กาลครั้งหนึ่งนั้น(ในความบังเอิญ)
เธอกับเขา ความทรงจำที่เคยมีร่วมกันมาก็แค่... อดีตกิ๊ก!
Tags: แต่งงาน,อดีต,รัก,บุพเพสันนิวาส,พรหมลิขิต

ตอน: ๕ ตกกระไดพลอยโจน -จบตอน-

“แต่พี่เป็นเจ้านายสั่งให้กลับบ้านได้ อ๋อ อีกอย่างพี่มีธุระ ไม่ใช่สิ หมายถึงเรามีธุระ แม่สั่งให้ไปลองชุดหมั้นวันนี้ค่ะ บอกร้านไว้แล้ว”

ศศิพิมพ์กลอกตาถอนหายใจยอมแพ้ ก่อนมองจิรสินที่ยื่นผ้าเช็ดหน้าของเขาส่งมาให้

“รอยปากกาที่คางค่ะ”

หญิงสาวยิ้ม “ขอบคุณค่ะ” เธอหันไปหยิบกระเป๋า “มีกระดาษเช็ดหน้าค่ะ ไม่รบกวน”

ชายหนุ่มยกมือเกาที่ท้ายทอยเก้อๆ และหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“อันนี้ก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ แต่ดูถ้อยทีถ้อยอาศัย สปาร์กติดไวมาก” อาทิตย์เปรยขึ้น ก่อนสะดุ้งเพราะเห็นหน้าตาธนวัฒน์ที่หมองลง “เอ่อ... พี่วัฒน์ ผม--”

“ที่ทิตย์พูดน่ะถูกแล้ว” กัญญาแทรกหน้าตาเฉย “จะหมั้นจะแต่งกันแล้ว พี่วัฒน์ก็ต้องทำใจ ตัดใจซะบ้างเถอะพี่”

สายตาธนวัฒน์เย็นชาทันทีที่มองสบ

“หรือไม่จริง”

กัญญายังเอ่ยลอยหน้าลอยตา จนนิชาอดขัดไม่ได้

“เอาเถอะๆ เข้าใจกันหน่อยเรื่องส่วนตัวเจ้านายกับว่าที่เจ้านายนะจ๊ะ เวลาทำงานยังเหลือ เดี๋ยวพรุ่งนี้ยายพิมพ์ก็ได้ไล่เบี้ยเอกสารหรอกจ้ะพ่อคุณแม่คุณ”

เท่านั้นเป็นอันว่าศึกที่กำลังจะเริ่มจบลงทันตาเห็น

จิรสุตาที่นั่งหลังสุดยกมือขึ้นเท้าคาง กลอกตาไปมา เธอพึมพำอย่างอดไม่ได้กับตัวเอง

“รักซ้อนกันกี่เส้าวะเนี่ยไม่อยากคิด!”





การลองชุดผ่านไปด้วยดี คนที่เหนื่อยหาใช่เจ้าบ่าวไม่เพราะลองรอบเดียวและหลังจากนั้นก็นั่งดูเฉยๆ คนเหนื่อยสุดคือศศิพิมพ์ เพราะว่าที่แม่สามีสั่งชุดไว้ให้ลองเป็นสิบชุด

สุดท้ายเธอได้ชุดไทยสไบสีเม็ดมะปราง พอมองนาฬิกาก็พบว่าปาเข้าไปจะห้าโมงเย็น และศศิพิมพ์ก็หิวมาก

“แวะไหนไหมคะ”

จิรสินไม่ได้หันมามองเมื่อถาม เพราะเขากำลังขับรถอยู่

“เหนื่อยแล้วค่ะอยากกลับไปนอน”

เขาเลิกคิ้วขึ้น

“แค่ทำภาษีให้ทันก็หมดแรงแล้วค่ะ”

ชายหนุ่มหัวเราะแต่ไม่วายชวน “แวะตลาดนะคะ ไปห้างตอนนี้หาที่จอดยาก ไปซื้อกับข้าวที่ตลาดน่าจะไวกว่า”

ศศิพิมพ์ไม่ตอบ เพราะรู้ว่าถึงอย่างไรเขาก็ทำตามที่พูดอยู่ดี

ครึ่งชั่วโมงทั้งคู่ก็มาถึงตลาดใกล้บ้านศศิพิมพ์ ยังไม่ทันจะลงจากรถ จิรสินก็เอ่ยขึ้นอีก

“หยุดตั้งสามวัน” ศศิพิมพ์เบี่ยงตัวหันมามองพลางเลิกคิ้วขึ้น “ไม่รู้จะทำอะไรดี” หญิงสาวขมวดคิ้ว “เรียกยายตากับที่บริษัทมากินกันไหมคะ ถือโอกาสที่พี่เข้ามารับหน้าที่แทนพ่อไง เดี๋ยวพี่เลี้ยงเองค่ะ”

ศศิพิมพ์จงใจฉีกยิ้ม

“พรุ่งนี้เช้ามีงานค่ะ”

“ไม่เป็นไร พิมพ์ก็พักผ่อนไงคะ พวกพี่ก็กินต่อ”

“พี่สิน” หญิงสาวอ่อนอกอ่อนใจ “ยังไม่เข็ดอีกหรือคะ ที่ต้องมาหมั้นกันอยู่นี่ก็เพราะกินกันนี่แหละ”

เขาหัวเราะ “เถอะค่ะ อยู่คนเดียวมันไม่สนุกนักหรอก”

ศศิพิมพ์นิ่งไปทันควัน

“พี่ได้ยินจากตาว่าเขาฟื้นแล้ว”

พอเธอไม่พูดเขาก็กล่าวอีกว่า

“ทางบ้านนั้นห้ามไม่ให้พิมพ์ไปเยี่ยมเขาอีกใช่ไหม”

ศศิพิมพ์กระพริบตา เธอเม้มริมฝีปาก คำพูดของพ่อแม่และคู่หมั้นณวัฒน์ยังก้องอยู่ในหัว

‘ถือว่าอาขอร้องนะหนู ตอนนี้ตาณุก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว แถมยังจำหนูไม่ได้ อาอยากขอ หนูอย่ามาที่นี่อีกเลยนะ คิดเสียว่าเห็นแก่ตาณุ อาไม่อยากให้ลูกจำได้แล้วคิดทำอะไรบ้าๆ ขึ้นมาอีก แล้วก็... คู่หมั้นตาณุก็อยู่ที่นี่ คิดว่าหนูคงเข้าใจ อาไม่อยากให้เขาเอาไปลือกันผิดๆ อย่างน้อยก็เพื่อชื่อเสียงของหนูเอง'

ใบหน้าศศิพิมพ์ชา เห่อ และเธอก็รู้สึกไม่ดี

จริงๆ จะว่าไป นี่คือหนึ่งอาทิตย์ที่โลกของเธอพลิกกลับตาลปัตร อยู่ดีๆ ก็มีคู่หมั้น อยู่ดีๆ คนที่กลายเป็นเจ้าชายนิทรามาตลอดก็ฟื้น

“อยู่คนเดียวก็ยิ่งคิดมาก มีเพื่อนๆ มีคนอื่นอยู่ด้วยก็เผื่อจะได้เลือนๆ ไปบ้าง จะได้สบายใจขึ้น”

หญิงสาวมองหน้าคนพูด ใบหน้าคมสันที่เห็นอยู่ แววตาที่มองสบ ล้วนบ่งว่าเขาคิดอย่างที่พูดจริงๆ

“กินอะไรดีคะ”

นั่นประโยคที่เธอเอ่ยออกไป ไม่มีคำขอบคุณ มีก็แค่รอยยิ้มจริงใจที่มอบให้เขาไป

เกือบครึ่งชั่วโมงที่อยู่กันในตลาด ระหว่างรอศศิพิมพ์ซื้อของจิรสินก็โทร.หาน้องสาว จิรสุตาเป็นฝ่ายประสานงาน และพอซื้อของเสร็จก็ได้คำตอบ คือทุกคนพร้อมที่จะมาแฮงก์เอ้าท์ที่บ้านของศศิพิมพ์

เมื่อมาถึงบ้าน รอบตัวก็สลัวลงแล้ว จิรสินจอดรถลงที่เดิม เขาเดินตามศศิพิมพ์ที่ก่อนหน้านี้เปิดประตูบ้าน หิ้วของส่วนหนึ่งเข้าไปแล้ว ชายหนุ่มตามเอาของที่ซื้อมาไปวางไว้ในครัว ระหว่างนั้นหญิงสาวเปิดตู้เย็น รินน้ำใส่แก้วยื่นส่งให้เขา

“ช่วยไหมคะ”

คนถามช่างเอื้อเฟื้อ

“เอ่อ อยากให้ช่วยนะคะแต่เหลือแค่แกะใส่จาน”

เขาหัวเราะ “งั้นพี่รอหลังบ้าน ลมเย็นดีค่ะ”

“เดี๋ยวเอายากันยุงไปจุดให้ค่ะ ค่ำแล้วยุงอย่างเยอะ”

ชายหนุ่มยิ้มรับผละจากมา ศศิพิมพ์เปิดไฟรั้วรอบบ้านแล้วจึงไม่มืดมาก เขาเลือกนั่งที่ม้านั่งใต้ซุ้มเฟื่องฟ้า ยังไม่ทันหายเหนื่อยก็รู้สึกว่าถูกมอง ครั้นมองหาเจ้าของสายตาก็พบว่ารั้วบ้านด้านซ้ายที่เป็นกำแพงทึบ มีหญิงวัยกลางคนกำลังชะเง้อมองมาอย่างสนใจ จิรสินยิ้มยกมือไหว้

“สวัสดีครับ”

“ไหว้พระค่ะ นี่แฟนหนูพิมพ์เหรอคะ ทำไมไม่เคยเห็นหน้า” หล่อนคนถามไว้ผมดัด ใบหน้าอวบอูม ตาหยี และมีขี้แมงวันอยู่เหนือริมฝีปาก “ที่เคยเห็นน่ะผู้ชายขาวๆ หน้าตาตี๋ๆ ค่ะมาบ่อย อู้ย-ย-ย ป้าก็นึกว่าแฟน แต่เห็นหนูพิมพ์บอกว่าเพื่อน มีแต่เพื่อน”

แค่ประโยคแรก จิรสินก็อึ้งแล้ว “ก็ เอ่อครับ”

“ว่าแต่คุณเป็นแฟนหรือ ไม่ใช่--”

“ผัวใช่ไหมจ๊ะที่ป้าอยากถาม” ศศิพิมพ์ที่ทันได้ยินเอ่ยขัด จิรสินเหลียวมองเธอพลางเลิกคิ้วขึ้นแต่หญิงสาวไม่สนใจ “อยากรู้อะไรอีกไหมจ๊ะ จะได้พูดให้จบในครั้งเดียว ไม่ต้องเอาไปเล่าเป็นตุเป็นตะ”

คุณป้าข้างบ้านเหมือนจะหน้าเจื่อนจนจิรสินอมยิ้ม

“หนูพิมพ์ก็! ป้าก็ถามไปอย่างนั้นเอง เราคนบ้านใกล้กัน”

“นั่นสิจ๊ะ เรามันบ้านใกล้กัน ว่าแต่พิมพ์ไม่เห็นน้องแคทมาหลายวันเลยนะจ๊ะ มหา’ลัยก็อยู่แค่นี้เอง แต่คงงานเยอะมากเลยกลับบ้านไม่ได้ วันก่อนเห็นที่ห้างนี่ละจ้ะ ไปกับเพื่อน--” เธอยิ้ม “ผู้ชาย”

ป้าข้างบ้านหน้าตึงทันควัน เอ่ยกระแทกกระทั้น

“ป้าไปละนะ อุ่นหม้อแกงส้มไว้”

ศศิพิมพ์ส่ายหน้า เดินเลยไปจุดยากันยุงให้จิรสิน

“แบบนี้ละค่ะ พรุ่งนี้ก็ได้ลือกันทั้งซอย ว่าพิมพ์พาผู้ชายเข้าบ้าน”

เท่านั้นแทนคำอธิบายที่ต้องการ จิรสินยิ้มนิดๆ

“แบบนี้เรียกว่าปากจัดนะ ไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่”

“ช่วยถอนหงอกให้จะได้ไม่ดูแก่ไงคะ”

คนฟังถึงกับระเบิดหัวเราะเลยทีเดียว และเสียงหัวเราะนั่นก็เรียกความสนใจจากบ้านหลังที่อยู่ทางขวา

“พิมพ์เอ๊ย”

คราวนี้คนเรียกเป็นคือชายวัยกลางคน หัวล้านเลี่ยน เมื่อยืดตัวยืนตรงก็ทำให้เห็นว่าคงสูงมาก เพราะช่วงอกพ้นกำแพง

“น้าได้ยินเสียง สวัสดีพ่อคุณ”

จิรสินรีบยกมือไหว้ ศศิพิมพ์นั้นเดินเข้าไปหา ประตูด้านข้างเป็นรั้วเหล็กและชายคนนั้นก็เปิดมันออกจากฝั่งบ้านของเขา

“ดูสิ น้าได้อะไรมา”

ผิดคาดที่ศศิพิมพ์ไม่วีนกลับไป จิรสินมองตามและสนใจถึงขนาดลุกขึ้นเดินตามไปดูอย่างเสียมารยาท หลังอีกฝ่ายหายเงียบไปราวสิบนาที และจากนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกๆ ดังมาจากอีกฝั่งของกำแพง พอเขาไปถึงก็พบต้นเหตุของเสียงหัวเราะนั่น

“ลูกหมา?”

เขาพึมพำเมื่อมองข้ามไปดูและศศิพิมพ์ก็เงยมองยิ้มตาหยี ขณะอุ้มลูกสุนัขอายุน่าจะสักเดือนเดียวขึ้นมาให้ดู

“น้าแก้วเก็บมาจากตลาดค่ะ ไม่รู้ใครเอามาปล่อย”

พูดแล้วก็หัวเราะ เมื่อลูกหมาทำท่าจะเลียแก้มเข้าให้ จิรสินจึงก้าวลอดประตูเข้าไปทรุดลงนั่งยองๆ เคียงข้าง

“แล้วน้าเขาไปไหนคะนั่น”

“แกไปเข้าห้องน้ำค่ะ แล้วจะเลยไปทำกับข้าวเย็นให้หมาด้วย”

“เหรอ แล้วนี่แกจะเลี้ยงเองหรือเปล่าคะตัวนี้”

หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่ค่ะ พิมพ์ขอเลี้ยงเอง สงสารแก น้าแก้วภาระก็เยอะ หมาที่บ้านนี้ร่วมสิบแล้ว” รอยยิ้มนั่นสดใสเสียจนคนมองอดยิ้มตามไม่ได้

“เอาสิคะ เดี๋ยวพี่ช่วย บอกน้าเขาด้วยสิคะ ถ้าขาดเหลืออะไรบอกผ่านพิมพ์มาก็ได้ พี่อยากช่วย”

“ดีค่ะ ค่ายา ค่าหมอ ค่าอาหาร แชมพู ขนม ของเล่น”

เขาหัวเราะกับค่าใช้จ่ายต่างๆ นั่น “ไม่ต้องไล่เรียงมาขนาดนี้ พี่ก็ออกให้เองค่ะไม่ต้องห่วง ขนหน้าแข้งคงไม่ร่วงหรอก”

รอยยิ้มต่อรอยยิ้ม สายตาต่อสายตา ชั่วเวลาไม่กี่วินาทีที่มองสบในระยะห่างแค่น้อยนิด ทุกอย่างเหมือนหยุดหมุน

“อุ้ย!”

ลูกหมาตัวเล็กดิ้นหลุดจากมือ ทำให้ศศิพิมพ์รู้สึกตัว

“เอ่อ งั้นอุ้มกลับบ้านเลยไหม หรือจะให้นอนนี่”

จิรสินเก้อไปเหมือนกัน เขาขยับลุกขึ้นยืนและลอดผ่านประตูที่สูงแค่พอให้ก้มตัวผ่านได้ออกมาจากนั้นก็ยืนรอ ศศิพิมพ์อุ้มลูกหมาแนบอกลุกขึ้นเดินตามบ้าง ทว่าขณะกำลังจะก้าวขาข้ามกรอบประตูเหล็กแต่ไม่พ้น เธอเซถลาไปด้านหน้า สองมือกอดลูกหมาไว้แน่นและเป็นจิรสินที่โอบรับไว้ทั้งคนทั้งหมา

เป็นกอดแรกระหว่างเรา

เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แรกนั้นศศิพิมพ์ตกใจ ต่อมาคือใจหาย ทว่าวินาทีถัดมาคือใจเต้นแรงไม่เป็นส่ำ อยากบอกว่าเป็นเพราะอาการตกใจกลัวเจ็บ แต่เธอโกหกตัวเองไม่ได้เมื่อมันไม่ใช่เช่นนั้น

กับจิรสินเขาบอกไม่ถูก ก็แค่... กอด แต่เป็นกอดที่ไม่ใช่แค่กอด




ดังปัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 เม.ย. 2561, 20:08:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 เม.ย. 2561, 20:08:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 805





<< ๕ ตกกระไดพลอยโจน (100%)   ๖ คุ้นเคย (เคยชิน) (25%) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account