มนตราในฝัน
กานติศา หญิงสาวหลงทางในความฝัน จินตนาการของเธอ กระทั่งพบชายชุดดำปริศนาเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวยามกลางวัน กลืนเป็นสีน้ำเงินในรัตติกาล สัมผัสความลึกลับและอันตราย
เธอจะวิ่งหนีไปให้พ้นจาก 'ฝันร้าย' อย่างไร

Tags: ข้ามภพ,แฟนตาซี,ความรัก

ตอน: บทที่ 2 (2) ปริศนาชายชุดดำ

กานติศาวิ่งเท้าเปล่าออกไปนานแค่ไหนก็มิทราบ ไร้ทางออกไปจากที่นี่ จึงคุกเข่านั่งลงอย่างสิ้นหวัง อาการเหนื่อยหอบ สายฝนยังตกกระหน่ำใส่เนื้อตัวเปียกปอนไม่หยุด

เธอไม่ได้ฝันมาหลายวัน ทำไมกลับมาฝันอีกครั้ง

กานติศาใช้ใช้ความคิด พาตัวเองออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร ความฝันจบลงก็ต่อเมื่อตื่นมาพบตัวเองนอนบนเตียงตอนเช้าในหอพักเฉกเช่นทุกวันเป็นปกติ

“ตื่น ด้วยวิธีไหนล่ะเนี่ย”

ยกมือตบหน้าตัวเองแรงจนหน้าชา ไม่ควรมีความรู้สึกเจ็บ หรืออาการหนาวสั่นอย่างที่ประสบอยู่ตอนนี้ ก่อนหน้านี้เพิ่งทะเลาะกับรติรส กินข้าวเดินเล่นในสวนกับพี่ต้นไม่ใช่หรือ

ทุกอย่างจอมปลอม ทั้งทุ่งหญ้า และต้นไม้สีม่วง เธอไม่เชื่อเด็ดขาด ยกกำปั้นทุบเข้าที่หัวกะโหลกอย่างแรงหวังปลุกตื่นขึ้นมาสักที เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นสาวก็รัวทุบตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าท่ามกลางสายฝนคล้ายส่งเสียงหัวเราะเยาะ ใจเธอไม่ได้ทำด้วยหิน น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน แล้วใจเหล่า สาว ก้มหน้าแนบพื้นร้องห่มร้องไห้ในที่สุดท้องฟ้ายังพิโรธไม่ลดความบ้าคลั่ง นี่ไม่ใช่ความฝันธรรมดาแน่

เธอจะต้องตายอยู่ที่นี่ ไม่สามารถปลุกตัวเองตื่นได้

รีบปาดน้ำตาด้วยข้อมือ ขืนปล่อยตัวเองตกอยู่ในสภาพอ่อนแออย่างนี้ต่อไป ร้องไห้ไปก็ไม่ช่วยอะไรดีขึ้น ถึงแม้ว่าเกิดเรื่องเลวร้ายแค่ไหน เธอต้องมีสติ สมองคนเรามีไว้เพื่อคิดแก้ปัญหา เธอต้องแก้ปัญหาได้

แปลกมาก ถ้าเป็นครั้งก่อน เข้าฝันไม่นานก็ตื่นขึ้นมาแล้ว ทำไมครั้งนี้ยังอยู่ในความฝันอีก แทบทุกครั้งที่เธอมาเข้าฝันอยู่สถานที่คล้ายๆ กัน ต้องมีต้นไม้สีม่วงเสมอ เธอมองไปรอบต้นไม้สีม่วงต้นนั้นได้หายลับไปแล้ว คงวิ่งจากมันมาไกล ครั้งก่อนวิ่งมาถึงหน้าผา มีน้ำตกยักษ์ขนาบข้าง ครั้งนี้อาจจะคนละทิศทาง ซึ่งเธอจำไม่ได้แล้วว่าตนวิ่งไปทางทิศไหน

จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงคำรามก้อง การเคลื่อนไหวเป็นจังหวะแสนหนักหน่วง แม้อยู่ท่ามกลางสายฝน ฟ้าผ่าดังสนั่น

เธอลืมเรื่องชายชุดดำไปสนิท

แล้วลางร้ายก็มาถึง ปรากฏร่างทะมึนสีดำขนาดใหญ่กำลังบึ่งม้ามาทางนี้ บุคคลอยู่ใต้ผ้าคลุมผืนใหญ่ปิดทึบไม่เว้นแม้แต่ช่องลูกตา กานติศายืนแข็งทื่อเหมือนถูกสะกดด้วยภาพการเคลื่อนไหวที่เผลอเรียกว่า งดงามแต่แฝงความโหดเหี่ยม หญิงสาวละสายตาจากคนนั้นไม่ได้


ถุงมือเหล็กสีดำสนิทดูเหมือนชะลอความเร็วแต่กลับกระชากสายบังเหียนแรงขึ้น ม้าพยศตัวนั้นวิ่งพุ่งทางนี้ มันดีดตัวยกขาหน้ากระโดดข้ามเฉียดร่างสาวจนล้มหงายหลังตึง ดวงตาม้ายังเป็นสีดำสนิท และไม่สาแก่ใจพอม้าตัวนั้นวิ่งเลี้ยวกลับมาทำซ้ำ พร้อมเจ้าของยกดาบใหญ่มหึมาเกินกว่ามนุษย์คนไหนจะแบกไหว ปลายดาบแหลมอยู่สูงรับสายฝ้าผ่าได้จังหวัดพอดี กระแสไฟฟ้าวิ่งไปรอบตัวเดาบได้อย่างอัศจรรย์ สัญชาตญาณบอกว่าบุคคลนี้อันตรายมาก

มันจะฆ่าเธอ

กานติศาหวงชีวิตออกตัววิ่งหนีด้วยแรงที่เหลือ เธอวิ่งหนีคนป่าเถื่อนไม่คิดละชีวิต ความโชคดีอยู่ได้ไม่นาน เมื่อเท้าเล็กวิ่งไปบนพื้นหญ้าเปียกแฉะเรียบลื่น เท้าข้างหนึ่งเกิดพลาดตกหลุมเหมือนมีใครจงใจขุดกับดักไว้ จึงเสียหลักสะดุดหกล้ม หัวเข่าถลอกปอกเปิกเป็นแผล แต่เธอไม่รู้สึกเจ็บเพราะความกลัวมีมากกว่า ในที่สุดร่างสาวตัวเล็กอยู่ภายใต้เงาร่างใหญ่ที่ยืนค้ำหัว จี้ปลายดาบไปที่คอหอย สัมผัสความหนักของดาบเหล็กเล่มนี้ มันจมและกรีดไปที่เนื้อลำคอจนเลือดไหลริน

วินาทีนั้นเองผ้าคลุมเลิกขึ้น เผยเสี้ยวของใบหน้า ริมฝีปากเขากำลังเหยียดยิ้ม

ร่างกายสั่นเทิ้มราวกับความตายอยู่เพียงปลายจมูก คมดาบตัดคอหอยฉีกขาดเมื่อไรก็ได้ เขายกดาบสูงขึ้นฟ้าอีกครั้งก่อนตวัดฉับลงมา สาวพลิกตัวหลบเบี่ยงซ้ายอย่างหวุดหวิด โชคดีคงไม่มีครั้งที่สอง ในเมื่อเขาไม่ลดละความพยายามลงมือฆ่า

สาวคลานถอยหลัง เขาเดินตามมาอย่างใจเย็น ใช้เท้าเสริมเหล็กสีดำกดร่างสาวกระแทกกับพื้นเต็มแรงไม่ให้หนีไปไหนได้ ไร้ความปราณี วางเท้าบนอกเธอเหมือนเป็นของชั้นต่ำ หน้าอกถูกกดทับจนปวดร้าวไปถึงกระดูก สายตาคมกริบภายใต้ผ้าคลุมสำรวจไปทั่วร่างกายบอบบาง เนื้อผ้าบางเบายิ่งเปียกน้ำแล้ว ยิ่งมองเห็นทะลุไปจนถึงไหน

กานติศาไม่มีเวลาคิด พยายามใช้มือดันรองเท้าไปให้พ้น ยิ่งเป็นสู่หนทางความตายง่ายขึ้น เพราะอีกฝ่ายเหมือนจะไม่ยอมแพ้เช่นกัน เขาไม่พอใจทีท่าต่อต้านของเหยื่อจึงลงน้ำหนักรองเท้ามากขึ้นอีกจนเหยื่อกรีดร้องอย่างเจ็บปวดทรมาน หน้าอกถูกกดบีบด้วยแรงอัดมหาศาลจนเธอสำลักหายใจไม่ออก น้ำตาเอ่อล้นออกมาเต็มดวงตา และเขากลับยืนนิ่งดูดาย ไร้ความเห็นใจ

“ขอ ขอร้อง อย่าฆ่าเลย”

เหมือนแรงกดหน้าอกผ่อนแรงเบาลง เรียกร้องความสนใจได้

“ขอร้อง ปล่อยฉันไป” ดีใจที่เขายกเท้าออกไปในที่สุด หรือเขาฟังภาษารู้เรื่อง

อย่าหวังว่าจะได้ดีใจ เขาปักดาบลงไปกับพื้นดิน กานติศาเกือบขาดใจตาย เมื่อความคมของดาบเฉียดผิวหนังใบหน้าเรียกเลือดสีแดงออกมา ดาบใหญ่และหนาไม่น่าปักจมลงพื้นดินได้ด้วยแรงน้ำมือมนุษย์

คนป่าเถื่อนไม่ใช่คน แต่เป็นปีศาจ

กานติศาร้องเสียงหลง รีบแกะนิ้วมือทำจากเหล็กที่จับลำคอเธอยกขึ้นลอยกลางอากาศ

“ปะ ปล่อย...ปล่อย” กานติศาพยายามทุกวิธีทางเพื่อให้เป็นอิสระ ทั้งแกะนิ้วทั้งข่วนเล็บกับเหล็กไปก็เท่านั้น

นิ้วมือเธอเริ่มบาดเจ็บ สาวลิ้นจุกปากหายใจไม่ออก ใบหน้าเริ่มซีดเซียว หัวสาวเบลอไปหมดเมื่อเริ่มขาดออกซิเจน มือต่อต้านทำงานช้าลงจนปล่อยมันลงไว้ข้างตัว ภาพเริ่มจางลงกลายเป็นสีขาว ก่อนวิญญาณออกจากร่างมือหยาบกระด้างก็คลายออก เขาไปที่เรือนร่างอ่อนแอ กานติศาสูดอากาศเข้าเต็มปอดทันทีเป็นอิสระ กะพริบตาปริบๆ ปรับจุดโฟกัสผ่านม่านน้ำตา

ไม่เอาแล้ว วันนี้เธอเหนื่อยเหลือเกินกับฝันร้าย

คนป่าเถื่อนใช้เชือกจากเถาวัลย์มีเสี้ยนหนามผูกมัดข้อมือหลายรอบจนมันบาดผิวหนังขาวอมชมพู และเขาลงมือพันต่อไปอย่างไม่สนใจเสียงหลงเจ็บปวดมาจากริมฝีปากสีชมพู





กานติศารู้สึกไม่แตกต่างจากตกนรกทั้งเป็น เมื่อเทียบกับความฝันที่ผ่านมา ความโดดเดี่ยวเมื่ออยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้างไพศาลกลายเป็นความสุขเล็กๆ ที่เธอยินดีกลับไปอยู่จุดนั้นเสมอ ไม่ต้องคลานสี่เท้าเยี่ยงทาสของคนชั่ว ป่าเถื่อน ใจดำยิ่งกว่าสีดำ ไม่เข้าใจว่าทำไมคนป่าเถื่อนเข้ามาในความฝัน คนเลวไม่ให้แม้แต่น้ำดื่มดับกระหาย ไม่เจียดเวลาให้หยุดพัก

ฝันร้ายที่สุดมันเริ่มจากตรงนี้ต่างหาก

ไม่ไหวแล้ว กานติศาทรุดนั่งกับพื้นทันที ข้อมือมัดด้วยเถาวัลย์ที่มีหนามแหลมคมบาดข้อมือเลือดออกเป็นสาย ซึ่งผูกกับอานม้าไว้ เธอกระตุกเถาวัลย์ส่งสัญญาณบอกให้เขารู้ หมดเรี่ยวแรงเดินต่อไป

เขาหันมามองเธอครู่หนึ่งด้วยใบหน้าที่เดาว่าคงน่าเกลียดมาก ถึงอาศัยผ้าคลุมปิดทึบทั้งหน้า ท่อนขาแข็งแรงเตะสีข้างกระตุกบังเหียนให้ม้าออกวิ่ง

ไม่ทันส่งเสียงทักท้วง ร่างเธอก็ถูกลากไปด้วยความเร็วตามม้าวิ่ง หน้าท้องเธอขูดไปกับทุ่งหญ้าแรงเสียดสีจนเสื้อผ้าขาดวิ่น เจ็บแสบเหมือนถูกสาดน้ำกรด เถาวัลย์ฉีกขาดในที่สุด โอกาสที่ดีจะวิ่งหนีไป แต่สาววิ่งไม่ไหวแล้ว ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยบาดแผล เขาโดดลงจากม้าเดินมาหาเธอ

“ได้โปรด ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันไม่ไหวแล้ว ทิ้งฉันไว้ที่นี่”

ถ้ายังมีแรงกำลังเหลืออยู่ กานติศาอยากจะกราบอ้อนวอนร้องขอชีวิตก็คงทำไปแล้ว เธอไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอ ไม่ร้องไห้เหมือนเด็กน้อยก็จริง เธอเคยทะเลาะต่อยผู้ชายวิสาสะเข้ามาลวนลามบนรถไฟ เธอเคยทะเลาะกับตำรวจเรื่องปัญหายุ่งหยิกน้องชายเป็นผู้ก่อ แต่ว่าที่นี่เธอไม่เหลือพลกำลังอะไรแล้ว นอกจากน้ำตาแสดงเป็นหลักฐานว่าการอ้อนวอนเป็นเรื่องสุดท้ายเท่าที่ทำได้

“ได้โปรด”

เหมือนเขาไม่สนใจหรือได้ยินด้วยซ้ำ นำเถาวัลย์เส้นใหม่มามัดข้อมือหญิงสาวและผูกปมแน่นกว่าเดิม หรือเขาหูหนวกไปแล้ว มือยับเยินกระตุกผ้าคลุมสีดำ

“โปรดทำอย่างนี้เลย ฉันไม่ไหวแล้ว”

คนป่าเถื่อนทำเสียงเหมือนหัวเราะในลำคอ ริมฝีปากคลี่ยิ้มดุจเพชฌฆาตภายใต้ผ้าคลุม

โรคจิต ป่าเถื่อน อำมหิต เธอด่าทอเขาในใจ

เขากระตุกให้เหยื่อลุกขึ้น กานติศาพยายามพยุงร่างตัวเองด้วยแรงอันมีน้อยนิด หลังจากถูกลากถูลู่ถูกังมาทั้งวัน น้ำไม่ได้ดื่มแม้แต่หยดเดียว ความหิวโหยไม่ถูกเติมเต็มจนกลายเป็นอาการตะคริวกิน ร่างกายอ่อนเปลี้ยจึงล้มก้นจ้ำเบ้า จะปล่อยโฮในเวลาตอนนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์

จิตใจคนป่าเถื่อนทำด้วยอะไร

“คุณต้องการอะไรจากฉัน” ถ้าเขาไม่พยายามจับเธอ คงไม่ได้แปลว่าเขาไม่ต้องการอะไรจริงมั้ย

สายตาเพชฌฆาตนิ่งเงียบมองสาวพยายามลุกขึ้นด้วยความพยายามไม่ลดละ ไม่ใช่การเสแสร้งทำเป็นอ่อนแอ อีกทั้งน้ำตาเกือบเอ้อล้นในดวงตาคู่นั้น เหยื่อพยายามทำใจเข้มแข็ง เหมือนภาพลวงตา พานึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานานจนเลือนจางไปหมดแล้ว มือกระตุกเชือกเถาวัลย์ กานติศาดึงกลับ ก่อนจะเล่นชักเย่อไปมากกว่ากว่านี้จนต้องเบรก

“ไม่ไหวแล้ว ตะคริวกินขาหมดแล้ว”

เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ สังเกตเห็นเรียวขาที่มีอาการตะคริวกิน สีหน้าเหยื่อพยายามกักเก็บความเจ็บปวดชัดเจน และไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ มือดึงร่างเหยื่อลุกขึ้นมาจนตัวลอยไปกระทบแผงอกแข็งแรง ใต้ผ้าคลุมยังสวมชุดเกราะเหล็กหนาจนสัมผัสได้ เธอทึ่งความสูงของคนตรงหน้า พี่ต้นของเธอเคยเป็นนักกีฬาบาสเกตบอล อาจจะดูเตี้ยเมื่อเทียบกับความสูงของคนนี้ เธอเขย่งปลายเท้ายังไม้พ้นระดับเหนือไหล่คนป่าเถื่อน จะมีแรงไปต่อสู้อะไรกับคนรูปร่างชาติตะวันตกได้

กานติศาร้องเสียงหลงเมื่อถูกจับอุ้มวางนอนคว่ำพาดบนตัวม้า เสียงคำรามกระสับกระส่าย ดูท่าม้าตัวนี้ไม่ชอบเธอ จนเขาต้องลูบหน้าม้า ป้องหูฟังกระซิบเพื่อให้มันสงบลง

“จะพาฉันไปไหนเนี่ย”

“แล้วจะได้รู้”

กานติศาคิดว่าหูฝาดไปเอง นั้นคือเสียงที่เขาตอบเธอ คนป่าเถื่อนพูดได้ด้วย

ตามด้วยการกระโดดของคนตัวใหญ่ขึ้นไปบนหลังม้า มือจับรั้งตัวเธอไว้ไม่ให้เกิดพลัดตก แล้วม้าออกตัววิ่ง
เธอไม่สนใจภาพวิวทัศน์เลย จนกระทั่งผ้าคลุมสีดำนั้นปลิวไสวตามกระพือของสายลม ผ้าคลุมเผยช่องว่างเผยเสี้ยวหน้าคมแวบเดียว กับดวงตาคู่นั้นที่เธอเผลอสบตาแล้วจำได้ทันที หากเป็นสถานการณ์ปกติเธอจะชี้หน้าเขาเหมือนคนรู้จักแต่ไม่ทราบชื่อ

เป็นไปได้ไง เจ้าของดวงตาสีสวยในนิตยสารเล่มนั้น

เขาเข้ามาในความฝันได้อย่างไร



KAVIDA
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 พ.ค. 2561, 18:36:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 พ.ค. 2561, 18:36:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 561





<< บทที่ 2 (1) ปริศนาชายชุดดำ   บทที่ 3 (1) สองภพต่างเวลา >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account