กาลครั้งหนึ่งนั้น(ในความบังเอิญ)
เธอกับเขา ความทรงจำที่เคยมีร่วมกันมาก็แค่... อดีตกิ๊ก!
Tags: แต่งงาน,อดีต,รัก,บุพเพสันนิวาส,พรหมลิขิต

ตอน: ๕ ตกกระไดพลอยโจน (50%)

รถเบนซ์คันงามค่อยเคลื่อนตัวอย่างลำบากยากเย็น ผ่านซอยแคบๆ ที่พอให้รถคันเล็กๆ วิ่งสวนกันได้ทีละคันเท่านั้น คนขับค่อยๆประคองกระย่องกระแย่งแล้วมาหยุดลงได้อย่างยากลำบาก ที่หน้าบ้านไม้สองชั้นสีขาวหลังเล็กหลังหนึ่ง

รั้วที่ใช้กั้นอาณาเขตทำขึ้นจากไม้ระแนงที่ค่อนข้างเก่า และยังมีเถาตำลึงเลื้อยพันจนแทบจะมิด ศศิพิมพ์เดินลงไปเปิดประตูเพื่อให้ชายหนุ่มเลื่อนรถพาหนะคู่ใจเข้าไปจอดในบ้าน หญิงสาวอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้พร้อมกับพี่สาว ที่ไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านตัวและบ้านสามี

พื้นที่ทั้งหมดเมื่อประเมินจากสายตาไม่น่าจะเกินสองงาน ตัวบ้านฝั่งซ้ายอยู่ติดรั้ว มีที่ว่างเป็นทางเดินเล็กๆ กับที่แค่พอวางกระถางกุหลาบกับมะลิซ้อนสลับกัน ชายคามีกล้วยไม้ห้อยอยู่ทั่วกำลังส่งกลิ่นหอม หลังบ้านเมื่อมองไปอยู่ติดริมคลองใหญ่ มีต้นมะม่วงต้นใหญ่แผ่กิ่งก้านอยู่ใกล้ๆ ถัดมาเป็นซุ้มเฟื่องฟ้าหลากสีที่ขึ้นคลุมจนกลายเป็นหลังคาบังแดด ซึ่งบัดนี้ออกดอกจนมองแทบไม่เห็นใบ

บริเวณหน้าบ้านมีชมพู่ลูกย้อยดกเต็มต้น ตัวบ้านชั้นบนปิดเงียบแต่ชั้นล่างเป็นกระจกบานเลื่อน ที่เปิดอ้ารับลมเย็นจากน้ำที่พัดหอบขึ้นมา จิรสินเดินตามเข้ามาในบ้าน มองคนที่ผลุบพลับเปิดหน้าต่างอยู่อย่างขำๆ ก่อนที่หญิงสาวจะรู้สึกตัวและยิ้มเก้อๆ ให้บอกเบาๆ

“เข้ามานั่งก่อนซิคะ พี่พลอยคงยังมาไม่ถึง” บอกเสร็จเจ้าหล่อนก็หายวับไปด้านหลัง ชายหนุ่มยืนหันรีหันขวางอยู่เพราะไม่รู้จะนั่งตรงไหนและดูเหมือนจะรู้เสียงใสเลยบอกอีก

“ตรงไหนก็นั่งเถอะค่ะหรือจะนั่งหลังบ้านลมเย็นดี”

“หลังบ้านดีกว่า”

ร่างสูงที่ยืนเก้ๆ กังๆ เอ่ยตอบ

ในบ้านชั้นล่างนั้นตกแต่งง่ายๆ เยื้องใต้บันไดมีชั้นวางทีวี ช่องว่างใต้บันไดกลายเป็นห้องเก็บของไม่ได้ใช้ ถัดไปสู่ห้องครัวเป็นตู้บรรจุเครื่องแก้วและถ้วยชาม ข้างกันนั้นมีพวกงานฝีมือจำพวกปลอกหมอนถักเองเป็นลวดลายต่าง และเท่าที่เขาเห็นผ้าม่านและผ้าคลุมทีวีก็เป็นงานฝีมือเหมือนกัน

จิรสินอดชื่นชมไม่ได้ ที่เจ้าบ้านดูจะเป็นผู้หญิงเกินกว่าที่คิดไว้

ข้างๆ ที่เขายืน ติดกับหน้าต่างเป็นชุดโต๊ะและโซฟาตั้งอยู่เยื้องกัน เมื่อเดินผ่านมาก็จะเห็นครัวเล็กๆ ทว่าสะอาดสะอ้าน และหลังบ้านที่มองเห็นคลองนั่น ศศิพิมพ์นั่งอยู่บนม้านั่งหินอ่อน เธอกำลังรินน้ำลงในแก้วสองใบ

“หนูพิมพ์อยู่กันกับพี่สาวแค่สองคนเหรอคะ”

“ก่อนแต่งงานน่ะใช่ค่ะ แต่หลังแต่งพี่พลอยก็ไปๆ มาๆ”

จากนั้นก็มีแค่ความเงียบ ทั้งคู่ตามองจับไปที่ผิวน้ำที่กำลังสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเย็น กระทั่งนานต่อมาจิรสินจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น

“พี่ขอโทษนะคะ สุดท้ายเรื่องกลับเป็นแบบนี้”

เป็นการเกริ่นเข้าเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างอึดอัดใจ ศศิพิมพ์มองเขาและยิ้มจืดๆ

“ก็มันช่วยไม่ได้นี่คะ ถึงจะยืนยันยังไงแต่ผู้ใหญ่ก็--” เธอเม้มปากแน่น สีหน้าม่อยลง ใจหวั่นๆ เมื่อนึกถึงอนาคต เรื่องแต่งงานไม่ใช่เรื่องล้อเล่นโดยเฉพาะเธอกับเขา

ความอึดอัดนั่นคงเด่นชัด เขาจึงสัมผัสได้

“บ้านหนูพิมพ์น่าสบายมากเลยนะคะ ดูสิต้นไม้นี่ออกดอกเต็มเลย” เขาหมายถึงซุ้มดอกเฟื่องฟ้าที่อยู่เยื้องไปเหนือศีรษะ “ใครปลูกไว้เหรอคะ เข้าใจทำ”

ศศิพิมพ์ยิ้มรับน้อยๆ “พ่อค่ะ พ่อเป็นคนทำ ตอนเล็กๆ ซื้อมาต้นนิดเดียว พิมพ์กับพี่พลอยช่วยพ่อปลูก ถ้าตอนนี้พ่อยังอยู่ โน่นแน่ะค่ะคงขึ้นต้นมะม่วงไปเล็มยอดมันออกแล้ว”

จิรสินไม่ได้มองซุ้มเฟื่องฟ้าอีกแล้ว ตอนนี้เขามองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามซึ่งแหงนหน้ามองจ้องและเงียบไป

ศศิพิมพ์ไม่ได้เศร้าเมื่อเล่าถึงพ่อที่เสียชีวิตไปแล้ว ดูเธอมีความสุขมากกว่าที่ได้รำลึกถึงอดีตที่ผ่านมา และเป็นโอกาสให้ชายหนุ่มได้พิจารณาว่าที่ภรรยา

ถ้าหากถามว่าหล่อนสวยไหม เขาตอบได้ทันทีว่าไม่ ศศิพิมพ์ไม่ได้สวยแต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่ จะว่าไปก็น่ารักเสียมากกว่า ตัวเล็กผิวขาว ดูบอบบางเหมือนตุ๊กตากระเบื้อง แต่ที่น่าติดใจคือรอยยิ้มตอนเผลอตัวเสียมากกว่า

และตอนนี้เขาก็เผลอยิ้มตามเธอไปแล้ว

“คะ”

คำถามมีมาเพราะคนถูกจ้องรู้ตัวแล้ว ทว่าเขายังไม่รู้

“คะ ว่ายังไงคะ”

เป็นศศิพิมพ์ที่ขมวดคิ้ว แต่ไม่วายหัวเราะ

“พี่สินสิคะ จ้องพิมพ์ มีอะไรจะถามหรือคะ”

“เอาะ... อ๋อ เอ่อ คือ พี่” ชายหนุ่มคิดหาคำพูด แต่สุดท้ายก็ไม่รู้จะบอกอะไรนอกจากความจริง “เปล่าค่ะ พี่แค่มองพิมพ์”

คำตอบทำเอาคนฟังตีหน้าไม่ถูก พลอยเงียบกันไปอีก นานเท่าอึดใจเป็นหญิงสาวที่คิดแก้สถานการณ์นั้น เธอขยับจะลุกขึ้นไปหาของว่างมาให้เขารับประทานรอ ระหว่างพี่สาวเธอเดินทางมา แต่ว่าจังหวะที่จะลุก ลมกลับพัดมาหอบใหญ่และพากลีบดอกเฟื่องฟ้าหล่นลงมาพร้อมกับฝุ่น ศศิพิมพ์ก้มหน้าหลบไม่ทันเมื่อเศษเล็กๆ ของต้นไม้ปลิวเข้าตา

“อุ้ย!”

“เป็นอะไรคะ”

“ฝุ่นค่ะ ฝุ่นเข้าตา อุย” หญิงสาวยกมือขึ้นขยี้ แต่ยิ่งขยี้ก็ยิ่งเคือง เห็นดังนั้นจิรสินจึงลุกขึ้นไปหา เขายึดมือเธอไว้เสียข้างหนึ่ง อีกข้างเชยคางให้เธอแหงนเงย

“ขอพี่ดูหน่อยค่ะ อย่าขยี้เดี๋ยวยิ่งไปกันใหญ่” คำห้ามมาพร้อมมือที่เลื่อนประคองข้างแก้ม ปลายนิ้วโป้งทาบที่หางตา ศศิพิมพ์ลืมตาไม่ได้มากนักเพราะน้ำตาไหลเขาจึงใช้นิ้วปาดออกให้

“พี่ดูก่อนนะคะ ถ้าเอาออกได้พี่จะเอาออกให้”

เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเมื่อมองเห็นเศษดำๆ ที่หางตา แต่คนเจ็บเคืองจนน้ำตาไหล เลยยกมือขึ้นจับมือเขาไว้เป็นเชิงบอกให้เขาช่วยเอาออกให้ไวๆ

ความใกล้ชิดนั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ ลมหายใจสองสายผสมปนเป และห้วงเวลานั้นก็ดั่งต้องมนตรา




ดังปัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 เม.ย. 2561, 21:19:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 เม.ย. 2561, 21:19:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 739





<< ๕ ตกกระไดพลอยโจน (25%)   ๕ ตกกระไดพลอยโจน (75%) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account