กาลครั้งหนึ่งนั้น(ในความบังเอิญ)
เธอกับเขา ความทรงจำที่เคยมีร่วมกันมาก็แค่... อดีตกิ๊ก!
Tags: แต่งงาน,อดีต,รัก,บุพเพสันนิวาส,พรหมลิขิต

ตอน: ๒ ชนวน -จบตอน-

ศศิพิมพ์ขมวดคิ้ว เมื่อเห็นกล่องของขวัญกล่องใหญ่ถูกวางลงบนโต๊ะทำงานโดยมือสีคล้ำของผู้ชายตัวสูง หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองแล้วถามอย่างงงๆ

“ให้ลูกค้าเจ้าไหนคะ”

จิรสินไม่ตอบส่ายหน้าหากแต่ชี้นิ้วไปที่หญิงสาวแทน หล่อนเลยทำตามบ้างแบบไม่เข้าใจ ชายหนุ่มถอนใจชี้นิ้วไปที่ของขวัญแล้วเลยไปที่หญิงสาวอีกที

“ให้ฉันเหรอคะ ฝากขอบคุณคุณป้ากับป๋าด้วยแล้วกันค่ะ”

“รู้ได้ไงว่าแม่ฝากมาให้” คนที่เล่นละครใบ้เอ่ยถาม ยกมือขึ้นกอดอก

“ก็ได้อยู่ทุกปีถ้าไม่ใช่แล้วมันจะเป็นของใครล่ะคะ”

คนตอบอมยิ้มเพราะเห็นท่าทางขี้สงสัยของเจ้านายหนุ่ม

“หนูพิมพ์ไม่คิดว่าเป็นของพี่บ้างเหรอ” จิรสินแกล้งบื้อตีขลุมเอียงคอถามหน้าตาซื๊อซื่อ

“คุณสินคะ”

“พี่สิน”

“ได้ค่ะ... พี่สินพูดแบบตรงๆ เลยนะคะ คุณสมบัติของพี่ที่พิมพ์รู้ไม่ใช่น้อยๆ แล้วก็ไม่ใช่เพิ่งจะรู้จักกันวันนี้ พิมพ์เห็นและจำได้ตั้งแต่เริ่มคบกับตาใหม่ๆ มันก็เหมือนไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่นั่นแหละค่ะ ไม่ต้องมาหว่านอะไรแถวนี้หรอกเพราะ ‘เหยื่อ’ ไม่มีหลงเข้ามาให้พี่ตะครุบเล่นหรอก”

หล่อนเน้นคำว่าเหยื่ออย่างจงใจ พอจบประโยคชายหนุ่มได้ยินเสียงหัวเราะหลุดมาจากจิรสุตาเหมือนกับว่ากลั้นไม่อยู่ ส่วนคนอื่นๆปฏิกิริยาแตกต่างกันไป กัญญาและอาทิตย์มองแบบอึ้งๆ ทึ่งๆ นิชาส่ายหน้าแบบปลงๆ ส่วนไอ้ผู้ชายหน้าตี๋ที่เขาไม่ค่อยจะชอบขี้หน้าเท่าไหร่นั้น ดูดีใจจนปิดไม่อยู่แทบจะเกินหน้าเกินตาด้วยซ้ำ

“รู้สึกว่าพี่จะพูดอะไรผิดไปใช่ไหม” หลังจากทำการสำรวจผลตอบรับ ชายหนุ่มก็หันมาถาม เมื่อทำการสำรวจเรียบร้อยแล้วและได้ผลเป็นที่ค่อนข้างคาดไม่ถึง.... ยัยเด็กนี่ปากดีชะมัด!

“มั้งคะ... แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน”

หญิงสาวยิ้มมุมปากเหมือนเยาะ จิรสินมองสีหน้านั้นอย่างค้นคว้า เพราะจำได้ว่าตอนเด็กๆ ศศิพิมพ์ออกจะเรียบร้อย หัวอ่อน และที่สำคัญไม่ได้ปากดีขนาดนี้ ใบหน้าหล่อเหลากระตุกนิดหนึ่ง ก่อนจะเผยยิ้มแบบที่สาวๆ เห็นแล้วเป็นต้องละลาย

“ตอนเย็นแม่จะจัดงานเลี้ยงให้พี่ แล้วก็งานวันเกิดให้เราและทุกคนต้องไปห้ามปฏิเสธ”

ประโยคสุดท้ายชายหนุ่มหันไปบอกคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่รอบๆ แล้วหันมามองคนตรงหน้า วางมือลงบนโต๊ะก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบข้างหูหญิงสาว ศศิพิมพ์เอนตัวหลบเพื่อเว้นระยะห่างให้มากที่สุด ซึ่งมันก็ยังใกล้อยู่ดี

“พิมพ์ด้วย” คนฟังก้มหน้าซ่อนสีหน้าที่เรื่อขึ้น เม้มริมฝีปากแน่นนึกเคือง.... ผู้ชายคนนี้ร้ายกาจที่สุด!

“ว่าไง” เสียงทุ้มๆ ยังกระซิบอยู่ใกล้ๆ ไม่ยอมแพ้

“ถอยไปได้แล้วค่ะ”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเมื่อรวบรวมกำลังใจได้พักหนึ่ง และถึงสีหน้าจะยังเป็นสีจัด แต่ดวงตานั้นวาววับราวกับจ้องมองศัตรู ดวงตาสองคู่ประสานกันนิ่งอย่างไม่มีใครแพ้ใคร ทั้งๆ ที่หน้าอยู่ใกล้กันแค่คืบทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าถูกลูบคม เนื่องจากไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าจ้องตอบเขานานขนาดนี้ สีหน้าเขายิ้มแย้มแต่ตาไม่ยิ้มด้วย

“คิดว่าจะสั่งพี่ได้เหรอ”

“ไม่คิดค่ะเพราะไม่อำนาจแต่ ‘คนอื่น’ มี”

หล่อนจงใจเน้นคำว่าคนอื่นชัดเจน จิรสินยิ้มอีกอย่างไม่สะทกสะท้านต่อคำขู่ของเธอ นึกอยากกำราบความอวดดีของหญิงสาวบวกด้วยความหยิ่งจองหองอีกหนึ่งกระทง เมื่อได้ยินประโยคต่อมา

“ถ้าพี่สินอยากได้ ‘เครื่องระบายความใคร่’ หรือ ‘ผู้หญิงโง่ๆ’ ก็เชิญข้างนอกค่ะเพราะพิมพ์ไม่ใช่และพิมพ์ ‘เกลียด’ ผู้ชายเจ้าชู้ ถ้าไม่เชื่อจะลองดูก็ได้นะคะว่าจุดจบของ ‘คนงี่เง่า’ แบบนั้นมันเป็นยังไง”

ศศิพิมพ์พูดเสียงลอดไรฟัน แต่สีหน้ายังแย้มยิ้มอย่างใจเย็นถึงแม้ว่าสองข้างแก้มตอนนี้จะเป็นสีชมพูจัดก็ตาม

“หนูพิมพ์กำลังท้าพี่นะ อยากลองเล่นเกมกับพี่หรือไง”

ชายหนุ่มถามเสียงเย็นชวนขนลุกวาบเหมือนในหนังสยองขวัญทว่าหญิงสาวไม่ตอบ แต่สายตานั้นต่างหากที่แทนคำพูดได้ดี คิ้วเรียวขมวดเข้าอีกเมื่อรู้สึกว่าตอนนี้ถอยจนติดผนังแล้ว และใบหน้าของเขายิ่งใกล้เข้ามาอีก จะเป็นเพราะสวรรค์ช่วยหรือฟ้าประทานอย่างไรไม่ทราบ ธนวัฒน์ที่ยืนอึ้งกับการกระทำของว่าที่เจ้านายเมื่อครู่อดรนทนไม่ได้ โพล่งขึ้นมาดื้อๆ ท่ามกลางความโล่งอกโล่งใจของทุกคน ‘ไม่เว้นแม้แต่คนที่เป็นทั้งเพื่อนและน้องของทั้งคู่’

“คุณสิน!”

จิรสินชะงักหัวเราะหึๆ แกล้งเอาจมูกไปชนกับแก้มสีเข้มๆ นั้นอย่างจงใจ ก่อนจะผละออก ยังผลให้หญิงสาวกลายร่างไปเป็นก้อนหินแข็งทื่อไปทั้งตัวอย่างกู่ไม่กลับ ชายหนุ่มเอามือล้วงกระเป๋าเอ่ยถามแต่สายตายังจับจ้องอยู่ที่หญิงสาว

“มีอะไรครับ”

“คือ... เอ่อ... อ้อ ป๋าครับ ป๋าเรียก” ไอ้หน้าตี๋เอ่ยตอบเขาเสียงตะกุกตะกัก

“หือ ผมไม่เห็นได้ยิน” ริมฝีปากหนาแย้มออกเล็กน้อย ถ้าในยามปกติคงน่าดูไม่น้อย แต่ตอนนี้ในสายตาสี่คู่ที่จ้องมองอยู่นั้น มันคือการแสยะยิ้มของปีศาจร้าย

“พี่สิน!”

เสียงเรียกค่อนข้างห้วนของญาติผู้น้อง ที่ตอนนี้เห็นเพื่อนกลายเป็นหินทำให้ชายหนุ่มยอมถอยแต่โดยดี แต่ยังไม่วายทิ้งทวนเอากับศศิพิมพ์จนได้ เขายกมือขึ้นขยี้ผมของหญิงสาวเหมือนทำกับน้องตัวเล็กๆ เอ่ยเสียงค่อนข้างดังสัมผัสที่ได้รับชักทำให้ติดใจ

“เด็กดีจริงๆ เลย”

ศศิพิมพ์ปัดมือออกค่อนข้างแรง หน้าตาตอนนี้เรียกได้ว่าโกรธจัดจนทะลุปรอทออกนอกโลกไปแล้ว สายตาบ่งบอกว่าสงครามระหว่างเขากับเธอได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่เขาไม่สนใจหัวเราะขึ้นเบาๆ

“นุ่มจัง หอมด้วย” เท่านั้นเองผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์รอบๆ ต่างหาที่กำบังกันยกใหญ่ เมื่อปากกา คัตเตอร์ หรือแม้แต่ที่เย็บกระดาษปลิวตามแรงลม เข้าใส่ร่างสูงๆ ที่ตอนนี้หายเข้าไปในห้องทำงานของผู้เป็นพ่อ จนคนที่แปลงร่างเป็นนางยักษ์นั่งหอบแฮ่กๆ และไม่มีอะไรปาแล้วนั่นแหละเหตุการณ์จึงได้กลับเข้าสู่สภาวะปกติ

“แก ฉันขอโทษ”

เสียงเจี๊ยมเจี๋ยมของจิรสุตาดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงห่วงใยของธนวัฒน์ ที่ตอนนี้เก็บรวบรวมสรรพอาวุธที่หญิงสาวใช้เมื่อครู่มาคืนให้

“พิมพ์ เขาทำอะไรหรือเปล่า”

จากมุม และการบังทำให้คนอื่นเห็นไม่ชัด ศศิพิมพ์ที่หน้าแดงเพราะความโกรธมากพอที่จะกลบเกลื่อนความอายได้ สูดลมหายใจเข้าลึก “เปล่าค่ะพี่วัด ไม่มีอะไรก็แค่--” เธอกัดริมฝีปาก “เขาพูดจาปากหมากวนประสาทมากไปเท่านั้นเอง”

ศศิพิมพ์เหลียวไปมองจิรสุตาและยิ้มให้เจื่อนๆ

“ไม่ต้องห่วงหรอกตา แกไม่ใช่คนผิด เขาต่างหาก ทางที่ดีแกเตือนพี่ชายแกด้วยแล้วกันอย่าเข้าใกล้ฉันอีก ไม่งั้นได้เป็นขันทีสมใจแน่” คนพูดประกาศก้อง หักข้อนิ้วเสียงดังเป๊าะๆ สีหน้าทมึงถึงอย่างอาฆาต

แต่จากไทยมุงด้านนอกนั้น อาทิตย์กระซิบกับนิชา

“ไม่น่าเชื่อนะพี่ ผมเห็นคุณเขาท่าทางดีออกกะลังปลื้มๆ ที่ไหนได้ไม่นึกว่าแกจะน่ากลัวขนาดนี้”

นิชายกมือกอดอกพยักหน้ารับ

แต่กัญญาดูกระดี๊กระด๊าเป็นพิเศษ “โฮยพิมพ์ แบบตะกี้นะพี่ว่าคุณเขาดูยังไงๆ กับพิมพ์อยู่นะ คือพี่งี้หายใจแทบจะไม่ทั่วท้องแทน หน้าหล่อๆ อยู่ใกล้จนหัวใจจะวาย พอคิดขึ้นมาตอนนี้ยังเขินแทนไม่หาย--” กัญญายิ้มแห้ง เมื่อเห็นสีหน้าของบรรดาคนฟังแล้วเปลี่ยนใจบอกเสียงอ่อยๆ “แต่ก็จริงเหมือนเจ้าอาร์ว่า นิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่เนอะๆ”

คนหาพวกหันไปหานิชา ก่อนที่จะโดนรุมฐานฝักใฝ่อีกฝ่าย

จิรสุตาส่ายหน้ากับอาการบ้าหนังเกาหลีลิซึ่มของกัญญา แล้วเสียงหนักๆ ของศศิพิมพ์ก็รัวเหมือนปืนกล โดยไม่รู้เลยว่าคนถูกนินทาที่กลับออกมาได้ยินเข้าเต็มสองรูหู

“ไม่ใช่ค่อนข้างไม่ดีหรอกพี่กัญ แบบนี้เขาเรียกกันว่า ‘เลว’ เลยต่างหาก เป็นผู้ชายที่พิมพ์เกลี๊ยดเกลียดมือไว... เจ้าชู้ ปากดี... หื่นไม่เลือก คนดีแต่หน้าตา... คนไม่มีสมองเอ่อ... มีสมองแต่เก็บไว้คิดแต่เรื่องพรรค์นั้น พวกบ้ากาม พวกโรคจิตเสื่อมแบบกู่ไม่กลับ แค่คลำดูว่ามีหางหรือไม่มีเท่านั้นเอาหมด ไม่รู้ว่าจะตายอดตายอยากมาจากไหนสงสัยไปอยู่หมู่บ้านลับแลที่มีแต่ผู้ชายเท่านั้น”

ศศิพิมพ์หยุดหอบเอาอากาศเข้าปอดแต่เพียงแค่แวบเดียว แล้วหญิงสาวก็ร่ายต่ออย่างแค้นเคือง แต่จะเป็นอย่างไรนั้นมิอาจบอกได้ เมื่อทั้งคนที่ล้อมอยู่และตัวต้นเหตุอึ้งไปตั้งแต่คำว่าเลวแล้วนั่นแหละ

เกือบสิบนาทีกว่าที่พายุอารมณ์จะสงบลง พร้อมๆ กับอาการชาที่หน้าของจิรสินที่เหมือนโดนตบมาร้อยทีก็ไม่ปาน ชายหนุ่มปิดประตูลงเบาๆ กระพริบตาปริบๆ เข้ามานั่งแปะลงที่โซฟาตัวยาวที่ใช้ได้ทั้งนั่งทั้งนอนอย่างหมดแรง เอ่ยเรียกบิดาเสียงเบาวิว

“พ่อครับ”

“อะไร แล้วเมื่อกี๊นี้เสียงใครท่าทางโมโหใหญ่”

“ผมถามหน่อยยัยหนูพิมพ์ของพ่อเขาเป็นคนยังไงกันแน่ ผมจำได้ตอนที่ยังเรียนมหาลัยยัยเด็กนี่ติ๋มๆ หงิ๋มๆ นี่นา”

“ถามทำไม” คุณจิรศักดิ์ขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมอง

“เหอะน่าพ่อตอบผมมาแล้วกัน”

“เอ แกเห็นงั้นเหรอ งั้นเมื่อกี๊นั่นเสียงหนูพิมพ์ละสิ วันนี้องค์ลงเร็วจริงแหะแล้วใครโดนหางเลขล่ะ”

บิดาของชายหนุ่มตอบไปอีกเรื่อง หัวเราะเอิ๊กๆ อย่างพอใจ

“หนูพิมพ์น่ะน่ารักในเวลาปกตินะ ดีใจหายเชียวล่ะ ปรับตัวเข้ากับคนอื่นเก่ง ออดอ้อนเอาใจเป็นที่หนึ่ง ถ้าเขาทำผิดเขาไม่เคยโกรธ แต่ถ้าเมื่อไหร่เขาไม่ผิด หรือมีใครแตะตัวเขาโดยเฉพาะผู้ชายพวกมือไวน่ะ สินเอ๊ย ไม่อยากจะพูด จะหน้าอินทร์พรหมยมยักษ์ที่ไหนยัยหนูนี่ไม่สนต้องเละทุกราย” จิรศักดิ์หยุดพูดเมื่อนึกถึงอดีตแล้วกลับหัวเราะขึ้นอีกอย่างขบขัน

“แต่ก็นะอันนี้ล่ะส่วนที่น่ารักของเขาล่ะ”

เมื่อบิดาหยุด จิรสินก็เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงเร่งให้บิดาพูดต่อ

“เห็นโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้น แป๊บๆ ลืมแล้ว ลองถูกตื๊อ ถูกอ้อนเข้าหน่อย ทนได้เสียที่ไหน ใจอ่อนแพ้มารยาเจ้าน้ำตาหมดไม่ว่าจะผู้หญิงผู้ชาย” ผู้เป็นพ่อชะงักมองหน้าลูกชายเมื่อนึกได้ เพราะเห็นตั้งอกตั้งใจฟังเสียดิบดี “เฮ้ย! อย่านะเว้ย เตือนแล้วนะเว้ยไอ้สิน”

“โธ่ พ่อ อย่าทำหน้าเหมือนหัวใจจะวายงั้นซิ ผมแค่เอ็นดูเหมือนน้อง” ชายหนุ่มอมยิ้มเจ้าเล่ห์ปฏิเสธเมื่อเห็นว่าพ่อทำท่าจะตกเก้าอี้ นึกรู้ตอนนี้ล่วงข้อมูลเสร็จไปหนึ่ง เหลืออีกหนึ่งต้องตะล่อมมาเป็นพวกให้ได้

“ให้น้องนุ่งจริงๆ เถอะ ฉันเห็นแต่แกจะนุ่งหลังจากที่ถอดจนน้องล่อนจ้อนหมดแล้วนั่นแหละ”

คุณจิรศักดิ์ลุกขึ้นยืนปรายตามองเลียนแบบกิริยาที่ภรรยาชอบทำบ่อยๆ

“อยู่กันดีๆ ล่ะ แล้วเย็นๆ พาเด็กมันไปด้วย”

“พ่อจะไปไหน”

“กลับบ้านไปหาเมียเว้ย! คนไม่อยากรับผิดชอบชีวิตใครอย่างแกอย่ามาอิจฉา”

จิรสินส่ายหน้าดิ๊กพึมพำเบาๆ แต่หวังให้ลอยไปเข้าหูคนมีเมีย

“อะโธ่! กลัวเมียนี่เอง” คนที่กำลังจะเปิดประตูชะงัก หันมาอาฆาตพร้อมสาปแช่ง

“พ่อจะคอยดู ขอให้แกได้เมียดุยิ่งกว่าแม่แกแล้วกัน”

“คร้าบๆ” ลูกชายหัวเราะพอใจ โดยไม่รู้ว่าในอนาคตอันใกล้คำสาปของบิดาจะกลายเป็นความจริงขึ้นมา




ดังปัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 มี.ค. 2561, 20:21:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 มี.ค. 2561, 20:22:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 725





<< ๒ ชนวน (70%)   ๓ ผู้สมรู้ร่วมคิด (35%) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account