กาลครั้งหนึ่งนั้น(ในความบังเอิญ)
เธอกับเขา ความทรงจำที่เคยมีร่วมกันมาก็แค่... อดีตกิ๊ก!
Tags: แต่งงาน,อดีต,รัก,บุพเพสันนิวาส,พรหมลิขิต

ตอน: ๕ ตกกระไดพลอยโจน (100%)

หมั้นแค่รับผิดชอบ หมั้นเพื่อให้ผู้ใหญ่สบายใจ ศศิพิมพ์เป็นคนตรงๆ เสียจนเขายังละอาย

เธอบอกว่าไม่ได้รักเขา และไม่ได้ต้องการให้เขามารักด้วย ส่วนการรับผิดชอบใดๆ รวมถึงการหมั้นที่จะเกิดขึ้นนี้ก็แค่เพียงให้ผู้ใหญ่สบาย ขอให้เขาวางใจ เธอจะไม่ใช้เรื่องนี้ผูกมัดให้เขามาแต่งงานด้วย

แมนไหมล่ะ! คิดๆ มาแล้ว จิรสินก็อดยิ้มไม่ได้

ยายหนูพิมพ์คนเดิม เพิ่มเติมก็แค่แมนมากขึ้น แล้วก็... น่าขำมากขึ้นเท่านั้นเอง ตอนเด็กว่าอยู่ใกล้แล้วทำให้หัวเราะได้ อารมณ์ดี ตอนนี้ยายหนูพิมพ์ก็ยังไม่เปลี่ยน ไม่เปลี่ยนเลย





จากการเปลี่ยนสถานะของเพื่อนสนิทมาเป็นว่าที่พี่สะใภ้ สิ่งที่ชินตาของจิรสุตาในระยะหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ก็คือ...

หญิงสาวผมยาวสยายนั่งหน้าบึ้ง เพราะที่รัดผมโดนชายหนุ่มหน้าตาดีแย่งไปถือไว้เอง!

นี่มันมวยถูกคู่ชัดๆ!

ดูท่าจิรสินจะมีความสุขกับการได้เย้าแหย่ว่าที่เจ้าสาวให้โมโห โดยไม่สนใจว่าศศิพิมพ์อาจบ้าจนเลือดขึ้นหน้า และฆ่าเขาตายกับมือได้!

คิดๆ มาแล้วก็นี่สินะ (ว่าที่) พ่อบ้านใจกล้า!

และ... เธอก็กำลังจะโดนว่าพี่พี่สะใภ้กินหัวเพราะ...

“แก-ก-ก” ศศิพิมพ์หันมาเห็นเพื่อนสนิท จึงยิ้มหวานเยิ้มแต่ตาจิก “สองสามวันนี่ตื่นสายเนาะ มาทำงานสายทุกวันเลย เพื่อนจะติดรถมาก็ไม่ได้”

“แหะ” จิรสุตายิ้มแหย กลอกตามองพี่ชายซึ่งตีหน้าเฉยจากนั้นก็ถอนหายใจ “แหม ก็อยากให้ทำความคุ้นเคยกันไว้ อีกกะเดี๋ยวก็...” เธอเว้นคำไว้ไม่พูดต่อเพราะสายตาเขียวๆ ที่มองมาจากทั้งศศิพิมพ์ และ... พ่อหนุ่มนกประจำบริษัทที่นั่งหน้าง้ำไม่พูดไม่จา มองว่าที่บ่าวสาวเขาหยอกกัน แต่มีหรือที่ทั้งสองคนจะรู้ เพราะตอนนี้ศศิพิมพ์อดไม่ไหว ฟาดเพียะลงที่หลังมือใหญ่หลังแย่งยางมัดผมกลับมาได้

“จะได้เวลาทำงานแล้วค่ะ เชิญเจ้านายกลับห้องเจ้านายได้แล้ว”

“นี่ไล่พี่”

ศศิพิมพ์มองคนหน้ามึนอย่างอ่อนใจ “ค่ะไล่”

“แต่เสียใจ พี่ไม่ไปค่ะ”

“ถ้ายังอยู่” ศศิพิมพ์ยิ้มร้าย “จะคิดว่าหลงรักพิมพ์แล้วนะคะ” ตบท้ายด้วยยิ้มหวาน ปกติใช้ไม้นี้คนที่มาหลีมักถอยไปเอง แต่...

จิรสินก้มหน้าลงต่ำจนเธอต้องเอนหนี เขายิ้ม “ถ้าใช่ล่ะคะ”

อนุวัฒน์หน้าเขียวหน้าแดงแล้ว ส่วนคนอื่นๆ ยิ้มกรุ้มกริ่มตาวาว โดยเฉพาะจิรสุตาที่ยกมือปิดปากตาโต ศศิพิมพ์มองคนอื่นจนทั่วแล้วได้แต่ถอนใจ เธอใช้นิ้วชี้ดันตัวว่าที่เจ้าบ่าวออกห่าง

“ก็คง--” ศศิพิมพ์มองกลับแบบไม่สะทกสะท้าน “เชื่อลงหรอกค่ะ นี่เขินมากเลยค่ะ เขินไปถึงไส้ติ่งแน่ะ” สิ้นเสียงเธอเขาก็หัวเราะแล้วยืดตัวยืนตรง

“เถียงกับเรานี่สนุกดี”

“แค่ขอให้ช่วยดูคอมฯ ให้ค่ะ ถ้างานไม่ด่วนรับรองว่าไม่รบกวนแน่นอน แล้วถ้าพี่สินช่วยดูจริงจัง มันก็คงไม่นานถึงครึ่งชั่วโมงหรอก”

“เอ้า!” เป็นจิรสุตาที่อุทาน “ไอ้เราก็นึกว่ามาจีบกัน สร้างความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นก่อนวันหมั้นวันแต่งเสียอีก”

สีหน้าศศิพิมพ์อ่านได้ว่าสยอง ส่วนจิรสินชัดเจนว่าขำมาก

“ถ้าใช้แค่ทำภาษีคงพอได้ หนูพิมพ์ทำเสร็จแล้วบอกพี่นะคะ เดี๋ยวพี่จะได้เอาไปให้เพื่อนช่วยซ่อมให้ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่เอาโน้ตบุ้คที่บ้านมาให้ใช้รอของซ่อม”

จิรสุตายังไม่วายสอดปากยั่ว

“ไม่ซื้อใหม่ล่ะพี่สิน”

จิรสินยักไหล่โบ้ยให้ศศิพิมพ์ตอบ “เครื่องซื้อยังไม่ถึงห้าปี ซื้อใหม่ทำไมอะแก เสียดายยังดีๆ อยู่เลย”

จิรสุตาพยักหน้า “ก็ใช่” จากนั้นก็ยิ้มยั่ว “ยังไม่ได้ตกแต่งเลย รู้จักช่วยว่าที่ฯ ประหยัดแล้วนะเนี่ย ซ้อดูจะขี้เหนียวขนาดนี้ โบนัสประจำปีจะไม่ถูกลดเอาเหรอ”

ผลที่ได้คือห่อกระดาษเช็ดหน้าลอย

จิรสุตาหัวเราะร่าเมื่อรับไว้ ก่อนจะเดินเร็วๆ เข้าครัวไปหากาแฟกิน ศศิพิมพ์มองตามพลางส่ายหน้า ก่อนเงยมองเจ้าของคนชวน

“ตอนเย็นพี่ไปส่งนะคะ”

ศศิพิมพ์อ้าปากจะปฏิเสธ แต่...

“คำสั่งจากพ่อแม่ค่ะ เช้า-เย็นพี่ต้องรับ-ส่ง ยายตาเป็นคนรายงานนะ”

หญิงสาวหน้าเมื่อย ได้แต่ยิ้มเจื่อน เขาก็คงขัดใจพ่อแม่ตัวเองไม่ได้ ก็... ช่วยไม่ได้

จิรสินมองท่าทางชวนตลกของหญิงสาวก็ได้แต่ยิ้มขำ เขาหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวของบิดา ศศิพิมพ์เองก็ลุกขึ้นเดินตรงไปที่ครัวเพื่อคุยกับจิรสุตา ธนวัฒน์ทำท่าจะถลาลุกขึ้นตามแต่นิตายั้งไว้เสียก่อน

“วัฒน์ พี่ว่าวัฒน์คงรู้นะ ว่าอะไรที่ทำได้ทำไม่ได้ ถึงพิมพ์กับคุณสินจะตกกระไดพลอยโจน แต่วัฒน์คงไม่อยากให้ใครๆ มองพิมพ์ไม่ดีหรอกนะ ว่าเป็นผู้หญิงเจ้าชู้”

ธนวัฒน์หลับตาและกลับนั่งลงตามเดิม กัญญาที่นั่งเยื้องไปทางด้านหลังได้แต่มองอย่างห่วงๆ

“พี่วัฒน์คงต้องใช้เวลา”

จิรสุตาเปรยกับศศิพิมพ์ที่ยืนหันหลังให้ประตูห้องครัว ในมือเธอถือแก้วกาแฟควันฉุย ส่งกลิ่นหอม

“ดูแกกับพี่สินสนิทกันเร็วดีนะ”

ศศิพิมพ์ยกมือขึ้นเกาศีรษะ ก้าวเข้าไปชงกาแฟบ้าง

“คงเพราะรู้กันอยู่แล้วมั้งว่าต่างคนต่างจำใจ”

“ใกล้ชิดกันเข้ามากๆ อนาคตไม่แน่หรอกน่า”

ศศิพิมพ์เหล่มอง “ไม่มีทางค่ะ”

“แน่ใจเหรอว่าจะไม่สปาร์กน่ะ” ครั้นไม่ได้คำตอบ จิรสุตาจึงกล่าวต่อ “ตกลงกันได้ก็ดี แต่แน่ใจเหรอว่าถึงวันนั้นจะทำได้”

“อื้อ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ฉันจะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของพี่สินและพี่สินก็จะไม่มายุ่งกับฉัน หมั้นแล้วก็ต่างคนต่างอยู่ สักปีค่อยถอนหมั้นจากนั้นก็ตัวใครตัวมัน”

“พิมพ์ แกพูดเหมือนง่าย แน่ใจเหรอว่ามันจะง่ายจริงๆ”

“คนไม่รักกันมันง่ายกว่าคนรักกันนะตา”

จิรสุตาฟังแล้วก็นิ่ง “ตอนนี้น่ะง่าย แล้วถ้าตอนที่ต้องเลิกจริงๆ มันไม่ง่ายแล้วล่ะ แกจะทำยังไง”

ศศิพิมพ์เงยหน้ามองลึกเข้าไปในดวงตาของจิรสุตา

“ถ้าฉันคือคนที่ไม่ง่าย ฉันจะไม่ทำตัวให้มีปัญหา ถ้าตอนนั้นหัวใจฉันมันเผลอไป ฉันก็จะยังทำเหมือนเดิม อย่างน้อยคนที่ฉันรักก็ต้องมีความสุข เพราะถ้าไม่ฉันก็คือคนเห็นแก่ตัว แต่แกจำไว้นะตา ระหว่างฉันกับพี่สินเราไม่เปลี่ยนหรอก เพราะเราไม่ได้รักกัน”

ฟังแล้วก็อ่อนใจ จิรสุตาจึงได้แต่ถอนหายใจ แล้วยกกาแฟแก้วนั้นที่เริ่มเย็นขึ้นดื่ม อยากบอกศศิพิมพ์นัก

สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือหัวใจ

แต่สิ่งที่ไม่แน่นอนที่สุดก็คือ... หัวใจอีกนั่นแหละ!

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่สามของเดือน และสำหรับศศิพิมพ์คือวันโลกาวินาศอย่างแท้จริง มันเป็นต้นเดือนที่ชวนปวดหัว เพราะวันจันทร์เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ และวันอังคารคือวันนำส่งภาษี แต่เอกสารที่ได้ยังไม่ครบ ลูกค้าหลายเจ้ามักมีปัญหากับการส่งใบหักภาษี ณ ที่จ่าย และนั่นคือสิ่งที่เธอต้องใช้

หญิงสาววุ่นกับการโทรศัพท์ทวงเอกสาร ลงตัวเลข ตรวจทาน และราวๆ บ่ายสองโมงเมื่อได้ยอดตัวเลขถูกต้องตามเอกสาร เธอก็นำเช็คภาษีเข้าไปส่งให้จิรสินเซ็น เพื่อเตรียมให้เมสเซ็นเจอร์ของบริษัทนำไปจ่ายที่กรมสรรพากรประจำเขตในวันอังคารนี้

ส่วนเหตุที่หัวปั่นก็เพราะเสาร์และอาทิตย์นี้ศศิพิมพ์ไม่ว่าง เธอมีนัดเข้าไปตรวจความเรียบร้อยบัญชีของบริษัทฯ อีกที่ที่รับทำไว้

วันนี้ข้าวเที่ยงของศศิพิมพ์เป็นข้าวกล่องที่กินได้ไม่กี่คำ ช่วงบ่ายแก่ๆ เธอเริ่มเคลียร์ภาษีสำหรับยื่นในวันที่สิบห้า และพบว่าเอกสารในอาทิตย์สิ้นเดือนขาดอีกหลายใบ และมีบางใบที่ลูกค้าให้มาผิด

บ่ายสามโมง เจ้ากรรมนายเวรของเธอก็มาหลอกหลอน

“กลับกันค่ะ”

หญิงสาวเงยหน้ามองคนชวน ใบหน้านวลเป็นมันน้อยๆ และผมรุ่ยร่ายสองข้างแก้ม มีรอยปากกาเปื้อนตรงปลายคางนิดหน่อย

“เพิ่งจะบ่ายสามค่ะ ยังไม่เลิกงาน รู้ไหมคะนี่ลูกน้องค่ะไม่ใช่เจ้านายที่จะกลับตอนไหนก็ได้ อ๋ออีกอย่าง เข้างานแปดโมงเช้า เลิกงานห้าโมงเย็นค่ะ”

เขายิ้ม ก้มลงเท้ามือกับโต๊ะชะโงกหน้ามาใกล้




ดังปัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 เม.ย. 2561, 21:19:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 เม.ย. 2561, 21:19:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 860





<< ๕ ตกกระไดพลอยโจน (75%)   ๕ ตกกระไดพลอยโจน -จบตอน- >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account