่เป็นไรครับ คุณคงเป็นคุณรุจิรัตน์กระมังครับ”
“ค่ะ”
“ไม่ต้องห่วงนะครับ หมอจะดูแลให้เป็นอย่างดี เชิญคุณรุจิรัตน์รอหน้าห้องตรวจครับ”
“เดี๋ยว ใส่ชุดปลอดเชื้อเข้าไปด้วยไม่ได้หรือ” คนป่วยท้วง
“เอ่อ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณหมอ เชิญค่ะ” รุจิรัตน์หน้าแดงก่ำ นึกๆ ก็อยากจะหยิกมือคร้ามที่กุมมือหล่อนไว้แน่นราวกับตีนตุ๊กแก
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณพนสณฑ์ แค่ตรวจเอ็กซเรย์เท่านั้น”
“ผมไม่ได้ห่วงตัวเอง ผมห่วงเมียผมต่างหาก” คนไม่นิยมโดนขัดใจพูดเสียงห้วน นายแพทย์หนุ่มทำหน้าแหยๆ รุจิรัตน์หันซ้ายหันขวาไปพบช่างชดเข้า จึงเอ่ยขึ้นว่า
“นั่นไงคะ ช่างชดมาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ จะรออยู่ตรงนี้ล่ะ นะคะ” หล่อนข่มใจเต็มที่ คิดว่าหากเขางอแงอีกนิดเดียวหล่อนจะฟาดให้
“งั้นก็ได้ ชดดูนายหญิงด้วย ไอ้ชัยมันหายหัวไปไหน นายจะเป็นจะตายไม่มาดูดี เดี๋ยวไล่ออกเสียเลย”
“กำลังบึ่งมาครับนาย ป๋ากับนายแม่ จะมาด้วย”
“โอ๊ย ยุ่งฉิบหาย” คนป่วยร้อง ก่อนจะถูกเข็นเข้าไปในห้องตรวจ รุจิรัตน์สบตาลุงชดยิ้มๆ ทรุดตัวลงนั่งที่ม้านั่งหน้าห้องตรวจ
“เป็นอย่างนี้เสมอแหละครับ คุณสณฑ์เป็นคนแข็งแรง แต่พอป่วยทีก็หนัก งอแง นายแม่ลำบากเลยล่ะ ตอนนี้มาเป็นนายหญิงแทน”
“ไม่น่าดื้อนะคะ ตัวก็ออกโต”
“โอ๊ย ใจนิดเดียวเท่านั้นแหละครับลูกชายคนเดียวนี่นา ชอบกีฬา
ผาดโผน ยิงนกตกปลา แข่งรถ สารพัด ทำได้ทุกอย่าง อุบัติเหตุนี่ไม่ต้องพูดถึง ถ้าไม่กระดูกแข็งคงเสร็จไปนานแล้ว”
“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ” รุจิรัตน์นึกภาพเกเรๆ ของสามีของตนแล้วก็อมยิ้ม
“แต่กับลูกน้องนี่ถึงไหนถึงกันนะครับ ได้เชื้อป๋ามาเต็มๆ รักลูกน้องเท่าๆ กับคนในครอบครัว พวกผมถึงไม่ไปไหน อยู่กันมาตั้งแต่คุณสณฑ์ยังเด็ก”
“เหรอคะ ดีจัง ถึงเป็นลูกคนเดียวคุณสณฑ์ก็คงไม่เหงา ไม่เหมือนลูกแก้วนะคะ หาเพื่อนจริงๆ แทบไม่มีสักคน ไม่มีใครอยากคบหาลูกสาวนักพนันหรอกค่ะ เขากลัวลูกแก้วไปยืมเงินมาใช้หนี้ให้พ่อ” เล่าไปดวงตากลมโตก็คลอด้วยน้ำอุ่นใส หล่อนใช้หลังมือเช็ดลวกๆ
“ลุงรู้จักพ่อของนายหญิง หมวดเรืองโรจน์”
“จริงเหรอคะ” ดวงตางามเบิกกว้าง
“ครับ แกเคยเป็นนายตำรวจที่สถานีตำรวจแถวอู่ของป๋าประพจน์นั่นล่ะ ตอนนั้นคุณคงเพิ่งเกิดกระมัง หมวดมาที่อู่บ่อยๆ”
“ไปยืมเงินใช่ไหมคะ ตอนนั้นพ่อติดการพนันมากไหมคะ” รุจิรัตน์ดวงตาสลด
“ก็ครับ แต่ติดไม่มาก แกเป็นคนอัธยาศัยดี ต่อมาแกย้ายเข้ากรุงเทพฯ แล้วก็หายไปเลย คุณหนูเป็นยังไงบ้างครับ”
“พ่อโดนออกจากราชการค่ะ แม่ล้มป่วยแล้วก็จากไป เหลือลูกแก้วกับพ่อสองคน เราก็อยู่กันอย่างลุ่มๆ ดอนๆ มาเรื่อยๆ พ่อก็คงมีหนี้มากจนหาเงินมาใช้ไม่ทัน เราไม่คิดจะขายบ้าน เพราะเป็นสมบัติที่แม่เหลือไว้ให้ลูกแก้ว พ่อก็เลยยกลูกแก้วให้คุณสณฑ์เพื่อใช้หนี้เจ้าสัว” น้ำเสียงสั่นเครือบอกเล่าเรื่องราวง่ายๆ ช่างชดมองดวงหน้าน้อยๆ ด้วยความสงสาร บางครั้งพ่อแม่ก็ทำบาปทำกรรมกับลูกมากมายเหลือเกิน แม้กระทั่งลูกที่แสนน่ารักอย่างนี้
“อ้าว ออกมาแล้วครับ…เป็นยังไงบ้างครับนาย”
ช่างชดเห็นพนสณฑ์ออกมาจากห้องตรวจก็รีบลุกไปหา
“สบายตามเคยน่ะสิลุง กระดูกแข็งขนาดนี้ไม่ต้องห่วง”
“แต่หมอขอให้ค้างที่โรงพยาบาลสักคืนนะครับ รอดูอาการก่อน หมอกลัวการกระแทกอาจจะช้ำใน” นายแพทย์ผู้นั้นดูเกรงอกเกรงใจอยู่มาก
“ผมบอกหมอว่าขอออกมาถามเมียก่อน” พนสณฑ์โยนเผือกร้อนใส่มือ ‘เมีย’ ทุกสายตาเลยจ้องมองมาทางรุจิรัตน์ยิ้มๆ
“ว่าไงครับ จะค้างโรงพยาบาลดีไหม ความจริงผมก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก กลับไปนอนเตียงนุ่มๆ ที่บ้านไร่ของเราดีกว่า”
“คุณสณฑ์เชื่อหมอค้างสักคืน นะคะ” รุจิรัตน์เอ่ยเสียงหวานแหลม เฉียบขาด ดวงตาวาววับราวแม่แมวดุๆ แสนสวยตัวหนึ่งทำให้ทุกคนเบือนหน้าไปยิ้มกันคนละทางสองทาง
“ห้องพิเศษเตรียมไว้แล้วค่ะหมอ” นางพยาบาลเดินเข้ามาบอก
“อ้าว สมบัติมานั่นแล้วค่ะ เป็นยังไงบ้างจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรมากครับ แค่ฟกช้ำ ไหล่เคลื่อนนิดหน่อย หมอฉีดยากับให้ยามาแล้ว นายเป็นยังไงบ้างครับ”
“ท่านว่าให้นอนโรงพยาบาลหนึ่งคืน” นายทำหน้าบึ้ง
“ให้ผมเฝ้าไหมครับ ผมไม่เป็นไรมาก”
“มันเรื่องอะไรของเอ็ง” นายถลึงตาใส่ สมบัติยิ้มแหยๆ
“ไป ข้าจะไปส่งที่ไร่ เดี๋ยวผมกลับมาพร้อมสามารถ จะเอาเสื้อผ้ามาให้นายกับนายหญิงด้วยนะครับ” ช่างชดว่า
“ขอบใจจ้ะ เสื้อผ้าสำหรับเดินทางของฉันกับคุณสณฑ์มีในเป้สีแดงดำวางไว้ข้างตู้เสื้อผ้านะจ๊ะ”
“ครับ”
“นายครับ มีคนโดนปืนลั่นใส่ไหล่ มารักษาตัวคนนึง ผมตามไปดู มันทำแผลรับยาแล้วก็ลากกันออกไปแล้ว”
“อืม ไม่เป็นไร เดี๋ยวให้ชัยหาคนไปสืบดู เอ็งไปพักผ่อนเถอะ ป่าน นี้พ่อแม่ห่วงแย่แล้ว ฝากไร่ด้วย”
“ครับนาย”
*****************
ในห้องพักคนป่วยซึ่งเป็นห้องพิเศษนั้น ห่างไกลจากคำว่าห้องพิเศษที่พนสณฑ์เคยสัมผัสในโรงพยาบาลระดับประเทศที่ค่าห้องเหยียบเลขห้าหลักขึ้นไปมาก แต่ก็สะอาดสะอ้าน กะทัดรัด มีโทรทัศน์ให้หนึ่งเครื่อง โต๊ะรับแขกเล็กๆ โซฟาที่คนเฝ้าไข้ใช้นอนพักผ่อนได้ ตู้เย็นและห้องน้ำในตัว พยาบาลเข็นรถเข็นใส่อาหารคนป่วยมื้อเย็นมาให้ ก่อนจะแจกแจงรายการยาให้คนเฝ้าไข้ฟังแล้วก็กลับออกไป
“ใครเป็นคนกำหนดนะว่าอาหารคนป่วยต้องเป็นข้าวต้มแฉะๆ แกงจืดๆ ผัดผักกับส้มสองผล กินแบบนี้จะมีแรงที่ไหนกัน”
“ร่างกายไม่แข็งแรงก็ต้องทานอาหารอ่อนๆ สิคะ”
รุจิรัตน์เลื่อนถาดอาหารมาใกล้คนป่วย ปรับเตียงนอนให้นั่งสบาย
“ดูทีวีไหมคะ”
“เปิดทิ้งไว้ก็ได้ครับ”
เขาบอกยิ้มๆ หล่อนหยิบจับอะไรรวดเร็วนิ่มนวลน่ามองไปหมด
“ทานข้าวด้วยกันเถอะ”
“ทานเถอะค่ะ เดี๋ยวลูกแก้วออกไปหาอะไรอร่อยๆ หน้าโรงพยาบาลทานทีหลังก็ได้”
“ไม่ได้นะ อย่าออกไปคนเดียว อันตราย”
“คุณสณฑ์”
“เชื่อผมเถอะ มาช่วยผมกินนี่ดีกว่า เดี๋ยวไอ้ชัยมามันก็หอบมาเอง นายแม่กับป๋าจะมาด้วยนี่ สงสัยอยากมาดูหน้าลูกสะใภ้”
“พวกท่านมาเยี่ยมคุณต่างหากล่ะคะ” หล่อนค้อนให้ ยามเขายั่วล้อหัวใจก็ชุ่มฉ่ำดีอยู่หรอก แต่พอมานึกถึงความเป็นจริงแล้วหล่อนก็อดปวดแปลบในใจไม่ได้ รุจิรัตน์ไม่ได้พยายามจับจดกับชะตาชีวิตของตน แต่หล่อนต้องการเตือนใจตัวเองไว้ก่อนที่จะเจ็บไปมากกว่านี้
อีกไม่กี่เดือนหล่อนก็ต้องออกจากชีวิตเขาไปแล้ว
“คุณเป็นอะไร”
“เปล่าค่ะ”
“โกหกไม่เก่ง ตาบอกหมดเลย มาป้อนข้าวผมเสียดีๆ ใครบอกให้บังคับให้ค้างโรงพยาบาล อุตส่าห์สั่งเตียงนุ่มๆ หนาๆ มาทั้งที ก็ไม่ได้ใช้ เฮ้อ อุบ!”
“ทานข้าวค่ะ ห้ามพูด”
หล่อนตักอาหารจ่อริมฝีปากอิ่มหนาสีสดอย่างคนสุขภาพดี เขาอ้าปากรับ เคี้ยวข้าวไปละเลียดหน้าหวานๆ ของอีกฝ่ายไปด้วย เผลอนิดเดียวข้าวต้มก็หมดถ้วย ตามด้วยแกงจืดนิดหน่อย
“โอย อิ่ม”
“น้ำค่ะ...ยาค่ะ” เขาอ้าปากรับสิ่งที่หล่อนเอามาจ่ออย่างว่าง่าย
“ง่วงหรือยังคะ ทาแป้งหน่อยไหมจะได้ไม่เหนียวตัว” หล่อนพบขวดแป้งเล็กๆ ที่พยาบาลเตรียมไว้ให้พร้อมหวีและเครื่องใช้ส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ
“ทาให้หน่อยสิครับ” หล่อนเสหลบสายตาฉ่ำๆ ที่จ้องมองมาไม่วางหยิบขวดแป้งเด็กมาเทใส่ผ่ามือ เดินไปด้านหลังเขาแล้วเลิกชายเสื้อคนป่วยขึ้นจนเปิดแผ่นหลังกว้างสีอ่อนกว่าเนื้อนอกร่มผ้า บางจุดมีรอยฟกช้ำ
หล่อนค่อยๆ ลูบไล้มือไปตามแผ่นหลังกว้าง แนวสันหลัง ลาดไหล่และบริเวณหลังคอแกร่ง ก่อนจะหันมาประจันหน้ากับเขา มือเล็กแกะกระดุมเสื้ออย่างตั้งอกตั้งใจ แต่กระนั้นก็ยังยากเย็นจนน่าหงุดหงิด ท้ายที่สุดหล่อนก็แบะเสื้อออกจนเห็นแผ่นอกกว้าง หนั่นแน่นด้วยมัดกล้ามของชายหนุ่มวัยเลยเบญจเพสมาไม่กี่ปี
รุจิรัตน์รู้สึกถึงลมหายใจร้อนๆ กับอาการสะท้อนขึ้นลงอย่างน่ากลัวของอกว้าง หล่อนรีบกลั้นใจลูบๆ ไล้ๆ แป้งฝุ่นลงไป จากใต้ซอกคอ ใต้วงแขน หน้าอกกว้าง ไล่ต่ำลงมาที่กล้ามเนื้อหน้าท้องแบนราบ อาการเกร็งแขม่วหน้าท้องอย่างแรงเกิดขึ้นเมื่อมือบางวางลงบนรอยช้ำบริเวณนั้น
“เจ็บหรือคะ” หล่อนชะงักมือ เงยหน้าขึ้นมองสบตาเขา
“เปล่า ผม เอ่อ ไม่ไหวแล้ว” เขาพูดเสียงขาดกระท่อนกระแท่น สองมือประคองดวงหน้าเล็กๆ ในอุ้งมือ ตวัดสายตามองริมฝีปากอิ่มก่อนจะฉกเรียวปากตัวเองลงมาประกบอย่างเร่าร้อน สองมือบีบปลายคางจิ้มลิ้มเบาๆ ทำให้หล่อนเผยอปากรับจุมพิตดื่มด่ำนั้นอย่างถนัดถนี่
พนสณฑ์ถอนริมฝีปากออกจากการครอบครอง เมื่อหล่อนดิ้นอึกอัก ราวกับหายใจแทบไม่ทัน แต่ยังไม่ผละไปจากผิวแก้มและปลายคางมน
“คุณสณฑ์คะ”
“หืม” เขาขานรับในลำคอเพราะปากไม่ว่าง มือแกร่งกอดรัดเอวบางกระชับกับอกเปลือยเปล่าของตนจนแนบสนิท
“ปล่อยค่ะ เดี๋ยวใครโผล่เข้ามาเห็นเข้า” หล่อนบอกเสียงแผ่วๆ เขาเลื่อนปลายนิ้วขึ้นมาที่หน้าท้องแบนราบและหยอกเอินกับผิวเนียนนุ่มบริเวณนั้น
“คิดถึงกระท่อมของเราจังเลยนะ เราอยากจะกอดจะจูบกันยังไงก็ไม่มีใครมากวน”
“คุณสณฑ์”
“คุณทำให้ผมชอบชีวิตแบบนั้น”
“คุณสณฑ์กำลังสนุกกระมังคะ พอนานเข้าก็อาจจะเบื่อ ความจนมันไม่น่าปรารถนานักหรอกค่ะ”
“ไม่รู้สิ ผมชอบอยู่ใกล้ๆ คุณ”
“ก็เหมือนกันนั่นล่ะค่ะ ลูกแก้วยังเป็นของเล่นใหม่สำหรับคุณอยู่ เดี๋ยวคุณก็คงเบื่อ และอีกไม่นานลูกแก้วก็ต้องไป” หล่อนมีน้ำเสียงเหมือนพยายามปลงมากกว่าจะน้อยเนื้อต่ำใจ
นี่เมียเขาเตรียมตัว เตรียมใจจากเขาแล้วหรือนี่ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เป็นอะไรกันสักนิดนี่น่ะนะ
“เด็กบ้า” เขาว่า รวบท้ายทอยมนให้แหงนเงยรับจุมพิตเร่าร้อนจากเขาอีกครั้ง คราวนี้เขาอยากให้หล่อนได้จดจำว่าเขาต้องการหล่อนมากแค่ไหน และหล่อนไม่มีสิทธิ์คิดทิ้งเขาไป
คนอย่างพนสณฑ์เคยแต่ทิ้งผู้หญิง ยังไม่เคยโดนผู้หญิงทิ้งสักที
“นายครับ...ชะอุ๊ย ดะ...เดี๋ยว เดี๋ยวมาใหม่” ประตูเปิดพร้อมๆ กับเสียงร่าเริงเกินเหตุของผู้มาใหม่ แล้วก็ทำเสียงอึกๆ อักๆ งับประตูแล้วผลุบหายออกไปยิ้มแหยๆ ให้คนที่สาวเท้าตามมาด้วย
“สักครู่ครับป๋า นายแม่ เอ่อ นายยังไม่เรียบร้อย”
“พยาบาลมาเช็ดตัวเหรอ”
“เปล่าครับ อยู่กับคุณลูกแก้ว เอ่อ”
“อุ๊ย น่ารัก เมียเช็ดตัวให้ งั้นรอๆ อย่าไปกวนเขาเลยนะคะป๋า”
“แม่นี่แปลก ใครๆ เขามีลูกชายคนเดียวมักจะหวง แม่ทำท่าอยากจะยกมันให้ผู้หญิงเสียไวๆ”
“แหม ก็ป๋าไม่อยากอุ้มหลานหรือไงจ๊ะ ในเมื่อเราห้ามลูกให้ไปเล่นอะไรผาดโผนเป็นหนุ่มโสดไปวันๆ ไม่ได้ ก็ต้องหาห่วงดีๆ มาผูกคอสักคน”
“ลูกนะแม่ ไม่ใช่หมา” ป๋าหัวเราะเสียงดังลั่น ไม่นานประตูห้องคนป่วยก็เปิดออกช้าๆ ร่างอรชร ดวงหน้าแดงก่ำ ทั้งๆ ที่พยายามข่มความเขินอายไว้แล้วออกมายืน หล่อนประนมมือไหว้ผู้สูงวัยทั้งสอง ไม่ยอมหันไปมองช่างชัยที่ยืนสงบปากสงบคำอยู่ด้านหลัง
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีลูก หนูชื่อรุจิรัตน์หรือจ๊ะ ดีใจจริงที่ได้เจอกันเสียที”
“ใช่ค่ะ เชิญด้านในค่ะท่าน”
“เป็นยังไงไอ้เสือ แหมแผลก็ไม่มี มานอนแซ่วสำออยอยู่โรง’บาลทำไม” เสียงผู้เป็นบิดาดังก้องนำมาก่อน พนสณฑ์ส่งยิ้มเหี้ยมๆ ทะลุไปยังช่างชัยที่ยืนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ผมอาจจะช้ำในก็ได้นี่ป๋า แม่ครับคิดถึงจัง มากอดหน่อย” เขาอ้าแขนกว้างรับร่างบอบบางของสตรีวัยห้าสิบต้นๆ ใบหน้าคมคายนั้นละม้ายกัน
“คิดถึงเหมือนกันลูก กลับบ้านเราไหม” ผู้เป็นมารดา แม้จะเป็นคนเข้มแข็งก็ยังอดน้ำตาซึมไม่ได้เมื่อเห็นสภาพลูกต้องนอนโรงพยาบาล
“ยังงั้นผมก็เจ็บตัวฟรีน่ะสิครับ ต้องกลับไปเอาคืนก่อนสิฮะ ป๋า เกมของเจ้าสัวนี่ท่าทางจะสนุกดีนะครับ”
“เออ ระวังตัวไว้ด้วย”
“ครับ เมียจ๋ามานี่หน่อย” พนสณฑ์แกล้งเรียกเสียงดังๆ ร่างบางสะดุ้ง
ทำไมเขาไม่ให้เกียรติกันบ้างเลยนะ
“พ่อครับแม่ครับนี่รุจิรัตน์ภรรยาของผม จดทะเบียนกันแล้วตามที่เจ้าสัวสั่ง แต่อย่าถามว่าจะมีลูกกันหรือยัง นั่นไม่ใช่ความผิดของผม”
“คุณสณฑ์คะ”
“ทำไมล่ะลูก” คุณพจนีย์เอ่ยถามสีหน้าจริงจัง นางอยากอุ้มหลานเต็มทน
“คุณสณฑ์คงล้อเล่นน่ะค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะท่าน”
“อย่าเรียกท่านเลยลูก เรียกแม่กับป๋าเหมือนพี่เขาดีกว่า ลำบาก
มากไหมที่ไร่ แม่ยังไม่เคยเห็นสักที”
“ไม่ลำบากหรอกค่ะ ไร่สวย กำลังไปได้ดีค่ะ”
“งั้นเหรอ” ผู้เป็นมารดาเข้าใจชวนคุยออกนอกเรื่องใกล้ตัวที่ทำให้ลูกสะใภ้สาวอึดอัด นานเข้าเสียงหวานใสก็เริ่มเจื้อยแจ้ว เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องเจ้าลูกๆ ของแม่แดง
“แหม น่าสนุกนะคะ ว่างๆ แม่กับป๋าจะไปเยี่ยม ตอนนี้ยังไปไม่ได้ เจ้าสัวท่านห้ามไม่ให้พ่อแม่เข้าไปยุ่งด้วยมากนัก แม่ละเหนื่อยใจกับเรื่องท่ามาก ของพวกผู้ชาย”
“จริงด้วยนะคะ ลูกแก้วก็อยากให้คุณแม่ได้ไปเห็น ด้านท้ายไร่ของเรามีธารน้ำจากน้ำตกในอุทยานแห่งชาติไหลผ่าน น้ำใสเย็นสบาย น่าเล่นมากทีเดียวค่ะ”
“หรือจ๊ะ น่าทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวนะ”
“นั่นสิคะ แหมดีเหมือนกัน นะคะคุณสณฑ์”
หล่อนหันมาถามความเห็นเขาทันควัน พนสณฑ์กำลังเพลินกับการจินตนาการถึงเรือนร่างอรชรของภรรยาในธารน้ำใสแจ๋ว ทำให้เขาอึกอัก ตามเรื่องไม่ทัน
“ครับๆ แล้วแต่จะมีบัญชาฮะ” เขารับคำกลบเกลื่อน ดวงตาหวานเชื่อมเปล่งประกาย หล่อนยิ้มให้เขาทีนึงทำเอาคนป่วยใจละลายไปเลยทีเดียว
“แม่กลับกันเหอะ ดึกแล้ว” ป๋าประพจน์กระแอมกระไอ
“อ้าวเหรอคะ กำลังคุยกับลูกสาวคนใหม่สนุกๆ เออ ไปค้างบ้านแม่ไหมลูก สักสามสี่วันเดี๋ยวให้คนรถมาส่ง”
“แม่ครับ” เสียงลูกชายขัดขึ้น หน้ามุ่ย นางพจนีย์หัวเราะคิกอย่างกับสาวๆ
“แม่พูดเล่น ใครจะพรากผัวพรากเมียเขาได้ลงคอ ลูกแก้วจ๋า แม่ขนของแห้ง ของกินเล่นมาฝากเยอะแยะเลย อยู่ในลังด้านนอก เดี๋ยวจะให้สามารถยกใส่รถขนไปให้ที่ไร่นะจ๊ะ”
“ขอบคุณค่ะ ครั้งที่แล้วที่คุณแม่ฝากมากับช่างชัยก็ยังมีเหลือ ลูกแก้วแจกจ่ายครอบครัวคนงานไปบ้างแล้วค่ะ แล้วก็ทำอาหารเลี้ยงบ้าง”
“ดีแล้วลูก ทำธุรกิจต้องซื้อใจลูกน้องไว้ดีๆ เขารักเราก็จะทุ่มเททำงานให้ดีด้วย แม่กับป๋าไปก่อนนะสณฑ์ ดูแลตัวเองกับเมียให้ดีนะลูก”
“แหม นึกว่าแม่จะไม่ลาผมเสียอีก เห็นคุยกันติดพันไม่ได้หยุด”
“เอ๊ะ เจ้าลูกคนนี้ อิจฉาได้กระทั่งเมียตัวเอง หายไวๆ นะลูกรักของแม่”
นางพจนีย์ก้มลงจุมพิตหน้าผากลูกชายโข่งได้อย่างไม่เคอะเขิน ป๋ากลอกตาไปมา เดินไปแกล้งตบไหล่ลูกชายเบาๆ แล้วก็ยิ้มด้วยความเมตตาให้ลูกสะใภ้ก่อนจะเดินตามชัยออกไปนอกห้อง
*********************
ประกาศจ้า
พ่อสณฑ์กับหนูลูกแก้วเปิดสั่งจองในราคาพิเศษถึงวันที่ 9 เมษายน 2561 ซึ่งก็คือวันนี้วันสุดท้ายแล้วจ้า ถ้าชื่นชอบฝากอุดหนุนเป็นกำลังใจให้คุณหอมดึกด้วยนะคะนักอ่านเว็บเลิฟทุกท่าน ^O^
สั่งจองได้ 3 ช่องทาง
-ร้านนิยายรัก.com และร้านbooksforfun
-inbox หาแอดมินเพจ ‘ปลายปากกา สำนักพิมพ์’
-เมล์สำนักพิมพ์ plaipakkabooks@gmail.com
ราคารอบ pre-order 299 บาท (จากราคาปก 329 บาท)
ส่งแบบลงทะเบียน 40 บาท (รวมเป็น 339 บาท)
ส่งแบบ ems 60 บาท (รวมเป็น 359 บาท)
**วิธีสั่งจอง แจ้งชื่อเรื่อง+จำนวน+วิธีจัดส่ง**
รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ในเพจ ‘ปลายปากกา สำนักพิมพ์’
ส่วนรูปแบบ eBook วางจำหน่ายหลังปิดจองจ้า
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 เม.ย. 2561, 09:49:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 เม.ย. 2561, 15:02:46 น.
จำนวนการเข้าชม : 773
<< บทที่ 6 - 50% | บทที่ 7 - 40% >> |