มนตราในฝัน
กานติศา หญิงสาวหลงทางในความฝัน จินตนาการของเธอ กระทั่งพบชายชุดดำปริศนาเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวยามกลางวัน กลืนเป็นสีน้ำเงินในรัตติกาล สัมผัสความลึกลับและอันตราย
เธอจะวิ่งหนีไปให้พ้นจาก 'ฝันร้าย' อย่างไร

Tags: ข้ามภพ,แฟนตาซี,ความรัก

ตอน: บทที่ 3 (1) สองภพต่างเวลา

3 สองภพต่างเวลา

เก้าอี้ตัวประจำของเพื่อนสนิทว่างเปล่า พยายามมองไปทั่วห้องเรียนระหว่างที่อาจารย์กำลังเปิดสไสลด์รูปภาพศิลปะ แปลกใจไม่พบเพื่อนหรือว่าเป็นเพราะพวกเธอทะเลากันเมื่อคืนนี้ กานติศาเพื่อนเธอยังไม่ได้อ่านข้อความขอโทษที่ส่งไป

‘เมื่อคืน ขอโทษนะ ไม่ตั้งใจพูดว่าเกลียดกาน รสผิดเอง ฉันรักเธอมากนะจ้ะ ดีกันน่ะ’

“แปลกจัง ยายกานหายไปไหนนะ”

ก่อนออกมาจากหอพัก รติรสแน่ใจว่าเพื่อนไม่ได้แปะกระดาษข้อความไว้ที่ตู้เย็นอย่างที่เคยทำกันเป็นประจำ สภาพห้องรับแขกดูเรียบร้อยดีไม่มีพิรุธอะไร อีกฝ่ายมักจะออกไปเรียนก่อนเธอในตอนเช้าเสมอ เนื่องจากเธอแต่งหน้าทำผมกินเวลานานไป เลยให้เพื่อนล่วงหน้าไปก่อน และกานติศาไม่เคยขาดเรียนแม้แต่วันเดียว

รติรสเริ่มเรียนโดยไม่มีเพื่อนสนิทค่อยช่วยเหลือ จึงไม่สามารถเก็บเนื้อหาที่เรียนได้หมด วิตกกังวลไปตลอดจนถึงช่วงเที่ยง โชคดีที่วันนี้เรียนแค่ครึ่งวัน

รติรสนั่งรอคนหนึ่งคาดว่าสามารถให้คำตอบได้ พี่ต้น ธรณินทร์เดินออกมาจากห้องพร้อมกับนักศึกษาหน้าตาดีไม่แพ้กันอีกสองคน แต่สาวสวยไม่มีเวลาสนใจ

“พี่ต้นค่ะ รสมีเรื่องอยากคุยค่ะ”

ธรณินทร์บอกเพื่อนล่วงหน้าไปที่ห้องประชุมก่อนแล้วจะตามไป มือถือเอกสารและหนังสือเล่มหนาหลายเล่มบ่งบอกเวลาแสนยุ่งของเขา เธอเองก็ไม่อยากรบกวนเขานาน

“เมื่อเช้า พี่ต้นได้เจอกานมั้ยคะ”

“เปล่านี้ เพิ่งเจอเขาเมื่อคืนนะ ทำไมรึ” เป็นเขาเองเริ่มสังเกตสีหน้ากังวลจากรุ่นน้อง

“แปลกจัง คือตั้งแต่เช้ารสไม่เจอกานนะคะ เลยสงสัยว่าพี่เอาไปซ่อนรึเปล่า” รติรสพูดติดตลก

“อะไรนี่ ทั้งคู่ทะเลาะกันอีกแล้วล่ะสิ” ธรณินทร์ทราบดีถึงความสนิทสนม กานติศามักเอาเรื่องไม่สบายใจมาบ่นให้ฟังเป็นประจำ

“นิดหน่อยนะคะ”

ทั้งคู่หันไปตามเสียงเรียกขัดจังหวะ รติรสเห็นเด็กชายหนุ่มเดาว่าเป็นเด็กมัธยมปลายโบกมือเดินเข้ามา ทักทายพวกเธอราวกับรู้จักดี รติรสกลับรู้สึกคุ้นหน้า

“จริงสิ ลืมไปเลย” ธรณินทร์มองนาฬิกาปัดข้อมือด้วยสีหน้าเสียดาย

“นี่พี่รส นี่คือ กันต์ น้องชายกานที่เคยเล่าให้ฟังไง วันนี้พี่มีประชุมไม่เข้าไม่ได้ พี่รบกวนรสพากันต์ทัวร์มหาลัยหน่อยได้มั้ย” ธรณินทร์เผยมือแนะนำหนุ่มตี๋หน้าตาดีใส่ชุดไปรเวท ที่กำลังสอดส่องมองดูรูปร่างเธออย่างสนใจไม่แพ้กัน รติรสไม่พอใจกิริยามารยาทหยาบคาย ใครมองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้ากับคนที่เพิ่งรู้จัก เธอได้ยินเรื่องน้องชายกานติศามาบ้าง

“ทำไมครับ พี่สัญญากับผมแล้วนี่ครับ”

“พี่ขอโทษนะกันต์ เลี่ยงงานไม่ได้นะ ไว้เลี้ยงข้าวชดเชยให้นะ” ธรณินทร์พูดสั้นแล้วจากทั้งคู่ไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าสายลมผ่านไป ก่อนไปได้กำชับรติรสให้ส่งข้อความบอกเขา หากได้พบกานติศาแล้ว

รติรสถูกทิ้งไว้กับเด็กหนุ่มมัธยมปลายดูยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม สายตาหนุ่มมองดูชุดยูนิฟอร์มที่ค่อนข้างผิดไซส์ และความยาวของกระโปรงสั้นผิดกฎระเบียบที่กำหนด ดีที่มีความกระดากอายเหลืออยู่บ้าง รติรสหันหลังหลบสายตาเด็กลามก หยิบไลท์แจ็คเก็ตพกติดตัวมาสวมใส่ รูดซิปถึงคอ

“มองอะไรยะ ไม่เคยเห็นคนสวยรึไง เดี๋ยวพี่ตีให้กลับบ้านทางเดิมไม่ถูก”

“ขอโทษครับ ผมแค่สงสัยว่าคนอื่นแต่งตัวเหมือนพี่หรือเปล่า” กันต์ได้แต่เกาหัวแกรกๆ จงใจให้เห็นสีหน้าแสนเสียดาย

“นายเป็นน้องชายกานจริงเหรอ” เธอเคยคิดว่าน้องชายจะมีนิสัยเหมือนพี่สาวอยู่บ้าง แต่เด็กนี่ดูเป็นคนเกเร ไม่ใส่ใจการเรียน แต่ต่างจากกานติศาเคยเปรยไว้ว่าน้องชายถึงไม่ตั้งใจเรียนแต่ทำคะแนนสอบติดท้อปตลอด

“ทำไม ผมหน้าตาไม่เหมือนพี่สาวรึครับ”

กันต์เดินตามเมื่อไกด์นำทัวร์เริ่มทำหน้าที่ เดินลัดสนามหญ้าขนาดใหญ่ มีการแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนไว้สำหรับเล่นกีฬา

“ไม่ถึงกับเหมือนหรอก แต่พี่หมายถึงดูรวมๆ นายดูไม่เหมือนพี่สาวนะ พี่กานของนายดูเป็นคนมุ่งมั่น ตั้งใจเรียนมากๆ แต่นายดูไม่ใช่แบบนั้น” เธอได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ

นี่เขากำลังหัวเราะเยาะ?

“ผมไม่คิดว่าพี่จะตัดสินคนจากการมองแวบเดียว ผมเพิ่งเจอพี่ไม่ถึงห้านาทีนะครับ” ทำไมเขาอ่านจะความคิดนั้นไม่ออก

รติรสสัมผัสถึงความไม่พอใจออกมาจากปากดีๆ ทำให้เด็กหนุ่มนี้ไม่พอใจเข้าแล้ว

“พี่ต้นบอกให้พี่พาทัวร์ ทำไม อยากเรียนที่นี่เหรอ”

“ว้าว ดูพวกเขาเล่นฟุตบอลกันสิ ลีลาพริ้งพรายจนผมอยากเข้าไปเล่นด้วย” ทั้งคู่หยุดอยู่ที่ข้างสนามฟุตบอล มีนักกีฬาฝึกซ้อม ไกด์สาวรีบดึงหางเสื้อเชิ้ตห้ามกันต์ไม่ให้ลงสนามขัดจังหวะนักกีฬาที่กำลังฝึกซ้อมอยู่อย่างขะมักเขม้น

“เฮ้ย นี่นายมาดูมหาลัยไม่ใช่เหรอ มาคิดเล่นบอลอะไรกันตอนนี้”

รติรสดึงชายหนุ่มวัยกำดัดพ้นสนามหญ้าในที่สุด ทั้งที่หนุ่มหน้าตี๋น้ำหนักตัวไม่น้อย ยังต้องอ้าปากเหวอกับความพยายามของหล่อน ทั้งคู่เข้าไปในอาคารศิลปกรรมศาสตร์ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล

“นี่เหรอครับ ตึกที่พี่กานเรียน อาคารดูเก่านะ”

“มหาลัยสร้างมาเกือบห้าสิบปี จะให้ดูใหม่ตลอดเวลารึไง”

เป็นกันต์เองเลี้ยวมองไกด์นำทัวร์ ซึ่งฝีปากลับจนคมไม่แพ้กัน ดูเหมือนเขาได้เจอคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อเข้าแล้ว

รติรสพาชมอาคารเรียนแล้วอาคารเหล่า จนมาถึงอาคคารกลางซึ่งมีร้านค้าสหกรณ์และร้านเบอเกอรี่ กันต์ปฏิเสธไม่ทานเพราะเกลียดของหวาน รติรสเองก็ไม่ค่อยทานหวานเพราะกลัวอ้วน กลัวไขมันจะไปสะสมในที่ส่วนที่ลดน้ำหนักยาก ทั้งคู่จึงทานแค่น้ำเปล่าเย็นจัด

“ผมอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ แต่เกิดอุบัติเหตุขาหักซะก่อน เลยต้องพับความฝันไป น่าเสียดาย” เป็นเขาเอ่ยขึ้นก่อน

“แต่ก็ไม่แย่ซะทีเดียวนะ พอมีพื้นที่ให้ผมใกล้ชินวงการฟุตบอลอยู่บ้าง” ยกมือชี้นิ้วไปที่อาคารที่อยู่หลังโรงอาหารขนาดใหญ่ รติรสมองตาม

“คณะวิทย์” รติรสถลึงตาใส่ คุณสมบัติที่จะเรียนคณะนั้นได้จะต้องเป็นคนที่มีผลการเรียนที่ดีมากๆ ไม่ใช่มาฝันลมๆ แล้งๆ

“วิทยาศาสตร์เพื่อกีฬา”

“เฮ้ย ฝันสูงไปมั้ย การพูดใครๆ ก็ทำได้ แต่ในทางปฏิบัติไม่ใช่ทุกคนจะทำได้” ใช่ เธอฝันธงทันทีว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าทำไม่ได้แน่นอน ถึงจะได้ยินเรื่องราวมาจากเพื่อนอยู่บ้าง กันต์ไม่ใสใจเรียนวันๆ เอาแต่เล่นเกมส์ เล่นฟุตบอล อ่านหนังสือเตรียมสอบล่วงหน้าเพียงหนึ่งวันก่อนสอบจริงแล้วสอบผ่านติดท้อปมาอย่างน่าเหลือเชื่อ เป็นความบังเอิญทั้งนั้น

“พี่ดูถูกผม ตั้งแต่แรกเจอ พี่ก็ตัดสินใจผม ช่างไม่ยุติธรรมเลยครับ”

“ก็พี่พูดไปตามใจคิด พี่มีประสบการณ์มาก่อนเลยอยากบอกไว้ ไม่อยากให้น้องผิดหวังหรอก เพราะพี่ตั้งใจเรียนมาตลอดถึงได้รู้ว่าวิชาในคณะวิทยาศาสตร์มันยาก ต้องอ่านหนังสือดึกดื่น ท่องจำ จนสอบผ่ามาได้ด้วยตัวเอง”

ประโยคหลังเหมือนเป็นการโกหก ขอโทษและขอบคุณนะกานติศาอย่างสำนึก ที่ช่วยปลุกเธอตื่นมาอ่าน
หนังสือช่วงใกล้สอบ ช่วยติวสอบจนสอบผ่านแบบฉิวเฉียด แค่ไม่อยากรู้สึกเสียหน้าต่อหน้าเด็กหนุ่ม กันต์นั่งเท้าคางตั้งใจฟัง พูดประโยคถัดมาทำเอาฉุนจัด

“เหรอครับ ผมก็ไม่อยากตัดสินพี่ว่าเป็นคนขี้โม้ ขี้โกหกตั้งแต่แรกเจอเหมือนกันหรอกครับ”

“นายว่าอะไรนะ”

“ผมว่าพี่ควรขอบคุณพี่สาวที่ช่วยมากกว่าตอบแทนโดยแต่งเรื่องโกหก ดูแล้งน้ำใจไปหน่อยนะครับ”

“คิดว่าผมไม่รู้เรื่องเหรอครับ พี่น้องกันเขาไม่มีความลับกันหรอก ผมรู้เรื่องคุณมากพอสมควรนะ” กันต์ส่งยิ้มเยาะเย้ย ชนิดหากส่องกระจกมองยังหมั่นไส้หน้าตัวเอง

“อย่างเช่นเรื่องที่คุณเมาเหล้าจนไปอ้วกใส่รถของอธิการบดี หรือ คุณแอบทำลายผลงานคนอื่นที่คุณเกลียดจนเขาคนนั้นสอบวิชานั้นไม่ผ่าน แล้วก็” ไม่ทันเผยเรื่องต่อไป ปากเขาถูกมือตบปิดทันที รตริสกำลังโกรธจัด กันต์ยิ้มพอใจกับผลงานของตัวเอง พี่สาวคนนี้เนื้อตัวหอมชะมัด ใบหน้าสวยจัดผ่านมีดหมอจนดูออกกลายเป็นสีแดงเข้ม หากเป็นภาพการ์ตูนควรมีควันออกจากหู อาการตัวสั่นเทิ้มจนเขากลัวแท่งซิลิโคนตรงจมูกจะกระเด็นออกทางรูจมูก น่ารักดี

“ผมรู้เรื่องวีรกรรมที่คุณก่ออีกเยอะแยะไป เล่าวันเดียวยังไม่จบ”

“ไอ้เด็กบ้า อยากโดนเหรอ” รติรสตวาดเสียงดังจนคนอื่นรอบๆ หันมามอง ใครจะไปรู้ว่าพี่น้องคู่นี้ไม่มีความลับ กานติศา ฝากไว้ก่อนเหอะ จากนี้ไปเธอจะไม่ง้อเพื่อนอีกต่อไป

“จุ๊ๆ เบาเสียงหน่อยนะครับ” กันต์ยกทำท่าจุ๊ปากกวนประสาท

“เรามาคุยกันดีๆ นะครับ”

“ไม่คุยแล้ว ไอ้เด็กบ้า ยังไงนายก็เรียนวิทย์ไม่ได้หรอก เพราะฉันจะแช่งให้นายสอบตกเอง” พูดไปด้วยอารมณ์ล้วนๆ

“มาพนันกันมั้ย” กันต์เริ่มมีความคิดดีๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว หลังไม่ได้เจอเรื่องสนุกมานานแล้ว นับตั้งแต่พี่สาวไม่ค่อยได้กลับบ้าน

“พนันด้วยอะไร” รติรสเองมีทีท่าสนใจ การพนันด้วยเรื่องเล็กเรื่องใหญ่เป็นสิ่งที่ชอบมาก เพราะเปอร์เซ็นต์มากเธอมักจะถูก คงไม่ดวงเฮงถูกลอตเตอรี่เลขท้ายสามตัวติดต่อกันถึงสามงวดเต็มๆ หรอก

“ผมสอบเข้าที่นี่ไม่ได้ ผมจะขายรองเท้าทุกคู่ที่ผมมี แลกเป็นเงินยกให้” รองเท้าคือสมบัติสำคัญที่สุดเขามี

“รับคำท้า” เธอสนใจก้อนเงินนี้มากเพราะจำนวนต้องมหาศาลแน่ เธอสังเกตรองเท้าตั้งแต่เขาเดินเข้ามาในตอนแรก รองเท้ากีฬาแรร์ไอเท็มไม่มีขายในเมืองไทย สันนิษฐานว่าในตู้รองเท้าอย่างที่เด็กว่าจะต้องมีแต่พวกแบรนด์ จำนวนมากพอนำไปดีลโบท็อกซ์บุฟเฟ่ต์ทั้งปีได้สบายมาก

“ถ้านายสอบติดท็อปในสิบ พี่ช่วยนัดสาวให้”

เชื่อมั่นในความสามารถตนเอง หาสาวน่ารักมาให้ถูกใจได้ไม่ยาก เธอมีเพื่อนและแฟนคลับหลักพัน กันต์เองก็เป็นหนุ่มหน้าตาดีพิมพ์นิยมสไตล์โอปป้าจากแดนกิมจิ สาวที่ไหนก็หลงทั้งบ้านทั้งเมือง

“ง่ายไปนะครับ พี่ควรท้าให้ผมสอบให้ได้ที่หนึ่งไปเลย”

“อย่าลำพองไปหน่อยเลยย่ะ อืม แต่ก็ได้นะ ต้องสอบได้ที่หนึ่งเท่านั้น” ท้ายสุดแล้วรติรสเปลี่ยนใจ จะรีบปิดประตูชัยชนะไปทำไม ถือว่าเด็กนี่รนหาที่ละกัน เธออย่าใจดีไปขวางดีกว่า

ที่หนึ่ง มีไว้สำหรับนักเรียนแพทย์เท่านั้น ก่อนจะชนะพนัน ชนะพวกเขาให้ได้ซะก่อน ไอ้หนู

กันต์ยิ้มเย็น สายตามุ่งมั่นไม่แพ้พี่สาวมองไปที่รางวัลตรงหน้า

ดูเหมือนพี่กานจะไม่ได้เล่าให้ฟัง เมื่อได้ลงสนามรบ เขาไม่รู้จักคำว่าพ่ายแพ้




รติรสแทนที่จะสนุกกับการชอปปิ้งตามห้างหรือไม่ก็ตลาดนัดข้างมหาวิทยาลัย ไม่มีใครรบกวนช่วงเวลาความสุข แต่เธอยังต้องทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้นายกันต์ต่อไป นำทางพากันต์ไปที่หอพักเพื่อหาพี่สาวที่เธอลืมไปสนิทในตอนแรก

‘พี่กานไม่ได้บอกไว้รึครับ ผมจะค้าง’

เธอจึงจำใจต้องพาไปที่อาคารหอพักขนาดแปดชั้นตกแต่งด้วยสไตล์มินิมอล ทักทายผู้ดูแลหอพักและแนะนำน้องชายกานติศาให้คุ้นเคยเข้าไว้ กันต์เปรยเอาไว้ว่าต่อไปนี้เขาอาจจะเข้ามาในเมืองบ่อย เพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัย เธอพามาที่ห้องขนาดสองห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ กันต์มีสีหน้าพอใจกับที่พักของพวกเธอ เจ้าตัวปล่อยตัวนั่งกับโซฟาไม่เกรงใจ วางท่าเป็นเจ้าของบ้าน ถามหาพี่สาว


“คือว่าพี่ยังไม่เจอกานตั้งแต่เช้า ไม่รู้หายไปไหนของเขาน่ะ”

“นี่พี่เพิ่งมาบอก ว่าพี่สาวหายตัวไป?”

“ไม่หายไปหรอก ไม่ใช่เด็กสามขวบซะหน่อย” รติรสใช้โทรศัพท์มือถือโทรหาเพื่อน มีส่วนเป็นความผิดเธอเหมือนกัน ที่ไม่สามารถตอบคำถามทุกคนได้ ทั้งสองได้ยินเสียงสายเข้าจากห้องนอนสอง ซึ่งประตูปิดสนิท

“ทำไมเสียงมาจากห้องนั้นล่ะ”

“แปลกจัง ไม่น่าลืมมือถือ”

เป็นกันต์ที่ทนควาอยากรู้อยากเห็นไม่ไหว มือหมุนลูกบิดประตูแต่ว่ากลับถูกล็อคจากข้างใน นั้นยิ่งสร้างความรู้สึกพิรุธให้กับทั้งสองคน จึงเงี่ยหูฟังแนบกับระตูให้แน่ใจว่าเป็นเสียงเรียกจากโทรศัพท์จริง จึงลองเคาะประตูไปจนถึงการทุบประตูเสียงดัง และคำตอบคือว่างเปล่า

“เจอพี่กานครั้งสุดท้ายเมื่อไรครับ”

“เมื่อคืนนะ ทำไมรึ” สีหน้าตึงเครียดของกันต์พล่อยทำเธอกังวลไปด้วย

“ห้องนี้ มีกุญแจสำรองมั้ย” เขาต้องทวนประโยคเดิมสองครั้งกว่าจะเข้าหู

รติรสใจคอไม่ดี มือตะลีตะลานกวาดหากุญแจสำรองไปทั่วชั้นลิ้นชัก แทบทั้งชั้นในตู้เสื้อผ้า ห้องน้ำ แม้แต่ใต้ที่นอน ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเวลาเดินไปอย่างช้าเหลือเกิน เป็นข่าวร้ายสำหรับทุกคน

“กุญแจสำรอง คิดว่าทำหายไปแล้ว”


กันต์ไม่รีรอตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ฉากตำรวจพังประตูเพื่อจับผู้ร้ายมีให้เห็นบ่อยในหนังภาพยนตร์ เขาหวังว่าจะทำง่าย รติรสเห็นว่าเขาจะทำอะไร ถึงเข้าไปห้าม

“บ้าหรือเปล่า เรายังไม่รู้ว่ากานอยู่ในนั้นจริงมั้ย” เธอไม่อยากเชื่อความคิดการกระทำบ้าบิ่นมาจากเด็กคนนี้ การชดเชยทรัพย์สินเสียหายเป็นเรื่องของผู้ใหญ่

“แล้วเราจะเข้าไปดูได้ไง”

“ระเบียงไง” นิ้วชี้ทางระเบียง พื้นที่เล็กๆ ไว้สำหรับตากผ้า ยื่นออกนอกห้องมากพอเอี่ยวตัวข้ามไปดูหน้าต่างห้องนอนของกานติศา น่าเสียดายที่หน้าต่างติดลูกรงไว้กันขโมย เขายักคิ้ว สีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม

‘จะให้เขาเอาชีวิตไปเสี่ยงหรือ’

เพราะเธอเป็นโรคกลัวความสูง วีรกรรมนี้จึงตกเป็นของกันต์โดยปริยาย

กันต์มองพื้นดินเบื้องล่าง ความสูงระดับชั้นสาม หากตกลงไปคงเหลวแหลกตายคาทีแน่ เขาคงไม่เสียสติตัดสินลงมือทำถ้าไม่มีเข็มขัดทำหน้าที่สายเซฟตี้ผูกเอวไว้กับรั้วระเบียง รูปร่างหุ่นแข็งแรงเหมือนนักฟุตบอลทำเอาผู้ร่วมเหตุการณ์ลอบมอง ทีแรกเธอคิดว่าเขาจะเก้งก้างอะไรมากกว่านี้ กันต์กลับใช้ร่างกายคล่องตัวเกาะระเบียงอีกด้านก่อนจะเอี่ยวตัวโน้มไปที่หน้าต่าง หมายจะคว้าลูกกรงติดขอบหน้าต่าง ดูกล้ามแขนเขาสิ หรือเขาเอาเวลาไปฟิตหุ่นมากกว่าเรียนหนังสือ

รติรสตกใจจนร้องเสียงหลงเมื่อเขาเขย่งกระโดดคว้าลูกกรงได้สำเร็จ ขณะที่ปลายเท้ายึดระเบียงเป็นฐานที่มั่นไว้แทบไม่อยู่ หน้าต่างบานนั้นอยู่ไกลกว่าที่ประเมินไว้

“พี่กานอยู่ข้างในจริงๆ ด้วย” กันต์เห็นท่อนขาโผล่มาจากผ้าห่ม ห้องปิดไฟสนิท มองคราว เหมือนภาพคนนอนกลางวันที่พบเห็นทั่วไป ทว่าเขากลับรู้สึกถึงความผิดปกติ ภายในห้องดูเงียบเชียบ ไม่มีการเคลื่อนไหวของสรรพสิ่ง กันต์ลงมือทุบหน้าต่างปลุกคนบนที่นอนตื่น ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขามองไม่เห็นแม้แต่ผ้าห่มกระเพื่อมการหายใจของคนบนที่นอนด้วยซ้ำ

รติรสช่วยดึงกันต์กลับมาจับรั้วโดยไม่สบตาเขา ในหัวพยายามคิดแล้วคิดเล่า ไม่อยากจะเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้นกับเพื่อน หากกานติศานอนบนเตียงตามเดิมอย่างที่กันต์บอกจริง ไม่ได้ลุกจากที่นอนตั้งแต่เมื่อคืน

กันต์ปีนระเบียงกลับมาอยู่ข้างเดียวกับรติรสสำเร็จ เห็นเธอส่ายหัวอย่างคุมสติไม่อยู่ เขาดึงเธอกลับเข้าไปข้างใน

“กานคงไม่”

กันต์เชื่อว่าเขารู้จักพี่สาวเป็นอย่างดี กานติศาไม่ใช่คนเอาชีวิตตนเองไปทิ้ง

“ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมต้องพังประตูเดี๋ยวนี้”

กันต์ใช้เท้าถีบบริเวณลูกบิดประตูซ้ำ จนบานประตูซึ่งทำจากไม้อัดปรากฎรอยแตกจนฉีกขาดในที่สุด



KAVIDA
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 พ.ค. 2561, 13:29:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 พ.ค. 2561, 13:29:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 586





<< บทที่ 2 (2) ปริศนาชายชุดดำ   บทที่ 3 (2) สองภพต่างเวลา >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account