โอบรัก
“ทำไมพี่ชายต้องขอหมั้นกับบัวด้วย”
“ก็เพราะพี่รักบัวนะสิ”
“ไม่จริง...พี่ชายโกหก ก็พี่ชายเคยบอกว่า ไม่ชอบเด็ก”
“ก็ตอนนี้พี่เปลี่ยนใจแล้ว พี่ไม่ใช่แค่ชอบบัวนะ แต่รักแล้วก็หวงมากๆ ด้วย ต่อไปนี้พี่ขอสั่งห้
“ก็เพราะพี่รักบัวนะสิ”
“ไม่จริง...พี่ชายโกหก ก็พี่ชายเคยบอกว่า ไม่ชอบเด็ก”
“ก็ตอนนี้พี่เปลี่ยนใจแล้ว พี่ไม่ใช่แค่ชอบบัวนะ แต่รักแล้วก็หวงมากๆ ด้วย ต่อไปนี้พี่ขอสั่งห้
Tags: นิยายกุ๊กกิ๊ก ดราม่า แนวกินเด็ก
ตอน: บทที่ ๑๐ ศัตรูหมายเลขหนึ่ง
บทที่ ๑๐ ศัตรูหมายเลขหนึ่ง
รวินทร์รดาไปโรงเรียนตั้งแต่เช้า หล่อนพยายามทำตัวปกติ เมื่อเข้าไปในห้องก็พบว่า ครูประจำชั้นย้ายหล่อนไปนั่งอีกฝั่งหนึ่งแทน ที่หญิงสาวดีใจที่สุดคือ หล่อนได้นั่งติดกับผู้หญิงที่เจอในห้องน้ำ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมพูดกับหล่อนเลย อาจารย์เข้ามาสอนชั่วโมงแรก และชั่วโมงต่อไป ไม่มีใครพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เก้าอี้สามตัวด้านหลังว่างเปล่า รวินทร์รดาเดากว่า ลิลินกับพวกคนลาหยุดเพื่อรักษาแผล และนั่นทำให้หล่อนมีโอกาสได้คิด
ระหว่างที่นั่งอยู่ในห้องหญิงสาวก็รู้สึกเหมือนถูกนินทา แต่พอหันไปไม่มีใครกล้าพูดด้วย แต่เอาแต่ก้มหน้าหลบตา รวินทร์รดาเลือกที่จะเงียบ จนกระทั่งพักเที่ยง หล่อนเข้าไปในโรงอาหาร เมื่อซื้ออาหารมาก็เดินถือถาดไปนั่งที่โต๊ะ อาหารเที่ยงวันนี้เป็นสปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศที่หล่อนแสนเบื่อ เพราะกินแทบทุกวันตอนอยู่โรงเรียนประจำ ขนมปังที่ทั้งแห้งและแข็งรสชาติจืดชืด น้ำส้มรสชาติพอใช้ได้ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่า เพื่อนหญิงคนนั้นเดินเข้ามาแต่แทนที่จะนั่งด้วยกัน กลับเลือกไปนั่งอีกฝั่งหนึ่งแทน
รวินทร์รดาต้องทำอะไรสักอย่าง หล่อนต้องหาเพื่อนในโรงเรียนให้ได้ อีกไม่นานลิลินกับพวกก็จะกลับมาเรียน ทุกคนในโรงเรียนไม่กล้ายุ่งกับหล่อนยกเว้นคนนี้ หญิงสาวถือถาดไปนั่งฝั่งตรงข้าม แต่พอเงยหน้าขึ้นมา เพื่อนคนนี้ก็ลุกเดินหนี รวินทร์รดาเดินตามไปเป็นอย่างนี้อยู่สามรอบ
“เธอกำลังทำให้ฉันเดือดร้อน”
“ถ้ากลัวจริง เธอจะมาเตือนฉันทำไมหรือเดือน”
“เธอรู้จักชื่อฉันได้ยังไง”
“ฉันเห็นในสมุดเล็คเชอร์ เธอเขียนเอาไว้”
หญิงสาวก้มหน้า ตักอาหารเข้าปาก ท่าทางเหมือนไม่อยากเสวนาด้วย รวินทร์รดาไม่ยอมแพ้ หล่อนมั่นใจว่า เดือนประดับไม่เหมือนคนอื่น ไม่อย่างนั้นคงไม่มาเตือนหล่อนเมื่อวานนี้ตอนอยู่ในห้องน้ำ
“ขอบใจนะสำหรับเมื่อวาน”
“ขอบใจทำไม ในที่สุดเธอก็ไม่รอด พวกนั้นก็แกล้งเธอได้อยู่ดี”
“ใครบอก ถึงฉันจะถูกแกล้งจนสะบักสบอม แต่วันนี้ฉันก็ยังมาโรงเรียนได้ แสดงว่า ฉันรอด” รวินทร์รดาโอ่ ทั้งที่จริงแล้วหล่อนเสียน้ำตาไปหลายปี๊ป เสียงก็เพิ่งจะหายแหบเมื่อเช้านี้เอง มือสองข้างยังบวม หยิบจับอะไรก็ไม่ค่อยถนัด
“แต่ครั้งหน้าเธอเสร็จพวกมันแน่”
“เธอต้องช่วยฉัน เพราะเราสองคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว”
เดือนเงยหน้าจากถาดอาหาร มองรวินทร์รดาตาค้าง ในจังหวะเดียวกับที่หล่อนหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายรูปเซลฟี่คู่กัน
“เธอทำอะไรน่ะ ทำไมต้องถ่ายรูปฉันด้วย”
หญิงสาวร้องโวยวายพยายามแย่งคืน แต่รวินทร์รดาไวกว่ารีบเก็บลงกระเป๋า
“ฉันก็ถ่ายรูปคู่พวกเรายังไงล่ะ ต่อไปนี้ทุกคนจะเข้าใจว่า ฉันกับเธอซี้กัน”
ไม่ผิดจากที่หญิงสาวบอก ตอนนี้สายตาของนักเรียนในโรงอาหารต่างมองมาที่หญิงสาวทั้งคู่ เดือนประดับหน้าบึ้ง มองรวินทร์รดาอย่างโกรธๆ
“เธอร้ายมาก”
“ฉันต้องการความช่วยเหลือ ฉันมาที่นี่ไม่ใช่เพื่อเป็นศัตรูกับใคร อีกไม่นานก็จะสอบกลางภาคแล้ว ฉันอยากสอบผ่าน อยากเรียนจบจะได้ไปจากที่นี่”
“เธอไม่มีทางสอบผ่านหรอก ข้อสอบยากจะตาย”
“เดือนให้ฉันยืมเลคเชอร์ได้ไหม แล้วก็ช่วยบอกหัวข้อที่ต้องเตรียมตัวสอบ หนังสือ หรือชีท อะไรก็ได้ที่ฉันขาดไป ฉันต้องเร่งตามคนอื่นให้ทัน”
“เรื่องอะไรฉันจะต้องช่วยเธอด้วย”
“เพราะเธอเป็นคนใจดี ฉันดูออกนะว่า เธอไม่ชอบให้คนอื่นถูกรังแก”
เดือนประดับเม้มปากแน่น ยังคงกินอาหารในถาดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่แววตาบอกว่า กำลังใช้ความคิด หญิงสาวกินอาหารอย่างเงียบๆ แต่ไม่ยอมตอบพออาหารหมดก็ลุกขึ้น รวินทร์รดาคว้าข้อมืออีกฝ่ายเอาไว้
“เดี๋ยวสิเดือน เธอต้องช่วยฉันนะ ฉันขอร้อง”
เดือนประดับนิ่งไป เงยหน้าสบตา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนกระซิบ
“ก็ได้ เย็นนี้พอเลิกเรียนแล้ว เจอกันที่สถานีรถไฟฟ้าหน้าโรงเรียน ฉันจะพาเธอไปซีร็อกชีทที่จะสอบกัน”
“มือถือนี้พี่ให้บัว”
หม่อมราชวงศ์กนต์ธรส่งสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดให้กับรวินทร์รดา หญิงสาวมองอย่างประหลาดใจ หล่อนเพิ่งเห็นป้ายโฆษณามือถือรุ่นนี้บนป้ายบนรถไฟฟ้าตอนนั่งกลับคอนโด ราคาของมันแพงกว่ารุ่นก่อนเกือบเท่าตัว แม้จะมีฟังก์ชั่นเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเทียบราคาแล้วคงเหมาะกับคนที่เป็นสาวกของโทรศัพท์เสียมากกว่า แต่ไหนแต่ไรอภิรักษ์สอนให้หล่อนรู้จักค่าของเงิน แม้ตอนนั้นครอบครัวหล่อนจะร่ำรวยแต่รวินทร์รดาก็ต้องใช้โทรศัพท์เครื่องเก่าจนกว่ามันจะพังเท่านั้นถึงจะเปลี่ยนใหม่ได้ ยิ่งพอครอบครัวล้มละลาย หญิงสาวก็ยิ่งเห็นคุณค่าของเงินมากขึ้น ตลอดสองวันที่หล่อนไม่มีโทรศัพท์แม้จะสร้างความลำบาก แต่หล่อนก็พยายามอดทน
“เครื่องเดิมซ่อมไม่ได้หรือ แสดงว่า รูปข้างในหายหมดใช่ไหม”
สิ่งที่หญิงสาวสนใจ ไม่ใช่มือถือโก้ๆ แต่เป็นความทรงจำที่อยู่ในนั้นต่างหาก ทั้งรูปถ่ายสมัยเด็ก รูปพี่ชายและครอบครัว หากหายไปก็ไม่มีทางหาใหม่ได้แค่คิด น้ำตาก็พลันจะไหลออกมาเสียให้ได้
“รูปกับข้อมูลพอกู้ได้ แต่ปัญหาสำคัญคือ กลิ่นและคราบที่ช่างบอกว่า จนปัญญาจริงๆ”
“ฉันทนได้ คุณจะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองอีก แค่นี้ก็รบกวนจะแย่แล้ว”
“ถึงยังไงพี่ก็ซื้อเครื่องใหม่มาแล้ว บัวรับเอาไว้เถอะ อย่าปฏิเสธผู้ใหญ่เลยมันจะเสียน้ำใจ”
ชายหนุ่มโต้ รวินทร์รดามองมือที่ยื่นโทรศัพท์มาให้ สังเกตว่า หม่อมราชวงศ์กนต์ธรมีสีหน้าเคร่งเครียด เขาแวะมารับหล่อนที่คอนโดและพามาที่โรงเรียนแทนการไปส่งที่สถานีรถไฟฟ้าเหมือนทุกวัน
“แต่ฉันอยากได้เครื่องเก่า” หญิงสาวโต้
“พี่บอกแล้วไงว่า ไม่ต้องเกรงใจ เราไม่ใช่คนอื่น”
“งั้นบัวขอยืมใช้ก่อน เอาไว้หาเงินได้เมื่อไหร่แล้วค่อยซื้อเครื่องที่ประหยัดกว่านี้”
“จะทำยังไงก็ตามใจเถอะ พี่ให้แล้ว ถึงบัวคืนมา พี่ก็คงเอาไปใส่กล่องเก็บไว้เฉยๆ อยู่ดี”
รวินทร์รดาจับได้ถึงความน้อยใจในน้ำเสียงนั้น หล่อนมัวแต่เกรงใจจึงไม่ทันสังเกตว่า เผลอทำให้หม่อมราชวงศ์กนต์ธรเสียความรู้สึก ทั้งที่จริงแล้วหล่อนดีใจ ที่เขาเอาใจใส่ เมื่อเหลียวมองจึงพบว่า ชายหนุ่มเบือนหน้ออกไปนอกหน้าต่าง เขาไม่พูด ไม่ชวนคุยเหมือนวันก่อน หรือว่า ผู้ชายตัวโตคนนี้กำลังงอน
“คุณโกรธ”
“เปล่า”
“งั้นก็น้อยใจ ต้องใช่แน่ คุณกำลังน้อยใจอยู่ใช่ไหม”
เขานิ่งไม่ตอบ ทำให้รวินทร์รดารู้ว่า เดาถูก ชายหนุ่มกำลังน้อยใจที่หล่อนทำตัวห่างเหิน ทั้งที่จริงแล้วหญิงสาวเกรงใจ หล่อนรบกวนเขามาหลายเรื่องทั้งที่อยู่ เสื้อผ้า รวมถึงโทรศัพท์ อีกทั้งช่วงเวลาที่ผ่านมาก็ยังทำตัวเป็นปัญหาให้เขามาตามแก้อีก
“ไม่ต้องสนใจหรอกว่า พี่จะคิดยังไง ว่าแต่วันนี้บัวจะกลับค่ำหรือเปล่า พี่จะได้ให้นายช่วงแวะมารับ”
ทุกเย็นหม่อมราชวงศ์กนต์ธรมักจะให้คนขับรถมารอที่สถานีรถไฟฟ้าหรือไม่ก็ไปรับที่ร้านเช่าหนังสือ บางครั้งเขาก็จะมารับด้วยตัวเองเพื่อพาหล่อนกลับคอนโด เขาอ้างว่า คนร้ายอาจจะยังไม่รามือจึงต้องการมั่นใจว่า หล่อนปลอดภัย ทั้งที่ความจริงจากสถานีรถไฟฟ้านั่งรถแท็กซี่อีกเพียงสิบห้านาทีเท่านั้น
“เย็นนี้ฉันคงกลับค่ำหน่อย เพื่อนเพิ่งบอกว่า จะติวหนังสือให้”
หล่อนกับเดือนประดับกลายเป็นเพื่อนกันแล้ว หลังจากวันก่อนเพื่อนสาวก็พาไปซีร็อกชีทและเอกสารการเรียน รวมถึงแนะนำให้หล่อนซื้อหนังสือสำหรับอ่านเพิ่มเติมเพื่อให้ตามทันเพื่อนๆ รวินทร์รดาต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เนื่องจากเนื้อหาการเรียนที่ต่างประเทศกับที่นี่ไม่เหมือนกัน เหลืออีกเพียงสามอาทิตย์ก็จะถึงช่วงสอบ
“บัวมีเพื่อนแล้วหรือ ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“ผู้หญิง ชื่อ เดือน คุณอยากได้เบอร์โทรเพื่อนฉันไหมล่ะ โทรคุยกันจะได้หายสงสัย ไม่ต้องถามซอกแซก”
เพราะความปากไวหล่อนจึงเผลอโต้ไป คงเพราะใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศมานาน อภิรักษ์เองก็ไม่เคยวุ่นวายกับเพื่อนของหล่อน ยิ่งวุฒิชัยแล้วแทบไม่สนใจเลยด้วยซ้ำ พ่อไม่เคยรู้ว่า หล่อนมีเพื่อนกี่คนหรือแม้แต่จะอยู่อย่างไง สิ่งที่เขาต้องการคือ ส่งหล่อนไปให้พ้นหูพ้นตาเท่านั้น
“ไม่ต้องหรอก ถ้าบัวว่า เพื่อนคนนี้เชื่อใจได้ พี่ก็จะไม่ต้องห่วง เอาเป็นว่า มาถึงสถานีรถไฟฟ้าเมื่อไหร่ ช่วยโทรบอกพี่ด้วย ถ้าพี่ยังไม่ออกจากบริษัทจะแวะมารับ ระวังตัวให้ดี อย่าไปก่อเรื่องอีกนะ”
“เธอว่า ผู้ชายแก่ๆ นี่งอนเป็นไหม”
เดือนประดับเงยหน้าจากหนังสือเรียนตรงหน้า คาบนี้เป็นคาบว่าง สองสาวจึงมานั่งอ่านหนังสือกันที่ห้องสมุด รวินทร์รดาเลือกมุมที่ไม่ค่อยมีคน ซุกตัวอยู่ระหว่างชั้นหนังสือเพื่อทบทวนบทเรียน หล่อนมั่นใจว่า ลิลินกับพวกคงไม่เข้ามาในนี้เป็นแน่ แต่ตลอดเวลาเกือบชั่วโมงหญิงสาวกลับไม่ค่อยมีสมาธิ เอาแต่นั่งหมุนปากกาเล่นตลอดเวลา ขณะที่เดือนประดับคร่ำเคร่งอ่านหนังสือ
“เธอหมายถึงใครหรือ”
“ก็หมายถึง ทั่วๆ ไปน่ะ ผู้ชายที่ทำงานแล้ว โตแล้ว อายุมากแล้ว เขาจะงอนกันหรือเปล่า”
ทุกอย่างมันเริ่มต้นจากบทสนทนาเมื่อเช้า แต่จนป่านนี้รวินทร์รดาก็ยังไม่สามารถปัดมันออกจากใจ หล่อนรับรู้ว่า หม่อมราชวงศ์กนต์ธรไม่พอใจ สังเกตจากที่นับจากนั้นเขาพูดน้อยนับคำได้ ไม่มีท่าทางชวนคุย ชวนหัวเราะแต่เมื่อเขาเลือกจะไม่โต้ตอบ หล่อนก็ทำแบบนั้นเช่นเดียวกัน สุดท้ายทั้งคู่จึงนั่งบนเบาะหลังรถเคียงคู่กันอย่างเงียบๆ
“ถ้าหมายถึง ผู้ปกครองของเธอ ฉันว่า เขายังไม่แก่เลยนะ”
เดือนประดับยิ้มนัยน์ตาเป็นประกาย ทุกคนในโรงเรียนต่างรำลือถึง ผู้ปกครองสุดหล่อของรวินทร์รดา เขาไม่เพียงหล่อเหลา แต่ยังมาดดี แต่งตัวดี ที่สำคัญคือ เขาทำให้ลิลินและพวก ไม่กล้ามายุ่งเกี่ยวกับรวินทร์รดาอีก หลายคนเอาไปลือกันว่า เพราะคุณครูใหญ่เกรงใจสกุลสุวกุล
“อายุตั้งสามสิบแล้วเนี่ยนะ..ไม่แก่”
“ผู้ชายอายุสามสิบ เขาถือว่า เป็นผู้ใหญ่ต่างหากบัว เธอก็เรียกเสีย เหมือนเขาอายุสักหกสิบ ผู้ปกครองเธอน่ะ หล่อลากดินเลยนะ เวลามาโรงเรียนทีคนเหลียวมองกันคอแทบหัก”
“อย่างนั้นเนี่ยนะหล่อ...หน้าตาก็อย่างงั้นๆ ล่ะ”
อคติทำให้รวินทร์รดาโต้กลับไป หล่อนบอกตัวเองว่า หม่อมราชวงศ์กนต์ธรก็แค่ผู้ชายคนหนึ่ง ที่แต่งกายดี จึงเสริมบุคลิกเท่านั้น แต่หากใครได้ใกล้ชิดจะรู้ว่า เขาชอบบ่นเหมือนคนแก่ไม่มีผิดไหนจะว่า เรื่องการแต่งตัว เสื้อผ้า การปฏิบัติตัว ที่สำคัญชายหนุ่มไม่ชอบให้หล่อนกลับดึก ดังนั้นเขาจึงโทรมาเช็คเกือบทุกวัน ถ้าชายหนุ่มว่างก็จะแวะมารับเองอย่างนี้ไม่เรียกว่า เป็นพ่อแก่แล้วจะเรียกว่า อะไร
“งั้นดูนี่เสีย จะได้เปลี่ยนใจ”
เดือนประดับหยิบมือถือของตนขึ้นมา หล่อนค้นข้อมูลในกูเกิลด้วยชื่อ และนามสกุล ภาพของสามหนุ่มที่หล่อเหลาไปคนละแบบ คนหนึ่งสวมชุดสูท อีกคนสวมเสื้อกาวน์ และคนสุดท้ายเป็นหนุ่มในเครื่องแบบ
“นี่ไง สามทหารเสือแห่งสกุลสุวกุล ตอนนี้มีผู้หญิงคนไหนในกรุงเทพฯ ไม่รู้จักพวกบ้าง”
รวินทร์รดายื่นหน้าไปดู หล่อนเพิ่งรู้ว่า เขามีพี่น้องสองคน คนหนึ่งชื่อว่า หม่อมราชวงศ์กรกันต์เป็นแพทย์ห้องฉุกเฉิน ส่วนอีกคนเป็นทหารสังเกตจากที่ใส่เครื่องแบบ
“แต่ฉันเคยเจอแค่เขาคนเดียว”
“เรียกว่า เขาอีกแล้ว เธอควรจะเรียกว่า คุณชายรันหรือไม่ก็พี่ชายรันถึงจะถูก เขาเนื้อหอมขนาดไหนรู้ไหม ฉันได้ยินมาว่า ลูกค้าของบริษัทเกินกว่าครึ่งอยากจะติดต่อค้าขายกับเขาเพียงเพราะอยากเจอคุณชาย หม่อมราชวงศ์กนต์ธรทั้งสุภาพและอ่อนโยน อย่าว่าแต่ใครเลย แม้แต่ครูโรงเรียนเรายังเก็บไปเพ้อ”
“เฮ้ย จริงดิ”
“จริง อย่างทีชเชอร์ลิซ่า คนนี้กรี๊ดหนักมาก ส่วนทีชเชอร์เอมมี่ก็ชมว่า ผู้ปกครองเธอหล่อมาก ฉันแอบได้ยินตอนเดินผ่านห้องพักครู”
รวินทร์รดามองเพื่อนสาวตาค้าง เพราะเหตุนี้เองครูสาวทั้งสองคนถึงได้ใจดีมอบหนังสือมาให้หล่อนอ่านเพื่อเตรียมสอบ แถมทีชเชอร์ลิซ่ายังให้เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวกับหล่อนและกำชับว่า โทรหาได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
“ทำไมฉันไม่ทันสังเกต”
“เพราะเธอมัวแต่ว่า เขาแก่ยังไงล่ะ “
“ก็แก่จริงๆ นี่น่า อายุมากกว่าฉันตั้งสิบสามปี แถมยังขี้บ่น จุกจิก จู้จี้ จนบางทีฉันอยากจะเอาสำลีอุดหูเลยด้วยซ้ำ”
เดือนประดับมองเพื่อนอย่างตำหนิ หล่อนส่ายหัว
“เธอโชคดีนะบัว ที่อย่างน้อยเขาก็เอาใจใส่เธอ เราสองคนกำพร้าเหมือนกันแต่สำหรับฉันไม่มีใครเลย พี่ชายก็เอาแต่ทำงานแล้วก็ส่งเงินมาให้ แต่ไม่เคยมาเยี่ยม พี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตอนที่มาใหม่ๆ ฉันโดนแกล้งหนักขนาดไหน”
“เธอก็โดนแกล้งหรือเดือน”
รวินทร์รดาแตะบ่าเพื่อนรัก
“ใช่..ฉันก็เคยถูกขังอยู่ในโรงยิม แล้วก็เคยถูกลิลินกับพวก เอากาวตราช้างมาทารองเท้านักเรียนให้ติดกับพื้น วันนั้นฉันต้องเดินเท้าเปล่ากลับบ้าน” เพื่อนรักพ้อ พอเห็นแววตารวินทร์รดาก็รู้ว่า เพื่อนคงเจ็บปวด หล่อนเอื้อมมือไปยื้อไหล่เข้ามา
“มิน่า เธอถึงได้ช่วยฉัน”
เดือนประดับพยักหน้า ตอนนี้ทั้งสองกลายเป็นเพื่อนกัน ช่วยกันติวหนังสือและช่วยระวังหลังให้กันและกัน
“เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งรำคาญคุณชายรันเลยนะ ฉันดูออกว่า เขาหวังดีกับเธอจริงๆ ฉันยังได้ยินจากครูใหญ่เลยตอนที่เขาคาดโทษและขู่ทุกคน”
รวินทร์รดายิ่งแปลกใจ หล่อนอึ้ง เพราะเหตุนี้เองหรือเปล่าโจกย์ของหล่อนถึงไม่มาตามวอแวอีก หม่อมราชวงศ์กนต์ธรอาจจะถือโอกาสพูดกับทุกคนลับหลังหล่อน
“เขาพูดว่า ยังไงบ้างหรือ”
“ก็พูดว่า ถ้าใครทำร้ายรวินทร์รดา ผมจะไม่ยอมอยู่เฉยเด็ดขาด ถ้าเป็นฉันนะ ฉันคงโผกอดเขาเพื่อขอบคุณไปแล้ว”
“ยังไม่ไปโรงเรียนอีกหรือลิน นี่มันตั้งอาทิตย์แล้วนะ”
ธัญพรเปิดเข้าไปในห้องน้องสาว หลังจากมีเรื่องกับเพื่อนจนหน้าตาเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน ลิลินก็หยุดอยู่บ้าน โชคดีที่พ่อกับแม่ไปต่างประเทศจึงไม่เห็นรอยแผลนี้
“พรุ่งนี้ว่าจะไปแล้ว กลัวเรียนไม่ทันเพื่อน”
“ยายเด็กนั่นมันกล้าเล่นแกกับเพื่อนขนาดนี้เลยหรือ”
พี่สาวรับฟังเรื่องราวทั้งหมดด้วยความร้อนใจ แต่สิ่งที่ทำให้หงุดหงิดมากกว่าคือ หม่อมราชวงศ์กนต์ธรออกรับหน้าแทนเด็กในปกครองต่างหาก
“ใช่...นังบัวมันแสบมาก...ฉันยังแค้นไม่หาย”
แผนการก็คือ ขังรวินทร์รดาไว้ในห้องน้ำ แต่หล่อนมัวแต่สะใจจนหัวเราะเสียงดังไปหน่อย เพื่อนชายแถวหลังห้องก็ช่วยเอาไม้ไปปิดกั้นด้านบนเอาไว้ แต่พอหญิงสาวหลุดออกมาได้ก็เข้ามาเล่นงานทันที ตอนแรกลิลินคิดว่า ครูใหญ่จะเข้าข้างแต่เพราะเกรงใจหม่อมราชวงศ์กนต์ธรจึงกลายเป็นว่า หล่อนกับเพื่อนโดนคาดโทษ
“แกก็เล่นเสียหนักเกินไป”
“อะไรกันพี่ญ่า นี่พี่ว่า ฉันหรือ ฉันอุตส่าห์ทำทุกอย่างเพื่อพี่นะ เด็กนั่นหน้าตาขี้เหร่เสียเมื่อไหร่ ขืนพี่ยังทำทองไม่รู้ร้อนอย่างนี้ระวังจะเสียคุณชายรันไปให้มันนะ”
พูดถึงหน้าตาธัญพรเองก็ไม่ได้ขี้ริ้ว หล่อนมีวงหน้ารูปไข่ที่ผ่านการศัลยกรรมมานับครั้งไม่ถ้วน หมอเกาหลีที่ว่า ดีหล่อนบินไปมาหมด ทั้งโบท็อกซ์ฟิลเลอร์เพื่อทำให้หน้าเป๊ะ แต่น่าน้อยใจที่ชายหนุ่มกลับไม่เคยมองเห็นหล่อนเลย
“ไม่มีทาง คุณชายรันนะหรือจะไปชอบยายเด็กกะโปโลนั่น”
“มันก็ไม่แน่นะพี่ญ่า คนใกล้ชิดกัน แล้วบัวก็ยังสาว ยังเอาะ หนุ่มใหญ่ก็อาจจะหลงเป็นธรรมดา”
ธัญพรกำมือแน่น หล่อนโกรธที่ได้ยินว่า ชายหนุ่มเป็นห่วงเป็นใย โดยเฉพาะการที่เขารีบไปที่โรงเรียนเพื่อเคลียร์เรื่องทุกอย่าง
“ฉันไม่เชื่อหรอก ถึงยังไงคุณวิมาลินก็ไม่มีทางเห็นด้วย อายุห่างกันตั้งสิบกว่าปี”
“ถ้างั้นพี่ญ่าก็ต้องทำอะไรสักอย่าง”
“แกจะให้พี่ทำอะไร”
“ก็ให้แม่ช่วย พูดกับคุณวิมาลินให้สิ ไหนบอกว่า สนิทกันไม่ใช่หรือ จะนัดกินข้าวหรือหาข้ออ้างออกไปเดทด้วยกันก็ได้ ไม่ใช่ปล่อยให้พี่ญ่าค้างเติ่งอยู่แบบนี้”
ธัญพรคงเป็นฝ่ายที่คิดไปเองฝ่ายเดียว เพราะที่ผ่านมาหม่อมราชวงศ์กนต์ธรไม่มีวี่แววอะไร เขารักษาท่าทีเสมอต้นเสมอปลาย
“กรี๊ด แกมาว่า ฉันค้างเติ่งได้ยังไงยะ”
“แหมพี่ญ่า หนูก็แค่เปรียบเทียบ พี่ต้องอย่านอนใจเกินไปนะ ระวังยายเด็กบัวนั่นงาบคุณชายไปกิน”
“งั้นถ้าแม่กลับมา พี่จะลองให้แม่พูดให้”
“ดีแล้วล่ะพี่ช่วยๆ กัน หนูก็จะหาทางเล่นงานมันเหมือนกัน” ลิลินพูดด้วยน้ำเสียงอาฆาต
“นี่แกจะแกล้งมันอีกหรือ ระวังเดี๋ยวโดนครูใหญ่ลงโทษนะ” ธัญพรขู่
“ไม่หรอก ครั้งก่อนนี้หนูประมาทมันเกินไป ถึงได้เล่นงานตรงๆ แต่หนูมีวิธีที่ดีกว่านั้น ถ้ายืมมือคนอื่น มือจะได้ไม่เปื้อน”
“แกจะยืมมือใคร”
ลิลินยิ้มอย่างหมายมาด ในโรงเรียนนั้นหล่อนค่อนข้างป๊อปปูลาร์มีผู้ชายหลายคนพร้อมใจที่จะถวายชีวิตให้
“หนูมีตัวเลือกในมือก็แล้วกัน พี่ญ่า คอยดูนะ ครั้งนี้หนูจะเล่นนังเด็กนั่นให้แสบไปเลย เผลอๆ มันอาจจะถูกไล่ออกจากโรงเรียนด้วยซ้ำ”
กว่ารวินทร์รดาจะเดินออกจากห้องสมุด พระอาทิตย์ก็ตกดินไปเรียบร้อยแล้ว หล่อนนั่งอ่านหนังสืออยู่กับเดือนประดับจนถึงห้าโมงเย็นแต่แล้วเพื่อนสาวก็มาขอตัวกลับก่อนเพราะที่พักค่อนข้างไกลอีกทั้งยังเป็นซอยเปลี่ยว หญิงสาวยังอ่านฟิสิกส์บทหนึ่งไม่เข้าใจจึงนั่งเล่นต่อ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ครูบรรณารักษ์ประกาศเตือนเพื่อให้ทุกคนออกจากห้อง
หญิงสาวเก็บหนังสือทั้งหมดลงเป้สะพายเดินออกจากห้องสมุด เมื่อก้าวไปตามทางเดินเพื่อออกสู่ถนนใหญ่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งตามมา ตอนแรกหล่อนคิดว่า เป็นลิลินและพวก จึงได้เร่งฝีเท้าแต่พอเหลียวมองไปกลับเห็นชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่ง เขาเป็นเพื่อนห้องเดียวกัน แต่รวินทร์รดาไม่เคยคุยด้วย หล่อนเข็ดขยาดกับการผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ แค่มีเดือนประดับคอยระวังหลังให้ก็พอใจแล้ว
“เดี๋ยวบัว...รอก่อน”
รวินทร์รดาหยุด แอบสงสัยว่า เขารู้ชื่อหล่อนได้ยังไง คงเป็นตอนแนะนำตัวในห้อง
“คุณมีอะไรกับฉัน”
“คุณกำลังจะไปขึ้นรถไฟฟ้าใช่ไหม ขอผมไปด้วยคน”
หญิงสาวกวาดตามองชายหนุ่มตรงหน้าที่ยืนหอบ เหงื่อเปียกจนชุ่มจากการวิ่งตาม รวินทร์รดาเพิ่งสังเกตว่า เขาเป็นคนหน้าตาดีไม่น้อย ผิวขาวจัด ผมเป็นสีน้ำตาลอมทองอย่างลูกครึ่ง นัยน์ตาที่เป็นส่วนผสมของเชื้อชาติคอเคเชียนกับเอเชียทำให้ดูหล่อเหลา จมูกของเขาโด่งจัดเพราะรับยีนตะวันตกมาเต็มๆ
“ฉันว่า คงไม่เหมาะ ทางที่ดีคุณอยู่ห่างๆ ฉันดีกว่า” หล่อนตัดบทแล้วรีบเดินหนี แต่ชายหนุ่มไม่ยอมเร่งเดินตามมา
“ทำไมถึงไม่เหมาะ ก็เราสองคนอยู่ห้องเดียวกัน รู้จักกันไม่เห็นแปลก”
รวินทร์รดาหยุดเดินอีกครั้ง ยกมือกอดอก จ้องชายหนุ่ม
“แน่ใจนะว่า อยากจะเดินกับคนอย่างฉัน คุณอาจจะเดือดร้อนได้”
ชายหนุ่มยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ เวลาเขายิ้มโลกช่างสว่างไสวเหลือเกิน เขาเหมาะจะเป็นนายแบบหรือว่า ดารา ด้วยรูปร่างสูง หัวไหล่กล้าม ท่อนแขนมีกล้ามเป็นมัดๆ บ่งว่า เจ้าตัวคงใช้เวลาออกกำลังกายในยิมด้วย
“คุณคิดว่า ผมกลัว ยายลิน และเพื่อนติงต้องของเธองั้นหรือ ไม่มีทาง”
“แน่ใจนะว่า คิดอย่างนั้นจริงๆ ทุกคนในห้องไม่อยากคุยกับฉันสักคน เพราะถ้าลินรู้ เธอคงเล่นงานหนักแน่ คุณรู้ใช่ไหมว่า ฉันโดนขังไว้ในห้องน้ำ แล้วก็โดนเอาโทรศัพท์ไปทิ้งส้วม หรือคุณอยากจะเจออย่างนั้นบ้าง”
เรื่องการรับน้องแสนโหดของกลุ่มผู้มีอิทธิพลโด่งดังไปทั่ว แม้ทุกคนจะชื่นชมว่า หล่อนเอาตัวรอดมาได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครอยากยุ่งด้วย ทุกคนต่างคิดว่า เก็บมือเก็บไม้ไว้ รอดูห่างๆ ดีกว่า
“ผมไม่กลัว ผมเคยเรียนคาราเต้และฝึกยูโดสายดำ ผมป้องกันตัวเองได้สบายมาก ไม่ว่า จะจากลิน หรือแฟนของหล่อน”
แฟนของลิลินเป็นนักรักบี้ของโรงเรียน รูปร่างสูงใหญ่ อีกทั้งยังมีนิสัยเกเรไม่ต่างกัน ถ้าหากลิลินไม่ชอบใคร แฟนของหล่อนก็จะประกาศศัตรูกับคนๆ นั้นไปด้วย เพราะเหตุนี้เองทุกคนถึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้รวินทร์รดา เพราะกลัวจะติดร่างแหไปด้วย อีกทั้งตระกูลของลิลินยังเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียน
“ถ้างั้นก็ตามใจ แต่เดือดร้อนขึ้นมาจะมาว่า ฉันไม่ได้”
รวินทร์รดาไม่อยากเสวนาต่อ หล่อนสาวเท้าเร็วๆ พอพระอาทิตย์ตก ท้องฟ้าก็เริ่มมืด จากหน้าโรงเรียนออกไปยังป้ายรถไฟฟ้าต้องเดินอีกเกือบห้านาที หญิงสาวไม่แน่ใจว่า คนรถจะมารออยู่หรือเปล่า กระเป๋าที่หนักเพราะพกหนังสือมาติวเต็มกระเป๋าทำให้เดินช้าลง เหงื่อจึงเริ่มซึมแผ่นหลัง หล่อนรู้สึกถึงแรงดึงจากด้านหลัง พอหยุดฝีเท้า ชายหนุ่มจึงยื้อสายเป้เอาไว้และดึงไปถือเสียเอง
“ให้ผมถือให้นะ คุณจะได้เดินเร็วขึ้น ท่าทางคุณกำลังรีบ คงกลัวคนมารับจะรอใช่ไหม”
รวินทร์รดาไม่ทันได้ถามว่า เขารู้ได้ยังไง แต่ป่านนี้ลุงช่วงหรือไม่ก็ใครอีกคนอาจจะมาจอดรถรออยู่แล้วก็ไปได้ ขืนกลับช้าอาจจะต้องตอบปัญหากันอีกยาวเลยทีเดียว
“แต่...”
“เอาน่า ถือเสียว่า เพื่อนทำให้เพื่อน”
รวินทร์รดาเท้าสะเอว จ้องหน้า มองชายหนุ่มอย่างประหลาดใจ เขาดูมุ่งมั่นอยากจะเป็นเพื่อนของหล่อนเหลือเกิน
“ทำไมคุณถึงอยากเป็นเพื่อนกับฉันนัก”
“เพราะผมถูกชะตากับคุณน่ะสิ ยังไม่ได้แนะนำตัวเลย...ผมชื่อ ฐานัส เรียกสั้นๆ ว่า ทาร์ตก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จัก ต่อไปนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ ผมพร้อมจะอยู่เคียงข้างคุณ”
รถไฟฟ้าแล่นออกจากชานชะลาขณะที่ชายหนุ่มยังคงโบกมือให้กับรถขบวนนั้นจนกระทั่งสามสาวโผล่ออกมา เอามือแตะที่บ่า
“ยิ้มหวานเชียวนะทาร์ต นี่อย่าบอกนะว่า เธอหลงเสน่ห์แม่สาวเอเชียหน้าจืดคนนั้นจริงๆ”
ลิลินกับพวกแอบตามทั้งสองขึ้นมาบนสถานีรถไฟฟ้าแต่เลือกที่จะไม่ออกมาเพราะกลัวว่า รวินทร์รดาจะรู้ทันแผนการที่วางเอาไว้ หล่อนไม่ได้กลัวคำสั่งของครูใหญ่เลยสักนิด แต่ที่เลือกจะไม่มาวอแวเพราะหาจังหวะเล่นงานคู่อริต่างหาก หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครรอดพ้นเงื้อมือหล่อนกับพวกไปได้ พวกใจเสาะก็พากันลาออกและย้ายโรงเรียนไปตั้งแต่วันแรก มีแต่รวินทร์รดาที่มีแบคอัพดี หลังจากทะเลาะกันวันนั้นครูใหญ่เรียกหล่อนไปตักเตือน บอกว่า ผู้ปกครองของหญิงสาวเป็นถึงหม่อมราชวงศ์ สกุลสุวกุลมีชื่อเสียง รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่หลายคน หลายคนเป็นทหาร ตำรวจ รวมถึงนักการเมือง
“ผมก็แค่เล่นไปตามบท”
รอยยิ้มแสนซื่อเปลี่ยนเป็นนัยน์ตาเจ้าเล่ห์อย่างเสือที่รอตะครุบเหยื่อในทันที ลิลินเผลอหัวเราะออกมา หล่อนคิดไม่ผิดที่แอบนำเรื่องนี้ไปปรึกษาเพื่อน
“ฉันดูคุณไม่ผิดจริงๆ ผู้ชายปากหวานอย่างคุณต้องเจาะด่านยายนั่นได้ ที่แท้มันก็หลงคนหล่อ”
ทั้งหมดเป็นแผนการของลิลิน เพื่อจะกลั่นแกล้งรวินทร์รดา นอกจากถูกครูใหญ่คาดโทษแถมท่านยังโทรไปฟ้องคุณปู่ ปู่โกรธมากที่หล่อนแกล้งเพื่อนจึงขังหล่อนในห้องนอนเป็นการการทำโทษอยู่เกือบสองชั่วโมง เด็กสาวเอาแต่ใจจึงทำให้ยิ่งแค้น
“แค่นี้สบายมาก ก็แค่ผู้หญิงอ่อนหัด”
“ระวัง จะถลำลึกเสียเอง”
“ไม่เอาน่าลิลิน..คุณก็รู้ว่า ผมเครซี่คุณมากกว่า คุณสั่งอะไรผมก็ทำอย่างนั้น ขอแค่คุณแบ่งเวลาให้ผมบ้างก็เท่านั้น”
อ้อมแขนแข็งแรงรัดเอวบางเข้าหาตัวพร้อมกับหอมแก้มฟอดใหญ่โดยไม่สนใจสายตาที่มองมาของคนบนรถไฟฟ้า ลิลินมีแฟนแล้วก็จริงเป็นนักรักบี้แต่หล่อนก็แอบโปรยเสน่ห์ให้กับหนุ่มๆ ในโรงเรียน มีแต่เพื่อนในกลุ่มเท่านั้นที่รู้ว่า หล่อนเจ้าชู้
“ให้มันจริงเถอะ เพราะถ้าฉันรู้ว่า คุณปันใจไปให้นายนั่นล่ะก็ คุณเจอดีแน่”
“รับรองครับเจ้าหญิง ผมไม่หวั่นไหวเด็ดขาด ว่าแต่แผนการต่อไปของคุณคือ ยังไงหรือ”
ลิลินยิ้มอย่างอาฆาต มือกำแน่น
“ก็ไม่ยาก แค่ให้คุณทำตัวเป็นเพื่อนที่แสนดีเท่านั้น”
“แค่เนี้ยนะ” ชายหนุ่มย้ำคำ สบตาลิลิน แต่พอหล่อนเอ่ยประโยคต่อไปถึงเข้าใจ
“ก็ใช่น่ะสิ เพื่อนที่แสนดี ที่ชักนำอะไรดีๆ ให้เพื่อน”
ฐานัสอ้าปากค้าง มองลิลินด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา
“คุณนี่แค้นฝังหุ่นจริงๆ เลย นี่กะเล่นให้บัวกระเด็นออกไปจากโรงเรียนเลยหรือ”
“ไม่ใช่แค่ ถูกไล่ออกนะ แต่อาจจะต้องติดคุกหัวโตด้วย คนอย่างลิลิน ฆ่าได้หยามไม่ได้ ยายนั่นอยากมาทำให้ฉันโกรธทำไมล่ะ มันจะต้องได้รับบทเรียนอย่างสาสม”
รวินทร์รดาไปโรงเรียนตั้งแต่เช้า หล่อนพยายามทำตัวปกติ เมื่อเข้าไปในห้องก็พบว่า ครูประจำชั้นย้ายหล่อนไปนั่งอีกฝั่งหนึ่งแทน ที่หญิงสาวดีใจที่สุดคือ หล่อนได้นั่งติดกับผู้หญิงที่เจอในห้องน้ำ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมพูดกับหล่อนเลย อาจารย์เข้ามาสอนชั่วโมงแรก และชั่วโมงต่อไป ไม่มีใครพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เก้าอี้สามตัวด้านหลังว่างเปล่า รวินทร์รดาเดากว่า ลิลินกับพวกคนลาหยุดเพื่อรักษาแผล และนั่นทำให้หล่อนมีโอกาสได้คิด
ระหว่างที่นั่งอยู่ในห้องหญิงสาวก็รู้สึกเหมือนถูกนินทา แต่พอหันไปไม่มีใครกล้าพูดด้วย แต่เอาแต่ก้มหน้าหลบตา รวินทร์รดาเลือกที่จะเงียบ จนกระทั่งพักเที่ยง หล่อนเข้าไปในโรงอาหาร เมื่อซื้ออาหารมาก็เดินถือถาดไปนั่งที่โต๊ะ อาหารเที่ยงวันนี้เป็นสปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศที่หล่อนแสนเบื่อ เพราะกินแทบทุกวันตอนอยู่โรงเรียนประจำ ขนมปังที่ทั้งแห้งและแข็งรสชาติจืดชืด น้ำส้มรสชาติพอใช้ได้ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่า เพื่อนหญิงคนนั้นเดินเข้ามาแต่แทนที่จะนั่งด้วยกัน กลับเลือกไปนั่งอีกฝั่งหนึ่งแทน
รวินทร์รดาต้องทำอะไรสักอย่าง หล่อนต้องหาเพื่อนในโรงเรียนให้ได้ อีกไม่นานลิลินกับพวกก็จะกลับมาเรียน ทุกคนในโรงเรียนไม่กล้ายุ่งกับหล่อนยกเว้นคนนี้ หญิงสาวถือถาดไปนั่งฝั่งตรงข้าม แต่พอเงยหน้าขึ้นมา เพื่อนคนนี้ก็ลุกเดินหนี รวินทร์รดาเดินตามไปเป็นอย่างนี้อยู่สามรอบ
“เธอกำลังทำให้ฉันเดือดร้อน”
“ถ้ากลัวจริง เธอจะมาเตือนฉันทำไมหรือเดือน”
“เธอรู้จักชื่อฉันได้ยังไง”
“ฉันเห็นในสมุดเล็คเชอร์ เธอเขียนเอาไว้”
หญิงสาวก้มหน้า ตักอาหารเข้าปาก ท่าทางเหมือนไม่อยากเสวนาด้วย รวินทร์รดาไม่ยอมแพ้ หล่อนมั่นใจว่า เดือนประดับไม่เหมือนคนอื่น ไม่อย่างนั้นคงไม่มาเตือนหล่อนเมื่อวานนี้ตอนอยู่ในห้องน้ำ
“ขอบใจนะสำหรับเมื่อวาน”
“ขอบใจทำไม ในที่สุดเธอก็ไม่รอด พวกนั้นก็แกล้งเธอได้อยู่ดี”
“ใครบอก ถึงฉันจะถูกแกล้งจนสะบักสบอม แต่วันนี้ฉันก็ยังมาโรงเรียนได้ แสดงว่า ฉันรอด” รวินทร์รดาโอ่ ทั้งที่จริงแล้วหล่อนเสียน้ำตาไปหลายปี๊ป เสียงก็เพิ่งจะหายแหบเมื่อเช้านี้เอง มือสองข้างยังบวม หยิบจับอะไรก็ไม่ค่อยถนัด
“แต่ครั้งหน้าเธอเสร็จพวกมันแน่”
“เธอต้องช่วยฉัน เพราะเราสองคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว”
เดือนเงยหน้าจากถาดอาหาร มองรวินทร์รดาตาค้าง ในจังหวะเดียวกับที่หล่อนหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายรูปเซลฟี่คู่กัน
“เธอทำอะไรน่ะ ทำไมต้องถ่ายรูปฉันด้วย”
หญิงสาวร้องโวยวายพยายามแย่งคืน แต่รวินทร์รดาไวกว่ารีบเก็บลงกระเป๋า
“ฉันก็ถ่ายรูปคู่พวกเรายังไงล่ะ ต่อไปนี้ทุกคนจะเข้าใจว่า ฉันกับเธอซี้กัน”
ไม่ผิดจากที่หญิงสาวบอก ตอนนี้สายตาของนักเรียนในโรงอาหารต่างมองมาที่หญิงสาวทั้งคู่ เดือนประดับหน้าบึ้ง มองรวินทร์รดาอย่างโกรธๆ
“เธอร้ายมาก”
“ฉันต้องการความช่วยเหลือ ฉันมาที่นี่ไม่ใช่เพื่อเป็นศัตรูกับใคร อีกไม่นานก็จะสอบกลางภาคแล้ว ฉันอยากสอบผ่าน อยากเรียนจบจะได้ไปจากที่นี่”
“เธอไม่มีทางสอบผ่านหรอก ข้อสอบยากจะตาย”
“เดือนให้ฉันยืมเลคเชอร์ได้ไหม แล้วก็ช่วยบอกหัวข้อที่ต้องเตรียมตัวสอบ หนังสือ หรือชีท อะไรก็ได้ที่ฉันขาดไป ฉันต้องเร่งตามคนอื่นให้ทัน”
“เรื่องอะไรฉันจะต้องช่วยเธอด้วย”
“เพราะเธอเป็นคนใจดี ฉันดูออกนะว่า เธอไม่ชอบให้คนอื่นถูกรังแก”
เดือนประดับเม้มปากแน่น ยังคงกินอาหารในถาดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่แววตาบอกว่า กำลังใช้ความคิด หญิงสาวกินอาหารอย่างเงียบๆ แต่ไม่ยอมตอบพออาหารหมดก็ลุกขึ้น รวินทร์รดาคว้าข้อมืออีกฝ่ายเอาไว้
“เดี๋ยวสิเดือน เธอต้องช่วยฉันนะ ฉันขอร้อง”
เดือนประดับนิ่งไป เงยหน้าสบตา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนกระซิบ
“ก็ได้ เย็นนี้พอเลิกเรียนแล้ว เจอกันที่สถานีรถไฟฟ้าหน้าโรงเรียน ฉันจะพาเธอไปซีร็อกชีทที่จะสอบกัน”
“มือถือนี้พี่ให้บัว”
หม่อมราชวงศ์กนต์ธรส่งสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดให้กับรวินทร์รดา หญิงสาวมองอย่างประหลาดใจ หล่อนเพิ่งเห็นป้ายโฆษณามือถือรุ่นนี้บนป้ายบนรถไฟฟ้าตอนนั่งกลับคอนโด ราคาของมันแพงกว่ารุ่นก่อนเกือบเท่าตัว แม้จะมีฟังก์ชั่นเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเทียบราคาแล้วคงเหมาะกับคนที่เป็นสาวกของโทรศัพท์เสียมากกว่า แต่ไหนแต่ไรอภิรักษ์สอนให้หล่อนรู้จักค่าของเงิน แม้ตอนนั้นครอบครัวหล่อนจะร่ำรวยแต่รวินทร์รดาก็ต้องใช้โทรศัพท์เครื่องเก่าจนกว่ามันจะพังเท่านั้นถึงจะเปลี่ยนใหม่ได้ ยิ่งพอครอบครัวล้มละลาย หญิงสาวก็ยิ่งเห็นคุณค่าของเงินมากขึ้น ตลอดสองวันที่หล่อนไม่มีโทรศัพท์แม้จะสร้างความลำบาก แต่หล่อนก็พยายามอดทน
“เครื่องเดิมซ่อมไม่ได้หรือ แสดงว่า รูปข้างในหายหมดใช่ไหม”
สิ่งที่หญิงสาวสนใจ ไม่ใช่มือถือโก้ๆ แต่เป็นความทรงจำที่อยู่ในนั้นต่างหาก ทั้งรูปถ่ายสมัยเด็ก รูปพี่ชายและครอบครัว หากหายไปก็ไม่มีทางหาใหม่ได้แค่คิด น้ำตาก็พลันจะไหลออกมาเสียให้ได้
“รูปกับข้อมูลพอกู้ได้ แต่ปัญหาสำคัญคือ กลิ่นและคราบที่ช่างบอกว่า จนปัญญาจริงๆ”
“ฉันทนได้ คุณจะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองอีก แค่นี้ก็รบกวนจะแย่แล้ว”
“ถึงยังไงพี่ก็ซื้อเครื่องใหม่มาแล้ว บัวรับเอาไว้เถอะ อย่าปฏิเสธผู้ใหญ่เลยมันจะเสียน้ำใจ”
ชายหนุ่มโต้ รวินทร์รดามองมือที่ยื่นโทรศัพท์มาให้ สังเกตว่า หม่อมราชวงศ์กนต์ธรมีสีหน้าเคร่งเครียด เขาแวะมารับหล่อนที่คอนโดและพามาที่โรงเรียนแทนการไปส่งที่สถานีรถไฟฟ้าเหมือนทุกวัน
“แต่ฉันอยากได้เครื่องเก่า” หญิงสาวโต้
“พี่บอกแล้วไงว่า ไม่ต้องเกรงใจ เราไม่ใช่คนอื่น”
“งั้นบัวขอยืมใช้ก่อน เอาไว้หาเงินได้เมื่อไหร่แล้วค่อยซื้อเครื่องที่ประหยัดกว่านี้”
“จะทำยังไงก็ตามใจเถอะ พี่ให้แล้ว ถึงบัวคืนมา พี่ก็คงเอาไปใส่กล่องเก็บไว้เฉยๆ อยู่ดี”
รวินทร์รดาจับได้ถึงความน้อยใจในน้ำเสียงนั้น หล่อนมัวแต่เกรงใจจึงไม่ทันสังเกตว่า เผลอทำให้หม่อมราชวงศ์กนต์ธรเสียความรู้สึก ทั้งที่จริงแล้วหล่อนดีใจ ที่เขาเอาใจใส่ เมื่อเหลียวมองจึงพบว่า ชายหนุ่มเบือนหน้ออกไปนอกหน้าต่าง เขาไม่พูด ไม่ชวนคุยเหมือนวันก่อน หรือว่า ผู้ชายตัวโตคนนี้กำลังงอน
“คุณโกรธ”
“เปล่า”
“งั้นก็น้อยใจ ต้องใช่แน่ คุณกำลังน้อยใจอยู่ใช่ไหม”
เขานิ่งไม่ตอบ ทำให้รวินทร์รดารู้ว่า เดาถูก ชายหนุ่มกำลังน้อยใจที่หล่อนทำตัวห่างเหิน ทั้งที่จริงแล้วหญิงสาวเกรงใจ หล่อนรบกวนเขามาหลายเรื่องทั้งที่อยู่ เสื้อผ้า รวมถึงโทรศัพท์ อีกทั้งช่วงเวลาที่ผ่านมาก็ยังทำตัวเป็นปัญหาให้เขามาตามแก้อีก
“ไม่ต้องสนใจหรอกว่า พี่จะคิดยังไง ว่าแต่วันนี้บัวจะกลับค่ำหรือเปล่า พี่จะได้ให้นายช่วงแวะมารับ”
ทุกเย็นหม่อมราชวงศ์กนต์ธรมักจะให้คนขับรถมารอที่สถานีรถไฟฟ้าหรือไม่ก็ไปรับที่ร้านเช่าหนังสือ บางครั้งเขาก็จะมารับด้วยตัวเองเพื่อพาหล่อนกลับคอนโด เขาอ้างว่า คนร้ายอาจจะยังไม่รามือจึงต้องการมั่นใจว่า หล่อนปลอดภัย ทั้งที่ความจริงจากสถานีรถไฟฟ้านั่งรถแท็กซี่อีกเพียงสิบห้านาทีเท่านั้น
“เย็นนี้ฉันคงกลับค่ำหน่อย เพื่อนเพิ่งบอกว่า จะติวหนังสือให้”
หล่อนกับเดือนประดับกลายเป็นเพื่อนกันแล้ว หลังจากวันก่อนเพื่อนสาวก็พาไปซีร็อกชีทและเอกสารการเรียน รวมถึงแนะนำให้หล่อนซื้อหนังสือสำหรับอ่านเพิ่มเติมเพื่อให้ตามทันเพื่อนๆ รวินทร์รดาต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เนื่องจากเนื้อหาการเรียนที่ต่างประเทศกับที่นี่ไม่เหมือนกัน เหลืออีกเพียงสามอาทิตย์ก็จะถึงช่วงสอบ
“บัวมีเพื่อนแล้วหรือ ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“ผู้หญิง ชื่อ เดือน คุณอยากได้เบอร์โทรเพื่อนฉันไหมล่ะ โทรคุยกันจะได้หายสงสัย ไม่ต้องถามซอกแซก”
เพราะความปากไวหล่อนจึงเผลอโต้ไป คงเพราะใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศมานาน อภิรักษ์เองก็ไม่เคยวุ่นวายกับเพื่อนของหล่อน ยิ่งวุฒิชัยแล้วแทบไม่สนใจเลยด้วยซ้ำ พ่อไม่เคยรู้ว่า หล่อนมีเพื่อนกี่คนหรือแม้แต่จะอยู่อย่างไง สิ่งที่เขาต้องการคือ ส่งหล่อนไปให้พ้นหูพ้นตาเท่านั้น
“ไม่ต้องหรอก ถ้าบัวว่า เพื่อนคนนี้เชื่อใจได้ พี่ก็จะไม่ต้องห่วง เอาเป็นว่า มาถึงสถานีรถไฟฟ้าเมื่อไหร่ ช่วยโทรบอกพี่ด้วย ถ้าพี่ยังไม่ออกจากบริษัทจะแวะมารับ ระวังตัวให้ดี อย่าไปก่อเรื่องอีกนะ”
“เธอว่า ผู้ชายแก่ๆ นี่งอนเป็นไหม”
เดือนประดับเงยหน้าจากหนังสือเรียนตรงหน้า คาบนี้เป็นคาบว่าง สองสาวจึงมานั่งอ่านหนังสือกันที่ห้องสมุด รวินทร์รดาเลือกมุมที่ไม่ค่อยมีคน ซุกตัวอยู่ระหว่างชั้นหนังสือเพื่อทบทวนบทเรียน หล่อนมั่นใจว่า ลิลินกับพวกคงไม่เข้ามาในนี้เป็นแน่ แต่ตลอดเวลาเกือบชั่วโมงหญิงสาวกลับไม่ค่อยมีสมาธิ เอาแต่นั่งหมุนปากกาเล่นตลอดเวลา ขณะที่เดือนประดับคร่ำเคร่งอ่านหนังสือ
“เธอหมายถึงใครหรือ”
“ก็หมายถึง ทั่วๆ ไปน่ะ ผู้ชายที่ทำงานแล้ว โตแล้ว อายุมากแล้ว เขาจะงอนกันหรือเปล่า”
ทุกอย่างมันเริ่มต้นจากบทสนทนาเมื่อเช้า แต่จนป่านนี้รวินทร์รดาก็ยังไม่สามารถปัดมันออกจากใจ หล่อนรับรู้ว่า หม่อมราชวงศ์กนต์ธรไม่พอใจ สังเกตจากที่นับจากนั้นเขาพูดน้อยนับคำได้ ไม่มีท่าทางชวนคุย ชวนหัวเราะแต่เมื่อเขาเลือกจะไม่โต้ตอบ หล่อนก็ทำแบบนั้นเช่นเดียวกัน สุดท้ายทั้งคู่จึงนั่งบนเบาะหลังรถเคียงคู่กันอย่างเงียบๆ
“ถ้าหมายถึง ผู้ปกครองของเธอ ฉันว่า เขายังไม่แก่เลยนะ”
เดือนประดับยิ้มนัยน์ตาเป็นประกาย ทุกคนในโรงเรียนต่างรำลือถึง ผู้ปกครองสุดหล่อของรวินทร์รดา เขาไม่เพียงหล่อเหลา แต่ยังมาดดี แต่งตัวดี ที่สำคัญคือ เขาทำให้ลิลินและพวก ไม่กล้ามายุ่งเกี่ยวกับรวินทร์รดาอีก หลายคนเอาไปลือกันว่า เพราะคุณครูใหญ่เกรงใจสกุลสุวกุล
“อายุตั้งสามสิบแล้วเนี่ยนะ..ไม่แก่”
“ผู้ชายอายุสามสิบ เขาถือว่า เป็นผู้ใหญ่ต่างหากบัว เธอก็เรียกเสีย เหมือนเขาอายุสักหกสิบ ผู้ปกครองเธอน่ะ หล่อลากดินเลยนะ เวลามาโรงเรียนทีคนเหลียวมองกันคอแทบหัก”
“อย่างนั้นเนี่ยนะหล่อ...หน้าตาก็อย่างงั้นๆ ล่ะ”
อคติทำให้รวินทร์รดาโต้กลับไป หล่อนบอกตัวเองว่า หม่อมราชวงศ์กนต์ธรก็แค่ผู้ชายคนหนึ่ง ที่แต่งกายดี จึงเสริมบุคลิกเท่านั้น แต่หากใครได้ใกล้ชิดจะรู้ว่า เขาชอบบ่นเหมือนคนแก่ไม่มีผิดไหนจะว่า เรื่องการแต่งตัว เสื้อผ้า การปฏิบัติตัว ที่สำคัญชายหนุ่มไม่ชอบให้หล่อนกลับดึก ดังนั้นเขาจึงโทรมาเช็คเกือบทุกวัน ถ้าชายหนุ่มว่างก็จะแวะมารับเองอย่างนี้ไม่เรียกว่า เป็นพ่อแก่แล้วจะเรียกว่า อะไร
“งั้นดูนี่เสีย จะได้เปลี่ยนใจ”
เดือนประดับหยิบมือถือของตนขึ้นมา หล่อนค้นข้อมูลในกูเกิลด้วยชื่อ และนามสกุล ภาพของสามหนุ่มที่หล่อเหลาไปคนละแบบ คนหนึ่งสวมชุดสูท อีกคนสวมเสื้อกาวน์ และคนสุดท้ายเป็นหนุ่มในเครื่องแบบ
“นี่ไง สามทหารเสือแห่งสกุลสุวกุล ตอนนี้มีผู้หญิงคนไหนในกรุงเทพฯ ไม่รู้จักพวกบ้าง”
รวินทร์รดายื่นหน้าไปดู หล่อนเพิ่งรู้ว่า เขามีพี่น้องสองคน คนหนึ่งชื่อว่า หม่อมราชวงศ์กรกันต์เป็นแพทย์ห้องฉุกเฉิน ส่วนอีกคนเป็นทหารสังเกตจากที่ใส่เครื่องแบบ
“แต่ฉันเคยเจอแค่เขาคนเดียว”
“เรียกว่า เขาอีกแล้ว เธอควรจะเรียกว่า คุณชายรันหรือไม่ก็พี่ชายรันถึงจะถูก เขาเนื้อหอมขนาดไหนรู้ไหม ฉันได้ยินมาว่า ลูกค้าของบริษัทเกินกว่าครึ่งอยากจะติดต่อค้าขายกับเขาเพียงเพราะอยากเจอคุณชาย หม่อมราชวงศ์กนต์ธรทั้งสุภาพและอ่อนโยน อย่าว่าแต่ใครเลย แม้แต่ครูโรงเรียนเรายังเก็บไปเพ้อ”
“เฮ้ย จริงดิ”
“จริง อย่างทีชเชอร์ลิซ่า คนนี้กรี๊ดหนักมาก ส่วนทีชเชอร์เอมมี่ก็ชมว่า ผู้ปกครองเธอหล่อมาก ฉันแอบได้ยินตอนเดินผ่านห้องพักครู”
รวินทร์รดามองเพื่อนสาวตาค้าง เพราะเหตุนี้เองครูสาวทั้งสองคนถึงได้ใจดีมอบหนังสือมาให้หล่อนอ่านเพื่อเตรียมสอบ แถมทีชเชอร์ลิซ่ายังให้เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวกับหล่อนและกำชับว่า โทรหาได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
“ทำไมฉันไม่ทันสังเกต”
“เพราะเธอมัวแต่ว่า เขาแก่ยังไงล่ะ “
“ก็แก่จริงๆ นี่น่า อายุมากกว่าฉันตั้งสิบสามปี แถมยังขี้บ่น จุกจิก จู้จี้ จนบางทีฉันอยากจะเอาสำลีอุดหูเลยด้วยซ้ำ”
เดือนประดับมองเพื่อนอย่างตำหนิ หล่อนส่ายหัว
“เธอโชคดีนะบัว ที่อย่างน้อยเขาก็เอาใจใส่เธอ เราสองคนกำพร้าเหมือนกันแต่สำหรับฉันไม่มีใครเลย พี่ชายก็เอาแต่ทำงานแล้วก็ส่งเงินมาให้ แต่ไม่เคยมาเยี่ยม พี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตอนที่มาใหม่ๆ ฉันโดนแกล้งหนักขนาดไหน”
“เธอก็โดนแกล้งหรือเดือน”
รวินทร์รดาแตะบ่าเพื่อนรัก
“ใช่..ฉันก็เคยถูกขังอยู่ในโรงยิม แล้วก็เคยถูกลิลินกับพวก เอากาวตราช้างมาทารองเท้านักเรียนให้ติดกับพื้น วันนั้นฉันต้องเดินเท้าเปล่ากลับบ้าน” เพื่อนรักพ้อ พอเห็นแววตารวินทร์รดาก็รู้ว่า เพื่อนคงเจ็บปวด หล่อนเอื้อมมือไปยื้อไหล่เข้ามา
“มิน่า เธอถึงได้ช่วยฉัน”
เดือนประดับพยักหน้า ตอนนี้ทั้งสองกลายเป็นเพื่อนกัน ช่วยกันติวหนังสือและช่วยระวังหลังให้กันและกัน
“เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งรำคาญคุณชายรันเลยนะ ฉันดูออกว่า เขาหวังดีกับเธอจริงๆ ฉันยังได้ยินจากครูใหญ่เลยตอนที่เขาคาดโทษและขู่ทุกคน”
รวินทร์รดายิ่งแปลกใจ หล่อนอึ้ง เพราะเหตุนี้เองหรือเปล่าโจกย์ของหล่อนถึงไม่มาตามวอแวอีก หม่อมราชวงศ์กนต์ธรอาจจะถือโอกาสพูดกับทุกคนลับหลังหล่อน
“เขาพูดว่า ยังไงบ้างหรือ”
“ก็พูดว่า ถ้าใครทำร้ายรวินทร์รดา ผมจะไม่ยอมอยู่เฉยเด็ดขาด ถ้าเป็นฉันนะ ฉันคงโผกอดเขาเพื่อขอบคุณไปแล้ว”
“ยังไม่ไปโรงเรียนอีกหรือลิน นี่มันตั้งอาทิตย์แล้วนะ”
ธัญพรเปิดเข้าไปในห้องน้องสาว หลังจากมีเรื่องกับเพื่อนจนหน้าตาเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน ลิลินก็หยุดอยู่บ้าน โชคดีที่พ่อกับแม่ไปต่างประเทศจึงไม่เห็นรอยแผลนี้
“พรุ่งนี้ว่าจะไปแล้ว กลัวเรียนไม่ทันเพื่อน”
“ยายเด็กนั่นมันกล้าเล่นแกกับเพื่อนขนาดนี้เลยหรือ”
พี่สาวรับฟังเรื่องราวทั้งหมดด้วยความร้อนใจ แต่สิ่งที่ทำให้หงุดหงิดมากกว่าคือ หม่อมราชวงศ์กนต์ธรออกรับหน้าแทนเด็กในปกครองต่างหาก
“ใช่...นังบัวมันแสบมาก...ฉันยังแค้นไม่หาย”
แผนการก็คือ ขังรวินทร์รดาไว้ในห้องน้ำ แต่หล่อนมัวแต่สะใจจนหัวเราะเสียงดังไปหน่อย เพื่อนชายแถวหลังห้องก็ช่วยเอาไม้ไปปิดกั้นด้านบนเอาไว้ แต่พอหญิงสาวหลุดออกมาได้ก็เข้ามาเล่นงานทันที ตอนแรกลิลินคิดว่า ครูใหญ่จะเข้าข้างแต่เพราะเกรงใจหม่อมราชวงศ์กนต์ธรจึงกลายเป็นว่า หล่อนกับเพื่อนโดนคาดโทษ
“แกก็เล่นเสียหนักเกินไป”
“อะไรกันพี่ญ่า นี่พี่ว่า ฉันหรือ ฉันอุตส่าห์ทำทุกอย่างเพื่อพี่นะ เด็กนั่นหน้าตาขี้เหร่เสียเมื่อไหร่ ขืนพี่ยังทำทองไม่รู้ร้อนอย่างนี้ระวังจะเสียคุณชายรันไปให้มันนะ”
พูดถึงหน้าตาธัญพรเองก็ไม่ได้ขี้ริ้ว หล่อนมีวงหน้ารูปไข่ที่ผ่านการศัลยกรรมมานับครั้งไม่ถ้วน หมอเกาหลีที่ว่า ดีหล่อนบินไปมาหมด ทั้งโบท็อกซ์ฟิลเลอร์เพื่อทำให้หน้าเป๊ะ แต่น่าน้อยใจที่ชายหนุ่มกลับไม่เคยมองเห็นหล่อนเลย
“ไม่มีทาง คุณชายรันนะหรือจะไปชอบยายเด็กกะโปโลนั่น”
“มันก็ไม่แน่นะพี่ญ่า คนใกล้ชิดกัน แล้วบัวก็ยังสาว ยังเอาะ หนุ่มใหญ่ก็อาจจะหลงเป็นธรรมดา”
ธัญพรกำมือแน่น หล่อนโกรธที่ได้ยินว่า ชายหนุ่มเป็นห่วงเป็นใย โดยเฉพาะการที่เขารีบไปที่โรงเรียนเพื่อเคลียร์เรื่องทุกอย่าง
“ฉันไม่เชื่อหรอก ถึงยังไงคุณวิมาลินก็ไม่มีทางเห็นด้วย อายุห่างกันตั้งสิบกว่าปี”
“ถ้างั้นพี่ญ่าก็ต้องทำอะไรสักอย่าง”
“แกจะให้พี่ทำอะไร”
“ก็ให้แม่ช่วย พูดกับคุณวิมาลินให้สิ ไหนบอกว่า สนิทกันไม่ใช่หรือ จะนัดกินข้าวหรือหาข้ออ้างออกไปเดทด้วยกันก็ได้ ไม่ใช่ปล่อยให้พี่ญ่าค้างเติ่งอยู่แบบนี้”
ธัญพรคงเป็นฝ่ายที่คิดไปเองฝ่ายเดียว เพราะที่ผ่านมาหม่อมราชวงศ์กนต์ธรไม่มีวี่แววอะไร เขารักษาท่าทีเสมอต้นเสมอปลาย
“กรี๊ด แกมาว่า ฉันค้างเติ่งได้ยังไงยะ”
“แหมพี่ญ่า หนูก็แค่เปรียบเทียบ พี่ต้องอย่านอนใจเกินไปนะ ระวังยายเด็กบัวนั่นงาบคุณชายไปกิน”
“งั้นถ้าแม่กลับมา พี่จะลองให้แม่พูดให้”
“ดีแล้วล่ะพี่ช่วยๆ กัน หนูก็จะหาทางเล่นงานมันเหมือนกัน” ลิลินพูดด้วยน้ำเสียงอาฆาต
“นี่แกจะแกล้งมันอีกหรือ ระวังเดี๋ยวโดนครูใหญ่ลงโทษนะ” ธัญพรขู่
“ไม่หรอก ครั้งก่อนนี้หนูประมาทมันเกินไป ถึงได้เล่นงานตรงๆ แต่หนูมีวิธีที่ดีกว่านั้น ถ้ายืมมือคนอื่น มือจะได้ไม่เปื้อน”
“แกจะยืมมือใคร”
ลิลินยิ้มอย่างหมายมาด ในโรงเรียนนั้นหล่อนค่อนข้างป๊อปปูลาร์มีผู้ชายหลายคนพร้อมใจที่จะถวายชีวิตให้
“หนูมีตัวเลือกในมือก็แล้วกัน พี่ญ่า คอยดูนะ ครั้งนี้หนูจะเล่นนังเด็กนั่นให้แสบไปเลย เผลอๆ มันอาจจะถูกไล่ออกจากโรงเรียนด้วยซ้ำ”
กว่ารวินทร์รดาจะเดินออกจากห้องสมุด พระอาทิตย์ก็ตกดินไปเรียบร้อยแล้ว หล่อนนั่งอ่านหนังสืออยู่กับเดือนประดับจนถึงห้าโมงเย็นแต่แล้วเพื่อนสาวก็มาขอตัวกลับก่อนเพราะที่พักค่อนข้างไกลอีกทั้งยังเป็นซอยเปลี่ยว หญิงสาวยังอ่านฟิสิกส์บทหนึ่งไม่เข้าใจจึงนั่งเล่นต่อ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ครูบรรณารักษ์ประกาศเตือนเพื่อให้ทุกคนออกจากห้อง
หญิงสาวเก็บหนังสือทั้งหมดลงเป้สะพายเดินออกจากห้องสมุด เมื่อก้าวไปตามทางเดินเพื่อออกสู่ถนนใหญ่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งตามมา ตอนแรกหล่อนคิดว่า เป็นลิลินและพวก จึงได้เร่งฝีเท้าแต่พอเหลียวมองไปกลับเห็นชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่ง เขาเป็นเพื่อนห้องเดียวกัน แต่รวินทร์รดาไม่เคยคุยด้วย หล่อนเข็ดขยาดกับการผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ แค่มีเดือนประดับคอยระวังหลังให้ก็พอใจแล้ว
“เดี๋ยวบัว...รอก่อน”
รวินทร์รดาหยุด แอบสงสัยว่า เขารู้ชื่อหล่อนได้ยังไง คงเป็นตอนแนะนำตัวในห้อง
“คุณมีอะไรกับฉัน”
“คุณกำลังจะไปขึ้นรถไฟฟ้าใช่ไหม ขอผมไปด้วยคน”
หญิงสาวกวาดตามองชายหนุ่มตรงหน้าที่ยืนหอบ เหงื่อเปียกจนชุ่มจากการวิ่งตาม รวินทร์รดาเพิ่งสังเกตว่า เขาเป็นคนหน้าตาดีไม่น้อย ผิวขาวจัด ผมเป็นสีน้ำตาลอมทองอย่างลูกครึ่ง นัยน์ตาที่เป็นส่วนผสมของเชื้อชาติคอเคเชียนกับเอเชียทำให้ดูหล่อเหลา จมูกของเขาโด่งจัดเพราะรับยีนตะวันตกมาเต็มๆ
“ฉันว่า คงไม่เหมาะ ทางที่ดีคุณอยู่ห่างๆ ฉันดีกว่า” หล่อนตัดบทแล้วรีบเดินหนี แต่ชายหนุ่มไม่ยอมเร่งเดินตามมา
“ทำไมถึงไม่เหมาะ ก็เราสองคนอยู่ห้องเดียวกัน รู้จักกันไม่เห็นแปลก”
รวินทร์รดาหยุดเดินอีกครั้ง ยกมือกอดอก จ้องชายหนุ่ม
“แน่ใจนะว่า อยากจะเดินกับคนอย่างฉัน คุณอาจจะเดือดร้อนได้”
ชายหนุ่มยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ เวลาเขายิ้มโลกช่างสว่างไสวเหลือเกิน เขาเหมาะจะเป็นนายแบบหรือว่า ดารา ด้วยรูปร่างสูง หัวไหล่กล้าม ท่อนแขนมีกล้ามเป็นมัดๆ บ่งว่า เจ้าตัวคงใช้เวลาออกกำลังกายในยิมด้วย
“คุณคิดว่า ผมกลัว ยายลิน และเพื่อนติงต้องของเธองั้นหรือ ไม่มีทาง”
“แน่ใจนะว่า คิดอย่างนั้นจริงๆ ทุกคนในห้องไม่อยากคุยกับฉันสักคน เพราะถ้าลินรู้ เธอคงเล่นงานหนักแน่ คุณรู้ใช่ไหมว่า ฉันโดนขังไว้ในห้องน้ำ แล้วก็โดนเอาโทรศัพท์ไปทิ้งส้วม หรือคุณอยากจะเจออย่างนั้นบ้าง”
เรื่องการรับน้องแสนโหดของกลุ่มผู้มีอิทธิพลโด่งดังไปทั่ว แม้ทุกคนจะชื่นชมว่า หล่อนเอาตัวรอดมาได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครอยากยุ่งด้วย ทุกคนต่างคิดว่า เก็บมือเก็บไม้ไว้ รอดูห่างๆ ดีกว่า
“ผมไม่กลัว ผมเคยเรียนคาราเต้และฝึกยูโดสายดำ ผมป้องกันตัวเองได้สบายมาก ไม่ว่า จะจากลิน หรือแฟนของหล่อน”
แฟนของลิลินเป็นนักรักบี้ของโรงเรียน รูปร่างสูงใหญ่ อีกทั้งยังมีนิสัยเกเรไม่ต่างกัน ถ้าหากลิลินไม่ชอบใคร แฟนของหล่อนก็จะประกาศศัตรูกับคนๆ นั้นไปด้วย เพราะเหตุนี้เองทุกคนถึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้รวินทร์รดา เพราะกลัวจะติดร่างแหไปด้วย อีกทั้งตระกูลของลิลินยังเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียน
“ถ้างั้นก็ตามใจ แต่เดือดร้อนขึ้นมาจะมาว่า ฉันไม่ได้”
รวินทร์รดาไม่อยากเสวนาต่อ หล่อนสาวเท้าเร็วๆ พอพระอาทิตย์ตก ท้องฟ้าก็เริ่มมืด จากหน้าโรงเรียนออกไปยังป้ายรถไฟฟ้าต้องเดินอีกเกือบห้านาที หญิงสาวไม่แน่ใจว่า คนรถจะมารออยู่หรือเปล่า กระเป๋าที่หนักเพราะพกหนังสือมาติวเต็มกระเป๋าทำให้เดินช้าลง เหงื่อจึงเริ่มซึมแผ่นหลัง หล่อนรู้สึกถึงแรงดึงจากด้านหลัง พอหยุดฝีเท้า ชายหนุ่มจึงยื้อสายเป้เอาไว้และดึงไปถือเสียเอง
“ให้ผมถือให้นะ คุณจะได้เดินเร็วขึ้น ท่าทางคุณกำลังรีบ คงกลัวคนมารับจะรอใช่ไหม”
รวินทร์รดาไม่ทันได้ถามว่า เขารู้ได้ยังไง แต่ป่านนี้ลุงช่วงหรือไม่ก็ใครอีกคนอาจจะมาจอดรถรออยู่แล้วก็ไปได้ ขืนกลับช้าอาจจะต้องตอบปัญหากันอีกยาวเลยทีเดียว
“แต่...”
“เอาน่า ถือเสียว่า เพื่อนทำให้เพื่อน”
รวินทร์รดาเท้าสะเอว จ้องหน้า มองชายหนุ่มอย่างประหลาดใจ เขาดูมุ่งมั่นอยากจะเป็นเพื่อนของหล่อนเหลือเกิน
“ทำไมคุณถึงอยากเป็นเพื่อนกับฉันนัก”
“เพราะผมถูกชะตากับคุณน่ะสิ ยังไม่ได้แนะนำตัวเลย...ผมชื่อ ฐานัส เรียกสั้นๆ ว่า ทาร์ตก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จัก ต่อไปนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ ผมพร้อมจะอยู่เคียงข้างคุณ”
รถไฟฟ้าแล่นออกจากชานชะลาขณะที่ชายหนุ่มยังคงโบกมือให้กับรถขบวนนั้นจนกระทั่งสามสาวโผล่ออกมา เอามือแตะที่บ่า
“ยิ้มหวานเชียวนะทาร์ต นี่อย่าบอกนะว่า เธอหลงเสน่ห์แม่สาวเอเชียหน้าจืดคนนั้นจริงๆ”
ลิลินกับพวกแอบตามทั้งสองขึ้นมาบนสถานีรถไฟฟ้าแต่เลือกที่จะไม่ออกมาเพราะกลัวว่า รวินทร์รดาจะรู้ทันแผนการที่วางเอาไว้ หล่อนไม่ได้กลัวคำสั่งของครูใหญ่เลยสักนิด แต่ที่เลือกจะไม่มาวอแวเพราะหาจังหวะเล่นงานคู่อริต่างหาก หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครรอดพ้นเงื้อมือหล่อนกับพวกไปได้ พวกใจเสาะก็พากันลาออกและย้ายโรงเรียนไปตั้งแต่วันแรก มีแต่รวินทร์รดาที่มีแบคอัพดี หลังจากทะเลาะกันวันนั้นครูใหญ่เรียกหล่อนไปตักเตือน บอกว่า ผู้ปกครองของหญิงสาวเป็นถึงหม่อมราชวงศ์ สกุลสุวกุลมีชื่อเสียง รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่หลายคน หลายคนเป็นทหาร ตำรวจ รวมถึงนักการเมือง
“ผมก็แค่เล่นไปตามบท”
รอยยิ้มแสนซื่อเปลี่ยนเป็นนัยน์ตาเจ้าเล่ห์อย่างเสือที่รอตะครุบเหยื่อในทันที ลิลินเผลอหัวเราะออกมา หล่อนคิดไม่ผิดที่แอบนำเรื่องนี้ไปปรึกษาเพื่อน
“ฉันดูคุณไม่ผิดจริงๆ ผู้ชายปากหวานอย่างคุณต้องเจาะด่านยายนั่นได้ ที่แท้มันก็หลงคนหล่อ”
ทั้งหมดเป็นแผนการของลิลิน เพื่อจะกลั่นแกล้งรวินทร์รดา นอกจากถูกครูใหญ่คาดโทษแถมท่านยังโทรไปฟ้องคุณปู่ ปู่โกรธมากที่หล่อนแกล้งเพื่อนจึงขังหล่อนในห้องนอนเป็นการการทำโทษอยู่เกือบสองชั่วโมง เด็กสาวเอาแต่ใจจึงทำให้ยิ่งแค้น
“แค่นี้สบายมาก ก็แค่ผู้หญิงอ่อนหัด”
“ระวัง จะถลำลึกเสียเอง”
“ไม่เอาน่าลิลิน..คุณก็รู้ว่า ผมเครซี่คุณมากกว่า คุณสั่งอะไรผมก็ทำอย่างนั้น ขอแค่คุณแบ่งเวลาให้ผมบ้างก็เท่านั้น”
อ้อมแขนแข็งแรงรัดเอวบางเข้าหาตัวพร้อมกับหอมแก้มฟอดใหญ่โดยไม่สนใจสายตาที่มองมาของคนบนรถไฟฟ้า ลิลินมีแฟนแล้วก็จริงเป็นนักรักบี้แต่หล่อนก็แอบโปรยเสน่ห์ให้กับหนุ่มๆ ในโรงเรียน มีแต่เพื่อนในกลุ่มเท่านั้นที่รู้ว่า หล่อนเจ้าชู้
“ให้มันจริงเถอะ เพราะถ้าฉันรู้ว่า คุณปันใจไปให้นายนั่นล่ะก็ คุณเจอดีแน่”
“รับรองครับเจ้าหญิง ผมไม่หวั่นไหวเด็ดขาด ว่าแต่แผนการต่อไปของคุณคือ ยังไงหรือ”
ลิลินยิ้มอย่างอาฆาต มือกำแน่น
“ก็ไม่ยาก แค่ให้คุณทำตัวเป็นเพื่อนที่แสนดีเท่านั้น”
“แค่เนี้ยนะ” ชายหนุ่มย้ำคำ สบตาลิลิน แต่พอหล่อนเอ่ยประโยคต่อไปถึงเข้าใจ
“ก็ใช่น่ะสิ เพื่อนที่แสนดี ที่ชักนำอะไรดีๆ ให้เพื่อน”
ฐานัสอ้าปากค้าง มองลิลินด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา
“คุณนี่แค้นฝังหุ่นจริงๆ เลย นี่กะเล่นให้บัวกระเด็นออกไปจากโรงเรียนเลยหรือ”
“ไม่ใช่แค่ ถูกไล่ออกนะ แต่อาจจะต้องติดคุกหัวโตด้วย คนอย่างลิลิน ฆ่าได้หยามไม่ได้ ยายนั่นอยากมาทำให้ฉันโกรธทำไมล่ะ มันจะต้องได้รับบทเรียนอย่างสาสม”
tangtangmeow
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 มี.ค. 2561, 06:05:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 มี.ค. 2561, 06:09:27 น.
จำนวนการเข้าชม : 862
<< บทที่ ๙ อ่อนแอและกำลังใจ | บทที่ ๑๑ ห่วงหรือหึง >> |
แว่นใส 2 เม.ย. 2561, 07:33:54 น.
ใช้ความฉลาดในทางที่ไม่ดีเนี่ยเก่งจังเลยนะ
ใช้ความฉลาดในทางที่ไม่ดีเนี่ยเก่งจังเลยนะ