จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 14

----- แวะคุยกันก่อน ----

สวัสดีค่ะเอาบทที่ 14 มาลง
บทต่อไปนี้สำหรับคนอ่อนไหว เตรียมทิชชู่เลยคะ
มีหลายอย่างกำลังคลี่คลายกันไปทีละปม
ทีละหน่อย อาจจะดราม่าไปหน่อยแต่มันจะไคลแม็กซ์แว้วนะคะ
อย่าทดท้อถึงขนาดเลิกอ่านนะคะ คนเขียนขอร้อง

คราวนี้เอาเพลงนี้มาฝาก http://youtu.be/ZUupBWN-qrc
เพลงประักอบละัครอีสา-รวีช่วงโชติ เขียนตอนนี้แล้วฟังเพลงนี้ไปด้วยคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้น กลำงัใจคนเขียนอยู่ที่คอมเม้นเนี่ยแหละคะ
ไปแล้วนะคะ ไว้ต่อบทที่ 15 สวัสดีคะ
***********************
บทที่ ๑๔

เฮลิคอปเตอร์ลำนั้นลงจอดยังจุดแดงบนดาดฟ้าของโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพ บุรุษพยาบาลชุดขาวยกร่างสตรีวัยกลางคนไร้สติบนเปลวางลงบนเตียงส่งต่อให้บุรุษพยาบาลอีกคนเข็นเตียงลงลิฟต์เข้าห้องฉุกเฉินไปในทันที

พยาบาลคนหนึ่งนำเอกสารเกี่ยวกับประวัติคนไข้ให้ช่วยกรอกรายละเอียด ภาควัฒน์จำต้องผละจากการเกาะกระจกทึบแสงไปยังเคาน์เตอร์เพื่อชี้แจ้งว่าคนไข้รักษาตัวกับทางโรงพยาบาลแห่งนี้พร้อมทั้งแจ้งชื่อนายแพทย์ประจำตัวเรียบร้อยก็กลับมาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามห้องฉุกเฉิน ขณะที่ศศิวิมลนั่งไม่ติดได้แต่ยืนเฝ้าอยู่หน้าบานประตูทั้งที่ยังสวมเสื้อผ้าชื้นน้ำทะเล...กระแสลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้ไหล่ห่อสะท้าน ริมฝีปากอิ่มระริกไหว แต่ความกังวลใจทำให้ลืมสิ้นถึงสาเหตุที่ทำให้ตัวสั่นเป็นลูกนก

“ ไปยืนอยู่อย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์หรอก ” เสียงทุ้มเย็นดังขึ้นจากเบื้องหลัง หญิงสาวละสายตาจากกระจกหันไปมองคนตัวใหญ่ที่นั่งเอนศีรษะพิงผนัง ดวงตาคมเด็ดเดี่ยวเรียบเฉยเช่นเดียวกับท่าทางการแสดงออก ผิดกับตอนแรกที่จะขึ้นเฮลิคอปเตอร์มาส่งมารดาที่โรงพยาบาลลิบลับ

หล่อนย่นหน้าผากให้กับอาการเฉยเมยคล้ายไม่มีเรื่องทุกข์กังวลของอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจนัก หากเมื่อก้าวเท้าเข้าไปใกล้กลับได้เห็นเขากำมือแน่นอยู่บนหน้าตักคล้ายกับกำลังพยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวดที่ท่วมท้นขึ้นมาด้วยไม่อยากให้ใครรู้ถึงความรู้นั้น

คนตัวเล็กสังเกตเห็นเข้าก็นั่งลงข้างๆ แม้จะประหม่ากลัว ทว่าในที่สุดมือเย็นเฉียบก็เอื้อมไปกุมมืออุ่นใหญ่...ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย ทอดสายตายังมือเรียวเล็กนั้นครู่เดียวก็ลุกจากเก้าอี้เดินหนีจนทำให้หญิงสาวเสียใจที่เขารังเกียจการปลอบโยน แต่ทันทีที่เห็นเขากลับมาสะบัดผ้าห่มคลุมร่างให้จากนั้นจึงสอดประสานนิ้วเรียวทั้งห้าเกาะกุมมืออีกฝ่ายไว้แน่นหนาก็ทำให้หล่อนอดยิ้มไม่ได้

...ในเวลานั้นคำพูดปลอบประโลมใดก็ไม่สำคัญเท่ากับสัมผัสอบอุ่นจากความเอื้ออาทรที่มีระหว่างกัน...
ทั้งคู่นั่งมองประตูห้องฉุกเฉินอยู่ด้วยกัน เฝ้ามองนายแพทย์และพยาบาลวิ่งเข้าวิ่งออกกันเป็นว่าเล่นพร้อมกับเสียงเข็มนาฬิกาข้อมือก็ดังขึ้นทุกขณะ ขยับจากวินาทีเป็นนาที จากนาทีเป็นชั่วโมง กระทั่งผ่านไปสามชั่วโมงจึงได้เห็นนายแพทย์ประจำตัวของอรพิณเดินออกมา

สองสามีภรรยากำมะลอก็รีบลุกเข้าไปหาทั้งที่มือยังจับกันแน่นเพื่อสอบถามอาการป่วยของคนในห้องฉุกเฉิน...นายแพทย์ถอดหน้ากากปิดปากออกพลางถอนหายใจ สีหน้าแววตาไม่สู้ดีนัก

“ หมอต้องเรียนให้คุณภาคทราบก่อนนะครับว่า คุณพิณเธอมาพบหมอตอนที่เป็นมะเร็งระยะที่สามแล้ว หมอลองให้คีโมร่วมกับการฉายแสงรักษาแล้ว แต่เซลล์มะเร็งก็ยังกระจาย สิ่งที่หมอทำได้ทุกวันนี้ก็แค่ประคับประคองอาการของคุณพิณไว้เท่านั้น ”

“ ครับ เรื่องนี้ผมทราบ ”

“ การที่คุณพิณเธอทนอยู่มาได้นานขนาดนี้ หมอคิดว่าส่วนหนึ่งคงมาจากกำลังใจของเธอ แต่จากผลการตรวจ ตอนนี้มะเร็งมันแพร่ลงไปถึงตับแล้ว มีเลือดออกในช่องท้องร่วมด้วย หมอคิดว่า คงถึงเวลาที่คุณภาคต้องทำใจแล้วนะครับ ” แพทย์สูงวัยอธิบายถึงความเจ็บป่วยของคนไข้พลางตบบ่าปลอบก่อนจะขอตัว
เดินไปพูดกับพยาบาลครู่เดียวก็วกกลับเข้าห้องฉุกเฉินอีกครั้ง

แม้จะตระหนักอยู่ตลอดเวลาถึงช่วงชีวิตอันสั้นนักของแม่ ทั้งที่เตรียมใจไว้ระยะหนึ่งแล้ว แต่เมื่อถึงคราวก็ห้ามความรู้สึกรวดร้าวที่ตีกระทบทั่วร่างกายแทบไม่ไหว พาลคิดถึงคำสอนของคนไกลที่ฝากไว้ให้จารจำ

...หากต้องเจ็บช้ำจากความรัก ก็จงอย่ามีรักเสียดีกว่า…

ศศิวิมลเองหลังรับทราบอาการป่วยของสตรีผู้รักและเมตตาตนเองมาโดยตลอดก็รู้สึกเหมือนโลกหมุนเคว้งคว้างเป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่เคยเกิดขึ้นครั้งอดีต ภาพของแม่ที่คอพับมือตกค้างเตียงนั้นยังอยู่ในความทรงจำ

...จะมีก็เพียงคนเคยสูญเสียผู้เป็นที่รักเท่านั้นจึงจะเข้าใจรสชาติขมขื่นฝาดลิ้น….

ชายหนุ่มลากเท้าพาหญิงสาวกลับไปนั่งเหมือนคนไม่ทุกข์ร้อนอะไร หากเขากลับบีบมือเล็กไว้ตามจังหวะการเต้นของหัวใจและอาการช้าที่แทรกซึมมาเป็นริ้ว ในใจภาวนาขอให้คนป่วยปลอดภัยพอจะตื่นมาคุยกับเขาอีกสักนิด ยิ้มกับเขาอีกสักหน่อย ฝากฝังความประสงค์สุดท้ายได้ ต่อให้ต้องแลกกับเวลาในชีวิตเขาก็ถือว่าคุ้มค่า

ยิ่งเห็นความรวดร้าวคนที่นั่งใกล้กันก็ยิ่งเจ็บแปลบเท่าทวี มองเขาปิดเปลือกตาพิงศีรษะกับผนังอีกครั้งอย่างอ่อนล้าเหมือนไม่อยากรับรู้สิ่งใดในโลกอีกต่อไปก็ดึงมือเล็กออกจากมือเขามาพนมมือแทบอกตั้งจิตอธิษฐานพึมพำบทสวดมนต์หวังให้ผลบุญส่งให้คนในห้องฉุกเฉินอาการทุเลา

ภาควัฒน์ลืมตามาเห็นเข้าก็รู้ถึงความหวังดีจึงยกมือพนมตาม แม้จะไม่รู้บทสวด หากก็คิดว่าศรัทธาแรงกล้าของตนอาจยังผลถึงผู้ให้กำเนิด นั่นทำให้ทั้งสองร่วมกันพนมมือสวดมนต์อยู่หน้าห้องฉุกเฉินกันจนถึงเช้า โดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครแสดงอาการอ่อนเพลียทั้งที่ไม่ได้นอนมาตั้งแต่เช้าเมื่อวาน กระทั่งได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือจากในกระเป๋าเสื้อดังขึ้น ชายหนุ่มจึงจำใจต้องลุกออกไปคุยห่างๆ กลัวรบกวนสมาธิคนที่มุ่งมั่นใช้ธรรมะเป็นสรณะในยามคับขัน

น้ำเสียงสดใสของยายช้อยดังมาจากปลายสายถามไถ่ถึงความสนุกในการไปเที่ยวทำให้เขาหลุดยิ้มเศร้า ก่อนจะแจ้งให้ทราบถึงอาการของนายหญิงแห่งวิสุทธิ์สุนทร นางก็ถึงกับเงียบไปอึดใจใหญ่คล้ายกับช็อก จากนั้นจึงได้ยินน้ำเสียงสั่นเครือของอีกฝ่ายเอ่ยถามชื่อโรงพยาบาล

“พอดีก่อนเล็กมาโรงพยาบาล เขาลงไปเล่นน้ำ ตอนนี้เลยยังอยู่ในชุดเดิมอยู่เลย รบกวนยายช้อยหยิบเสื้อผ้ากับชุดชั้นในมาให้เล็กเขาเปลี่ยนหน่อยนะครับ” ก่อนวางสายก็ฝากของให้แม่นมนำมาด้วย

หลังจากเลิกโทรศัพท์ชายหนุ่มก็เดินไปยืนกอดอกพิงผนังอยู่หน้าห้อง คอยแต่ชะเง้อมองกระจกทึบราวกับจะส่องให้ทะลุถึงมารดาที่ยังอยู่ภายในห้องนั้นโดยไม่มีทีท่าว่าแพทย์ประจำตัวของอรพิณจะออกมาเสียที จะมีก็แต่พยาบาลที่สลับหมุนเวียนเข้าไปในห้อง และแพทย์บางคนที่มาดูอาการคนไข้หนักเป็นพักๆ

ในที่สุดแพทย์ที่ทั้งสองเฝ้ารอก็ปรากฏตัวออกมาพร้อมกับบรรดาคนรับใช้เก่าแก่หลายคนที่ทราบเรื่องจากยายช้อย กลุ่มคนจำนวนนั้นจึงกรูตามไปสมทบ แล้ววินาทีที่เฝ้ารอปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นกลับจบลงด้วยคราบน้ำตาและเสียงร้องไห้ระงม

คนตัวใหญ่เหมือนคนหูอื้อตาลายไม่ได้ยินสุรเสียงใด มีเพียงคำว่า ไม่น่าพ้นคืนนี้ ของนายแพทย์สูงวัยเท่านั้นที่ดังก้องสะท้อนย้อนไปย้อนมา อาการเย็บวาบลามจากศีรษะลงสู่ปลายเท้า สุดจะพรรณนาความโศกระทมที่คนเป็นผู้ต้องพานประสบ

ผู้ทำการรักษาอนุญาตให้ญาติเข้าไปดูใจคนป่วยเป็นครั้งสุดท้ายได้ ภาควัฒน์พยักหน้าพลางหันมองศศิวิมลที่อาบน้ำแต่งตัวใหม่ แม้จะไม่มีน้ำตา ทว่าดวงตากับใบหน้ากลับแดงก่ำ ผลบุญที่ทำไว้มาตลอดชีวิตมิพอส่งเป็นบรรณาการให้พญามัจจุราชมีจิตคิดกรุณาปราณี

“ เข้าไปหาแม่กันเถอะ ” เอ่ยชวนพลางยื่นมือใหญ่มาให้หญิงสาวจับไว้มั่น ยังคงลักษณาการเรียบเฉยเย็นชา ทว่าแววน้ำเสียงนั้นแฝงความหม่นเศร้าไว้ชัดเจน

ศศิวิมลเอื้อมมือออกไปประสานมือกับเขาผลักประตูพากันเข้าไปในห้องฉุกเฉินเพื่อเฝ้าดูอาการของสตรีผู้ซึ่งเคยกระทำเรื่องผิดพลาดมากมายในชีวิตแต่ในหัวใจยังมีรักอันบริสุทธิ์มอบแด่ลูกและคนรอบตัวอยู่เสมอ และความสูญเสียครั้งนี้สำหรับทายาทตระกูลวิสุทธิ์สุนทรสร้างความชอกหัวใจใหญ่หลวงยิ่งกว่าความเจ็บปวดครั้งใดที่เคยพานพบมา
**************************************

กระเป๋าเดินทางขนาดย่อมถูกลากไปตามทางจนถึงหน้าทางเข้าผู้โดยสารขาออกในประเทศ ศิระหันกลับมาไหว้อำลาผู้เป็นป้ากับคู่หมั้นสาวที่โบกมือไหวให้ตลอดจนกระทั่งร่างนั้นลับหายไปก็พากันเดินออกจากอาคารสนามบินกลับมายังรถยนต์ที่คนขับแล่นมาจอดรถพอดิบพอดี

นายหญิงแห่งอังคพิมานเปิดประตูเข้าไปนั่งยังเบาะหลังตามด้วยคู่หมั้นสาวของหลานชายแล้วรถก็บ่ายหน้ายังท้องถนน ระหว่างการเดินทางหญิงต่างวัยทั้งสองแวะทานมื้อกลางวันในภัตตาคารอาหารฝรั่งเศสแห่งหนึ่งแล้วจึงกลับสู่เคหะสถาน และทันทีก้าวเท้ายังอาณาเขตส่วนบุคคล หญิงรับใช้คนหนึ่งก็นำของมาส่งพร้อมรายงาน

“ คุณใหญ่ลืมไว้ในห้องรับแขกคะ ”

มลธิกามองสมุดโน้ตขนาดเท่าฝ่ามือหุ้มปกหนังสีน้ำตาลเข้มเปิดดูภายในจึงเห็นว่าหลานชายใช้สมุดเล่มนี้จดบันทึกหัวข้อน่าสนใจสำหรับใช้ประโยชน์ในการทำงานไว้ด้วยลายมือหวัดๆจนใกล้เต็มเล่มบ่งบอกถึงอุปนิสัยส่วนตัวที่กระตือรือร้นและสนใจสิ่งใหม่รอบตัวเสมอ

นางปิดสมุดเหลือบยังวิกานดาครู่หนึ่งก็ตัดสินใจให้ว่าที่นายหญิงคนใหม่แห่งอังคพิมานนำสมุดเล่มนี้ไปเก็บที่ห้องส่วนตัว ด้วยเห็นว่าการจะรู้จักตัวตนหรือวิถีชีวิตของใครสักคนนั้น นอกจากจะเรียนรู้กันด้วยการพูดคุยคบหา ห้องพักส่วนตัวก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทำความรู้จักใครสักคนได้ดีขึ้น

“ เดี๋ยวป้าวานหนูวิเอาสมุดของตาใหญ่ไปเก็บที่ห้องนอนเขาหน่อยได้ไหมลูก ”

“ จะดีหรือคะ ถ้าคุณใหญ่รู้เขาเดี๋ยวก็โกรธวิอีก ” หล่อนทำตาโต จดจำการคุกคามยามก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคู่หมั้นตนเองได้เป็นอย่างดี

“ ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ อีกหน่อยหนูวิก็จะเป็นสมาชิกคนหนึ่งของที่นี่ จะเข้าออกห้องไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละจ๊ะ แต่ถ้าหนูวิกลัวว่าตาใหญ่จะโกรธ เดี๋ยวป้าจะบอกเองว่าป้าเป็นคนขอให้หนูวิเอาสมุดไปเก็บในห้อง ”

“ แต่... ”

“ นะจ๊ะ...เอาไปเก็บให้พี่เขาหน่อย ถ้าหนูวิได้เห็นของตาใหญ่จะได้รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง ”

วิกานดายังมีท่าทีอิดออดครั้นพอถูกคะยั้นคะยอหนักเข้าก็จำใจยอมนำสมุดไปเก็บให้โดยมีหญิงรับใช้คนเดิมนำทางพาไปส่งถึงหน้าห้องนอน

เบื้องหลังประตูไม้บานนั้นจะพบเข้ากับห้องนอนกว้าง มีเฟอร์นิเจอร์หลักเพียงไม่กี่ชิ้น แม้จะมีห้องน้ำในตัวแต่ก็ไม่มีห้องแต่งตัวแยกเป็นสัดส่วนซึ่งทุกอย่างในนั้นล้วนใช้สีขาวมีเพียงก็แต่ผ้าม่านที่เป็นสีฟ้าอ่อนทำให้ห้องดูโล่งโปร่งสบาย

หญิงสาวเดินผ่านเตียงนำสมุดไปวางบนโต๊ะทำงานริมหน้าต่าง เจ้าของแทบไม่วางอะไรรกโต๊ะมีก็เพียงหนังสืออ่านเล่นสองสามเล่มกับกรอบรูปไม้แกะสลักอย่างดีวางไว้มุมหนึ่ง เมื่อมองผ่านๆรูปถ่ายในกรอบเป็นรูปของเด็กหญิงผมสั้นสวมชัดนักเรียนคอซองนั่งพับเพียบสีซออู้ และพอพินิจใกล้ก็รู้ได้ว่าเป็นใคร

“ ที่โกรธขนาดนั้นเพราะสนิทกับเด็กคนนี้มาตั้งแต่เด็กสินะ ” หล่อนรำพันลำพัง ผละจากโต๊ะทำงานไปยังเตียงนอนกว้างที่คลุมผ้าขึงจนตึงเรียบร้อยบ่งบอกลักษณะนิสัยผู้ชายมีระเบียบแบบแผน กวาดสายตาสำรวจทั่วจนมาหยุดตรงตู้เตี้ยที่ใช้แทนโต๊ะข้างเตียง ด้านบนนอกจากจะวางโคมไฟแล้วยังมีดอกรักปักอยู่ในแจกันวางเคียงกับกรอบรูปไม้

ภาพในนั้นยังคงเป็นหญิงสาวคนเดียวกับรูปบนโต๊ะทำงาน ทว่าคราวนี้คนในรูปเติบโตขึ้นสวมชุดครุยยืนอยู่ตรงกลางระหว่างผู้เป็นป้าและเจ้าของห้อง ขณะที่ขอบด้านล่างก็มีรูปถ่ายขาวดำขนาดสองนิ้วที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายบัณฑิตใหม่มากเสียจนเดาได้ว่า คนนี้คงจะเป็นน้องสาวที่คุณป้าเคยพูดถึง

หญิงสาวนั่งนิ่งใคร่ครวญ สิ่งที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่งของบ้านนี้ คือ ไม่เคยมีใครเห็นหรือรู้จักสามีของนายหญิงของอังคพิมานเลยสักครา หรือจะว่ากันตามจริงตั้งแต่เข้าร่วมสมาคมในวงสังคมชั้นสูงมา หล่อนก็ไม่เคยเห็นมี

ใครสนใจใคร่รู้เรื่องคู่ครองของมลธิกาเท่ากับสนใจในตัวลูกชายอย่างศิระ ทั้งที่ประวัติความเป็นมาเป็นสิ่งสำคัญมิใช่หรือ

คิดแล้วถอนหายใจพลางเหยียดริมฝีปาก มันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรที่จะต้องมาใส่ใจ เพราะอีกไม่นานที่นี่ก็จะไม่เหลืออะไรให้สนใจอีกแล้ว

หล่อนละสายตาจากรูปครอบครัวไล้ลงไปยังหนังสือภาษาต่างประเทศว่าด้วยการบริหารองค์กระและจัดการทรัพยากรมนุษย์ที่อัดแน่นในตู้ จึงเลือกหยิบหนังสือเล่มที่ดูสนใจออกมา

ทว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตายามพลิกปกเปิดดูเนื้อหากลับเป็นอัลบั้มรูปถ่ายของลูกพี่ลูกน้องสาวของเขาในทุกอิริยาบถตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ บางภาพนางแบบก็รู้ตัว หากบางภาพก็ดูเหมือนเป็นการแอบถ่ายโดยไม่ให้รู้ตัว

ทุกขณะที่มือพลิกเปิดหน้าต่อไปดวงตาคมโฉบเฉี่ยวมีแต่จะเบิกกว้างจนจบเล่มแรก ก็ไถลตัวจากเตียงลงมานั่งหน้าตู้รื้อหนังสือทุกเล่มในนั้นออกมาเปิดทั้งหมดซึ่งทั้งหมดก็เป็นไปตามคาด หนังสือทุกเล่มเหล่านั้นล่วนสอดไส้ไว้ด้วยอัลบั้มรูปที่จงใจเลือกเก็บเฉพาะรูปของหญิงสาวผู้นั้น

หญิงสาวขมวดคิ้วขณะทรุดลงนั่งพิงเตียงนุ่มครุ่นคิดปะติดปะต่อเรื่องราวจนเหลือบเห็นกระถางดอกรักงามพิสุทธิ์แล้วในที่สุดทุกเรื่องราวก็ประสานเข้ากันได้ในวินาทีนั้น

...ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เขาเปลี่ยนจากชายหนุ่มอบอุ่นนุ่มนวลกลายร่างเป็นอสูรร้ายในทันทีที่รู้ว่ามีบุคคลใดกล้าแตะต้อง กล่าวร้ายถึงเด็กคนนั้น...เป็นความลับที่ศิระสู้ปกปิดมานานแรมปีกำลังถูกเปิดเผยสู่คนนอกตระกูลอย่างวิกานดา

คู่หมั้นสาวตบขาตัวเองอย่างแรง นึกตำหนิตัวเองที่ไม่เฉลียวใจเลยสักนิดทั้งที่เขาแสดงออกกระจ่างชัด ทั้งที่มีไม้เด็ดโค่นอังคพิมานโฮเต็ลได้โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนลงแรงแย่งซื้อหุ้นหรือเอาตัวเข้าแลกกลับดักดานมองไม่เห็น

ถ้าเพียงความสัมพันธ์ลึกล้ำนี้ถูกเผยแพร่ออกไปเชื่อว่าชื่อเสียงที่สั่งสมยาวนานคงมีอันแหลกสลาย ขี้คร้านผู้ถือหุ้นทั้งหลายจะเทขายหุ้นตัวนี้ออกมาให้ช้อนซื้อในราคาถูกแสนถูก และเมื่อถึงเวลานั้นโอกาสจะใช้อังคพิมานโฮเต็ลเป็นฐานฟอกเงินคงลุล่วงไปได้ด้วยดี

วิกานดาเหยียดยิ้มอวดฟันเขี้ยวที่มุมปาก แววตาวับวาวสุกสกาวยิ่งกว่าดาราบนท้องฟ้า

...คงถึงคราวที่หมากรุกกระดานนี้จะถูกหล่อนรุกฆาตจบเกมในอีกไม่ช้านี้เอง...
*************************************

เจ้าของร้านสาวเท้าแขนกุมขมับบนโต๊ะกินข้าวในอพาร์ทเม้นท์ของตนเองพร้อมถอนหายใจเป็นระยะจนจวนครบครั้งที่ร้อย ผมยาวของหล่อนกระเซอะกระเซิงไม่ได้รูปทรงและยังสวมชุดนอนติดกายเป็นเสื้อเชิ้ตกับกางเกงขายาวลายตารางสีน้ำตาลอย่างที่ผู้ชายชอบใส่

ตั้งแต่ได้รู้เห็นน้ำใจแท้จริงของวิกานดาบนเรือก็เล่นเอานอนไม่หลับ เครียดจัดถึงขนาดต้องพึ่งช็อกโกแลตหวังใช้มันดับอารมณ์ว้าวุ่นจนหมดไปหลายห่อก็ไม่เห็นมีอะไรดีเสียทีเลยเลิกกิน เพียรคิดว่าจะทำอย่างไรระหว่างเตือนอังคพิมานหรือปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามยถากรรมเพราะทำกับเพื่อนหล่อนไว้มาก นั่งคิดหัวแทบระเบิดก็ยังคิดไม่ตก สักพักก็มีภูติน้อยดำขาวสองตัวผุดขึ้นมาลอยอยู่คนละฝั่ง

“ สมควรโดนแล้ว ชอบกดขี่คนอื่นนัก คิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองฉลาด เจอบทเรียนหนักๆเข้าซะบ้างจะได้รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวเป็น ” เจ้าตัวดำเปิดฉากด่ากราดดุเดือด

“ ทำแบบนั้นไม่ได้นะ ถ้าเรารู้หายนะของคนอื่นแล้วไม่เตือนเขา มันจะเป็นบาปติดตัวเรานะ ” แม่ตัวขาวแข็งขันยึดมั่นการช่วยเหลือเป็นสิ่งสำคัญ

“ บาปได้ยังไง มันเป็นเรื่องของกรรมใครกรรมมัน วิบากกรรมที่ทำกับคนอื่นมันตามทัน แล้วเราเอาตัวเองไปขวาง ไปยุ่งกับกรรมคนอื่น นั่นต่างหากที่เรียกว่าบาป ไม่พูดให้รู้นะถูกแล้ว ”

“ อย่าใจดำนักสิ คนเราต้องมีจิตคิดเมตตา ปรารถนาดีกับคนอื่น ไม่เคยไดยินหรือว่าช่วยคนนะได้กุศล อีกอย่างเล็กก็เป็นคนในตระกูลอังคพิมานนะ จะใจร้ายปล่อยให้เพื่อนเผชิญชะตากรรมเลวร้ายเหรอ ”

“ เป็นอังคพิมานแต่เลี้ยงมาเหมือนตุ๊กตาเนี้ยนะเหรอ เขาถือเล็กเป็นคนหนึ่งในอังคพิมานจริงๆหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ พูดไปเดี๋ยวก็หาว่าใส่ร้าย เราก็ซวยมันทั้งขึ้นทั้ง... ” เจ้าดำต่อประโยคไม่ทันจบ รสาก็ลุกพรวดแว้ดเสียงดังกลางอากาศ ยกมือปัดภาพเจ้าดำเจ้าขาวออกจากความรู้สึกนึกคิด

“ โว้ย มันจะอะไรหนักหนา ” ยืนเท้าสะเอวหลุดสบถลั่นห้อง สามัญสำนึกฝ่ายดีฝ่ายชั่วตีกันมั่วซั่วจนฟุ้งซ่าน เดินออกไปตรงระเบียงด้านนอกเพื่อสงบสติอารมณ์พักใหญ่ ก้มหน้าต่ำอยู่ระหว่างแขนทั้งสองที่เหยียดจับราวระเบียงก็เหลือบเห็นกระถางดอกเบญจมาศที่เพื่อนให้มากำลังออกดอกสวยก็กัดนิ้วเหมือนคิดอะไรได้

หล่อนก้มลงเด็ดดอกไม้มาดอกหนึ่ง ทรุดลงนั่งขัดสมาธิบนพื้นโดยไม่กลัวเปื้อน ดึงกลีบของมันออกเพื่อใช้ในการตัดสินชะตากรรมครั้งนี้...น่าอนาถดีที่คนอื่นใช้ดอกไม้เพื่อวัดดวงเรื่องความรัก ส่วนแม่คนไม่เคยมีความรักกลับเอามาใช้ชี้เป็นชี้ตายคนอื่นแทนเสียนี้

แม่ดอกเบญจมาศขาวกลีบนุ่มมีให้เด็ดทึ้งจนจุใจ แต่กลีบสุดท้ายที่คาอยู่กับเกสรดอก ลงท้ายที่คำว่า ‘บอก’

หญิงสาวปาดอกไม้ทิ้งลงกระถาง กระโจนกลับเข้าห้องวิ่งไปหยิบโทรศัพท์มือถือหน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์มากดหมายเลขแล้วโทรออก คิดว่าสมควรบอกเพื่อนไว้ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะไม่อยากเสวนากับพ่อคนพูดมากกับป้าประหลาด อีกอย่างหล่อนก็รู้ดีว่าพูดไปโดยไม่มีหลักฐาน พูดไปก็ไม่เชื่อ เผลอจะหาว่าใส่ร้ายอีก

ลองโทรเข้าบ้านวิสุทธิ์สุนทร หากก็แปลกที่ไม่มีใครมารับสาย ทั้งที่คนออกจะอยู่กันเต็มบ้าน จึงเปลี่ยนใจโทรเข้าโทรศัพท์มือถือของภาควัฒน์แทนแต่ก็ไม่มีคนรับสาย ครั้นจะโทรเข้าบ้านอังคพิมาน คนเพิ่งมีคดีกันมา โทรไปหาเดี๋ยวจะโดนหาว่าจุ้นจ้านไม่รู้กาลเทศะเลยต้องกดตัดสายทิ้ง

พอจะทำความดีต้องมีมารผจญอยู่เรื่อยนั้นทำให้หล่อนหงุดหงิด ยืนกอดอกเดินไปเดินมาอยู่เช่นนั้นก็ลงเอยด้วยการวิ่งไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ใช้นิ้วสางผมแล้วรวบเป็นหางม้า ตั้งใจออกไปบ้านที่เพื่อนใช้อาศัยชั่วคราวให้รู้แล้วรู้รอดจะเข้าท่ากว่า

รสาขับรถจักรยานยนต์ไปจอดอยู่หน้ารั้วบ้านวิสุทธิ์สุนทร ชะเง้อคอมองดูภายในก็รู้สึกได้ถึงความเงียบเชียบราวกับไม่มีใครอยู่ สักครู่ก็เห็นยามเปิดประตูออกมาหา

“ คุณสามาหาคุณเล็กหรือครับ”

“ ค่ะ ว่าแต่ทำไมวันนี้บ้านมันเงียบจังคะ คนเขาหายไปไหนกันหมด ”

ชายวัยกลางคนมีสีหน้าเศร้าสลด ก้มลงมองพื้นพลางถอนหายใจอย่างเป็นกังวลหนัก ฝ่ายคนมองพอเห็นเข้าก็กระพริบตารู้สึกตงิดใจ

“ คุณผู้หญิงเธออาการทรุดลงตอนนี้อยู่ไอซียู ทุกคนในบ้านยกเว้นผมก็เลยออกไปหาท่านที่โรงพยาบาล ”

“ ฉิบ... ” เจ้าหล่อนเกือบจะหลุดคำหยาบออกไป โชคยังดีที่มือไวยกมาอุดปากได้ทัน...อะไรมันจะประดังประเดเข้ามาพร้อมกันขนาดนี้เนี่ย

“ แล้วตอนนี้เล็กกับคุณภาคอยู่ที่โรงพยาบาลไหนคะ ”

“ อยู่ที่...” เขาเอ่ยชื่อโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เมื่อรู้คำตอบหล่อนก็กระโจนคร่อมรถบิดจักรยานยนต์ของตนเองมุ่งหน้าไปโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเด็กแว็นซ์แข่งรถกลางท้องถนน บางครั้งต้องปาดหน้ารถคนอื่นจนโดนก่นด่าแต่หล่อนไม่ยี่หระต่อเสียงใดทั้งสิ้น

แม้จะไม่ค่อยได้พูดจากันมากนักแต่ก็ใช่ว่าหล่อนจะไม่เคยได้รับความปรารถนาดีจากสตรีผู้นี้ ดังนั้นความห่วงใยในคนป่วยจึงมี อีกทั้งยังคิดกังวลถึงความรู้สึกของเพื่อนในยามนี้

เพียงเสือกรถเข้าไปจอดระหว่างจักรยานยนต์คันอื่นหน้าโรงพยาบาลได้ หญิงสาวก็วิ่งกระหือกระหอบเข้าไปหาเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์สอบถามถึงห้องฉุกเฉิน ก่อนจะรีบวิ่งไปในทันที

บรรยากาศยามก้าวเท้าไปตามทางเดินในเวลากลางคืนนั้นเงียบสงัดและวังเวง หากเมื่อเดินลึกเข้าไปกลับได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น พอเลี้ยวเข้ามาตรงหัวมุมก็เห็นผู้สูงวัยหลายคนร้องไห้หูตาแดงปริ่มขาดใจ แต่ตรงนั้นกลับไม่ปรากฏกระทั่งเงาของภาควัฒน์หรือศศิวิมล จึงคิดได้ว่าทั้งสองคงเข้าไปดูอาการคนป่วยที่ไม่แน่ว่าครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตที่คนใกล้ชิดจะได้อยู่ใกล้

แววตากระตือรือร้นเสมอพลันหมองเศร้า...คลื่นใต้น้ำจากวิบากกรรมครั้งนี้หาได้เล่นงานเฉพาะตระกูลอังคพิมาน หากแต่มันได้ลุกลามถึงตระกุลวิสุทธิ์สุนทรในฐานะที่สนิทชิดเชื้อกันด้วยหรือนี้

รสาเม้มริมฝีปากแน่นแล้วหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะเปิดดวงตาขึ้นมาใหม่ ลมหายใจถอนหนัก

...สงสัยว่างานนี้ เธอคงต้องถลำลึกลงไปมากกว่าแค่เตือนเพื่อนเสียแล้ว...




ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ส.ค. 2554, 17:49:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ส.ค. 2554, 17:49:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 2020





<< บทที่ 13   บทที่ 15 >>
violette 19 ส.ค. 2554, 18:28:38 น.
โอยยยลุ้นจนหายใจหายคอไม่ออกแล้วค่า
ตอนนี้ยังไม่เศร้าแต่สงสัยว่าจะซึมลึกซะแล้ววว


anOO 19 ส.ค. 2554, 18:28:58 น.
ถ้ารสาเตือนเล็กได้ แต่ก็คงไม่ทันการณ์แล้วล่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account