มนตราในฝัน
กานติศา หญิงสาวหลงทางในความฝัน จินตนาการของเธอ กระทั่งพบชายชุดดำปริศนาเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวยามกลางวัน กลืนเป็นสีน้ำเงินในรัตติกาล สัมผัสความลึกลับและอันตราย
เธอจะวิ่งหนีไปให้พ้นจาก 'ฝันร้าย' อย่างไร

Tags: ข้ามภพ,แฟนตาซี,ความรัก

ตอน: บทที่1 (2) กานติศากับต้นไม้สีม่วง

กลิ่นหอมไม้พันธุ์ธรรมชาตินานาชนิดลอยแตะจมูก ร่างสาวหายใจหอบ ไม่คุ้นกลิ่นหอมฉุนจนเวียนหัว สายเลือดในตัวไหลเวียนพลุ่งพล่าน กระแสสายลมตีม่วนกระแทกเปลือกตาอย่างจัง กานติศาตื่นมาพบว่าอยู่กลางทุ่งกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา สาวหดตัวกอดตัวเองเมื่อเจอลมสายลมเย็น หนาวเหน็บจนนิ้วมือชา ปากสั่นระริก เริ่มตั้งสติประเมินว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ต้นไม้สีม่วงอีกแล้ว

กลิ่นหอมประหลาดมาจากเกสรดอกไม้ ถูกย้อมเป็นสีม่วงอ่อนทั้งต้น ราวกับภาพวาดเหมือนจริงจนน่าตกใจ กานติศาออกตัววิ่งไปข้างหน้าอย่างไร้จุดมุ่งหมาย อย่างน้อยวิ่งหนีไปให้พ้นจากที่นี่ เร็วกว่าสายลมก็ไม่ช่วยทัศนียภาพเปลี่ยนไป ราวถูกกับดัก

เธออยู่ที่ไหนกันแน่ ต้นไม้สีม่วงมีความหมายอะไรกันแน่

“พี่กาน” กานติศานอนอยู่ถูกจับเขย่า เสียงเรียกหาเธอเสียงดังเข้ามาในโสตประสาท

“ได้ยินผมไหม” กันต์เขย่าพี่สาวแรงขึ้นจนลำคอพลิกไปพลิกมา จนกระทั่งเห็นว่าพี่ตื่นแล้ว

“อือ กันต์เองเหรอ” ทำไมน้องชายมองเธอเหมือนสัตว์ประหลาด ทั้งสองอยู่ภายในห้องนอนของกันต์ เธอไม่รู้ว่าตนเผลอหลับไปนานแค่ไหน

“พี่ทำผมกลัว ปลุกเรียกพี่ไปเท่าไรก็ไม่ตื่น ทำผมคิดว่าพี่ตายไปแล้วจริงๆ ไม่ได้ยินผมเหรอ”

“ไม่ ไม่ได้ยิน คงหลับลึกนะ” ทั้งที่เธอเป็นคนความรู้สึกไว เด้งจากที่นอนทันทีด้วยเสียงนาฬิกาปลุกเพียงครั้งเดียว แต่กลับไม่ได้ยินเสียงน้องชาย วันนี้มีแต่เรื่องแปลกประหลาด

“แปลกจังเลย” พี่สาวสูดหายใจได้กลิ่นหอมอ่อนๆ

“มีอะไรแปลก”

“แกไม่ได้กลิ่นอะไรหรือ” กลิ่นหอมเหมือนต้นไม้ต้นนั้น

น้องชายสงสัยจึงลองสูดจมูกฟุดฟิดไม่พบกลิ่นดังกล่าว

“ไม่มีนี่ พี่เป็นหวัดป่ะ”

“คงเป็นนั้นแหละ” เริ่มมีอาการคัดจมูกเล็กน้อย ไปคิดพิเรนทร์ว่ากลิ่นหอมนั้นจะข้ามมาในโลกปัจจุบันได้ยังไง
แต่กันต์ยังกังวล เมื่อครู่นี้พี่สาวนอนหลับสภาพเหมือนคนตายทำเขากลัวขึ้นมาจริงๆ นอนหลับนิ่งยิ่งกว่าศพในห้องดับจิต

“พี่ไม่เป็นอะไรแน่นะ” ยืนขวางประตูไม่ให้พี่สาวออกไป

“บอกไม่เป็นไรก็ไม่เป็นสิ แกก็รู้ว่าพี่เรียนหนัก” พอนึกได้ว่าจะคุยอะไรกับน้องชายตัวแสบ คนเป็นพี่สาวเขกหัวลงโทษ “เอารูปแม่อกสะบึ้ม น่าเกลียดที่เพดานนั้นออกเสีย อย่าให้แม่เห็น”

ความเจ้าเล่ห์บนหน้าน้องชายที่มีคล้ายคลึงกับเธอ คงแอบซ่อนรูปภาพลามกไว้ที่อื่นอีกแน่ เจ้าตัวยืดอกอย่างภูมิใจสมกับเป็นเจ้าของโปสเตอร์นั้น

ทำไมกลิ่นดอกไม้ยังติดทนทานขนาดนี้ ต้นไม้รูปทรงประหลาด ฝันนั้นทำเธอขยาดเหลือเกิน ไม่ใช่ครั้งแรกที่สาวนอนฝันมาอยู่หน้าต้นไม้สีม่วง ซึ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน ขี้เกียจนับนิ้วนับครั้ง แม้เป็นเศษเสี้ยวของวินาทีได้เห็นภาพ แต่ในความรู้สึกช่างยาวนานนัก

แต่ว่ากานติศาเริ่มสังเกตความเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่นั้นมาความฝันที่กินเวลานานขึ้นเรื่อยๆ จนกลัวว่าสักวันหนึ่งที่เธอไม่สามารถปลุกตัวเองตื่นได้

กลิ่นหอมปริศนานั้น มันคืออะไรกันแน่

“กาน เหม่ออะไรอยู่จ๊ะ ทำไมไม่ทานข้าว”

ประพิมพรรณปลุกสติลูกสาวให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน หลังจากเห็นลูกสาวเหม่อลอยอยู่ตั้งนาน มือถือช้อนส้อมค้าง ข้าวอยู่ในปากไม่ยอมเคี้ยว กานติศารีบเคี้ยวกลืนอาหารให้ลงเร็วที่สุด ไม่พ้นสายตาทุกคน ต่างแอบลอบมองกันเห็นความผิดปกติ

“แม่ครับ พี่มีอะไรแปลกๆ เมื่อกี้ผมพยายามปลุกพี่เท่าไรก็ไม่ยอมตื่น พี่นอนนิ่งอย่างกะคนตาย” กันต์ที่นั่งติดกันถือโอกาสนี้ฟ้องผู้เป็นแม่ ขณะที่มือตักไข่ลูกเขย ปากยังเคี้ยวตุ้ยๆ พูดไปทีเศษข้าวกระเด็นไปติดหน้าพี่สาวจนหงุดหงิด

“ยังไม่เลิกพูดเรื่องนี้อีกเหรอ ก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไร แค่หลับลึก ตื่นมาพี่รู้สึกสดชื่นมาก ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอกค่ะ” ปากพูดขณะที่สบตามารดาตาใส

“ถึงลูกจะเรียนหนัก แต่ต้องดูแลสุขภาพตัวเองเป็นอันดับหนึ่ง กินข้าว นอนหลับ พักผ่อนให้เพียงพอ พ่อแม่เคยคุยกันแล้วว่า” ประพิมพรรณหันไปทางสามีซึ่งนั่งหัวโต๊ะอาหาร

“ใช่ เราอยากจะบอกลูกว่า อย่าเอาเรื่องเรียนมากดดันตัวเองเกินไป เราหวังให้ลูกเรียนอย่างมีความสุข ทำในสิ่งที่ชอบ ไม่เกเรเหมือนไอ้กันต์ แค่นี้พวกเราก็ดีใจมากแล้ว” นายปราชญ์ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว พ่อเฝ้าบ้านวัยเกษียณ ส่งสายตาปราบไปทางลูกชายคนเดียว กันต์สำลักแกงเขียวหวานถูกหางเลขไปด้วย

“ค่ะ กานจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด” ไม่พูดเปล่า ยกมือลูบหัวนักเรียนเพิ่งเรี นายกันต์ไม่ชอบใจ ส่งทักท้วงห้ามอย่าเล่นหัวอีก เพราะมันจั๊กจี้พิลึก

ครอบครัวหรรษารับประทานอาหารมื้อเย็นด้วยกันอย่างมีความสุข หลังจากนั้นพ่อกับน้องชายนั่งเชียร์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกออกนอกหน้า ทั้งคู่เชียร์ทีมฟุตบอลคนละทีมจึงมีการยั่วยุกันอยู่บ้าง ส่วนลูกสาวของบ้านก็ช่วยแม่ล้างจาน เช็ดจาน และเก็บใส่ตู้ ไม่นานเธอกับแม่เข้ามาร่วมสมาคมเชียร์ทีมฟุตบอล เสียงเป่านกหวีดพักครึ่งเกมส์ กานติศาเริ่มเข้าประเด็น

“พ่อแม่ค่ะ อาทิตย์หน้า กานจะไม่กลับบ้านนะคะ ต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบ” นอกจากนี้ต้องเข็นรติรสให้ดูหนังสืออย่างจริงจัง

“ดีแล้วจ้ะลูก แม่เองก็คิดจะบอกลูก ไม่ต้องกลับบ้านทุกอาทิตย์ก็ได้ ถ้ามันทำให้ลูกเหนื่อยการเดินทาง พ่อแม่จะขยันเป็นฝ่ายเข้าเมืองไปหาลูกบ้าง”

“พ่อก็ว่างั้น ถ้าจำเป็นต้องอยู่ในเมือง ก็อยู่ไป ไม่ต้องห่วงแม่กับพ่อหรอก โทรมาหาแม่บ้างนะ เวลาว่างชอบร้องไห้บ่นคิดถึงแก” เจอลูกค้อนภรรยา นายปราชญ์ได้แต่เกาหัวแกร่กๆ ดูท่าคืนนี้ ต้องบริการนวดให้ภรรยา

“โธ่ ห่วงใยกันจัง ทำไมไม่มีใครเทคแคร์ผมบ้างนะ คนที่ต้องการกำลังใจคือผมนะครับ” กันต์ บิดตัวขี้น้อยใจพูดอยู่คนเดียว จงใจให้ได้ยินกันถ้วนหน้า ไม่นึกห่วงตอนไปส่งเข้าค่ายเขาชนไก่ นอนกลางป่า บททดสอบสุดท้ายแสนโหด

“ปัญหาอะไรกัน อยากให้พ่อรื้อฟื้นปัญหาแกให้ฟังมั้ย เมื่อสัปดาห์ที่แล้วแกลักพาหนูเดียร์ไปเที่ยวซะดึกดื่น จนพ่อแม่ของเขาโทรตาม เราทุกคนเป็นห่วงกันใหญ่ กลัวว่าแกจะทำมิดีมิร้ายลูกสาวพวกเขา ปัญหาอะไรหรอกหรือ ปัญหาสับรางรถไฟไม่ทันละมั้ง” คำพูดของนายปราชญ์ราวมีหนามอันแหลมคมทิ่มใจ

“แกไม่ได้มีปัญหา ปัญหาคือตัวแกต่างหาก”

“พ่อครับ ไม่ต้องพูดแรงขนาดนั้นก็ได้นี่ครับ ไหนๆ ผมก็พาเดียร์กลับบ้านอย่างปลอดภัย มันผ่านไปแล้ว อย่าพูดถึงมันอีกเลย” เป็นเขาเองก็ไม่อยากฟัง ปัญหาที่เคยก่อเหตุไว้

“คุณพ่อก็พูดเกินไป ไม่เอาน่าคุณ แค่นี้กันต์เครียดจะแย่อยู่แล้ว ตอนหนุ่มๆ คุณก็ไม่แรงไปน้อยกว่าสักเท่าไร จำได้ไหมคะ ว่าเราสองคนถูกจับได้ที่ไหน” นางประพิมพรรณเลือกข้างชัดเจน

“พิม พูดอะไร ต่อหน้าลูกๆ เนี่ยนะ” นายปราชญ์คว้าหนังสือพิม์มาอ่านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เสียงหัวเราะดังขึ้น เพราะหนังสือพิมพ์กลับหัว

คดีฉาวโฉ่ กันต์ลักพาหนูเดียร์เพื่อนร่วมชั้นไปเที่ยวดึกดื่น จนพ่อแม่ของอีกฝ่ายต้องวิ่งโร่แจ้งตำรวจให้จ้าละหวั่น เป็นเพียงความเข้าใจผิดเล็กน้อย ซึ่งห่างไปจากความจริงอยู่มาก กันต์ลักพาตัวหนูเดียร์ และเพื่อนๆ หลายคนไปเตรียมตัวทำกิจกรรมของโรงเรียน และแอบดื่มเล็กน้อย ไม่พ้นมือตำรวจ ผู้ที่ต้องเสียค่าปรับก็คือพ่อแม่ของนักเรียนทั้งหลาย

กันต์ในชุดนอนถือถาดนมอุ่นมาเสิร์ฟพี่สาวถึงเตียง กานติศานอนบนเตียงมืออังหน้าผาก

“พี่ปวดหัวเหรอ งั้นนมแก้วนี้ ผมต์ดื่มนะ” ไม่ทันยกดื่ม พี่สาวก็คว้าแก้วทันควัน

“พี่แค่ปวดหัวตุบๆ นิดหน่อย” กานติศาขยับตัวให้กันต์ย้อนก้นนั่งที่ปลายเตียง ความใกล้ชิดสำหรับทั้งคู่ถือเป็นเรื่องปกติ

“สบายจัง ห้องผู้หญิงมันหอมหอม”

“ขุมนรกแกมันเหม็น หัดดูแลทำความสะอาดด้วยตัวเองมั้ง พี่สงสารแม่” พูดแล้วชักเป็นห่วงแม่อย่างไรชอบกล อาศัยจังหวะน้องชายเผลอ กานติศาแกล้งดึงผ้าห่มจนกันต์เสียหลักตกเตียงดังโครม

“เฮ้ย เจ็บนะ จะฟ้องพี่ต้นให้ดู”

น้องชายตัวดีเล่นตีจุดอ่อนอย่างจัง ทำไมจะไม่รู้ว่าสองคนสนิทกันแค่ไหน กันต์ได้รู้จักเล่นจับฟุตบอลครั้งแรกจากการเชิญชวนของพี่ต้น จากนั้นมากันต์นับถือศักดิ์เป็นพี่ชายคนเดียว ทุกวันตอนเย็นหลังจากกลับจากโรงเรียนมักจะเห็นภาพผู้ชายตัวโตสอนเด็กชายประถมเล่นฟุตบอล เล่นบาสเก็ตบอลที่สนามหญ้าหลังบ้าน ส่วนเด็กสาวที่ไม่มีส่วนรวมอย่างเธอมักจะนั่งเมี่ยงมองพวกเขาเสมอ น้อยครั้งพวกเขาฝืดตัวยอมเล่นวาดรูประบายสีกับเธอ นึกคิดไปก็น่าน้อยใจ “เอาพี่ต้นมาเกี่ยวทำไม”

“นี่ไม่อยากรู้หรอกเหรอ ผมเพิ่งคุยโทรศัพท์กับพี่ต้นเมื่อกี้นี้เอง ถามถึงพี่ด้วย”

เมื่อเจอไม้นี้ กานติศาแทบจะนั่งพับเพียบเรียบร้อยยกมือไหว้อย่างเอาใจ

“เขาพูดถึงพี่ว่าไง”

เป็นเช่นนี้เสมอ เมื่อกล่าวถึงพี่ชายแสนดี พี่สาวจะตื่นตัวหูตั้งเป็นสุนัขเจอกระดูกชิ้นโต กันต์ไม่ปล่อยโอกาสดีงามสูญเปล่า “ขอสามนะ”

“สามอะไร สามร้อย” นอกจากเกเร แล้วเป็นคนที่งกเงิน

“สามพัน” รอยยิ้มเยือกเย็นผุดที่ปาก พี่สาวถึงกับหลุดคำหยาบออกมา

“ซื้ออะไรตั้งสามพัน เพิ่งซื้อรองเท้าไนกี้ให้ไปหยกๆ ทำเอาพี่ล้มละลายครั้งเดียวไม่พอรึไง” เพิ่งเจอลูกเจ้าเล่ห์ไม้นี้ได้ไม่นาน เธอต้องน้ำตานองในควักเงินซื้อรองเท้าให้ เป็นราคาค่าปิดปากความลับเรื่องอุบัติเหตุเล็กๆ พลาดทำรถยนต์คันโปรดคุณพ่อเป็นรอย แล้วโยนความผิดให้ข้างบ้าน พ่อยังด่าคนข้างบ้านจนถึงวันนี้

กันต์หัวเราะเพราะรักถึงหยอกเล่น เขายังปลาบปลื้มกับรองเท้าคู่ใหม่

“พี่ต้นเป็นห่วง แค่โทรมาถามว่าพี่กานถึงบ้านเรียบร้อยมั้ย แล้วฝากสวัสดีพ่อแม่ มีอีกนะ พี่เขายังเล่าเรื่องบริษัทหลายที่ติดต่อให้ร่วมทีมงานสร้างอนิเมชั่นเรื่องใหม่ ฟังแล้วยังตื่นเต้นแทนเลย”

“เรื่องมีเท่านี้?”

“จากนี้ไปพี่บอกว่าจะยุ่งมาก อาจจะไม่มีเวลาโทร หรือไปส่งพี่กาน ผมชักทนไม่ไหวแล้ว เมื่อไรพี่สองคนประกาศเป็นแฟนกันสักที”

คนกลางอย่างกันต์ที่อยู่ขีดกลางระหว่างสองคนเก็บอัดอั้นมานาน มองปราดเดียวรู้ว่าทั้งคู่แอบมีใจให้กัน แต่ไม่มีใครก้าวออกมาแสดงความชัดเจน

“ไม่ทำอะไรเข้าสักอย่าง พี่ต้นจะมีคนใหม่นะ”

เห็นชัดว่ากันต์เลือกข้าง แคร์ความรู้สึกพี่ต้นมากกว่า แต่กานติศาเองก็มีจุดยืนของตัวเองเหมือนกัน

“ทำไมพี่ต้องเป็นฝ่ายเริ่ม การที่เราไม่ทำอะไร แปลว่าเราไม่รีบ”

เชื่อว่าจังหวะและโอกาสที่ดีจะมาในเวลาที่เหมาะสม ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เธอยังเป็นนักศึกษาหวังเรียนให้จนจบไม่ยอมอุปสรรคประการใดมากีดขวาง ส่วนพี่ต้นเองยังสนุกกับงานที่รัก ทั้งคู่ยังสนุกกับการอยู่กับปัจจุบัน

ต้นไม้รูปทรงเห็ดสีม่วง คำถามยังคงคาในใจ

กานติศาใช้เวลาค้นหาในอินเตอร์เนททั้งคืนเพื่อหาข้อมูล รูปภาพ วีดีโอ หวังเจอคำตอบมาเติมเต็มชิ้นส่วนภาพปริศนา เธอเจอรูปภาพไม้ดอกที่รายละเอียดตรงกันที่สุด ดอกวิสทีเรีย* แต่ต้นไม้ในความฝันสูงใหญ่ผิดแผกไปจากธรรมชาติ กลางคืนในวันเดียวกันสาวรางรูปภาพ จัดแสงเงาด้วยการลงสีน้ำ เพื่อให้ความสมจริงยิ่งขึ้นโดยการระบายสีไม้ตาม ราวเกรงกลัวว่าจะลืมความฝัน กระดาษผลงานการวาดรูปกำเนิดต่ออีกหลายแผ่น ห้องนอนกลายเป็นห้องสตูดิโอของศิลปินขนาดย่อม

กานติศาลืมตาพบตัวเองอยู่หน้าต้นไม้สีม่วงอีกครั้ง ภาพความฝันกำลังหมุนเล่นซ้ำ แต่สิ่งแวดล้อมรอบตัวกลับเปลี่ยนไปจากเดิม คือไม่มีสายลมเย็นพัดโชยแบบคราวก่อน เธอมองไปที่ความเงียบเบื้องหน้า ลางร้ายบางอย่างกำลังมาถึง สาวก้าววิ่งพรวดออกไปห่างจากตรงนั้น แปลกใจร่างกายที่วิ่งเร็วได้อย่างอิสระกว่าแต่ก่อน

เท้าเป็นแผลเหวอะหวะ เมื่อสาววิ่งผ่านทุ่งดอกกุหลาบเหี่ยวเฉา เลือดออกจากบาดแผลอย่างเจ็บปวด เธอประหลาดใจกับความรู้สึกเจ็บที่เหมือนจริง เป็นไปไม่ได้ จึงตบหน้าตัวเองเต็มแรงเกิดอาการชาที่ใบหน้า
สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวไปกว่านั้น ดอกกุหลาบเหี่ยวเฉาราวกับมันเพิ่งลิ้มรสเลือดจากแผล หล่อเลี้ยงไปจนถึงตัวดอกไม้คลี่บานชูดอกเปลี่ยนสีเป็นสีแดงชาด ข้อเท้าตนกลายเป็นสีม่วงเข้มราวถูกดอกไม้มีพิษ จึงก้าววิ่งต่อ ไปให้พ้นความน่ากลัว

หลังจากวิ่งเร็วที่สุดในชีวิตมาจนถึงขอบหน้าผา ความพยายามล้มเหลว ร่างสาวย่อตัวลงอย่างหอบเหนื่อย มองไปที่จุดจบเบื้องล่าง ซึ่งมีกลุ่มก้อนเมฆเคลื่อนมาบดบัง มีน้ำตกสีคล้ำขนาดยักษ์ขนาบข้างขอบหน้าผา กำแพงภูผาผุดกร่อนไร้ซึ่งความอ่อนโยน เสียงน้ำตกกรีดร้องราวกับพิโรธมาตั้งแต่ปางก่อน ความกลัวจับขั้วหัวใจจึงก้าวถอยกรูด สถานที่กานติศายืนอยู่เหนือกว่าก้อนเมฆเคลื่อนผ่านช้า ๆเหล่านั้นอีก

ลางร้ายบางอย่างกำลังมา กานติศารู้สึกได้ หันซ้ายมองขวาหาที่หลบภัย ตัดสินใจไปซ่อนอยู่ที่ซากต้นไม้ ฝ่าร่างเล็กลอดเข้าไปอุโมงก์ภายในต้นไม้ เงี่ยหูฟัง ตกอยู่ในความเงียบขนาดเธอต้องรีบปาดเหงื่อก่อนมันหยดลงพื้น

ในหมอกจาง เผยร่างตะคุ่มสูงใหญ่ควบขี่สัตว์พาหนะ มือกระตุกบังเหียนเป็นจังหวะแสนหนักหน่วงมุ่งมาทางนี้ สาวในต้นไม้กลัวตัวสั่นอยากหนีไม่คิดชีวิต เช่นกระโดดหน้าผานั้นช่วยเธอตื่นจากฝันร้ายรึเปล่า เธอได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอันใกล้

ร่างสูงใหญ่โดดลงจากอาชาไนยตัวสีดำมันเงางาม ส่งเสียงคำรามไปที่ซากต้นไม้ กานติศานั่งตัวเกรง มองไปที่ช่องโหว่งเล็กๆ ของลำต้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ร่างชุดดำพินิจมองซากต้นไม้สนอกสนใจ และรออย่างใจเย็น อุ้งมือสวมเหล็กสีดำสนิทมีปลายหนามแหลมคมกรีดนิ้วไล้ไปกับส่วนลำต้นของซากต้นไม้ เสียงสะท้อนกังวานไปถึงข้างใน จนต้องยกมือปิดหูทั้งสองข้าง

คุณพ่อ คุณแม่ น้องชาย ทุกๆ คน รวมไปถึงภาพรอยยิ้มพี่ต้นผุดเป็นคนสุดท้าย สาวปิดตาสนิทอย่างหวาดกลัว

กานติศาสะดุ้งตื่นมาอยู่ในห้องตัวเองปิดไฟสนิท ภายในห้องเรียบง่ายราวไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน นอกจากเสียงฝนพร่ำๆ ได้แต่สะท้อนใจ สิ่งที่เธอเจอมามันน่ากลัวเสียเหลือเกิน

เธอฝันร้ายอีกแล้ว



KAVIDA
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 พ.ค. 2561, 16:27:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 พ.ค. 2561, 16:27:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 619





<< บทที่1 (1) กานติศากับต้นไม้สีม่วง   บทที่ 2 (1) ปริศนาชายชุดดำ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account