กาลครั้งหนึ่งนั้น(ในความบังเอิญ)
เธอกับเขา ความทรงจำที่เคยมีร่วมกันมาก็แค่... อดีตกิ๊ก!
Tags: แต่งงาน,อดีต,รัก,บุพเพสันนิวาส,พรหมลิขิต

ตอน: ๔ ผู้เสียหาย -จบตอน-

เช้าวันใหม่ ตีห้าคือเวลาตื่นของสุพนิต

หล่อนเป็นผู้หญิงวัยกลางคน รูปร่างค่อนข้างท้วม การตื่นของหล่อนเป็นนาฬิกาชีวิต สุพนิตเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการทำอาหารเช้าเตรียมใส่บาตร เสื้อคอบัวกับผ้าถุงคือชุดที่ใส่เป็นประจำ ผมยาวสีน้ำตาลอมดำมุ่นเป็นมวยไว้ด้านหลัง

หลังใส่บาตร เจ็ดโมงเช้าอาหารก็เกือบจะเสร็จ

คุณจิรศักดิ์ที่กำลังจะไปเดินออกกำลังกาย เดินเข้าไปทักทายภรรยาที่อยู่หน้าเตา

“อารมณ์ดีจังนะคุณนิด ตื่นมาตักบาตรแต่เช้า”

ผู้เป็นสามีที่อยู่ในชุดเสื้อยืดและกางเกงขาสั้น กำลังก้มลงผูกเชือกรองเท้าผ้าใบคู่โปรด

“จะไปเดินหรือคะนั่น”

ผู้เป็นภรรยาหันมายิ้มให้

“ไปล่ะนะ”

“กลับมาให้ทันกินข้าวเช้ากับเด็กๆ นะคะคุณ”

“จ้ะ” แต่กระนั้นก็เหมือนจะนึกขึ้นได้ “ไอ้ตัวดีตื่นหรือยังคุณ”

“ยังไม่เห็นค่ะ ตะวันสายโด่งจนแยงก้นแล้ว”

คนเป็นพ่อหัวเราะ แต่ไม่วายบอก “อย่าลืมไปปลุกเด็กๆ นะคุณ จะนอนดึกขนาดไหนให้ตื่นมากินก่อน เดี๋ยวกระเพาะได้ถามหา”

“ค่า” สุพนิตรับคำ หันไปมองตามแผ่นหลังสามีที่เดินพ้นมุมใต้บันไดออกไป หล่อนหันกลับมาสนใจกับงานในมือ ง่วนอยู่จนเกือบจะเจ็ดโมงครึ่ง เห็นว่าทุกอย่างเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วจึงคิดจะไปปลุกลูกน้องของสามี

สุพนิตเปิดประตูครัวหลังบ้านเดินออกไป สุนัขที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้านรุมล้อมเดินตาม หล่อนก้าวเข้าไปในเขตบ้านไม้หลังเล็ก ไขกุญแจเพื่อจะเปิดประตูหน้าบ้านแต่พบว่าไม่ได้ล็อกจึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา หล่อนเดินไปที่ห้องรับแขก พบว่าธนวัฒน์กับอาทิตย์ยังไม่ตื่น จึงคิดจะไปปลุกสาวๆ แทน

ห้องนอนด้านขวาชั้นบนคือเป้าหมายของสุพนิต พอเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าคนบนเตียงกำลังงัวเงีย ศศิพิมพ์คือคนที่อยู่ในห้องนั้น แสงสว่างไม่มากเพราะม่านยังปิดไว้ คุณสุพนิตก้าวเข้าไปในห้องแต่กลับชะงักเพราะเท้าเหยียบเสื้อเข้าให้

เธอขมวดคิ้ว ทรุดลงนั่งยองหยิบขึ้นมาดู กระนั้นก็อดตำหนิไม่ได้ว่าทำไมศศิพิมพ์ผู้เรียบร้อยถึงได้ถอดเสื้อผ้าเกลื่อนแบบนี้ แต่...

เสื้อที่เธอเหยียบคือเชิ้ตของผู้ชาย

สุพนิตกลืนน้ำลายลงคอเอื๊อกใหญ่ ถัดไปคือกางเกง และ... เสื้ออีกตัว หัวใจคนแก่เต้นแรงขึ้น ครู่ต่อมาที่เดินไปถึงเตียง หัวใจก็หล่นไปอยู่ตาตุ่มเมื่อเห็นว่าส่วนที่พ้นผ้าห่มมานั้นมีฝ่าเท้าสองคู่

หล่อนยกมือขึ้นปิดปาก และจากนั้นก็...

“ตายแล้ว! นี่มันอะไรกัน ตาสิน!!”

เสียงนั่นดังพอที่จะปลุกให้คนในห้องรู้สึกตัว ศศิพิมพ์ดูยังงงๆ มองป้าของเพื่อนอย่างมึนๆ ก่อนหลุบตามองข้างตัวเมื่อมีอะไรขยุกขยิก และตาคู่สวยก็เบิกโต ครั้นเห็นว่าเมื่อผ้านั่นถูกดึงลง เธอกลับมีเพื่อนร่วมเตียง!

เสียงกรี๊ดดังก้อง คราวนี้มากพอจะปลุกให้ทุกคนในบ้านที่หลับอยู่ตื่นขึ้นมา ไม่เว้นพ่อหนุ่มถอดเสื้อนอนร่วมเตียงกับเธอด้วย!

“อะไรกันคะ ใครกรี๊ด อะไรยังไง อ้าวคุณป้า?”

จิรสุตาคือคนที่งัวเงียตื่นมาดู เธอยังขยี้ตาอยู่เมื่อก้าวเข้ามาในห้อง ครั้นพอไม่ได้รับคำตอบจึงมองชัดๆ และคราวนี้เสียงกรี๊ดที่ดังกว่าก็ก้องไปทั่วบ้านอีกครั้ง นิชากับกัญญาเป็นคนถลันเข้ามา และกรี๊ดอีกรอบ สุดท้ายคืออาทิตย์ ธนวัฒน์ และจิรศักดิ์ที่เพิ่งกลับมาถึงบ้าน

ทุกคนอึ้งพูดไม่ออก แม้ว่าบนเตียงกำลังเกิดจลาจลย่อมๆ

จิรสินที่ถอดเสื้อโชว์ซิกแพ็กพยายามตั้งรับฝ่ามือของศศิพิมพ์ที่ระดมเข้าใส่ ฝ่ายหญิงตาแดงเหมือนจะร้องไห้แต่ยังกลั้นไว้ได้ หล่อนกัดปากแน่นและไม่ผ่อนแรงทำร้ายร่างกายอีกฝ่ายเลย

ไม่มีคำด่า ไม่มีคำผรุสวาท มีแค่... ฝ่ามือกับกำปั้น!

อาการเมาค้างกำลังเล่นงานจนปวดหัว จิรสินยังมึนๆ ไม่รู้เรื่องอะไร รู้แค่ตอนนี้ถูกฝ่ามือเล็กๆ ฟาดไม่ยั้ง

“เดี๋ยวพิมพ์! เดี๋ยว โอ๊ย!”

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”

เสียงดังราวฟ้าผ่านั่นเป็นของคุณจิรสิน และทำให้เหตุการณ์ทุกอย่างเหมือนถูกแช่แข็ง

“ทำไมเจ้าสินมานอนเตียงเดียวกับหนูพิมพ์ แล้วนี่มันยังไง โว้ย!ไอ้ลูกบังเกิดเกล้า!” ประโยคนี้พ่อพูดกับลูกชาย “แกทำอะไรหนูพิมพ์!”

“ผม!” จิรสินตั้งท่าจะพูด แต่เมื่อสติกลับมาและเห็นว่าตนเองอยู่ที่ไหนก็พูดไม่ออก นอกจาก “ผมไม่รู้”

“เวร!”

บิดาด่าซ้ำ

“เมาจนได้เรื่อง ไอ้เหล้าเวรนี่ชอบกันจังโว้ย!”

เงียบกริบ เพราะเหมือนถูกด่ากันถ้วนหน้า

ศศิพิมพ์กัดริมฝีปาก พยายามกลั้นน้ำตาไว้อย่างที่สุด เธอโมโห เธอโกรธและไม่วายจะฟาดฝ่ามือไปที่จิรสินอีก คราวนี้ถูกแก้วเขาเข้าเต็มๆ ชายหนุ่มสะดุ้งโหยงร้องโอ๊ย ก่อนต้องยึดแขนทั้งสองข้างของเธอไว้ กันการถูกตบอีกรอบ

“หนูพิมพ์คะ คือเมื่อคืนพี่กับ--” พูดยังไม่ทันจะจบ มือเล็กๆ ที่หลุดจากการเกาะกุมเพราะชายหนุ่มเผลอปล่อย ก็ฟาดเข้าเต็มๆ ที่ใบหน้าด้านซ้ายจนชาไปทั้งแถบ จิรสินกลืนน้ำลายรีบตะครุบมือน้อยนั่นไว้ ก่อนได้ยินเสียงคุณสุพนิตดังขึ้น

“พิมพ์ใจเย็นลูก ป้ารับรองเราจะรับผิดชอบทุกอย่างคุยกันก่อน”

จากนั้นเป็นจิรศักดิ์

“แต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วออกไปคุยกันข้างนอกดีกว่าลูก” แล้วคำสั่งก็มาถึงคนที่เหลือ “พวกเราด้วย ไปล้างหน้าล้างตาแล้วไปรอที่ห้องรับแขกที่บ้านใหญ่ ไป ไปได้แล้ว!”

นั่นแหละ วงเลยแตก แต่ก่อนออกจากห้อง จิรศักดิ์ยังหันมาสำทับ “ห้านาที เจ้าสินใส่เสื้อผ้าซะแล้วออกไปคุยกับฉัน”

แล้วเสียงปิดประตูห้องดังปังก็ช่างเหมือนประตูห้องขัง จิรสินนิ่วหน้าไม่รู้ตัวเลยว่าทำไมถึงได้มาอยู่บนห้องนี้กับศศิพิมพ์ เขาถอนหายใจก้มลงมองคนตัวเล็กข้างตัว

ศศิพิมพ์เบือนหน้าหนีเพื่อซ่อนน้ำตาที่กลั้นไม่ไหว สงสารตัวเองที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้

“พิมพ์คะฟังพี่ก่อน”

ชายหนุ่มเอื้อมมือออกไปหมายจะเช็ดน้ำตาให้ แต่คนใจแข็งปัดออก ก่อนซีกแก้มด้านซ้ายของจิรสินจะชาวางติดๆ กัน

“หนูพิมพ์ ฟังนะคะ”

คราวนี้ความชาเท่าเทียม จากซีกแก้มด้านขวา

เสียงสะอื้นกระซิกดังเสียดเข้าไปในหัวใจผู้ฟัง แต่การเงื้อมือของเธอทำให้เขาต้องรีบคว้าไว้ จากนั้นการดิ้นรนของเธอก็ทำให้เขาเจ็บตัวจนต้องกดให้นอนลงกับฟูก

จิรสินเอ่ยเสียงเข้มขู่ หลังหล่อนไม่ยอมฟัง

“อยากจะรื้อฟื้นใช่ไหม หัดฟังกันมั่งสิ”

คนที่ดิ้นปัดๆ เป็นปลาถูกทุบหัวหยุดนิ่งสนิททันที

“เราต้องคุยกัน คุยดีๆ เข้าใจไหมคะ”

แม้ไม่มีคำตอบรับ แต่อาการสงบของศศิพิมพ์คือสิ่งที่ยอมรับได้ เขาถอยห่างปล่อยให้เธอลุกขึ้นนั่ง จิรสินสำรวจตัวเอง เสื้อถูกถอดแต่เข็มขัดยังอยู่ในกางเกงจึงพอโล่งใจได้ อีกอย่างศศิพิมพ์ก็ยังอยู่ในสภาพค่อนข้างดี ไม่ได้โป๊เปลือย

เขายกมือขึ้นกุมขมับ เดินวนไปวนมาสามสี่รอบก่อนหยุด

“เรา--”

เขาเริ่มต้นประโยคด้วยคำว่า ‘เรา’

“ไม่มีอะไรกันแน่นอน” สิ้นเสียงปุ๊บ หมอนใบหนึ่งก็ปลิวหวือเข้าเต็มหน้า ก่อนจะตามมาด้วยของที่อยู่รอบๆ และใกล้ๆ มือของคนขว้างและชิ้นสุดท้ายคือนาฬิกาปลุก ที่ถ้าโดนหัวก็คงแตกจนต้องห้ามไว้

“เฮ้ยๆ เฮ้ย! หยุด! เดี๋ยวก็ปล้ำจริงๆ ซะหรอก”

ได้ผล ศศิพิมพ์หยุดสนิท แต่เสียงสะอื้นกลับดังขึ้นแทน

“หนูพิมพ์หยุดร้องก่อนนะคะ เราต้องคุยกัน เอ่อ คุยแบบดีๆ ด้วยนะ ไม่มีขว้างอะไรทั้งนั้น โอเคไหม” เสียงพูดนุ่มนวลอ่อนโยนเหมือนจะปลอบประโลม คนพูดนั่งลงบนเตียงแล้ว แต่อยู่มากห่างพอที่จะหลบทันถ้าหญิงสาวไม่ตกลง “อย่าร้องได้ไหม” เห็นศศิพิมพ์ร้องไห้แล้วเขาเองก็อยากจะร้องตามบ้าง “ขอร้องล่ะค่ะ หรืออยากจะให้พี่ร้องตาม ไม่เอานะมันไม่น่าดูหรอก”

จิรสินแหย่ตามประสาคนไม่เคยเครียด จึงได้ค้อนมาวงเบ้อเริ่ม

“รู้สึกอะไรไหมคะ” คำถามคลุมเครือ และ...

“บ้า!” เมื่อน้ำตาหยุดไหลความอายก็เข้ามาแทนที่ หญิงสาวยกผ้าขึ้นคลุมตัวเหลือแค่ลูกตาที่มองปริบๆ

“เฮ้ย! ไม่ใช่แบบนั้นโธ่เอ๊ย คือ... แบบว่า... โว้ยพูดยากจริงเอางี้ค่ะ ตรงๆ ละกัน ถ้าเรามีอะไรกันมันต้องรู้สึกบ้างใช่ไหม คือพิมพ์ยังไม่เคย แล้วถ้า... พี่--” คนฟังขมวดคิ้วตามแล้วทำตาโตเมื่อรู้ความหมาย “แบบว่าฟีทเจอริ่ง มันต้องมีหลักฐาน”

จิรสินอึกอัก ไม่รู้จะพูดหรือไม่พูดดี แต่พอเห็นท่าทางงวยงงของสาวเจ้า สุดท้ายก็กลั้นใจ

“มันต้องแสบบ้าง ขัดๆ บ้างๆ ตรง... เอ่อ ตรงนั้นน่ะ”

ได้ผล... อีกฝ่ายรับสารที่เขาส่งถึงได้ เพราะแค่เขาพูดจบ หมอนใบใหญ่ก็ปาหวือเข้าหน้าเต็มรัก

จิรสินถอนหายใจ นึกโล่งอกที่ไม่ใช่โคมไฟ!




ดังปัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 เม.ย. 2561, 21:30:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 เม.ย. 2561, 21:30:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 776





<< ๔ ผู้เสียหาย (70%)   ๕ ตกกระไดพลอยโจน (25%) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account