มนตราในฝัน
กานติศา หญิงสาวหลงทางในความฝัน จินตนาการของเธอ กระทั่งพบชายชุดดำปริศนาเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวยามกลางวัน กลืนเป็นสีน้ำเงินในรัตติกาล สัมผัสความลึกลับและอันตราย
เธอจะวิ่งหนีไปให้พ้นจาก 'ฝันร้าย' อย่างไร

Tags: ข้ามภพ,แฟนตาซี,ความรัก

ตอน: บทที่ 4 (2) ผู้ช่วยชีวิต

เธอกระโดดหน้าผาหวังว่าความตายเป็นตัวเบิกทางพาตัวเองกลับบ้าน กลับเป็นการฝันซ้อนความฝันอีกที ช่างไม่สมเหตุสมผล เธอนึกถึงพล็อตภาพยนตร์ชื่อดังเรื่องหนึ่งที่เคยดูเมื่อหลายปีก่อน กานติศาสับสน ไม่เข้าใจอะไรคือความจริงตอนนี้ เพียงหวังว่าจะตื่นขึ้นมาให้ห้องตัวเอง เจอทุกคนดำรงใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดาปกติอย่างที่ผ่านมา

ในความทรงจำที่ผ่านมา ตั้งแต่เด็กจนโต พ่อแม่ น้องชาย ครอบครัวที่น่ารักของเธอ รติรสคนสวย พี่ต้นชายหนุ่มแสนดีของเธอ แม้แต่คนรู้จักหรือเพื่อนที่เดินเข้ามาในชีวิตตลอดยี่สิบสามปี เธอใช้อะไรเป็นประกันว่าพวกเขาไม่ใช่ภาพลวงตา

กานติศาไม่อาจหักห้ามของตัวเองไว้ได้ กลับกลายเป็นการร้องไห้แทบคลั่ง น้ำตาหลั่งออกมาราวกับน้ำตก กำมือแน่นอยากทุบอกตัวเองให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ อยากตายแล้วไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย ม่านน้ำตาหนาจนไม่สังเกตเขามายืนอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไร เขาจะลงมือฆ่าหรือทำร้ายเธอยังไงก็ช่าง ไม่สนใจแล้ว กานติศาจำนนต่อชะตากรรมของตัวเอง ข้อมือเล็กถูกดึงไปข้างหน้า เขากำลังสำรวจข้อมือที่เต็มไปด้วยบาดแผล

ลักษณะคล้ายดินเหนียว ใบไม้ถูกบดตำละเอียด มีกลิ่นหอมเหมือนสมุนไพร ที่เขาบรรจงทาเคลือบบนบาดแผล ท่าทางการเคลื่อนไหวอย่างถนุถนอมราวกับเธอเป็นสิ่งที่เปราะบาง แตกหักง่าย เธอยังพบว่าเขาสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ดวงตาสีเขียวต้องแสงตะวันจับจ้องบาดแผลตั้งอกตั้งใจ ก่อนจะพันเศษผ้ารอบๆ ข้อมือทั้งสองข้าง

มิน่าเล่า เสื้อผ้าเธอถึงหายไป

“ไม่เกินพรุ่งนี้ แผลจะแห้ง” ถ้อยคำสั้นแสนห้วนเกือบจะชโลมจิตใจ หากเธอไม่ใจแข็งไว้ก่อน เพราะความโหดเหี้ยมทารุณที่ทำไว้กับเธอมีมาก กานติศาจึงกระชากข้อมือกลับ

“ไม่ต้องมาทำดี ก่อนหน้านี้ อยากฆ่าฉันไม่ใช่เหรอ”

กานติศาสะกดจิตใจไม่ให้หลงกล

“แผลจะติดเชื้อ ถ้าไม่รีบทายา” ไม่พูดเปล่า มือกระชากผ้าคลุมห่อร่างน้อยออก เพราะได้สำรวจร่างมาแล้ว ร่างกายเต็มด้วยบาดแผลจากเขาเป็นผู้กระทำ ควรรีบพอกยาสมุนไพรโดยเร็ว กานติศาเสียใจกับตนเองความตกใจเผลอตบหน้าอีกแล้ว

เพียะ

“เจ้า” มือกดลำคอตรึงไว้กับลำต้นของต้นไม้ ใบไม้ถูกแรงสั่นสะเทือนจนร่วงโรยลงมา มือน้อยพยายามแกะนิ้วเขาออกก่อนความโกรธเกรี้ยวกดหลอดลมจนหายใจไม่ออก

“เจ้าตบหน้าสองครั้ง ถ้ามีครั้งที่สาม ข้าจะทำให้เจ้าเสียใจที่ได้เกิดมา” สิ้นคำเขาก็ปล่อยร่างเหยื่อเข่าอ่อนหมดแรง แววตาหวาดกลัว เขาตัดสินใจหายไปในพุ่มหญ้าไม่ไกลเพื่อดับอารมณ์

กานติศาปาดน้ำตาออก เห็นลักษณะกระปุกใส่ยาตกอยู่ คนป่าเถื่อนใช้ยาตัวนี้ป้ายทาใส่แผลให้ บนร่างกายเธอเปลือยเปล่ามีบาดแผลจำนวนมาก รอยถลอกบริเวณหน้าท้องที่ครูดไปกับทุ่งหญ้าตอนที่เขาขี่ม้าล่ามเธอลากไปทุกแห่ง เมื่อโดนยาหอมสมุนไพรที่เธอค่อยๆ ทาลงไปเกิดความแสบร้อนอย่างกับโดนไฟเผา

เดี๋ยวทำร้าย เดี๋ยวก็ทรมาน ท้ายสุดหันมารักษาเธอ

จะดีหรือจะเลว เอาให้ดีสักอย่าง

เขากลับมาพร้อมซากสัตว์หนึ่งตัวที่เธอไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นสัตว์ชนิดใด หน้าบึ้งไม่พูดไม่จา ไม่สบตา ใช้ไม้เขี่ยกองไฟที่เพิ่งไฟลุกขึ้นมาใหม่ นำใบไม้รูปร่างใหญ่หน้าตาเหมือนใบหูกวางมาอังไฟ ตักน้ำมาจากลำคลองมาทำซุปร้อนๆ กลิ่นหอมสมุนไพรโปรยลงไปอย่างช่ำชอง จนกานติศานั่งแอบดูห่างๆ อยากเข้าไปทักเหลือเกิน อยากใช้ดาบเป็นคนป่าเถื่อนหรือถือตะหลิวเป็นพ่อครัวหัวป่าก์กันแน่

แล้วเสียงท้องร้องประกาศก้องความหิวโหยมาจากเธอ ขัดจังหวะการทำอาหารอีกครั้งจนได้ กานติศาคิดว่าเขาคงไม่แบ่งปันอาหารให้เช่นเคย ตั้งแต่ได้มาอยู่ที่นี่ อาหารยังไม่ตกถึงท้องเธอเลย ผิดคาดเขากลับแหวกมือเรียกเธอให้มาหาเขาพร้อมยื่นถ้วยซุปทำจากใบไม้ หากเป็นสถานการณ์หิวปกติเธอจะรีบวิ่งเข้าใส่ แย่งถ้วยนั้นมา หนนี้สาวย่างก้าวไปหาเขาด้วยความลังเลใจ เกรงว่าจะเป็นกับดัก

“รีบมา ก่อนข้าจะเปลี่ยนใจ”

“ค่ะ มาแล้ว ขอบคุณค่ะ” เธอรับถ้วยใบไม้ไว้ในมือ นั่งบนก้อนหินเล็กข้างเขา เป่าปากค่อยๆ จิบน้ำซุปร้อน แม้แต่ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากแบบนี้ สภาพเธอไม่แตกต่างคนหลงป่า ของติดตัวมีอยู่ไม่กี่ชิ้น เขาพกความสามารถใช้ทรัพยากรอันมีจำกัดปรุงเสกอาหารอร่อยได้อย่างน่าทึ่ง

คำว่า ‘ขอบคุณค่ะ’ เอ่ยมาจากปากของเหยื่อสาวผู้นี้อย่างคาดไม่ถึง ภาพรอยอดีตกาลที่ว่างเปล่ากลับมาหมุนเล่นซ้ำ เขาไม่ได้ยินคำขอบคุณจากใครมานานแค่ไหนแล้ว ไม่สิ จำไม่ได้ว่าพูดคุยกับใครสักคนครั้งสุดท้ายเมื่อไรคำตอบยังเป็นความว่างเปล่ากลับมา

จำได้เพียงอย่างเดียวคือ เขาคือผู้ถูกเลือก

กานติศาตักน้ำซุปถ้วยที่สอง ระหว่างที่ซดน้ำ พลางลอบมองผู้ชายนั่งข้างๆ เมื่อเทียบกับขนาดตัวแล้ว กานติศาถือเป็นสาวร่างเล็กยิ่งเล็กจิ๋วเข้าไปอีกเมื่อเทียบกับขนาดตัวเขา เลยเถิดขึ้นไปมองใบหน้าหล่อถูกปั้นขึ้นราวกับผลงานประติมากรรม ทั้งดวงตาทรงเม็ดอัลมอนด์ จมูกโด่ง ปากรูปทรงกระจับมีรอยหยักลึกเล็กน้อย ถูกบรรจงวาดมาอย่างสมบูรณ์แบบ ทำสายเลือดรักศิลปะการวาดรูปในตัวเธอเดือดพล่าน ต้องเป็นการวาดภาพเหมือนที่สนุกแน่นอน

นอกจากมีรูปหน้าตาหล่อแล้วยังมีผิวพรรณเนียนยิ่งกว่าสาวบางคน กานติศาจำสัมผัสมือเขาลูบไล้วนกับแขนเธอตอนบรรจงทายาให้ เขาส่งเนื้อย่างเสียบไม้สุกพอดีให้เธอ และสำหรับเขาอีกหนึ่งไม้ ฝีมือการตวัดดาบยักษ์ด้วยมือข้างเดียวว่องไวคล่องแคล่ว สาวคิดว่าเขาจะมีผิวหยาบกร้านมากกว่านี้

“เนื้ออะไรคะ เนื้อไก่” หลังจากกำจัดเนื้อไปได้ครึ่งไม้ จึงสงสัยถาม

“เนื้ออิมป์”

“อะไรนะ”

เมื่อเห็นว่านางยังไม่เข้าใจ เขาเข้าตาจนไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาอธิบาย จึงใช้กิ่งไม้ยาวมาวาดรูปบนดินทรายร่วน สาวผู้ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน เมื่อมองภาพวาดแล้วแทบสำลัก อยากคายอาหารในปากที่กำลังเคี้ยวตุ้ยออกมาแทบทันที ความเกรงใจจึงวางภาชนะใส่อาหารลงแทน ฝืนใจพยายามกลืนอาหารให้ลงคอเร็วที่สุด ไม่อยากมองภาพวาดรูปร่างหน้าตาประหลาด

อิมป์ ที่เขาวาดลักษณะเหมือนมนุษย์คนแคระแกร่นในร่างสัตว์ มีปีกเหมือนค้างคาว มีรูปศีรษะโต หัวล้าน ตาโปนน่ากลัว แขนขายาว มีเขี้ยวเหมือนสัตว์เลื้อยคลานที่เธอเกลียดที่สุด และมีหางยาว

กานติศาซดน้ำซุปถ้วยสุดท้าย ไม่แตะเนื้อประหลาดส่วนนั้นอีก ส่วนเขากำจัดส่วนที่เหลือจนหมด ใช้เท้าเตะดินทรายร่วนเข้ากองไฟจนดับสนิท ป้องกันไม่ให้เป็นที่เตะตาพวกสัตว์ดุร้ายมุ่งเข้ามาทำร้าย หญิงสาวไม่ทันเอะใจว่าเป็นเวลากลางคืนแล้ว รัศมีแสงจันทร์สีเหลืองนวลสาดส่อมายังตำแหน่งที่พวกเธออยู่พอดี เขากำลังจัดกลุ่มใบไม้ไว้สองที่เป็นที่ซุกหัวนอนสำหรับคืนนี้

“เราควรรีบนอนเอาแรง พรุ่งนี้จะได้เดินทางต่อทันที”

กานติศาไม่เข้าใจว่าเขาจะทำอย่างนั้นทำไม แต่ก็ยอมล้มตัวนอนบนกองใบไม้ที่เขาเตรียมไว้ให้โดยดี วันนี้เธอเหนื่อยล้าเต็มที่ การใช้ชีวิตเหมือนคนอาศัยอยู่แต่ในป่าแสนลำบากยิ่งกว่าอยู่ในค่ายลูกเสือตอนเป็นเนตรนารี เมื่อถึงเวลาควรเข้านอนสาวกลับตาสว่างสนใจมีความอยากรู้อยากเห็นทีท่าของผู้ชายตรงหน้ามากกว่า

บุคคลถูกปรามาสเป็นคนป่าเถื่อน นั่งลับมีดสั้นเล่มสุดท้ายกับก้อนหินอย่างใจเย็น เล่มเดียวกับใช้ทำอาหารอร่อย เคยใช้เป็นอาวุธข่มขู่เธอ เดี๋ยวใจร้อนเดี๋ยวใจเย็น เริ่มต้นกับเธออย่างใจร้าย ลงท้ายมีความใจดีทำอาหารให้ สร้างที่ซุกหัวนอนให้ บุคลิกหลากหลายชวนสับสน จนเธอไม่อาจเรียกได้เต็มปากว่าเป็นคนไม่ดี

กานติศาสังเกตนัยน์ตาสีเขียวสุกใสในตอนกลางวัน เมื่อต้องกับแสงจันทร์กลายเป็นสีเขียวเข้มแกมน้ำเงิน มีประกายสีทองร่วมอยู่ด้วย ดุจดั่งห้วงจักรวาลถูกจับขังภายในดวงตา ประกอบไรหนวดถูกโกนสะอาดสร้างความสมชาย กับแผงอกเปลือยเปล่าโผล่พ้นมาจากเสื้อตัวใน กล้ามเนื้อเป็นมัดราวกับถูกใช้แรงงานหนัก เนื้อหน้าท้องเป็นล่อนหายหลบเข้าไปในกางเกงหนังพร้อมไรขนสีอ่อน ท่อนขาแข็งแรงกับสะโพกสอบช่างสมส่วนเทียบกับช่วงอกกว้างใหญ่เมื่อตอนที่อ้าแขนกว้างรวบรัดตัวเธอไว้ เหมือนหายกลืนเข้าไปในตัวเขาในกะพริบตา
สาวสะบัดหัวเมื่อนึกถึงภาพตอนที่เขาไม่สวมใส่เสื้อผ้า พวงแก้มกลายเป็นสีแดงเข้ม ถึงมีประสบการณ์วาดศิลปะภาพเหมือนมามากแต่เธอยังไม่สามารถลบภาพนั้นออกจากหัวได้

ความหมายผู้ชายแข็งแรง การใช้พลังและความรุนแรงเยี่ยงชายนักรบเป็นอย่างไร กานติศาเพิ่งเข้าใจในวันนี้

“ยังไม่รีบนอนอีก” เขาหันมาดุเธอ

“แล้วคุณล่ะ คุณเสียงดังจนฉันนอนไม่หลับ” สาวแกล้งนอนขดตัวหันหลังใส่ ไม่อยากให้เขารับรู้ว่าเธอแอบลอบมองเขาอยู่ตั้งนาน

“หนาวรึ” กลายเป็นการตีความผิดไป เห็นหล่อนนอนขดตัวกับสภาพอากาศเย็นแบบนี้

“ไว้ข้าตามล่าตัวโทรลล์ภูเขา เนื้อไขมันสูงช่วยให้ความอบอุ่นร่างกายมากกว่านี้” ที่นี่สาวล้มนอนเมื่อครู่ถึงกับลุกพรวดมาทำตาโตเท่าไข่ห่าน

“โทรลล์” กานติศอ้าปากอย่างไม่น่าเชื่อ โทรลล์ ที่พึ่งได้ยินใช่ตัวประหลาดขนาดยักษ์ เคลื่อนตัวช้าและมีปัญญาต่ำ อย่างที่เคยดูในภาพยนตร์ไตรภาค เธออยากบีบคอใครบางคนที่สามารถให้คำตอบได้ ว่าเธอเป็นผู้สร้างสิ่งมหัศจรรย์ตามจินตนาการในความฝันจริงหรือ แม้แต่คนป่าเถื่อนกินเนื้อโทรลล์

ไหนๆแล้วเขาหันมาสนทนากับเธอ เธอควรใช้เวลานี้ซักถามเขา ข้อสงสัยคาใจมีมากมายเหลือเกินนับตั้งแต่เธอมาอยู่ในฝันร้าย

“คุณบอกว่าเราจะเดินทาง ไปไหน ทำไมฉันต้องไปกับคุณด้วย”

“ไปที่ที่พวกเราจากมา เจ้าจะไม่มากับข้าก็ได้นะ” กานติศาสังเกตความผิดปกติ สายตาเขามักวนเหลือบมองสิ่งของที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อตัวที่ใส่อยู่ ถ้าเขามีความลับจริงคงไม่พูดจากำกวมแบบนี้ หญิงสาวยังไม่ค่อยไว้ใจผู้นี้เท่าไร แต่ยังต้องพึ่งพาเอาตัวรอดก่อน

“ที่ที่จากมา แปลว่าคุณรู้ว่าเราอยู่ที่ไหน”

คิ้วโค้งดังคันศรสีดำเช่นเดียวกับสีผมยกขึ้นอย่างแปลกใจ เมื่อถูกเหยื่อที่เขาประเมินต่ำไปถามล้วงเอาความ แต่เขาจะไม่หลงกล “ที่นี่คือที่ไหน ข้าอยากรู้พอๆ กับเจ้า แต่ข้าต้องไปที่น้ำตกให้ได้”

“น้ำตกที่นั้นมีอะไรให้คุณกลับไป” เขาคงหมายถึงหน้าผาที่เธอตัดสินใจโง่ๆ กระโดดฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ

“พรีอุส ม้าของข้า” นอกจากเป็นสัตว์พาหนะตัวเดียวที่เหลืออยู่ พรีอุสยังเป็นเพื่อนไว้แก้ยามเหงา ยามเขาไม่เหลือใครในความทรงจำที่ว่างเปล่า

“พรีอุส ม้าคุณมีชื่อ แปลว่าคุณก็ต้องมีชื่อด้วย” เธอเอาแต่เรียกเขาเป็นคนป่าเถื่อน คนใจร้าย คนอำมหิตไปตลอดก็ดูใจร้ายไปหน่อย

“ชื่อข้า...”

“คุณจำชื่อคุณได้หรือเปล่า” เห็นเขานิ่งเงียบไป อาการสับสนงุนงงเล็กน้อยทำเธอเกือบเชื่อว่าเขามีการสูญเสียความทรงจำ

“ข้าไม่...” ชายหนุ่มลากเสียงและค้างอยู่ตรงนั้น นามที่เขาเกือบหลงลืมไป ตั้งแต่จำความได้เป็นระยะเวลายาวนานที่เขาไม่ได้พูดคุยกับใครหรือเรียกขานเรียกเขาด้วยนาม คงเหตุผลเดียวกับความทรงจำเป็นสีขาวว่างเปล่าที่หายไปพร้อมกับชื่อเขา

“แล้วคุณจำอะไรได้บ้าง อยู่คนเดียวที่นี่มานานแค่ไหน” เธอปักเชื่อแล้วว่าเธออยู่กับคนป่าเถื่อนที่ดูเหมือนหลงทาง สูญเสียความทรงจำจนเสียสติกลายเป็นจอมบ้าพลังในตอนที่พบกันครั้งแรก

“นานจนเกินไป พรีอุสอยู่กับข้าตั้งแต่จำความได้” เขามีทีท่าอ่อนกำลังอย่างเห็นชัด และนั่งเงียบทบทวนความทรงจำที่เหลืออยู่ กานติศาคิดว่าผู้ชายคนนี้ควรนัดพบจิตแพทย์โดยเร็วที่สุด ขืนพูดคุยกันต่อไปอย่างนี้คงไม่ได้รับข้อมูลเป็นประโยชน์ สาวกำลังล้มตัวนอนเอาแรง พรุ่งนี้จะได้มีแรงเดินทาง

“เอเดรียน นั้นคือชื่อข้า”

ดวงตาสีสวยคู่เดิมเป็นประกายความดีใจสามารถนึกชื่อตัวเองออก ชื่อที่เขาเกือบลืมไปแล้ว

‘เอเดรียน’ ชื่อนั้นก้องสะท้านภายในหัวเธอตลอดทั้งคืน






ย้อนกลับไปอีกฟากหนึ่งของมิติภพ

ต้น ธรณินทร์ ชายหนุ่มนั่งทำงานหนักมาตลอดทั้งคืน นั่งงีบหลับหน้าจอคอมพิวเตอร์ แสดงภาพกราฟฟิกอยู่ในขั้นตอนระหว่างการรางภาพวาดภาพเคลื่อนไหวสามมิติ เขาถูกเพื่อนร่วมงานสะกิดปลุกจนตื่นขึ้นมาพบว่าเสียงโทรศัพท์มือถือดัง ตามด้วยอีกหลายข้อความไหลเข้ามาไม่หยุด จึงรีบปิดเสียงเกรงว่าเป็นการรบกวนเพื่อนร่วมงานนั่งทำงานในห้องเดียวกัน สิ่งที่ขาดไม่ได้คือถ้วยกาแฟติดมือทุกคนระหว่างที่นั่งเครียดปั่นงานอย่างเร่งเด่วน ผลงานวิทยานิพนธ์ปีสุดท้าย

“เอากาแฟอีกมั้ย” เพื่อนคนหนึ่งเสนอช่วยไปเติมให้

“ไม่ล่ะขอบคุณ ต้องไปแล้ว” ธรณินทร์อ่านข้อความสุดท้ายเสร็จพอดี จึงรีบปิดคอมพิวเตอร์ กวาดข้าวของบนโต๊ะลงกระเป๋าเพียงครั้งเดียว

“อย่าลืมว่าเรามีนัดสำคัญพรุ่งนี้ ทุกคนต้องไปพบกรรมการ ห้ามขาด”

“ครับ ผมจะไม่ลืม” เขาตอบอาจารย์ปรึกษาที่เข้ามาในห้องพอดี ซึ่งหลีกทางให้ลูกศิษย์ก้าวพรวดออกไปอาจารย์หันไปถามลูกศิษย์คนอื่นว่าอะไรทำให้ธรณินทร์ถึงได้จ้ำอ้าวออกไปกะทันหัน


“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ต้นอ่านข้อความปุ๊บ วิ่งพรวดออกไปปั๊บอย่างที่เห็นล่ะครับ”

“หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ” อาจารย์ได้แต่ฝากความหวังกับลูกศิษย์ ภาพยนตร์หนังสั้นอนิเมชั่นสามมิติที่ทุกคนร่วมใจลงมือสร้างขึ้นมา หวังว่าจะผ่านไปด้วยดีและเข้าตาคณะกรรมการ

ธรณินทร์ขับรถมุ่งมายังที่พักของรุ่นน้อง ตั้งแต่อ่านข้อความสุดท้ายจากกันต์ทำให้เขาใจคอไม่ดี ไม่ทราบว่ากันต์พยายามสื่ออะไร มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับพี่สาว

กานติศา เกิดอะไรขึ้นกับเธอ

เขาแน่ใจทันทีว่าจะต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับกานติศา หากไม่เจอรติรสยืนรอเขาหน้าประตูห้อง สีหน้าหล่อนเหมือนผ่านการร้องไห้ ดวงตาแดงก่ำทำท่าจะร้องไห้อีกครั้งทันทีเห็นผู้มาถึง

“กานนะ กาน”

“เกิดอะไรขึ้น” เขารอคำตอบไม่ไหว ก้าวพรวดเข้าไปในห้องตามด้วยรติรส ประตูถูกทำลายฉีกขาด ทั้งสองพบกันต์ในห้องนอนสองมีสีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้กัน

“พี่ต้นครับ พี่ผม...”

ธรณินทร์ค่อยๆ นั่งคุกเข่าลงข้างเตียง เขามองสาวนอนหลับไม่วางสายตา กานติศาในสภาพเหมือนคนนอนหลับพักผ่อนสวมใส่ชุดนอน สัมผัสถึงความเงียบผิดปกติ จึงยกนิ้วอังจมูกเช็คลมหายใจ

“กานยังหายใจนี่ แล้วเกิดอะไรขึ้น” ใช่ว่าพวกเขาไปรบกวนการพักผ่อนหรอกหรือ

กันต์สีหน้าสู้ไม่ดี ส่วนรติรสนั่งติดกันส่งเสียงสะอื้น

“ผมก็ไม่รู้ครับ ตั้งแต่พวกผมเข้ามา ปลุกพี่เท่าไรก็ไม่ตื่น”

“กานนอนมานานแค่ไหนแล้ว”

“ตั้งแต่เมื่อคืนวานค่ะ เราทะเลาะกันเสียงดัง” รติรสตอบ รู้สึกผิดในใจที่เธอไม่สังเกตความผิดปกติตั้งแต่เมื่อเช้า ธรณินทร์มองสาวตรงหน้ายังไงก็เหมือนคนนอนหลับ ใบหน้าอิดโรย ร่างผอมซูบผอมซีด คงเป็นเพราะขาดสารอาหารมาเกือบหนึ่งวันเต็ม

“กาน กาน” รุ่นพี่เขย่าตัวผู้นอนหลับเท่าไรก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา ทั้งที่หล่อนมีลมหายใจ มีชีพจรเต้นเป็นปกติในอัตราจังหวะสม่ำเสมอ คำขานเรียกชื่อเพื่อนคนสนิทซ้ำแล้วซ้ำอีก ส่งผลรตริรสต้องหลบหน้าร้องไห้กระซิก จนกันต์ลูบหลังปลอบใจ เมื่อเห็นพี่สาวลำคอคลอนไปมาจึงรีบเข้าไปห้าม

“พี่ต้นครับ”

“ทำไมกานไม่ตื่น ผิดปกติแล้ว” สิ้นคำพี่ต้นสอดแขนอุ้มร่างกานติศาขึ้นมา

“พี่จะพาไปโรงพยาบาล” รติรสและกันต์ตามเขาไปที่รถยนต์ญี่ปุ่นคันเล็กที่จอดรถทิ้งไว้หน้าหอพัก ธรณินทร์เร่งเครื่องพาร่างไร้สติและพวกเขาไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด ถึงแม้ว่าจงใจทำผิดกฎจราจรขับรถฝ่าไฟแดงสี่แยกติดต่อกันถึงสามครั้ง เสียงเป่านกหวีดจากตำรวจก็ไม่อาจหยุดได้



KAVIDA
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 พ.ค. 2561, 18:24:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 พ.ค. 2561, 18:24:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 584





<< บทที่ 4 (1) ผู้ช่วยชีวิต   บทที่ 5 (1) ความลับของเอเดรียน >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account