มนตราในฝัน
กานติศา หญิงสาวหลงทางในความฝัน จินตนาการของเธอ กระทั่งพบชายชุดดำปริศนาเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวยามกลางวัน กลืนเป็นสีน้ำเงินในรัตติกาล สัมผัสความลึกลับและอันตราย
เธอจะวิ่งหนีไปให้พ้นจาก 'ฝันร้าย' อย่างไร

Tags: ข้ามภพ,แฟนตาซี,ความรัก

ตอน: บทที่ 4 (1) ผู้ช่วยชีวิต

4

“กานติศา”

เจ้าของชื่อสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที ทุกสายตาในห้องเรียนหันมามองที่เธอราวกับเป็นตัวตลก ไม่เว้นแม้แต่พี่ต้นที่นั่งแถวหน้าสุดละจากหนังสือมามองเธอ สภาพโต๊ะเรียนของเธอล้มคว่ำ อุปกรณ์การเรียนพาเทกระจัดกระจายเต็มพื้น รติรสเพื่อนสนิทที่นั่งติดกันรีบลงไปเก็บทั้งหมด ช่วยพลิกโต๊ะหนังสือกลับมาตั้งพื้นให้เรียบร้อย ราวกับเป็นผู้ทำล้มเสียเอง “นี่แกเป็นอะไรไป เล่นนอนหลับตั้งแต่ต้นชั่วโมง”

เดี๋ยว เดี๋ยวนะ เกิดอะไรขึ้น

กานติศางุนงงสภาพตัวเองที่ตื่นขึ้นมากลางห้องเรียน ราวกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นผ่านไปแล้ว หากเป็นเวลาตอนนั้นจะรีบตอบคำถามเพื่อนทันทีว่า ‘เมื่อคืน นอนดึกไปหน่อยนะ’ แต่ไม่ได้พูดออกไป

“คุณกานติศา เลคเชอร์ของครูคงน่าเบื่อมาก ถึงได้หลับสบาย เธอไปล้างหน้าไป”

อาจารย์ยังพูดประโยคเดิมเป๊ะ เป็นการตอกย้ำว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ เป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว เป็นความรู้สึกประหลาดจนเจ้าตัวไม่สามารถอธิบายได้

“ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ” กานติศาดึงเพื่อนสนิทเข้าห้องน้ำด้วยกันตามที่อาจารย์สั่ง

เธอกลัวจนไม่อยากอยู่คนเดียว

กานติศาวิดน้ำขึ้นมาล้างน้ำเรียกสติตัวเอง ประเมินกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ เธอไม่สามารถอธิบายหรือให้คำตอบตัวเองได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อเธอควรตื่นนอนบนเตียง อาบน้ำแปรงฟัน แต่งตัวเป็นกิจวัตรประจำชีวิตก่อนเดินทางมาเรียน เธอจำรายละเอียดที่เกิดขึ้นในฝันร้ายแสนยาวนาน ทุกอย่างเกี่ยวกับคนป่าเถื่อนได้ดี แต่จำระยะเวลาตั้งแต่ตื่นนอนที่หอพักมาจนถึงห้องเรียนไม่ได้

ครั้งสุดท้ายที่อยู่บนโลกความจริง เธอนอนหลับหลังจากอ่านข้อความราตรีสวัสดีจากพี่ต้น แล้วจากนั้นก็หลับไป เธอมองร่างตัวเองในกระจกอย่างไม่เชื่อสายตา มือตักน้ำล้างหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีก จนเพื่อนสาวทักว่าไม่สบายหรือเปล่า กานติศาส่ายหน้าเป็นคำตอบ

เธอจำได้ว่าอยู่กับคนป่าเถื่อน โหดร้ายทารุณ จึงตัดสินกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตายเพื่อหนี เขาโดดลงตามเธอไปด้วยและช่วยชีวิตเธอไว้ได้เพียงครู่เดียวก็เถอะ รสชาติของเลือดที่ไหลจากมือเขาจากเธอเป็นผู้กระทำยังคงติดลิ้น สาวกลืนน้ำลายดังเอือก จำได้ว่าพยายามใช้เศษแก้วทำร้ายมือผู้ช่วยชีวิต ตกหน้าผาไปพร้อมกับสายน้ำ จากนั้น...เธอตื่นมาพบว่าอยู่ในห้องเรียนแล้ว

กานติศาสำรวจร่างกายตัวเอง ไม่มีบาดแผลอะไรเลย ร่ายกายปราศจากรอยขีดข่วน ทั้งที่จดจำความรู้สึกเจ็บปวด ความทรมานในฝันร้ายชัดเจน

นี่เป็นเพียงความฝันจริงๆ หรือ?

รติรสเห็นทีท่าสับสนของเพื่อนจึงเข้าไปยืนหน้ากระจกเงาด้วยกัน

“เหมือนแกฝันร้าย ตื่นมาทีเหงื่อชุ่มตัวไปหมด แต่อากาศก็ไม่ได้ร้อนนี่”

“รส แกต้องไม่เชื่อแน่ กานฝันร้ายที่สุดในชีวิตตั้งแต่ฝันมา”

หากเล่าเรื่องเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น เพื่อนเธอต้องหาว่าเธอบ้าไปแล้วแน่ๆ

“วันนี้วันที่เท่าไรแล้วนะ” เมื่อได้ยินวันเดือนปีจากปากเพื่อนแล้วก็ไม่ได้เป็นวันที่เพี้ยนไปจากใจคิด หรือว่าเธอคงนอนไม่พอจริงๆ ฝันร้ายนั้นก็เป็นเพียงความฝัน มนุษย์ทุกคนฝันดีฝันร้ายปนกันจนกลายเป็นเรื่องปกติทั้งนั้น ล้วนเป็นความฝันที่ไม่มีความหมายอะไร ท้ายสุดเธอควรดีใจตื่นจากความฝันได้สู่ชีวิตปกติเสียที

“เมื่อเช้ากานมากับพี่ต้นจริงเหรอ”

“ใช่สิ พี่ต้นมารับแกตั้งแต่เช้า รสก็เลยแกล้งแต่งตัวช้าเพื่อออกไปทีหลัง ไม่อยากเป็นตัวขัดขวางความสุขแนะ”

“จริงเหรอ”

เธอควรดีใจที่ฝันร้ายได้จบลงแล้ว ทว่าน้ำเสียงทุ้มเมื่อเขาขู่กรรโชก การกระทำแสนโหดร้านจากน้ำมือคนป่าเถื่อนเหมือนความจริงเหลือเกิน นาทีที่เขาช่วยชีวิตเธอ ยังรู้สึกเจ็บข้อมือราวกับมันฝังในส่วนที่ลึกที่สุดในจิตใจเธอเอง

รอยยิ้มของผู้ชายตรงหน้าเธอ ต่างหากคือความจริง

พี่ต้น ธรณินทร์ มายืนดักรอพวกเธอที่ปากประตูทางเชื่อมระหว่างสองอาคารเรียน รติรสเหมือนรู้หน้าที่ดีจึงขอล่วงหน้าไปก่อน กานติศาสบตาสีดำสนิท ใบหน้าเชื้อชาติไทยแท้ ส่งยิ้มผสานกับรอยยิ้มกับเขา

“พี่ ไม่คิดว่า กานจะกล้านอนละเมอเสียงดังระหว่างเรียน”

“กานไม่ได้ละเมอนะ”

“กล้าเถียงพี่หรือ หน่อยแนะ มาให้พี่ลงโทษซะดี” ธรณินทร์ใช้มือขยี้หัวรุ่นน้องไปมาอย่างเอ็นดู หากมองไกลๆ เหมือนภาพพี่ชายกลั่นแกล้งน้องชายทั่วไป กานติศาหวังอยากให้ผมยาวขึ้นมาไวไว

“พี่ต้นค่ะ เมื่อเช้าเรามาด้วยกันจริงๆ เหรอคะ”

ธรณินทร์ยืนยันคำตอบเดียวกับรติรส แต่มีอะไรมากกว่าแปดชั่วโมงที่หายไป ความฝันที่ไม่มีความหมายกลับทิ้งระยะเวลายาวนานเหมือนชั่วกัลป์ นั้นอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอจึงจำเมื่อช่วงเช้าไม่ได้

“น่าหมั่นไส้นะพวกแก” รติรสทักทันทีเมื่อเธอไปถึงชุดโต๊ะหินภายใต้ต้นไทรให้ความร่มรื่น กานติศายิ้มให้กับเพื่อนอย่างพึงพอใจ พอใจกับทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่กับความจริงในตอนนี้ พ่อแม่ที่รักเธอ เพื่อนสนิทไม่มีวันทิ้งกัน น้องชายตัวแสบที่เทิดทูน พี่ต้นเทกแคร์เธอตลอดเวลา

จะมีความสุขอะไรไปมากกว่านี้ล่ะ

“หิวข้าว ขอยืมตังค์หน่อย หมดเงินไปกับค่าเสริมสวยอ่ะ” รติรสแบมือขอเงินเหมือนเด็กเล็ก เผอิญวันนี้กานติศาอารมณ์ดีมาก จึงส่งเงินเพื่อนโดยดี

“สักห้าสิบ หนึ่งร้อย ร้อยห้าสิบดีกว่า สำหรับข้าวเย็นด้วย”

“ได้เลย” มือควานหาเศษเงินในกระเป๋าหนังใบโต ต่อให้เพื่อนเธอขอแบงค์สีม่วง เธอคงหน้ามืดตามัวให้

“ทำไมมีเลือดล่ะ เลือดใคร กานบาดเจ็บหรือเปล่า” รติรสตกใจกับรอยเลือดบนธนบัตร

“เปล่านี่” มือเธอสะดุ้งเมื่อเจอสิ่งแปลกปลอมในกระเป๋าจึงหยิบออกมาพร้อมกับเงินที่เหลือ แล้วทั้งคู่ต้องตาโต กานติศาเหมือนหูดับไปแล้ว

“นี่มันอะไร เศษแก้วแตก”

เธอมองไปที่เศษแก้วอย่างไม่เชื่อสายตา หูอื้อตาลาย ร่างโซเซต้องนั่งลง สิ่งนี้เธอใช้ทำร้ายมือเขาคนนั้น ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้

“กาน มือแกเลือดออก”

สิ่งน่ากลัวกว่าบาดแผล เธอไม่มีความรู้สึกเจ็บใดๆ ไม่สิ ไม่รู้สึกอะไรเลย แม้แต่ความเย็นของอากาศ อุณหภูมิของร่างกาย เป็นสิ่งที่ยืนยันความสงสัยถูกต้องมาตั้งแต่ต้น “รส มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับฉัน” ถ้าไม่เล่าให้ฟังโดยเร็ว เธอต้องเป็นบ้า

“ฉันฝันร้าย” มีรายละเอียดเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน จับต้นชนปลายไม่ถูกเริ่มต้นเล่าจากจุดไหนก่อน กลายเป็นรติรสเป็นฝ่ายแย่งพูดก่อน

“กาน แกกำลังรู้สึกผิดใช่มั้ย ที่ทำร้ายเขาจนเจ็บ” กานติศาไม่เข้าใจเพื่อนหมายถึงเรื่องอะไร

“แกรู้ได้ไง” กานติศาลุกพรวด ถอยห่างจากเพื่อน สายตามองรติรสเป็นสัตว์ประหลาด

ความคุ้นเคยหายไปพร้อมกับละแวกพื้นที่เปลี่ยนไป สถานที่และบุคคลถูกระเหยจางหายไป แม้แต่อาคารเรียนที่เพิ่งจากมาอันตรธานหายไปด้วย เหลือเพียงเธอกับรติรสอยู่กันสองคน

“เขาคนนั้นบอกไง” รติสรสบุ้ยไปกทางด้านหลัง

ร่างใหญ่ในชุดคลุมสีดำทะมึน มือถือดาบยักษ์ก้าวเข้ามาถึงพวกเขา ดาบเล่มยักษ์ฟันแหวกกลางอากาศ กานติศาเห็นร่างรติรสฉีกขาดออกจากกันอย่างง่ายดาย ตามด้วยชิ้นส่วนอวัยวะ จำนวนเม็ดเลือดจำนวนมากกระเด็นกระจาย ร่างไร้วิญญาณของรติรสได้ระเหยกลายละอองธุลี ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาตั้งแต่ต้น

เธอนิ่งงันเหมือนถูกต้องสาป คนป่าเถื่อนไม่เสียเวลาอีกต่อไปยกดาบไว้เหนือหัวหมายจะฆ่าฟันเหยื่อรายต่อไป

เขาเดินทางข้ามภพมาตามล่า หรือเธอยังคงอยู่ในฝันร้าย

จังหวะดาบแทงทะลวงร่างเธอ ด้วยความเร็วแต่เชื่องช้า เหมือนความเจ็บปวดแต่สงบนิ่ง ราวกับนาฬิกาหยุดเดิน เลือดไหลพึ่งรินออกจากบาดแผลไหลหวนกลับ ดาบที่ยังเสียบคาท้องเปิดแผลเหวอะหวะ เผยภาพแผลสยองให้เห็น แม้แต่กระดูกสันหลังตัวเองที่บิดผิดรูป

สายตาโหดเหี้ยมที่จ้องเธอราวกับมดปลวกที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า กับรอยยิ้มเยือกเย็น

นี่คือภาพสุดท้ายก่อนกลับสู่ความมืดดับสนิท





เปลือกตาหนักอึ้ง เหมือนมีก้อนหินน้ำหนักมาทาบทับบนตัวเธอจนไม่สามารถขยับตัวได้ แม้แต่หายใจยังลำบาก มือไม้พยายามดันก้อนหินไปให้พ้นตามสัญชาตญาณแต่ไร้ประโยชน์ ยิ่งดันมันออกเท่าไรยิ่งหวนกลับมาลงน้ำหนักบนตัวมากขึ้น เสียงน้ำไหลหยดติ่งๆ กลิ่นหอมไม้พันธุ์ธรรมชาตินานาชนิด ปลุกกานติศาเบิกตาตั้งสติได้ในที่สุด สิ่งแรกที่เห็นคือสีฟ้า ความสดใสของท้องฟ้าไร้เมฆ ต้นไม้ปลิวไสวตามกระแสสายลม เป็นความสงบนิ่งเงียบเหมาะกับการพักผ่อนช่วงปิดเทอม เธอคงเผลอนอนหลับต่อไป หากไม่บังเอิญได้ยินเสียงลมหายใจกำลังรดซอกคออยู่ขณะนี้

กานติศาตกใจเกือบกรีดร้องไม่เป็นภาษา

คนป่าเถื่อนมานอนสลบทาบทับนตัวเธอได้อย่างไร น้ำหนักตัวเขาทำเธอหายใจลำบาก มือพยายามดันร่างใหญ่ออกไปอย่างสุภาพ มีความกลัวว่าเขาจะตื่นขึ้นมาทำร้าย หากเป็นคนอื่นในเวลานี้ จะไม่ลังเลใช้เท้าถีบกระะเด็นออกไปจากผืนป่า แต่สำหรับคนป่าเถื่อนมีการตอบสนองไวแม้แต่โดนมดกัดหนึ่งตัว เขาตื่นตัวมาสบตาเธอจนได้

เมื่อต้องกับแสงอาทิตย์เจิดจ้า นัตย์ตากลายเป็นสีเขียว

กานติศาจ้องเข้าไปในความงดงามอย่างจัง ไม่เอ่ยคำใดจนกว่าเขาเป็นฝ่ายถอยห่างจากเธอ นาทีนั้นเธอก็พบว่าบนร่างกายคือความว่างเปล่า ร่างกายเปลือยเปล่า และมีคนอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ใบหน้าเฉยชากำลังลุกออกไป ความรู้สึกเย็นทางผิวหนังในชุดแรกเกิดจากการสัมผัสและการเสียดสีเมื่อมีการขยับตัวทำเธอสติแตกกระเจิง

ไวเท่าความคิดใบหน้าคมสะบัดไปตามแรงตบพาตาสว่างเต็มที่ เขาหลบกำปั้นลูกที่สองสำเร็จ ฉวยโอกาสเป็นผู้ได้เปรียบทันทีจับคว้าข้อมือทั้งสองข้างรั้งไว้เหนือหัวหล่อนด้วยมือข้างเดียว เหยื่อเองดูท่าไม่ยอมแพ้พยายามใช้หัวโขก เขาใช้มืออีกข้างกดหัวเธอแทบปักลงพื้นหิน จึงได้รอยฟันกัดจนเลือดซิบที่หัวไหล่ขวาเป็นรางวัลตอบแทน ท่อนขาหนากดร่างบางเพื่อป้องกันลูกไม้ต่างๆ จนทั้งคู่กลายเป็นคล้ายการกอดรัดฟัดเหวี่ยง ธรรมชาติเป็นสักขีพยานความบ้าดีเดือดเกรงเกิดความเข้าใจผิด

กานติศามีอาการเหนื่อยหอบภายใต้ร่างกำยำ สรีระร่างกายกล้ามเนื้อแข็งแรงกว่า หลังจากพยายาจนทุกวิถีทางแล้ว จึงเพียงส่งสายตาดุ

“ออกไป ออกไปจากตัวฉัน” ดีทีเธอยังมีแรงเหลือตะโกนใส่หน้าเขา

“น้ำเสียงนี้ใช้ตอบแทนผู้มีพระคุณหรือ”

น้ำเสียงทุ้มต่ำพูดอย่างใจเย็น กานติศาแปลกใจ คนป่าเถื่อนที่เคยจับเธอลากไปมาในตอนนั้นกำลังพูดภาษาเดียวกัน หรือว่าสมองเขาเกิดการกระทบกระเทือนเข้าแล้ว

“ข้าช่วยชีวิตเจ้า จำได้ไหม”

“ไม่ได้ขอให้ช่วย ฉันอยากตายของฉันเอง” นาทีนี้เธออายอยากแทรกแผ่นดินหนีหายไป กานติศาในชุดแรกเกิดภายใต้ปราการคุมขังที่แข็งแรงเปลือยเปล่าพอกัน ของเขาอยู่บนตัวเธอจะมาใจเย็นพูดคุยได้อย่างไร

“ถือว่าฉันกราบขอร้องล่ะ ออกไปจากตัวฉัน แล้วจะยอมให้คุณล่ามฉันลากไปไหนก็ได้”

เมื่อก้อนหินเกะกะให้ความเป็นอิสระ สาวมือรีบควานหาผ้าแถวนั้นมาห่อตัวเองพบว่ามันคือผ้าคลุมพื้นสีดำของเขา เสื้อผ้าเธอกลายเป็นเศษขี้เถาในกองไฟเล็กๆ สายตาค้อนไปไปที่ตัวการที่กำลังยืนแก้ผ้าโท่งๆ จ้องมองเธอราวจะเกินเลือดกินเนื้อเช่นกัน

นอกจากโรคจิต ป่าเถื่อน แล้วยังหน้าด้าน



KAVIDA
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 พ.ค. 2561, 15:16:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 พ.ค. 2561, 15:16:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 565





<< บทที่ 3 (2) สองภพต่างเวลา   บทที่ 4 (2) ผู้ช่วยชีวิต >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account